ดูจิตโดยไม่รู้จักจิตที่แท้จริง ย่อมเข้าใจผิดคิดว่าจิตเป็นเหมือนปูเสฉวน
พอพูดถึงเรื่องจิตนี่แปลกนัก เป็นเรื่องที่ต้องนำมาถกกันเพื่อให้เกิดความกระจ่าง
ทั้งๆที่ทุกคนก็รู้ทั้งรู้อยู่ว่า คนเรานั้นทุกคนที่มีชีวิตินทรีย์ย่อมมีจิตคนละดวง
ของใครของมันตามความเป็นจริง ส่วนอาการของจิตมีเป็นร้อยดวง

จิตที่อยู่ในร่างกายนี้ เอาร่างกายเป็นที่อาศัย
สำหรับเป็นที่ใช้สอยไปตามอำนาจของจิตเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่จิตของเรา(ตน)ที่เข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายนี้แล้ว
จะเป็นจิตของใครอื่นไปไม่ได้อีกแล้ว ต้องเป็นจิตคนนั้น
มิฉะนั้น จะทำให้เรื่องของกรรมเสียไป ไม่มีการถ่ายทอดกรรมข้ามดวงกัน
"กรรมใดใครก่อ ผู้นั้นต้องรับผลของกรรมที่ก่อไว้นั้น ไม่ช้าก็เร็วแน่นอน"

ใครก็ตามที่กระทำกรรมดีกรรมชั่วๆ ล้วนถูกบันทึกลงที่ไหนหละ?
ถ้าไม่ใช่บันทึกลงที่จิตดวงนี้ (ดวงที่ทำกรรมดี กรรมชั่ว)
แล้วจะไปบันทึกลงที่จิตดวงไหนหละ?
เมื่อทำกรรมดี กรรมชั่วแล้วไปบันทึกลงที่จิตดวงอื่นก็ดีสิ "เรื่องแปลก"
ทำแล้วไม่ต้องชดใช้กรรมที่ตนได้กระทำไว้
การที่คิดแบบนี้ เป็นเรื่องของพวก"โมฆบุรุษ"

ดังมีมาในพระพุทธวจนะดังนี้
ลำดับนั้นแล มีภิกษุรูปหนึ่ง เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นอย่างนี้ว่า
จำเริญละ เท่าที่ว่ามานี้
เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็น อนัตตา(ไม่ใช่ตน)
เมื่อกรรมที่อนัตตา(ไม่ใช่ตน)ทำไว้แล้ว จักถูกตนได้อย่างไร?


ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของภิกษุรูปนั้น
ด้วยพระหฤทัย จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่โมฆบุรุษบางคนในธรรมวินัยนี้
ไม่รู้ แล้วตกอยู่ในอวิชชา ใจมีตัณหาเป็นใหญ่
พึงสำคัญคำสั่งสอนของศาสดาอย่างสะเพร่า


การจะกล่าวร้ายใครว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ชื่อว่า สัสสตทิฐิ นั้น ควรหันกลับมาดูตนเองด้วย
ว่า ตนเองเข้าใจเรื่องสภาพธรรมของจิตที่แท้จริง ถูกต้องหรือไม่?

จึงสับสนไปกับคำว่า “จิตเที่ยง”
เพราะเห็นไปว่าอะไรๆก็ไม่เที่ยง ที่เที่ยงก็ไม่มี ที่มีก็ไม่เที่ยงนั่นเอง

ในความหมายคำว่า “จิตเที่ยง” ที่เข้าข่าย สัสสตทิฐิ นั้น หมายถึง
ผู้ที่มีความเชื่อไปว่า ใครที่เคยเกิดมาเป็นอย่างไร
เมื่อตายลงไปแล้ว ก็จะต้องกลับไปเกิดเป็นอย่างนั้นเหมือนเดิมอีกเสมอไป
ไม่ว่าจะเกิด-ตายอีก กี่้ร้อยหนกี่พันครั้ง (กี่ภพ กี่ชาติ) ก็ตาม
ก็จะต้องกลับเกิดมาเป็นอย่างเดิม"ไม่มีเปลี่ยนแปลง"คือ"จิตที่เที่ยงแท้ถาวร"นั้น
โดยที่บาปบุญคุณโทษใดๆก็ตาม ไม่อาจมีผลต่อการเกิดในแต่ละ(ภพ)ครั้ง
ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ ฝ่ายสัสสตทิฐิ

ส่วนพวกที่เข้าใจว่า เมื่อตายลงไปแล้วนั้น
จิตที่บันทึกกรรมครั้งสุดท้ายที่มาประชิดจิต เป็นคติเครื่องไป นำสู่ภพภูมิต่างๆ
ตามกรรมดี กรรมชั่ว ที่ได้บันทึกลงที่จิตในวาระสุดท้ายก่อนตายลงไปนั้น
เป็น"ปฏิสนธิวิญญาณ" จิตที่ไปเกิดใหม่ ก็เป็นจิตของใคร จิตของมัน
เป็นจิตของคนนั้นๆ ที่ได้ทำกรรมดี กรรมชั่วเหล่านั้นลงไป
และเป็นคติเครื่องไปสู่ภพของสัตว์(ผู้ข้องในอารมณ์)ทั้งหลาย
ความเข้าใจเรื่องเกิด-ตายอย่างนี้ย่อมเป็น "สัมมาทิฐิ"

เหมือนน้ำที่ใสสะอาด แต่ได้รับการปนเปื้อนจากสิ่งต่างๆที่ไหลผ่านไป
ถ้าน้ำปนเปื้อนสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ก็ได้อยู่ในที่ๆ หรือภาชนะที่ดี(ประณีต)มารองรับ
ถ้าน้ำปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกโสมม ก็ต้องอยู่ที่ๆหรือภาชนะที่ไม่ดี(ไม่ประณีต)

ส่วนผู้ที่มีความเข้าใจ ที่เชื่อตามๆกันมา จากตำราว่า
การไปเกิด เป็นจิตดวงใหม่ที่ได้รับการสืบต่อกรรมหรือที่เรียกว่า"ถ่ายทอดกรรม"
ที่ทำจากจิตดวงเก่า ถ่ายทอดให้ เพื่อนำให้ไปเกิดใหม่นั้น
เป็นพวกมิจฉาทิฐิ ฝ่ายอุจเฉฐทิฐิ นอกพระพุทธศาสนา

ขอถามว่า การจะสืบต่อกรรม หรือ การถ่ายทอดกรรม แก่กันได้นั้น
เป็นเรื่องขาดเหตุผลที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
เพราะเรื่องของกรรมเป็นของที่ถ่ายทอดให้กันไม่ได้
ถ้าพิจารณาตามเหตุผล และหลักถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว
จิตดวงเก่าไม่อาจดับไปได้ในทันที เมื่อจิตดวงใหม่ยังไม่เกิด
ต้องรอจิตดวงใหม่ให้มาเกิดก่อน จึงจะ "ส่งต่อกรรม"
หรือ ถ่ายทอดสืบต่อกรรมดี กรรมชั่วให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงจะดับไปได้ ใช่หรือไม่?

เมื่อเรามาพิจารณาให้รอบคอบด้วยดีแล้ว
จะเห็นว่าเป็นการพูดขัดแย้งกันเองในความเชื่อนั้นๆว่า
“จิตใจอัตภาพร่างกายนี้ เมื่อจิตเกิดแล้วดับลงไป
ก็จะเกิดจิตอีกดวงหนึ่งขึ้นมาในร่างกายใหม่ เป็นคนละดวงกัน
ไม่ใช่ดวงเดิม แต่มันสืบเนื่องถ่ายทอดหรือสืบต่อกรรมต่อๆกันไป”


เมื่อจิตเกิด-ดับไปแล้ว จะเอาช่วงเวลาตรงไหน มาถ่ายทอดสืบต่อ
กรรมดี กรรมชั่วที่ทำอยู่ได้ล่ะ อย่างที่ได้บอกไว้ในตอนต้นพอเป็นที่เข้าใจว่า
จิตดวงเก่ายังดับลงไปไม่ได้ในทันทีหรอกนะ
ต้องเฝ้ารอจิตดวงใหม่ให้เกิดขึ้นมาก่อน
จึงสืบต่อถ่ายทอดกรรมดี กรรมชั่วให้กันและกันได้ ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน
เพราะจะมีจิตพร้อมกันที่เดียว ๒ ดวงในเวลาขณะเดียวกันไม่ได้ (ตำราว่าไว้)

อีกเหตุผลหนึ่งที่รองรับว่า จิตมีดวงเดียว เที่ยวไปสู่ทีไกลได้ เป็นของใครของมัน
เพราะอวิชชาที่ครอบงำจิตอยู่นั้น จะเกิดๆ-ดับๆ ไปตามจิตที่ว่ามานั้นไม่ได้เลย
เนื่องจากอวิชชาจะดับได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น คือ
ต้องลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา จนกระทั่งจิตเกิดเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
รู้เห็นตามความเป็นจริงเท่านั้น เมื่อวิชชาเกิดขึ้นที่จิต
อวิชชาที่ครอบงำอยู่จึงจะดับไปจากจิต ไม่มีการเกิดๆ-ดับๆอย่างที่เข้าใจกัน

ถ้าจิตเกิดๆ-ดับๆจริง อวิชชาก็ต้องเกิดๆดับๆไปตามจิตด้วยสิ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้น หรือ เป็นไปไม่ได้นั่นเอง
เพราะขัดแย้งกับพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว


ดังมีพุทธวจนะรับรองไว้ว่า จิตไม่เคยดับตายหายสูญไปไหน
เป็นพุทธพจน์ที่มีมาในมหาปรินิพพานสูตร ว่าไว้ดังนี้ :

“จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ยถาภูตํ อทสฺสนา, สงฺสริตํ ทีฆมทฺธานํ ตาสุตาเสว ชาติสุ
ความเวียนว่ายของเรา (จิตของพระพุทธองค์)
เข้าไปในชาติน้อยใหญ่ทั้งหลายอันยาวนานนับไม่ถ้วนนั้น
เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง”


หมายความว่า จิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เข้าไปเวียนว่าย
จากพระชาติหนึ่งไปยังอีกพระชาติหนึ่งติดต่อกันไปหลายพระชาติ
เป็นเวลาอันยาวนานนับไม่ถ้วน ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้อริยสัจ๔
และจิตของพระองค์ได้ยืนตัวเป็นประธาน ในการรับกรรมที่ได้เคยกระทำมา
ทุกชาติเช่นกัน ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงพระชาติไปกี่ครั้งกี่หนก็ตาม


ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า จิตเป็นสภาพธรรมที่ไม่ได้ดับตายหายสูญไปไหน
พระพุทธองค์ทรงระลึกพระชาติได้ทุกพระชาติ
ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่เป็นการแสดงให้เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่า
จิตดวงเดียวกันนี้ ที่เป็นผู้เวียนว่ายเข้าไปสู่ภพน้อยใหญ่อันยาวนานนับไม่ถ้วน
ถ้าเป็นจิตคนละดวงเสียแล้ว
พระองค์จะทรงระลึกพระชาติ ที่จิตดวงอื่น ที่ดับได้ด้วยหรือ?



อย่างบทความข้างล่างนี้ ก็เป็นการกล่าวขัดแย้งกับพระพุทธวจนะ
แถมยังกล่าวร้ายพระพุทธพจน์ให้เสียหายว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ชื่อว่าสัสสตทิฐิ

ใครกันแน่ที่เป็นมิจฉาทิฐิ ชื่อว่าสัสสตทิฐิ

แถมยังเปรียบเทียบเกิด-ตายของจิตเป็นเช่นปูเสฉวน
โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบว่าเป็นไปได้มั้ย?

ในเมื่อปูเสฉวนเป็นสัตว์ที่มีธรรมชาติต้องอาศัยเปลือกหอย
เป็นที่อาศัยและป้องกันตัวเท่านั้น
เมื่ออาศัยเปลือกนั้นไม่ได้เสียแล้ว
ก็ต้องหาที่อาศัยใหม่(เปลือกใหม่)ที่เหมาะสมกับตัวเองเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าปูเสฉวนนั้นตายแล้วกลับมาเกิดเป็นปูเสฉวนอีกเสียเมื่อไหร่หละ?

ความเข้าใจที่ผิดแล้วเปรียบจิตกับปูเสฉวนนี้สิ
จึงจะเป็นมิจฉาทิฐิฝ่ายสัสสตทิฐิ

ส่วนที่มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบางท่านกล่าวเปรียบ"ปูเสฉวน"นั้น
ในความหมายของท่านหมายถึงจิตที่ไม่มีวันตายหายสูญไปไหน
มีแต่การเปลี่ยนแปลงภพชาติไปใหม่ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในภพน้อยใหญ่
เหมือนปูเสฉวนที่เที่ยวเปลี่ยนเปลือกไปใหม่เรื่อยตามเวลาที่เหมาะสม

เช่นเดียวกับคนเราที่มีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยบ่อยไป
บางคนเปลี่ยนที่อยู่เป็นว่าเล่น แบบนี้ คนนั้นก็เป็นสัสสตทิฐิด้วยสิ คิดไปได้

นี่แหละผลของการดูจิตที่ติดอยู่แค่อาการของจิต
จึงคิดได้เพียงเท่านี้เองครับ....

ธรรมภูต


-------------------------------------------------------

นี่คือตัวอย่างบทความที่ขัดแย้งกับพระพุทธวจนะ
แถมยังกล่าวร้ายพระพุทธพจน์ให้เสียหายว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ชื่อว่าสัสสตทิฐิ

ใครกันแน่ที่เป็นมิจฉาทิฐิ ชื่อว่าสัสสตทิฐิ

แถมยังเปรียบเทียบเกิด-ตายของจิตเป็นเช่นปูเสฉวน
โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบว่าเป็นไปได้มั้ย???
v
V
...พวกนึงคือจิตเที่ยง ร่างกายตายไปแล้วจิตออกจากร่างหนีไปเกิดใหม่
เนี่ยพวกเราชอบเชื่ออย่างนี้เยอะนะ นี่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ชื่อว่าสัสสตทิฏฐิ
เป็นมิจฉาทิฏฐินะ ตายไปแล้วจิตวิญญาณดวงนี้ออกจากร่างไปเกิดใหม่
ใครรู้จักปูเสฉวนมั่ง รู้จักมั้ย มันออกจากหอยใช่มั้ย
ออกจากเปลือกหอยอันนึงไปอยู่เปลือกหอยอีกอันนึง
เราคิดว่ามันปูตัวเดิม จิตของเรานี่ดวงเดิม เหมือนออกจากร่างนี้ไปเข้าร่างนี้
อันนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธนะ นี่เป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่งซึ่งพวกเราเป็นเยอะ
ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะแล้วจะคิดว่า นี่แหละ เราเป็นชาวพุทธเชื่อเวียนว่ายตายเกิด
เวียนว่ายตายเกิดของพุทธไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดแบบปูเสฉวนนะ
ถอดจากร่างนี้ไปร่างนั้น มันเกิดดับตลอดเวลา
จิตดวงหนึ่งเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ
จิตใจอัตภาพร่างกายนี้เกิดแล้วดับไป
เกิดจิตอีกดวงนึงในร่างกายใหม่
คนละดวงกัน ไม่ใช่ดวงเดิม แต่มันสืบเนื่องกันไป

------------------------------------------------------




Create Date : 22 กันยายน 2552
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:32:31 น.
Counter : 987 Pageviews.

11 comments
  
อ์ม ....
โดย: นมสิการ วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:8:06:51 น.
  
ยากน่ะ เรื่องนี้ ให้อ่านร้อยเที่ยวพันเที่ยว ผมก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยระดับปัญญาปัจจุบัน

ไม่รู้ถูกหรือผิดละ ผมเข้าใจว่า ปุถุชน ทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีมิจฉาทิฏฐิ โดยเฉพาะสัตตทิฏฐิ ที่กล่าวถึงข้างต้น ถ้าละสักกายทิฏฐิ ไม่ได้เสียแล้วจะเข้าใจจริง ๆ ได้อย่างไรว่า จิตนี้ไม่ใช่เรา กายนี้ก็ไม่ใช่เรา

ผิดก็ช่วยแก้ ถูกก็ช่วยย้ำให้ด้วยน่ะครับ

--------------------

เจริญธรรมครับผม

โดย: สารนาถ (XeRaMos ) วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:9:32:06 น.
  
ขออนุโมทนากับคุณธรรมภูติ ในความเพียรที่กล่าวแ้ก้ผู้กล่าวตู่ในพุทธศาสนาค่ะ
เพราะท่านเคยกล่าวกับมารที่อยากให้ท่านปรินิพพานไปเร็วๆ ว่า
"มารเอย เมื่อใดที่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถแก้คำกล่าวตู่ในคำสอนของเราได้ เมื่อนั้นเราจักปรินิพพาน"

ส่วนละสักกายทิฐิ นั่นก็อีกเรื่อง เพราะต้องทำความเพียร ทำความสงบจนจิตสงบตั้งมั่นมีสมาธิ แล้วจิตออกวิปัสสนาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม จนปล่อยวางด้วยปัญญาญาณได้ในที่สุด

แต่ในเบื้องแรกนักปฏิบัติต้องเข้าใจก่อนว่าจิตมีดวงเดียว สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติไปตามแรงบุญแรงกรรม เมื่อร่างกายนี้ตายไปก็แสวงหาที่เกิดใหม่ตามวาสนาที่ได้ทำไว้

ไม่ใช่เกิดดับ เกิดดับ เพราะนี่เป็นแค่อาการของจิต มัวแต่หลงไปดูอาการของจิต ก็ไม่มีวันเข้าถึงตัวจิต ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของก๋งอวิชชา ที่พาเราเวียนเกิดเวียนตาย

ขืนดูแบบนี้ ไม่ว่ากี่ร้อยกี่พันชาติ กี่ล้านปีแสง ก็ไม่มีวันได้สัมผัสมรรคผลแม้ปลายก้อย เพราะอวิชชามันนอนยิ้มอยู่ในจิตนั่นแหละ
โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.176 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:11:53:55 น.
  
ยากน่ะ เรื่องนี้ ให้อ่านร้อยเที่ยวพันเที่ยว ผมก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยระดับปัญญาปัจจุบัน

ไม่รู้ถูกหรือผิดละ ผมเข้าใจว่า ปุถุชน ทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีมิจฉาทิฏฐิ โดยเฉพาะสัตตทิฏฐิ ที่กล่าวถึงข้างต้น ถ้าละสักกายทิฏฐิ ไม่ได้เสียแล้วจะเข้าใจจริง ๆ ได้อย่างไรว่า จิตนี้ไม่ใช่เรา กายนี้ก็ไม่ใช่เรา
ผิดก็ช่วยแก้ ถูกก็ช่วยย้ำให้ด้วยน่ะครับ
--------------------
เจริญธรรมครับผม
โดย: สารนาถ (XeRaMos ) วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:9:32:06 น

**************
ท่านสารนาทครับ
ผมว่าที่เขียนบทความให้อ่าน เป็นคำพูดพื้นๆทั่วไปน่าจะพอเข้าใจได้นะครับ
ถ้าท่านสงสัยในส่วนไหนถามมาได้ ผมยินดีที่จะตอบให้เข้าใจครับ

ส่วนพวกเราชาวพุทธนั้น โดยมากเป็นทิฐิที่ถูกต้อง(กลางๆ) ถึงจะยังไม่ถึงขั้นสัมมาทิฐิก็ตาม
ต่อเมื่อเราปฏิบัติสัมมาสมาธิ จนกระทั่งจิตรู้เห็นตามความเป็นจริง(สัมมาทิฐิ)
แต่ก็ไม่เป็นสัสสตทิฐิครับ เพราะเราเชื่อว่าถ้ายังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์
เราก็ยังต้องเกิด-ตายไปตามผลแห่งกรรมดี กรรมชั่ว ที่เราทำอยู่พาไปเกิดครับ

ผมว่าคนส่วนใหญ่ได้แต่เชื่อ โดยไม่เคยใช้เหตุผลในการพิจารณาให้ดี
ถ้าจิตไม่ใช่เรา แล้วจิตเป็นของใครหละครับ? จิตใช่ธาตุรู้มั้ยครับ?
อย่าลืมนะครับว่า จิตไม่ใช่เราแล้ว กรรมดี กรรมชั่วที่เราทำบันทึกลงที่ไหนครับ? ถ้าไม่ใช่บันทึกลงที่จิต

ฉนั้นคำว่าสัตว์โลก(ผู้ข้องในอารมณ์)ย่อมเป็นไปตามกรรมก็ผิดสิครับ?
ถ้าเราปฏิเสธจิตไม่ใช่ของเรา กรรมดี กรรมชั่ว ที่เราทำเราก็ไม่ต้องรับสิครับ?
ในอนัตตลักขณสูตร เพียงปฏิเสธเฉพาะขันธ์๕ว่าไม่ใช่ของเรานะครับ
แต่ไม่ได้ปฏิเสธจิต ว่าไม่ใช่ของเรา มีแต่กล่าวไว้ว่า
จิตก็หลุดพ้นจากการยึดถืออุปทานขันธ์๕ครับ

มีพระพุทธพจน์รับรองไว้ในหลายที่ครับ
"เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว"
"ดูก่อนผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่เห็นอยู่"

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:17:01:14 น.
  
จริง ๆ แล้วมันไม่มี "เรา" หรือเปล่าครับ? พอมันมี "เรา" ก็เลยพยายามหา "จิตของเรา"

แล้ว ศัพท์ว่า วิญญาณ ใน ขันธ์ 5 ไม่ได้หมายถึง จิต เหรอครับ?

ผมก็เลยงงที่ท่าน ธรรมภูติบอกว่า "ในอนัตตลักขณสูตร เพียงปฏิเสธเฉพาะขันธ์ ๕ ว่าไม่ใช่ของเรานะครับ
แต่ไม่ได้ปฏิเสธจิต ว่าไม่ใช่ของเรา มีแต่กล่าวไว้ว่า
จิตก็หลุดพ้นจากการยึดถืออุปทานขันธ์ ๕ ครับ"

"ปฏิเสธเฉพาะขันธ์ ๕ ว่าไม่ใช่ของเรานะครับ
แต่ไม่ได้ปฏิเสธจิต ว่าไม่ใช่ของเรา"

ทั้งที่ จิต ก็มีอยู่ในขันธ์ 5 นั้นเอง (หรือเปล่า)

ก็สงสัยไปเรื่อย ๆ อะครับผม
ผิดก็ช่วยแก้ ถูกก็ช่วยย้ำให้ด้วยน่ะครับ
------------------------------------------
เจริญธรรมครับ


โดย: สารนาถ IP: 124.120.46.198 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:11:27:02 น.
  
ขออนุญาตแสดงคคห จิต ไม่ใช่ วิญญาณ(ขันธ์)

จิต คือ วิญญาณธาตุ(ธาตุรู้) ไม่ใช่ วิญญาณขันธ์

จิตมีดวงเดียว เป็นธาตุรู้ มีจิตที่ไหน มีรู้ที่นั่น

วิญญาณขันธ์ มี ๖ วิญญาณขันธ์เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕
เป็นอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์



รูปกายมนุษย์ ประกอบด้วยธาตุ ๖ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณธาตุ(ธาตุรู้=จิต)
เพราะมีธาตุรู้(จิต) รูปกายมนุษย์จึงรู้อะไรได้

ต่างจากรูปชนิดอื่นที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ )
ไม่มีธาตุรู้(จิต )ดังนั้นรูปชนิดอื่นจึงรู้อะไรไม่ได้
เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย ต้นไม้ ใบหญ้าฯลฯ


รูปกายมนุษย์ มีอายตนะภายใน ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
เป็นช่องทางของจิต ในการรับรู้อารมณ์
(รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธรรมารมณ์)

จิต รับรู้ อารมณ์(รูป)
โดยอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
และอายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ธรรมารมณ์)
ผัสสะกันเป็นคู่... ทำให้เกิด วิญญาณ ๖ การรับรู้อารมณ์
คือ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก
วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางใจ

ทำให้เกิด เวทนา สัญญา สังขาร ตามมา
ครบ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (อารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์)

ณ วันหนึ่งๆ จิตของเราปรุงแต่ง เกิดขันธ์ ๕
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตลอดเวลา

จิตรู้และรับ(ยึดถือ)เรื่องที่รู้(อารมณ์นั้นๆ)ตลอดเวลา
จึงต้องปฏิบัติสัมมาสมาธิ ตามเสด็จ
เพื่อจะได้รู้อยู่ที่รู้ ไม่ไปรู้อยู่ที่เรื่อง

ยินดีในธรรมทุกๆท่านครับ

โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:9:13:16 น.
  
จริง ๆ แล้วมันไม่มี "เรา" หรือเปล่าครับ? พอมันมี "เรา" ก็เลยพยายามหา "จิตของเรา"
แล้ว ศัพท์ว่า วิญญาณ ใน ขันธ์ 5 ไม่ได้หมายถึง จิต เหรอครับ?
เจริญธรรมครับ
โดย: สารนาถ IP: 124.120.46.198 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:11:27:02 น.
**************
ท่านสารนาถครับ

ผมขออรรถาธิบายในส่วนคำว่า "จิตของเรา"ให้เป็นที่เข้าใจนะครับ
ในปัจจุบันนี้ผู้ที่ศึกษาธรรมะใหม่ย่อมกลัวคำว่าของเรา ของตน ของเขาฯลฯ
เพราะโดนผู้สอนขู่ไว้ว่า ถ้าไม่เชื่อตามที่เค้าพูดจะเป็นมิจฉาทิฐิ จึงทำให้กลัวครับ
โดยตามความเป็นจริงแล้ว เป็นสมมุติบัญัญัติที่ตั้งขึ้นมาไว้เรียกกันเท่านั้นคือมีไว้ใช้นั่นเอง

แต่ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่มีไว้ใช้เท่านั้น แต่กับไปยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่น
ชนิดเป็นตัวกูของกู ตัวเขาของเขา ตัวตนของตนฯลฯไย่อมปล่อยวางลงได้เลย

เมื่อเรา(มีเราอีกแล้ว)มาฝึกฝนอบรมปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
จนกระทั่งละวางความยึดมั่นถือมั่นลงได้แล้วว่า สิ่งทั้งปวง(ขันธ์๕)ไม่ใช่ตัวกูของกู ตัวเราของเราฯลฯ
เมื่อเรา(มีเราอีกแล้ว)ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสมมุติบัญญัติลงได้แล้วก็จริง

แต่เรา(มีเราอีกแล้ว) ก็ยังต้องใช้คำสมมุติเหล่านั้น ไว้เพื่อสื่อสารกันให้เข้าใจกันอีกใช่มั้ยครับ???
ตัวอย่างเช่น "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"
แม้พระพุทธองค์ผู้ทรงสัพพัญญูญาณยังต้องใช้คำสมมุติบัญญัติเพื่อสื่อสารกันเลยให้เข้าใจ

สรุปว่า "สมมุติบัญญัติ"นั้นมีไว้ให้ เพื่อใช้เท่านั้น ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้ยึด อยากได้หรือไม่อยากได้ก็ตาม
เมื่อจิตของเรา(มีเราอีกหละ)บรรลุธรรมแล้ว ก็ย่อมต้องเป็นจิตของเราบรรลุธรรมจะเป็นของใครอื่นไปไม่ได้
ถ้าจิตของเรา(ของเราอีกหละ)ไม่บรรลุธรรม ก็ย่อมต้องเป็นของเราที่ไม่บรรลุธรรมอยู่ดีครับ

ส่วนวิญญาณในขันธ์๕ ไม่ได้หมายถึงจิต แต่หมายถึงอาการของจิตเท่านั้น อย่าสับสนครับ
ท่านหนูเล็กนิดเดียว ก็อรรถาอธิบายได้กระจ่างแจ้งแล้วนะครับ ผมคงไม่ต้องอรรถาธิบายเพิ่มเติ่มครับ....

เจริญในธรรมครับ

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:10:01:09 น.
  
ขอแสดงความเห็นครับ

มิจฉาทิฐิที่ชื่อ สัสสตทิฐิ แล้วพระท่านไปเปรียบเทียบกับปูเสฉวนนั้น ผมว่า ก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลยครับ
เพราะคำกล่าวนั้นหมายถึง
คนที่มีความเชื่อผิดๆว่า "ถ้าตายแล้ว ไอ้จิตดวงเดิมที่มันตั้งเด่อยู่ทนโท่เนี่ย มันจะถอดออกจากร่าง แล้วลอยไปปฏิสนธิใหม่ในภพภูมิต่างๆ"
ความคิดแบบนี้ก็เป็นมิจฉาทิฐิอยู่แล้วนี่ครับ
เพราะอะไร...
ก็เพราะยังเห็นว่า "จิตเที่ยง" หรือ "จิตเป็นดวงเดิมตลอดกาล จะกี่ภพกี่ชาติก็ยังดวงนี้อยู่" อันนี้เป็นความเห็นผิดล้านเปอร์เซนต์ครับ (ตามความคิดผมนะครับ)
หากจะให้อ้างครูบาอาจารย์สายวัดป่าก็ได้ครับ
เช่น หลวงปู่หล้า (ภูจ้อก้อ)
ท่านเคยกล่าวไว้เลยว่า
"ผู้ใดเห็นว่าจิตเที่ยง ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่"

ความจริงแล้ว จิตนั้นเกิดและดับตลอดเวลาจริงๆนะครับ
เราไม่สามารถจับจิตมาพิสูจน์ในห้องทดลองได้ ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คนจำนวนมากไม่เชื่อว่า จิตนั้นมันเกิด-ดับสืบเนื่องกันจริงๆ
แต่ถ้าฝึกดูจิตดูใจจริงๆแล้วนั้น จะเห็นเลยครับว่า จิตนี้เกิดและดับอย่างบ้าระห่ำมากครับ คือยิ่งกว่าหลอดไฟนีออนที่มันหลอกตาเราว่าแสงมันคงที่อยู่อย่างนั้น ไม่ได้เกิด-ดับแต่อย่างใด ซึ่งความจริงเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเกิดดับตลอดเวลา
หรืออย่างการ์ตูนที่เราดู ความจริงมันก็แค่ภาพที่มันเกิด-ดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็วเท่านั้น หาได้มีโดเรมอน โนบิตะจริงๆไม่
การเกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็วนี้เรียกว่า
"สันตติ" ครับ
หากใครทำสัมมาสมาธิได้ลึกๆจนถึงระดับฌานแล้วคลายสมาธิออก มีจิตผู้รู้แยกออกมาต่างหากอย่างชัดเจนแล้ว ก็จะเห็นได้เลยครับว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับจริงๆครับ ไม่เฉพาะแค่จิตเท่านั้น
การมีสติตามรู้กายก็เช่นกันครับ (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ถ้ามีจิตผู้รู้ตั้งมั่นจริงๆ จะเห็นร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวหรืออื่นๆนั้น มันเกิดดับเป็นช็อตๆเลยทีเดียว
และถ้าดูจิต (คำว่า "ดูจิต" ในที่นี้เป็นคำเฉพาะในแวดวงผู้ที่เจริญสติปัฏฐานในหมวด เวทนา จิต และธรรม ครับ) อย่างถูกต้องไปถึงจุดหนึ่งนั้น จะเกิดภาวะหนึ่งที่เรียกว่า "สันตติขาด" ซึ่งหมายถึง จิตสามารถมองเห็นความเกิดดับสืบเนื่องกันของจิตนั้นเองได้ ถ้าดูได้ถึงตรงนี้แล้วจะเริ่มเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว "ตัวเราไม่มี" ตัวเราไม่เคยมีในกายในใจนี้ ตัวเราไม่เคยมีนอกเหนือจากกายจากใจนี้เลย เพราะมันเป็นเพียงแค่สภาวะธรรมที่เกิดดับสืบเนื่องต่อกันไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง

แต่ถ้ายังเห็นว่าจิตนี้มีดวงเดียวโด่ๆ แสดงว่ายังเห็นว่า
"จิตนี้เป็นตัวเรา" อยู่ หรือ
"จิตนี้เที่ยงแท้ถาวร"
ซึ่งก็จะกลายเป็นการขัดกับหลักไตรลักษณ์โดยทันที
ผู้ใดยังเห็นจิตเป็นตัวเราอยู่ ผู้นั้นยังไม่ใช่พระโสดาบันครับ
ความเห็นที่ว่า จิตเป็นตัวเรานี้ มีมาก่อนพุทธกาลแล้วครับ และพระพุทธเจ้าก็ยังตรัสเอาไว้ว่า ปุถุชนที่ไม่ได้สดับฟังคำสอนของเราตถาคตก็สามารถเห็นว่า กายนี้ไม่ใช่เราได้
แต่มีในพุทธศาสนานี้ "เท่านั้น" ครับที่สอนจนถึงว่า "จิตนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา" ครับ

และอีกเรื่องหนึ่งคือ คำสอนเรื่องการตายแล้วจิตถอดออกจากร่างไปเกิดใหม่นั้น มีให้เห็นในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแล้วครับ แต่ไม่ใช่ในศาสนาพุทธ

เรื่องอื่นๆผมไม่มีปัญญาจะแย้งครับ เพราะ ต้องรีบภาวนาแข่งกับความตายครับ

มิได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นความเห็นของใครนะครับ แต่เป็นเพียงการแสดงทัศนะหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ต้องการชวนเชื่อ แต่ต้องการเชิญชวนให้ลองพิสูจน์ดูด้วยตนเองครับ

ด้วยความเคารพ
โดย: สมมติสัจจะ IP: 61.90.92.149 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:26:03 น.
  
ขอแสดงความเห็นครับ

มิจฉาทิฐิที่ชื่อ สัสสตทิฐิ แล้วพระท่านไปเปรียบเทียบกับปูเสฉวนนั้น ผมว่า ก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลยครับ
เพราะคำกล่าวนั้นหมายถึง
คนที่มีความเชื่อผิดๆว่า "ถ้าตายแล้ว ไอ้จิตดวงเดิมที่มันตั้งเด่อยู่ทนโท่เนี่ย มันจะถอดออกจากร่าง แล้วลอยไปปฏิสนธิใหม่ในภพภูมิต่างๆ"
ความคิดแบบนี้ก็เป็นมิจฉาทิฐิอยู่แล้วนี่ครับ
เพราะอะไร...
ก็เพราะยังเห็นว่า "จิตเที่ยง" หรือ "จิตเป็นดวงเดิมตลอดกาล จะกี่ภพกี่ชาติก็ยังดวงนี้อยู่" อันนี้เป็นความเห็นผิดล้านเปอร์เซนต์ครับ (ตามความคิดผมนะครับ)
หากจะให้อ้างครูบาอาจารย์สายวัดป่าก็ได้ครับ
เช่น หลวงปู่หล้า (ภูจ้อก้อ)
ท่านเคยกล่าวไว้เลยว่า
"ผู้ใดเห็นว่าจิตเที่ยง ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่"

โดย: สมมติสัจจะ IP: 61.90.92.149 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:26:03 น.
...................................
ท่านสมมติสัจจะครับ
ท่านจะพูดอะไรมั่วๆตามใจชอบ กรุณาเกรงใจคนอ่านบ้าง

ที่ท่านพระอาจารย์หลวงปู่หล้ากล่าวไว้ถูกต้องแล้วว่า
"ผู้ใดเห็นว่าจิตเที่ยง ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่"
แสดงว่าท่านไม่รู้จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ที่พระอาจารย์หลวงปู่หล้า ท่านชี้ให้เห็นว่า
"ใครที่เห็นว่าจิตเที่ยง เกิดกี่ภพกี่ชาติก็เป็นปูเสฉวนอยู่อย่างนั้น เป็นพวกมิจฉาทิฐิ"
เห็นว่าโลกเที่ยง สัตว์โลก(ผู้ข้องในอารมณ์) ที่เคยเกิดเป็นอะไร
เมื่อตายล่วงไปแล้ว เกิดขึ้นมาใหม่ ก็ยังคงเป็นอย่างเดิมทุกภพทุกชาติ
นี่หละเรียกว่า "จิตเที่ยง" ตามนัยยะที่พระอาจารย์หลวงปู่หล้าท่านกล่าวไว้

ท่านครับ เวลาตายต้องถอดจิตด้วยหรือ??? ไม่ต้องถอดเถิดอะไรทั้งนั้นหละ
เมื่อถึงกาละอันควร จิตก็ต้องไปเกิดในภพภูมินั้นๆ ด้วยอำนาจแห่งกรรมพาไปใช่มั้ย???

ถ้าไม่ใช่จิตดวงเดิมที่ครอบครองรูปร่างกายอันนั้นไว้ ไปเกิดตามภพภูมิต่างๆด้วยอำนาจกรรมแล้ว
จะให้เป็นจิตดวงไหนอีกหละ??? เลิกฝันไป คิดเอง เออเองได้แล้ว

ใครที่เห็นว่าจิตมีการเกิดดับตลอดเวลา เป็นดวงใหม่อยู่เสมอๆ ถามว่ากรรมดีกรรมชั่วบันทึกที่ดวงไหน???
ใครที่มีความเห็นเช่นที่กล่าวข้างต้นนี้
เป็นมิจฉาทิฐิล้านเปอร์เซนต์ ก็เพราะไม่ต้องใช้กรรมเก่านั่นเอง

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:29:29 น.
  
ความจริงแล้ว จิตนั้นเกิดและดับตลอดเวลาจริงๆนะครับ
เราไม่สามารถจับจิตมาพิสูจน์ในห้องทดลองได้ ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คนจำนวนมากไม่เชื่อว่า จิตนั้นมันเกิด-ดับสืบเนื่องกันจริงๆ
แต่ถ้าฝึกดูจิตดูใจจริงๆแล้วนั้น จะเห็นเลยครับว่า จิตนี้เกิดและดับอย่างบ้าระห่ำมากครับ คือยิ่งกว่าหลอดไฟนีออนที่มันหลอกตาเราว่าแสงมันคงที่อยู่อย่างนั้น ไม่ได้เกิด-ดับแต่อย่างใด ซึ่งความจริงเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเกิดดับตลอดเวลา
หรืออย่างการ์ตูนที่เราดู ความจริงมันก็แค่ภาพที่มันเกิด-ดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็วเท่านั้น หาได้มีโดเรมอน โนบิตะจริงๆไม่
การเกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็วนี้เรียกว่า
"สันตติ" ครับ
หากใครทำสัมมาสมาธิได้ลึกๆจนถึงระดับฌานแล้วคลายสมาธิออก มีจิตผู้รู้แยกออกมาต่างหากอย่างชัดเจนแล้ว ก็จะเห็นได้เลยครับว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับจริงๆครับ ไม่เฉพาะแค่จิตเท่านั้น
การมีสติตามรู้กายก็เช่นกันครับ (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ถ้ามีจิตผู้รู้ตั้งมั่นจริงๆ จะเห็นร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวหรืออื่นๆนั้น มันเกิดดับเป็นช็อตๆเลยทีเดียว
และถ้าดูจิต (คำว่า "ดูจิต" ในที่นี้เป็นคำเฉพาะในแวดวงผู้ที่เจริญสติปัฏฐานในหมวด เวทนา จิต และธรรม ครับ) อย่างถูกต้องไปถึงจุดหนึ่งนั้น จะเกิดภาวะหนึ่งที่เรียกว่า "สันตติขาด" ซึ่งหมายถึง จิตสามารถมองเห็นความเกิดดับสืบเนื่องกันของจิตนั้นเองได้ ถ้าดูได้ถึงตรงนี้แล้วจะเริ่มเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว "ตัวเราไม่มี" ตัวเราไม่เคยมีในกายในใจนี้ ตัวเราไม่เคยมีนอกเหนือจากกายจากใจนี้เลย เพราะมันเป็นเพียงแค่สภาวะธรรมที่เกิดดับสืบเนื่องต่อกันไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง

แต่ถ้ายังเห็นว่าจิตนี้มีดวงเดียวโด่ๆ แสดงว่ายังเห็นว่า
"จิตนี้เป็นตัวเรา" อยู่ หรือ
"จิตนี้เที่ยงแท้ถาวร"
ซึ่งก็จะกลายเป็นการขัดกับหลักไตรลักษณ์โดยทันที
ผู้ใดยังเห็นจิตเป็นตัวเราอยู่ ผู้นั้นยังไม่ใช่พระโสดาบันครับ
ความเห็นที่ว่า จิตเป็นตัวเรานี้ มีมาก่อนพุทธกาลแล้วครับ และพระพุทธเจ้าก็ยังตรัสเอาไว้ว่า ปุถุชนที่ไม่ได้สดับฟังคำสอนของเราตถาคตก็สามารถเห็นว่า กายนี้ไม่ใช่เราได้
แต่มีในพุทธศาสนานี้ "เท่านั้น" ครับที่สอนจนถึงว่า "จิตนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา" ครับ
และอีกเรื่องหนึ่งคือ คำสอนเรื่องการตายแล้วจิตถอดออกจากร่างไปเกิดใหม่นั้น มีให้เห็นในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแล้วครับ แต่ไม่ใช่ในศาสนาพุทธ
เรื่องอื่นๆผมไม่มีปัญญาจะแย้งครับ เพราะ ต้องรีบภาวนาแข่งกับความตายครับ
มิได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นความเห็นของใครนะครับ แต่เป็นเพียงการแสดงทัศนะหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ต้องการชวนเชื่อ แต่ต้องการเชิญชวนให้ลองพิสูจน์ดูด้วยตนเองครับ
ด้วยความเคารพ
โดย: สมมติสัจจะ IP: 61.90.92.149 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:26:03 น.
...................................
ท่านสมมติสัจจะครับ
ท่านพูดเอง เออเอง มั่วกันเองในคคห.ที่ลงอยู่นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ...
ที่พูดไว้ว่า

"หากใครทำสัมมาสมาธิได้ลึกๆจนถึงระดับฌานแล้วคลายสมาธิออก
มีจิตผู้รู้แยกออกมาต่างหากอย่างชัดเจนแล้ว ก็จะเห็นได้เลยครับว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับจริงๆครับ ไม่เฉพาะแค่จิตเท่านั้น"


แบบนี้ไม่เรียกว่าสับสนทางความคิดเห็น จะให้เรียกว่าอะไรดี เรียกว่า "เพ้อเจ้อ"ได้มั้ย???
อยู่ๆก็มีจิตผู้รู้แยกออกมาต่างหาก แสดงว่าต้องรู้อยู่ตลอดเวลาจึงเรียกว่าจิตผู้รู้ได้
ต่อมาก็เห็นเลยครับว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับจริงๆครับ" แสดงว่าจิตผู้รู้อยู่เห็นอยู่ตลอดเวลาว่าใช่มั้ย???

สิ่งต่างๆหรือทุกสิ่งทุกอย่างหรืออารมณ์ทั้งหลายเกิดดับจริงๆ
ถ้าจิตผู้รู้เกิดดับไปตามสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วย จะบอกได้มั้ยว่ารู้อยู่เห็นอยู่ตลอดเวลา??? ไม่ได้
ที่เกิดดับตามไปด้วยนั้น เป็นเพียงอาการของจิตที่แสดงออกไปตามอารมณ์เหล่านั้น ไม่ใช่จิตผู้รู้สักหน่อย
ถ้าจิตผู้รู้เกิดดับตามไปด้วย แสดงว่าที่พูดมาให้ฟังหมดนี้เป็นการเดาสวดเอาเองทั้งหมดนะซิ

ในคนทุกๆคน ย่อมมีจิตผู้รู้คนละดวงใช่มั้ย??? ถ้าใช่ จะไม่ให้เป็นจิตผู้รู้ของเราจะให้เป็นจิตผู้รู้ของใครหละ???
อย่าบอกนะว่าไม่มีของใคร? ถ้าไม่มีของใคร ทำกรรมไว้ก็ไม่ต้องรับกรรมสิ? เลิกมั่วได้แล้ว

เรื่องอื่นๆผมไม่มีปัญญาจะแย้งครับ เพราะ ต้องรีบภาวนาแข่งกับความตายครับ

ท่านครับ ท่านจะรีบภาวนาไปหาสวรรค์วิมานอะไรหละ ในเมื่อท่านคิดเองว่าอะไรๆก็ไม่มี ไม่เที่ยงทั้งนั้น
จะภาวนาแข่งกับความตายไปเพื่อหาประโยชน์อะไร??? ในเมื่ออะไรๆก็ไม่มี ไม่เที่ยงทั้งสิ้น
ท่านจะภาวนาเพื่อหาอมตะธรรม(ธรรมอันไม่ตาย) หรือความไม่มีอะไรที่เที่ยง???
ถามว่าอมตะธรรมเที่ยงหรือไม่เที่ยงหละ???

แล้วที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"
เราคือใคร จิตหรือพระวรกายของพระองค์
โลกุตรธรรมที่เห็น ตั้งลงที่ไหนถ้าไม่ใช่ตั้งลงที่โลกุตรจิต

อยากจะรู้อะไร ควรศึกษาให้ถ่องแท้ก่อน ไม่ใช่หลับหูหลับตาเชื่ออย่างงมงายเท่านั้น

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:12:17 น.
  
แต่ต้องการเชิญชวนให้ลองพิสูจน์ดูด้วยตนเองครับ
......................................................................

โอ...เราพิสูจน์มาตั้งนานแล้วล่ะ เห็นผลเรียบโร้ย...แต่ไม่เอา
เลิกแล้ว เพราะบุญช้อนขึ้นไปพบธรรมแท้ พระแท้ ได้เรียนวิธีเพื่อการพ้นทุกข์ที่แท้ โชคดีจริงๆ

ที่ผ่านมาเค้าเรียกหลงโง่ หลงผิด เออ-ออ-ห่อ-หมก ตามืดบอด
เพราะต้องใช้กรรม...
โดย: พุทโธ IP: 124.120.219.177 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:02:21 น.

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์