บทเรียนจากน้ำตกและภูเขา ....
น้ำตกไนแองการ่ามีสองด้านด้านที่ใหญ่และสวยอยู่ฝั่งอเมริกาคนฝั่งอเมริกาเป็นเจ้าของน้ำตกที่ใหญ่และสวยกว่าแต่ ... ต้องข้ามไปยืนชมความสวยงามของน้ำตกตัวเองจากฝั่งแคนาดาคนฝั่งแคนาดา เป็นเจ้าของน้ำตกที่ใหญ่และสวยน้อยกว่าแต่ ... ได้ดูน้ำตกที่ใหญ่และสวยกว่าทุกวันจากบ้านตัวเองคนที่มีบ้านบนภูเขาไม่เห็นวิวภูเขาแต่ ... คนที่บ้านอยู่ที่ราบเชิงเขา เห็นวิวภูเขาสวยๆได้ทุกวันหรือว่า ...การชื่นชม กับ การครอบครอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน ...ชื่นชมโดยไม่ต้องครอบครอง ... ?ครอบครองแต่ไม่ได้ชื่นชม ... ?
หั่นหัวหอมยังไงไม่ให้แสบตา ...
หลังจากห่างเหินกิจกรรมในครัวร่วมกันพักใหญ่เพราะจะคุมน้ำหนักกันอันเนื่องมาจากบวมและบานฉ่ำกันทั้งครอบครัว วันนี้ได้ฤกษ์มันๆกับสปาเก็ตตี้ไวท์ซอส นี่ครับฝีมือหั่นมะเขือเทศยัยเฟิร์น เละซะไม่มีลืมบอกไปครับ เราเน้นเฮฮามาก่อน รสชาติกับหน้าตาอาหารมาทีหลัง 5 5 5
ไว้อาลัยกับผู้ที่สูญเสีย และ ทุกดวงวิญญาณ จากเหตุการณ์ความรุนแรง
เศร้ามานานแล้ว และเศร้ามากขึ้นมากกับสองวันที่ผ่านมากับชีวิตน้อยๆ 3 ชีวิต อึ้ง และ ไม่รู้จะพูดอะไร ทำไมมันหดหู่แบบนี้ก็ไม่รู้ ทำไมคนไทยเป็นอะไรไปกันแล้วไม่รู้จะไประบายที่ไหน ขอพื้นที่ในโลกไซเบอร์ตรงนี้ล่ะกัน ...ขอให้ทุกดวงวิญญาณ ... อยู่ในหัตถ์ของพระองค์ขอให้ทุกดวงวิญญาณ ... อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ด้วยเทอญพ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร ....
ห้ามเดินลัดสนาม
คุ้นเคยกันไหมครับคำนี้ วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องคำคุ้นเคยนี่แหละครับ ว่าจริงๆมันหมายความว่าอะไร สมัยผมเรียนวิศวกรรมศาสตร์ มีวิชาเลือกกฏหมาย ผมก็ลงวิชานี้ ถึงจะสุ่มเสี่ยงกับเกรดที่ไม่น่าจะสวย เพราะไม่จะใช่เรื่องที่ผมถนัด แต่คิดว่า มีประโยชน์ ก็เลยลงเรียนซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยอ.ที่สถาบันฯเชิญมาสอน เป็นอ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ท่านทรงคุณวุฒิจริงๆทั้งคำนำหน้า และ ต่อท้าย ตำแหน่งหน้าที่การงานและหัวโขน ยาวเหยียด การศึกษาของท่านไม่ต้องพูดถึง ดร.จากฝรั่งเศษคาบแรก จำได้แม่น ท่านเอาประโยคนี้ขึ้นมาถาม "ห้ามเดินลัดสนาม" ท่านถามนศ.ในห้องว่า แปลว่าอะไร ก็มีเสียงพึมพำๆ (ตามสไตล์เด็กไทยที่ไม่ค่อยจะยกมือกันพรึบแย่งกันตอบแบบเด็กฝรั่ง) ว่า ก็ห้ามเดินลัดสนาม ซิครับ(ค่ะ) วิ่งลัดสนาม หรือคืบๆคลานๆไป ก็น่าจะได้นะครับ(ค่ะ) อะไรราวๆนี้ท่านก็เลยอรรถาธิบายของท่านต่อว่าห้าม แปลว่า ไม่ให้ทำใน คำ "กริยา" ที่ตามหลัง ซึ่งรวมไปถึง "กรรม" ของกริยานั้น "คุณศัพท์"ของ "กรรม" และ "กริยาวิเศษณ์" ของ "กริยา" ที่ห้าม มาถึงตรงนี้ พวกเราว่าที่วิศวกร ร้องจ๊าก นี่เรากำลังเรียนกฏหมายหรือหลักภาษาไทย แต่โดยตัวผมเองนั้น ยอมรับว่า เออ เนอะ ... จริงของท่าน ผมไม่เคยนึกถึงคำจำกัดความของคำว่า "ห้าม" ในแง่มุมนี้จริงๆ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดหักเหของผมในการใช้ชีวิตและการทำงานของผม คือ ก่อนที่จะถกเถียงกันให้แพ้ให้ชนะ หลายครั้งเราลืมที่จะนิยามความหมายและจุดประสงค์ของสิ่งที่เราจะถกกัน โดยคิดเอาไปเองว่า อีกคนก็คงนิยามเหมือนเรา ซึ่ง หลายครั้ง ไม่ใช่แบบนั้น แต่กว่าจะรู้ว่าเขาไม่ได้นิยามสิ่งที่กำลังถกเหมือนเรา ก็เสียเวลา อารมณ์ ความรู้สึก หรือ เสียงานไปแล้วนอกเรื่องไปเยอะ ... มาต่อแล้วท่านก็บรรยายของท่านต่อว่า ห้ามเดินลัดสนามแปลว่าแบบนี้ได้ไหม1. วิ่ง คลาน คืบ แถ กระโดดกบ ลัดสนามได้ ... พวกเราพึมพำกันหึ่งว่า เออ ก็น่าจะได้ ถึงออกๆจะศรีธนชัยไปหน่อย2. ขับรถไถนา รถอีแต๋น ขี่ม้า ลัดสนาม ... พวกเราเริ่มเสียงแตกล่ะว่าได้หรือไม่ได้3. ควายเดินลัดสนาม ... คราวนี้มีเสียงฮา แต่พวกเราส่วนใหญ่ว่าไม่น่าได้ เพราะ กริยาที่ตามหลัง "ห้าม" คือ "เดินลัด" และ "กรรม" คือ สนาม มันห้ามอยู่โต้งๆหรือ4. ห้ามทำสนามเสียหายทุกรูปแบบ ... อันนี้พวกเราถึงกับงงว่ามันแปลแบบนี้ได้ด้วยเหรอพวกเราก็งงๆ ถามอ.ว่า แล้วจริงๆ ข้อไหนได้หรือไม่ได้ ตามสไตล์เด็กวิศวะที่มักจะยึดติดกับการหาคำตอบเดียว ท่านบอกว่า ได้และไม่ได้ทุกข้อ ไม่ผิดไม่ถูกสักข้อ ขึ้นกับความกว้างในการตีความ โดยเฉพาะข้อ 3. เรื่องควาย ท่านบรรยายว่า การที่เจ้าของสนามป้ายปักไว้ว่า ห้ามเดินลัดสนาม เจ้าของสนามเจตนาสื่อกับคนไทยที่อ่านหนังสือออก ไม่ได้สื่อกับควาย เพราะถ้าจะสื่อกับควายไม่ให้เดินลัดสนาม เจ้าของสนามจะต้องใช้วิธีอื่นเช่น ล้อมรั้ว ดังนั้นความหมายแฝงของ "ห้ามเดินลัดสนาม" คือ "ห้ามคนไทยที่ไม่ตาบอดและอ่านหนังสือออกเดินลัดสนาม" ซึ่งนอกจากควายแล้ว คนฝรั่งอ่านภาษาไทยไม่ออก คนไทยที่อ่านภาษาไทยไม่ออก คนตาบอด ก็สามารถเดินลัดสนามได้ ไม่ผิด เพราะถ้าเจ้าของสนามต้องการสื่อกับ คนฝรั่งอ่านภาษาไทยไม่ออก คนไทยที่อ่านภาษาไทยไม่ออก คนตาบอด ก็ต้องใช้วิธีอื่นพวกเราถึงกับตาค้างกับตรรกะแบบนี้ของท่านอ. แต่ก็ผงกหัวรับหงึกๆว่า เออ ก็จริงของแก 555 ขึ้นกับว่าเราจะตกลงกันว่า "ห้ามเดินลัดสนาม" คืออะไรเรื่องนี้เตือนใจและสอนผมหลายอย่างมากๆ เช่น กฏหมาย ไม่ใช่เรื่องที่เป๊ะๆ คำตอบเดียวเสมอ อย่างที่ผมเข้าใจแต่แรก และเราต้องใจกว้างและเคารพต่อความเห็นที่แตกต่าง ต้องคุยกันในพื้นฐานความเข้าใจเบื้องต้น ก่อนที่จะมาโต้วาทีหาข้อสรุป ไม่งั้น ไปกันคนล่ะทาง เสียเวลาเปล่า และที่สำคัญคือ อย่ากอดตัวหนังสือ ตำรา สูตร กฏ ทฤษฎีจ๋า ในการทำงาน ให้ใช้หัวใจ เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของสิ่งที่กำลังจะเข้าไปตัดสินหรือจะเข้าไปหาข้อสรุปฝากไว้ให้ไตร่ตรองดูนะครับ ในท่ามกลางสถานการ์บ้านเมืองที่กำลังกรุ่นไปด้วยการพยายามหาทางออก เราตีความคำว่า "ห้ามเดินลัดสนาม" กันขนาดไหน ...
จุดยืน
พักนี้มีหลายกลุ่มหลายฝ่ายได้ออกมาแสดงจุดยืนกันอย่างมากมายต่อสถานการณ์ร้อนๆในบ้านเมืองของเรา ทำให้ผม ... ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ไม่มีตำแหน่งยศศักดิ์อะไรนำหน้าหรือต่อท้าย มีแค่เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก กับคำว่านายนำหน้า ที่บ่งบอกว่า ผมคือประชาชนชาวไทย 100% ที่น่าจะมีสิทธิ์ที่จะแสดงจุดยืนของผมเหมือนกันพูดถึงเรื่อง "จุดยืน" ทีไร ผมต้องคิดถึงคำตอบเด็ดของนักการเมืองไทยอาวุโสและเป็นปราชญ์ท่านหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้ว มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า นักข่าวได้ยืนไมค์ให้ท่านตอบคำถามว่า จุดยืนของท่านอยู่ที่ไหน (ในสถาการณ์บ้านเมืองตอนนั้น) ท่านตอนสั้นๆสองคำ ... "ส้นteen" ... (นัยว่าทำนองทีเล่นทีจริง)คิดไปคิดมา เออ ... ก็จริงๆของท่าน ... จุดยืนของใครก็อยู่ที่ตรงนั้นของคนนั้น อย่างที่ท่านตอบนั่นแหละ ... 555มาว่าเรื่องจุดยืนของผมต่อ ผมคงไม่บังอาจเลียนแบบท่านได้ แต่อยากจะเล่าประสบการณ์ของผมต่อเรื่องร้อนๆนี้ให้ฟังก็แล้วกันครับ เมื่ออ่านจบกันแล้ว คงจะทราบดีว่าจุดยืนของเจ้าของเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักคนนี้คืออะไรเรื่องแรก ขอตัดมาจากตอนหนึ่งของบทความที่ผมเขียนถึงคุณพ่อของผม เรื่อง ... ผมถามพ่อว่า พ่อไม่กลัวหรือ พ่อตอบว่า "ถ้าพ่อไม่ทำแล้วใครจะทำ"...... ตอนเป็นเด็ก ม.3ในวันเดือนปีที่บทสรุปของการลงโทษคือไม้เรียวที่ทำด้วยหวายยาวเมตรครึ่ง ...ในวันเดือนปีของวัยเด็กม.3ที่ก้าวพลาดไป ...ผมกลับบ้าน ... ผมบอกพ่อให้ไปช่วยคุยกับคุณครูให้ยกโทษให้พ่อพูดอะไรต่อมิอะไรกับผมยาวมาก ... แต่ผมจำได้แค่คำที่ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ 4 คำ"กฎเกณฑ์" - "ความถูกต้อง" - "ศักดิ์ศรี" และคำว่า "ลูกผู้ชาย"วันรุ่งขึ้นพ่อไปส่งผมที่โรงเรียน เพี่อที่จะยืนกอดอกดูคุณครูฟาดก้นลูกตัวเองพ่อครับ ...ผมขอบคุณมากครับ ... วันนี้ผมเข้าใจความหมายของคำ 4 คำนั้นแล้วผมขอบคุณมากครับ ... ที่วันนั้น พ่อรักษา "ศักดิ์ศรี" ของผมเอาไว้ด้วยรอยหวายผมขอบคุณมากครับ ... ที่วันนั้น พ่อรักษา "ความเป็นลูกผู้ชาย" ของผมเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดเจ็บที่ก้นของผม แต่คงไม่เท่าเจ็บที่หัวใจของคนเป็นพ่อ ... "พ่อครับ ผมขอโทษ"ผมสัญญาครับ ... สัญญาว่าสิ่งที่พ่อพยายามรักษาไว้ให้ผม จะไม่มีวันสูญเปล่า ...ติดตามเรื่องราวฉบับเต็ม ได้ที่ //nongferndaddy.net63.net/Daddy.htmหรือ//www.bloggang.com/mainblog.php?id=nong-fern-daddy&month=30-10-2011&group=2&gblog=25....เรื่องที่สอง เป็นเรื่องในวัยเด็ก ม.6 รร.ชานเมืองกทม.(ในสมัยนั้น ที่สมัยนี้กลายเป็นกทม.ไปแล้ว)เทอมสองของปีนั้น รร.นำนร.ชั้นม.6ทั้งสายที่มี 4 ห้องไปเชียร์โต้วาทีที่ทีมรร.เข้ารอบสุดท้ายที่วิทยาลัยเอกชนเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งย่านกล้วยน้ำไท(ที่ตอนนี้เป็นมหาวิทยาลัยแล้ว) ซึ่งงานวันนั้นเป็นงานนิทรรศการอะไรสักอย่างผมก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่าหลังโต้วาทีบ่ายเสร็จก็ราวๆบ่าย 3 โมงเย็น มีแสดงดนตรีสดของ จำรัส เศวตาภร แห่งวง เดอะเรดิโอ เจ้าของผลงานเพลง "นกเจ้าโผบิน" ที่ดังมากในหมู่ขาสั้นขาโจ๋วัยเกรียนในสมัยนั้นพอเชียร์โต้วาทีเสร็จ ผมจำไม่ได้ว่าทีมรร.ผมชนะหรือไม่ เพราะไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์วันนั้น พวกเราคุยกันว่า นี่ก็ปีสุดท้ายแล้ว เราก็เป็นพี่ใหญ่ของรร. กลับไปรร.ก็เลยเวลาเลิกเรียนอยู่ดี แล้วอีกอย่าง ถ้าพวกเราพร้อมใจกันโดด คือไม่กลับไปขึ้นรถบัสกลับรร. คุณครูจะทำอย่างไร จะทำโทษตีพวกเราทั้งสาย (คือ 4 ห้อง ก็ราวๆ 160 คน) อย่างนั้นหรือ ไม่น่าเป็นไปได้น่า ประมาณว่า สามัคคีคือพลัง ประชาธิปไตยคือเสียงส่วนใหญ่ พวกเราคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบเด็กๆไปสารพัด เพื่อจะได้ดูคอนเสิร์ตแสดงสดของขวัญใจขาโจ๋ส่วนตัวผมมีเหตุผลอีกข้อที่น่าจะเป็นเกราะป้องกันการโดนทำโทษได้ คือผมเป็นมือล่ารางวัล ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนมากมายตลอด 3 ปีในชั้นม.ปลาย โล่ห์และประกาศณียบัตร (ชนะเลิศบ้าง รองบ้าง ชมเชยบ้าง) การแข่งขันตอบปัญหาวิชาการ ในห้องพักครูหมวดต่างๆ (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต สังคม ยกเว้น ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่ไม่สามารถจริงๆ) หรือแม้แต่โล่ห์หลายอันในห้องผอ.โรงเรียน ก็เป็นผลงานของผม ... (คิดแบบอหังกาสุดๆในวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน)แน่นอน บ่ายแก่ๆและเย็นนั้น เด็กบ้านนอกชานเมืองราวๆ 160 คน ก็ได้กรี๊ดกันเต็มที่กับ จำรัส เศวตาภร แอนด์ เดอะเรดิโอ กันจนเสียงแหบ ... นกเจ้าโผบิน บินกันเคลิ้มไปเลย ฝันดีกันสุดๆ ...หน้าเสาธง เช้าวันรุ่งขึ้น ...ผอ.บุษxxx (และที่ยืนเฉียงไปข้างหลังคือ ครูเอกxxx ครูฝ่ายปกครอง ฉายา I-อ๊อบ ที่พวกเรากลัวหัวหด) ขึ้นแท่นอบรมเสียงเครียด อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันก่อนหน้าอย่างผิดหวังในตัวลูกศิษย์ชั้นม6. ที่ควรจะเป็นพี่ใหญ่และแบบอย่างที่ดีแก่รุ่นน้อง พร้อมอบรมอะไรอีกยืดยาว พวกเรายืนฟังอย่างชะล่าใจ คิดว่าก็คงแค่นั้น เพราะพวกเราเกือบ 160 คน จะมาทำอะไรได้ขมวดมาตอนจบ(ครูๆมักพูดอะไรยืดยาวเสมอหน้าเสาธง) ผอ.บุษxxx บอกว่า เพื่อรักษากฏเกณฑ์ของรร.แห่งนี้ เพื่อเป็นมาตราฐานแห่งความดีชั่ว ถูกผิด นักเรียน ม6. ทั้ง 154 คน (ผมจำตัวเลขได้แม่น เพราะผมได้รับเกียรติที่ไม่อยากรับ ในการจัดแถวเพื่อนๆไปโดนฟาดก้น) ที่โดดเรียนเมื่อวานจะต้องถูกฟาดก้นคนล่ะ 3 ที หน้าเสาธง ต่อหน้าน้องๆทุกคนในรร.แห่งนี้ ครูให้อภัยพวกเธอได้ แต่ครูไม่สามารถยกโทษให้พวกเธอได้ แต่ครูต้องขอชมเชยพี่ๆม6.ทั้ง 154 คนที่ยอมมารับโทษอย่างกล้าหาญ และเป็นแบบอย่างที่ดีที่ถูกต้องแต่น้องๆด้วยเช่นกัน... เสียงพวกเราหึ่งเลย มองหน้ากันเลิกลั่ก วิจารณ์ ออกความเห็นอะไรกันมากมาย ... ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของสนาม ครูประจำชั้น 10 กว่าท่าน เดินแถวเรียงหนึ่งออกมา นำโดย ครูเอกxxx (ที่หลบจากหลังผอ.บุษxxx ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้) พร้อมด้วยหวายยาวเมตรครึ่งในมือ ... นึกภาพตามก็ขนลุกแล้วครับ ผมนั่งพิมพ์อยู่นี่ ก็ขนลุก ภาพเก่าๆเวียนมาเยี่ยมเยียนเต็มหัวไปหมด ...ผอ.บุษxxx เดินลงมาจากแท่นไมค์ หยิบหวายประจำตัวแล้วเดินไปสมทบกับทีมครูอีก 10 กว่าคนที่ด้านหนึ่งของสนามหลังจากนั้นก็เป็นรายการฟาดก้นหน้าเสาธง เสียงหวายแหวกผ่านอากาศ ราวเรียวแขนงไผ่แหวกฉีกลมหนาว และ ปรากฏการณ์ ด๊อปเปลอร์แอฟเฟ๊กซ์ จากหวายในมือครูเอกxxxที่ฝ่าอากาศด้วยความเร็วเหนือเสียง ฟังแล้วสะท้านไปถึงขั้วหัวใจและแก้มก้น(ของเพื่อนที่โดน)สำหรับผม ... ได้รับเกียรตินั้นโดนครูนันxxx ผู้ล่วงลับ ผู้ที่นร.อุตสาหกรรมศิลป์(ทะโมนและ...สุด)ทั้งสายรักเทิดทูนราวแม่ ตามประวัติที่ไม่เคยได้รับการยืนยันจากปากแกว่า สมัย 16 ตุลาฯ 2519 แกนั่งบดแก้ว ประกอบระเบิดอยู่ลานโพธิ์(มธ.) ส่งให้เพื่อนๆหน้าสนามหลวง (ทำนองจะได้ใจเด็ก... ครูต้อง...กว่า)... เมื่อถึงคิวผมยืนต่อหน้าครูนันxxx"นี่นาย ... (ชื่อผม) ... ครูไม่นึกว่าเธอจะเป็นไปกับเขาด้วยนะ" ......ถ้าผมไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเองนัก ... ผมจำได้ว่า เสียงครูฯสั่นๆ และ น้ำตาครูฯไหล ตอนที่ลงหวาย ...ถ้าผมไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเองนัก ... ผมรู้สึกได้ว่า ... ครูฟาดผมแรงกว่าเพื่อนๆคนอื่น ......"... ครูครับ ผมขอโทษ ..."... เป็นประโยคเดียวที่ผมจำได้ว่าผมพูดออกไปด้วยน้ำตาขณะพนมมือหลังจากหวายที่ 3 จบลง... ไม่ใช่น้ำตาของความเจ็บปวด แต่เป็นน้ำตาลูกผู้ชาย น้ำตาของความเสียใจ ที่ทำให้ครูผิดหวังในตัวผม ......... หลังจากเช้าวันนั้น พวกเราเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากมาย พวกเรา ถกกัน เถียงกัน โมโห ไม่พอใจ เยาะเย้ยกัน ไม่พอใจคุณครู ตำหนิกฏเกณฑ์ ต่อว่า ด่ากราด ฯลฯ... แต่เท่าที่ผมจำได้ พวกเราทั้ง 154 คน ไม่มีใครสักคนเดียวที่ ...... ที่คิดว่าหรือบอกว่า ครูควรจะ "ยกโทษ"ให้เรา... หรือคิดจะประท้วงเพื่อให้ครู "ยกโทษ" ให้เราจาก ...ศิษย์ผู้เคยอหังกา ...จากศิษย์ ... ผู้ขอกราบแทบเท้า กราบลงบนหัวใจ และ กราบลงบนมือทุกคู่ที่กำหวายทุกเส้นในเช้าวันนั้น... โดยเฉพาะ ...ผอ.บุษxxx ครูผู้เป็นแบบอย่างของผู้คุ้มกฏที่เมตตาแต่เข้มแข็ง เจ้าของประโยคที่ผมจำมาจนทุกวันนี้ "ครูให้อภัยพวกเธอได้ แต่ครูยกโทษให้พวกเธอไม่ได้"ครูเอกxxx ครูที่พวกเรา(และผม) เกลียดสุดๆ แต่ก็รักมากสุดๆเช่นกัน (ครูคงไม่รู้หรอกว่า เพราะความกลัวไม้เรียวของครู ทำให้เพื่อนผมหลายคน "เป็นคน" ได้ในทุกวันนี้)และ ครูนันxxx ที่ลงหวายก้นผมด้วยน้ำตาและเสียงที่สั่นเครือ... และนี่ "จุดยืน" ของผู้ชายเจ้าของเลขประจำตัว 13 หลัก คนหนึ่งในประเทศนี้... พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทรปล. ผมเชื่อว่า พวกเรา 154 คน ไม่มีใครลืมเช้าวันนั้นไปจนวันตายแน่นอน และหวังลึกๆว่าเพื่อนร่วมรอยหวายอีก 153 คนจะมีจุดยืนในเรื่องนี้อย่างเดียวกับผม
หรือเพียง "ฝัน" ที่หาญท้าชะตาฟ้า ?
หรือจะเพียง "ศรัทธา" (ที่)ไร้ความหมาย ?
แม้จะเป็นแค่เพียง "ฝัน" จนวันตาย
แต่ผู้ชายคนนี้จะอยู่ข้างเธอ ... ตลอดไป ...
แด่ ... ลูกที่กล้าฝันของพ่อ