==== ก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่อยากจะเป็นสามี และ เป็นพ่อให้ได้ดีกว่าที่เคยเป็นเมื่อวาน ====
Group Blog
 
All Blogs
 
ยาสมาธิสั้นทำให้เด็กตายเฉียบพลัน - ข้อเท็จจริงที่ถูกบิดเบือน

บทความนี้คัดลอกมาจาก ชมรมผู้ปกครองบุคคลสมาธิสั้น เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของการขาดประสิทธิภาพและเงื่อนงำในการบริหารงานที่มีผลประโยชน์ซ้อนเร้นของอย. ผมเองในฐานะของพ่อคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้โดยตรง จึงอยากนำเอาข้อเท็จจริงนี้มาเผยแพร่เพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป

=========================

ยาสมาธิสั้นทำให้เด็กตายเฉียบพลัน - ข้อเท็จจริงที่ถูกบิดเบือน


โดย ผศ.นพ.ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร
หน่วยจิตเวชเด็ก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


จากการแถลงข่าวของนพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่า "การใช้ยาสมาธิสั้นมีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุในเด็ก ซึ่งองค์การอาหารและยาสหรัฐ (USFDA) มีความวิตกกังวลกับเรื่องนี้มาก ถึงขั้นอาจห้ามใช้ยานี้” โดยอ้างถึงรายงานจากวารสารทางการแพทย์ ข้อมูลดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกกับผู้ปกครองจำนวนมากเพราะกลัวว่าบุตรหลานที่ทานยาอยู่จะได้รับอันตรายถึงตาย ผู้เขียนจึงได้ไปอ่านทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องและขอเล่าให้ฟังดังนี้

วิจัยที่ว่านี้เป็นของ Madelyn Gould ซึ่งตีพิมพ์ใน American Journal of Psychiatry ฉบับเดือนมิถุนายน 2552 วิธีการวิจัยโดยสรุปก็คือผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลย้อนหลังของเด็กที่ตายเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ (unexplained sudden death) ระหว่างปี 2528-2539 เด็กกลุ่มนี้สืบค้นต่อมาบางรายพบสาเหตุตายในภายหลัง สุดท้ายจึงเหลือเด็กที่ไม่พบสาเหตุตายจริง ๆ อยู่ 564 คน

ผู้วิจัยไปหากลุ่มควบคุมมาเปรียบเทียบ โดยกลุ่มที่เลือกมาคือเด็กที่ตายจากอุบัติเหตุจราจรจำนวน 564 คนเท่ากัน ผลการเปรียบเทียบคือกลุ่มที่ตายไม่ทราบสาเหตุ 564 คน มีอยู่ 10 คนที่มีประวัติกินยารักษาโรคสมาธิสั้นในกลุ่ม Stimulants ในขณะที่กลุ่มที่ตายจากอุบัติเหตุมี 2 คนจาก 564 คนที่กินยานี้ จำนวนเด็กที่กินยาของ 2 กลุ่มแม้จะต่างกันแค่ 8 คน แต่โดยทางสถิติคำนวณออกมาแล้วปรากฏว่ามีนัยสำคัญ จึงสรุปผลการวิจัยว่ายาสมาธิสั้นมีความสัมพันธ์กับการตายแบบเฉียบพลันของเด็ก

วิจัยดังกล่าวเคยสร้างความตื่นตระหนกในสหรัฐมาพักหนึ่งในช่วงที่ลงตีพิมพ์ใหม่ ๆ แต่พอฝรั่งตั้งสติกันได้ทุกอย่างก็สงบ

สิ่งที่ทำให้วิจัยดังกล่าวอาจไม่เป็นที่เชื่อถือนักเป็นเพราะวิธีการศึกษาที่ใช้การย้อนหลังไปเก็บข้อมูลในอดีต (Retrospective) ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนจากการจำผิดจำถูก (Recall bias) ได้สูง และที่สำคัญที่สุดคือตรรกะของผลที่ได้ เพราะการบอกว่า “เด็กตายมีประวัติกินยาสมาธิสั้น” ไม่ได้แปลว่า “เด็กกินยาสมาธิสั้นแล้วจะตาย”

กรณีวิจัยของ Gould นั้นสามารถสรุปผลได้เพียงว่าเด็กที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุนั้น มีคนที่กินยาสมาธิสั้นเยอะกว่าเด็กทั่วไป ซึ่งถ้าจะโต้แย้งกันจริง ๆ แล้ว เด็กกลุ่มนี้อาจจะกินอย่างอื่นเยอะกว่าเด็กทั่วไปด้วยก็ได้ เช่นกินขนมถุง กินองุ่น กินเกาลัด กินกล้วยทอด ฯลฯ (แต่คงไม่กินทุกอย่างเหมือนนักการเมืองหรือผู้บริหารบางองค์กร) เพียงแต่ผู้วิจัยไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ (เพราะคงไม่มีใครถามได้ครบว่าเด็กกินอะไรบ้าง)

แล้วคิดง่าย ๆ ว่าถ้าวิจัยของ Gould เป็นจริง อัตราตายเฉียบพลันที่ได้จากวิจัยนี้คือ 1.8% ถ้านำไปคำนวณต่อเทียบกับปริมาณเด็กที่ใช้หรือเคยใช้ยานี้ซึ่งมีจำนวนมหาศาลทั่วโลก เราคงได้เห็นเด็กล้มตายกันเป็นเบือมาตลอด 50 ปีที่มียานี้ใช้มา ซึ่งตรงข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง

วิธีหาคำตอบว่ากินยาสมาธิสั้นแล้วตายจริงไหมที่ดีกว่าการศึกษาที่อย.นำมาอ้างนั้น ที่จริงมีคนทำมาก่อนแล้ว เป็นคณะผู้เชี่ยวชาญที่ USFDA เชิญมาเป็นกรรมการ แถมยังตีพิมพ์ออกมาก่อนวิจัยของ Gould ซะด้วยซ้ำ โดยข้อสรุปสำคัญที่สุดจากกรรมการชุดนั้นในปี 2550 ก็คือจากการติดตามเด็กที่ทานยาสมาธิสั้นนั้น พบว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้มีความเสี่ยงของการตายเฉียบพลันแตกต่างไปจากเด็กปกติแต่อย่างใด (ซึ่งไม่ได้แปลว่าเด็กจะไม่มีโอกาสตายเฉียบพลัน แต่เด็กทั่วไป 100,000 คนมีโอกาสตายเฉียบพลันประมาณ 0.6-6 คน เด็กกินยาสมาธิสั้นก็โอกาสเท่ากัน)

ความตระหนกในสหรัฐเริ่มสงบลงเมื่อข้อมูลที่มีน้ำหนักมากกว่าเป็นที่รับทราบ ตัว USFDA เองก็เคยมีแถลงการณ์ตามมาว่าให้ระวังการแปลผลวิจัยของ Gould และผู้ปกครองที่มีลูกทานยาสมาธิสั้นอยู่ไม่ควรให้ลูกหยุดยาเพียงเพราะเชื่อผลวิจัยชิ้นนี้ (//www.medscape.com/viewarticle/704421)

ในเมื่อต่างประเทศเขาลดความกังวลกับประเด็นนี้ไปแล้ว แต่เหตุใดทางอย.ถึงเพิ่งนำวิจัยชิ้นนี้มากล่าวอ้างทั้งที่บทความก็ตีพิมพ์มาตั้งหลายเดือนแล้ว เหตุใดผู้บริหารอย.จึงเพิ่งมาออกข่าวเพื่อสร้างความตระหนกกับสาธารณชน ผู้เขียนนึกย้อนเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ปะติดปะต่อภาพได้ดังนี้

หลังจากที่มีการเปลี่ยนผู้บริหารอย.ใหม่ มีเหตุการณ์ยาสมาธิสั้นขาดตลาดมาแล้ว 2 รอบ รอบละ 2-3 เดือน ครั้งแรกคือเมื่อต้นปี 2552 ครั้งต่อมาคือปลายปีคือช่วงปัจจุบันนี้ แต่ละครั้งอย.เป็นผู้ต้องรับผิดชอบเต็ม ๆ เพราะทุกสถานพยาบาลต้องมาซื้อยาจากอย.เท่านั้น ถ้าอย.บริหารสต็อคไม่ดี รพ.ทุกที่ก็จะไม่มียาให้คนไข้ใช้

เมื่อยาขาดตลาดก็เริ่มมีกลุ่มผู้ปกครองที่เดือดร้อนร้องเรียนเข้ามาที่อย. มีการพาเด็กสมาธิสั้นเข้าไปขอความเห็นใจให้ช่วยเหลือ แต่เมื่อยายังขาดอีกก็เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ (หรือจะเรียกว่า “ด่า” ก็คงไม่ผิด) อย. ตามสื่อต่าง ๆ มากมาย โดยอย.พยายามแก้ตัวว่ายายังมีทั้งที่ยาหมดลามไปทั่วประเทศแล้ว

เมื่อไม่สามารถหายามากลบเสียงก่นด่าได้ทัน ยุทธวิธีที่น่าจะได้ผลก็คือทำให้ความต้องการลดลง คนจะได้เลิกเรียกร้องหายาเสียที เรื่องนี้อะไรจะดีไปกว่าการให้ข้อมูล “วิชาการ” กับสาธารณชน เราจึงได้เห็นผู้บริหารอย. ให้สัมภาษณ์สื่อว่ายาสมาธิสั้นมีฤทธิ์เสพติดและตามมาด้วยการแถลงข่าววิจัยว่ายาทำให้เด็กตาย ถ้าทำให้คนเชื่อเรื่องนี้ได้ใครจะอยากเรียกร้องหายาอีก

ผลพลอยได้อีกอย่างก็คืออย.จะเปลี่ยนจาก “ผู้ร้าย” กลายเป็น “พระเอก” ทันทีเพราะได้ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ปกป้องสวัสดิภาพของเด็ก ๆ จากยาสมาธิสั้นอันชั่วร้าย

แต่พระเอกเรื่องนี้ดูจะมีวิจารณญาณในการอ่านน้อยไปสักหน่อย จึงไปเอางานวิจัยที่เขาไม่ให้ราคาแล้วมากล่าวอ้าง ส่วนการให้ข่าวว่า USFDA กำลังพิจารณาว่าจะเพิกถอนยาชนิดนี้ยิ่งทำให้พระเอกของเราดูคล้ายจำอวดเข้าไปทุกที เพราะมีเด็กที่ทานยานี้เป็นล้าน ๆ คนในอเมริกา การจะระงับใช้ยานี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ แต่ไม่ว่าผู้เขียนจะค้นหาข่าวนี้อย่างไรก็ไม่เจอ เขียนอีเมล์ไปถามเพื่อนจิตแพทย์ทั้งไทย-เทศที่อยู่ในสหรัฐก็ไม่มีใครเคยได้ยิน หรือแม้แต่เมื่อเดือนที่แล้วที่ผู้เขียนและเพื่อนแพทย์เดินทางไปประชุมสมาคมจิตแพทย์อเมริกันด้วยตนเองก็ไม่เห็นมีใครพูดถึง ทำไมเรื่องใหญ่ระดับชาติของสหรัฐอเมริกาแต่กลับมีอย.ไทยรู้อยู่คนเดียว?

ผู้เขียนยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมอย.ถึงต้องมาเปิดแนวรบอันไร้ประโยชน์ตรงปลายทางเช่นนี้? ทำไมอย.ถึงไม่กลับไปที่จุดตั้งต้นของปัญหา แล้วทำภารกิจที่อย.พึงกระทำ เป็นภารกิจที่ผู้บริหารอย.ชุดก่อนหน้านี้ก็ทำได้ดีมาตลอดคือจัดซื้อยามาให้พอเพียง แล้วก็ขายยาให้สถานพยาบาลต่าง ๆ ไปจ่ายให้คนไข้ สถานพยาบาลส่งยอดมาก็ไปเตรียมซื้อยามาไว้ขายในรอบต่อไป ฟังดูก็เป็นงานที่แสนจะง่ายและตรงไปตรงมา

หรือเพราะว่าที่นี่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีการซื้อการขายวงเงินมหาศาล มีเปิดการประมูล มีการเปิดซอง มีการเซ็นเอกสารเปิดออร์เดอร์ มีนักการเมืองมาเกี่ยวข้อง หรือมีอะไรสารพัดที่ทำให้ท่านทำงานกันตรงไปตรงมาไม่ได้

ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ก็ให้คนอื่นที่เขาทำได้มาทำแทนเถอะครับ อย่ามัวแต่เล่นเกมโดยจับเอาประชาชนเป็นตัวประกันอย่างนี้ต่อไปอีกเลย


Create Date : 10 ธันวาคม 2552
Last Update : 10 ธันวาคม 2552 10:05:30 น. 2 comments
Counter : 1533 Pageviews.

 
น่ารักกันทั้งครอบครัวเลย ดีัใจค่ะที่ได้มาเจอบล็อกของคุณหมอ เพราะตัวเองมีลูกชายที่เป็นออทิสติก อย่างอ่อน แต่คุณพ่อเขาไม่ยอมรับ คิดแต่ว่าลูกเป็นเด็กเรียนรู้ช้าเท่านั้น ตัวเองรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลกนี้ แม้แต่คุณย่าเขาก็ไม่เชื่อจิตแพทย์ (คงเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก) เพราะมาอยู่ตางบ้านต่างเมืองด้วย กับคนไทยด้วยกันก็ให้รู้ไม่ได้ ปรึกษาพวกโซเชียลเวิร์คเกอร์ ก็ไม่เหมือนการยอมรับจากสามีของเราเองจริงไหมคะ


โดย: Apples in my eyes IP: 124.149.123.187 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:17:13 น.  

 
ตอบ Apples in my eyes - อ้อ ... ผมไม่ใช่คุณหมอนะครับ ไอคิวยังไม่ถึง อิอิ เป็นวิศว(กรรม)กรครับ เข้าใจคุณดีครับ ปกติผู้ชายจะยอมรับเรื่องแบบนี้ยาก แว๊บแรกเราผู้ชายจะคิดไว้ก่อนเลยว่า "เธอคิดมากไปเอง" เพราะในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงมีสัญชาติญาณระแวดระวังภัยให้ครอบครัวสูง ที่เรียกว่าจะมีสัมผัสที่หกนั่นแหละ ดังนั้นจึงรับรู้ความผิดปกติได้ก่อน (ซึ่งบางครั้งก็ผิด - false alarm) แต่ธรรมชาติก็ให้คุณสมบัติข้อนี้ผู้หญิงมา ออกแนวปลอดภัยไว้ก่อน คิดผิดระวังมากไปดีกว่าพลาดแค่หนเดียวแล้วพัง นั่นคือธรรมชาติของเพศหญิง

ธรรมชาติเลยสร้างเพศชายให้หยาบกว่าปกติ(ชดเชยที่เพศหญิงที่ละเอียดกว่าปกติ) พอมาจับคู่กันมันเลยพอดีไง อิอิ วิเคราะห์ไปมั่วเลย ไม่ได้จบจิตวิทยาซะหน่อย อิอิ ...

คืองี้ แรกๆผมก็เหมือนผู้ชายทั่วไป ไม่ค่อยเชื่อ แต่อาศัย "รัก" แฟนไว้ก่อน ไม่พยายามไปเข้าใจ หรือตัดสิน เธอว่าไงผมว่าตาม เธอพาไปหาหมอโน้นหมอนี่ ก็ไป พาไปฟังสัมนาวิชาการเรื่องนี้ก็ไป ชวนไปเข้าสมาคมผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้นก็ไป เอาหนังสือมาให้อ่านก็อ่าน ส่งลิงค์เว็บมาให้ก็อ่าน เอายาสมาธิสั้นมาลองกินเองก็เคยมาแล้ว ไม่รู้เหตุผล รู้แต่ว่าฉันรักเธอนะ ฉันไม่ตัดสินเธอ ไม่อยากเข้าใจเธอหรอก เพราะสมองเราตรรกะไม่เหมือนกัน

แต่ด้วยความที่ผมเป็นวิศวกร ถูกสอนให้มีเหตุมีผล พอวิเคราะห์ตามหลักวิชาการที่รับรู้มา(จากที่เธอให้ทำให้อ่านให้กิน ฯลฯ) ก็เชื่อว่า เออ ยัยเฟิร์นมันเป็นจริงๆ คือทุกคนมีความเป็นสมาธิสั้นครับ แต่บางคนมากน้อย ถึงระดับที่มีปัญหาหรือไม่นั้นต่างกัน เหมือนสายตาสั้นนั่นแหละครับ ทุกคนสั้นหมด แต่ว่าใครจะต้องใส่แว่นเท่านั้นเอง

ผมร่ายมายาวก็แค่อยากจะบอกให้คุณอดทนและพยายามค่อยๆหาข้อมูลให้แฟนเข้าใจ ส่วนแม่สามีปล่อยไป ไม้แก่ดัดยาก (ฮ่า) อย่างน้อยคุณก็ยังดีอยู่ต่างบ้านต่างเมืองที่รับรู้และมีบริการสาธาณะที่เข้าใจและเอื้อกว่าบ้านเรา

อดรนทนไม่ไหวยังไงก็อีเมล์มาระบายได้นะครับ nnookk@hotmail.com ช่วยอะไรไม่ได้ ก็ฟังคุณบ่นก็ได้ครับ ...


โดย: พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร (Nong Fern Daddy ) วันที่: 11 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:51:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Nong Fern Daddy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 782 คน [?]




... Blog นี้ ...
แด่ ... แม่น้องเฟิร์นและน้องภัทร
เธอ..ผู้เปลี่ยนห้องที่มืดมิดให้สว่างไสวได้ด้วยรอยยิ้ม
เธอ..ผู้อยู่เบื้องหลังความเข้มแข็งและความสำเร็จทั้งมวล
... และ ...
เธอ ... ผู้เป็น "บ้าน" เพียงแห่งเดียวของผม

---------------------------------------------

หรือเพียง "ฝัน" ที่หาญท้าชะตาฟ้า ?

หรือจะเพียง "ศรัทธา" (ที่)ไร้ความหมาย ?

แม้จะเป็นแค่เพียง "ฝัน" จนวันตาย

แต่ผู้ชายคนนี้จะอยู่ข้างเธอ ... ตลอดไป ...

แด่ ... ลูกที่กล้าฝันของพ่อ

Friends' blogs
[Add Nong Fern Daddy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.