เรื่องกิน เรื่องเที่ยว คือเรื่องเดียวกัน และเป็นเรื่องราวของเราสองคน :)

ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]




ปลาหมึกน้อย กับ นายโอเลี้ยง รายงานตัวครับ
เนื่องด้วยเราสองคนเป็นคนชอบเที่ยว ชอบกิน ดังนั้นก็เลยจัดการหาที่เก็บสถานที่หรือร้านอาหารที่เคยแวะเยี่ยมมาแล้ว

และเสมือนเป็น ไดอารี่ส่วนตัว ที่ทุกคนเข้าดูได้ อาจจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่ผ่านเข้ามาแล้วต้องการหาข้อมูลสำหรับสถานที่นั้นๆ

ขอให้สนุกกับ Blog นี้นะ

ตอนนี้ Eat and Travel Diary by ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง มี fan page เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อครับ ถ้าใคร "ถูกใจ" blog นี้ ฝากช่วยกด "Like" กันนะครับ จะได้ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ^_^

Click ข้างล่างได้เลยจ้า

click เพื่อเข้าสู่ facebook Eat and Travel Diary
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง's blog to your web]
Links
 

 

THE MALL CITY WALK SUMMER BLOOM






หน้าร้อนนี้ใครที่อยากหนีร้อนไปเดินเล่นในห้างฯ เย็นๆพร้อมหาร้านอาหารหรือช็อปปิ้งก็สามารถคลายร้อนได้เยอะเลยครับ ยิ่งตอนนี้ THE MALL เค้าจัดกิจกรรม THE MALL CITY WALK SUMMER BLOOM ขึ้นมาที่โซนใหม่ CITY WALK ชั้น 4 THE MALL บางกะปิซึ่งโซนนี้เป็นโซนที่รวบรวมสินค้าแฟชั่นไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า, กระเป๋า,รองเท้า, ของตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์อื่นๆ อีกเพียบ














ซึ่งบรรยากาศก็น่าเดินเพลินๆ สบายๆ ดังนั้นใครที่ชอบช็อปปิ้งหรือแต่งตัวให้ตามเทรนด์ ก็ไม่ควรพลาดนะครับ และที่พิเศษก็คือช่วงวันหยุดเสาร์ –อาทิตย์สิ้นเดือนจะได้พบกับ “CITY WALK SUMMER MARKET” จะมีสินค้าโปรโมชั่นมาร่วมเปิดท้ายลดราคาพร้อมทั้งคอลเลกชั่นใหม่ที่พร้อมให้ช็อปก่อนใครแถมบรรยากาศยังเพลิดเพลินด้วยเสียงเพลงที่มาขับกล่อมให้เพื่อนได้เดินเล่นอย่างสบายๆชิลๆ ในวันหยุดสิ้นเดือนแบบนี้อีกด้วย











ซึ่งความพิเศษของกิจกรรมนี้ยังมีอีก เพราะเมื่อซื้อสินค้าในโซน  CITY WALK ครบ 800 บาทสามารถรับฟรี Bloomy Scarf ผ้าพันคอลายดอกไม้สุดชิคที่เข้ากับ Summer นี้ได้ดี มูลค่า 250 บาทไปเลยฟรีๆและสำหรับนักเรียน นักศึกษา พนักงาน ก็สามารรับน้ำผลไม้ Malee ไว้คลายร้อนๆฟรี 1 กล่อง (1 คน/ 1 สิทธิ์ และสำหรับ 50 คนแรกของวันเท่านั้น) เมื่อแสดงบัตรที่โต๊ะจัดกิจกรรมเอาเป็นว่าร้อนนี้ใครว่างก็แวะมาเดินช็อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าคลายร้อนได้ที่กิจกรรมTHE MALL CITY WALK SUMMER BLOOM โซน CITY WALK กันได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง1 พฤษภาคมนี้ นะครับ นอกจากที่สาขาบางกะปิแล้ว ยังสามารถแวะไปได้ที่ ชั้น 6สาขางามวงศ์วาน, ชั้น 4 สาขาบางแคและที่ชั้นใต้ดิน สาขานครราชสีมา นะครับ












 

Create Date : 04 เมษายน 2559    
Last Update : 4 เมษายน 2559 21:10:00 น.
Counter : 3927 Pageviews.  

SAMSONITE TILEUM โฉมใหม่ เฉียบ เท่ห์ ทน จุใจ


สำหรับคนที่ชอบเดินทางอย่างผม กระเป๋าเดินทางถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็เลือกใช้กระเป๋าเดินทางของ Samsonite เป็นประจำอยู่แล้วเนื่องจากมีความทนทาน พกพาสะดวก แล้วก็มีรูปทรงที่ทันสมัย

ยิ่งตอนนี้ทาง Samsonite ได้เปิดตัวกระเป๋าเดินทางโฉมใหม่รุ่น TILEUM ก็เลยแวะมารีวิวให้ดูว่าเป็นอย่างไรบ้างครับ ก่อนอื่นเลยมาดูที่รูปทรงกันดีกว่านะครับ รุ่นนี้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งทำให้จัดเก็บของได้จุยิ่งขึ้น ลวดลายก็ดูเก๋ไก๋ทันสมัยด้วยครับ ที่สำคัญยังตั้งวาง และเคลื่อนย้ายได้คล่องตัว ด้วยก้านคันชักลากคู่และด้ามจับโค้งมนที่จับได้ถนัดมือ








นอกจากนี้โครงสร้างของกระเป๋าก็แข็งแรงตอบโจทย์ผมที่ต้องพกพาไปร่วมเดินทางอยู่บ่อยๆ ซึ่งต้องโหลดขึ้นเครื่องอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าต้องมีการกระแทกของกระเป๋าระหว่างเดินทางแน่นอนครับ และปลอดภัยด้วยกุญแจล็อครหัสTSA ทำให้มั่นใจว่าของสำคัญในกระเป๋าไม่ถูกรื้อค้นได้ง่ายๆ ครับ ที่ชอบมากๆ คือ ล้อลาก เป็นล้อ Spinner ที่แต่ละล้อออกแบบเป็นล้อคู่ทำให้ลากได้สมูธมากๆ ไม่ว่าจะพื้นขรุขระ พื้นพรม ก็ลากได้ไม่มีสะดุด ช่วยผ่อนแรงเราได้เยอะเลยครับ






มาดูภายในบ้างดีกว่า ด้วยรูปทรงสีเหลี่ยมแบบนี้ทำให้ภายในกว้าง สามารถจุของได้เยอะ และเป็นระเบียบ ภายในจะมีแผงกั้นด้วยผ้าพิมพ์ลาย และสายคาดที่ช่วยให้จัดเก็บของเป็นระเบียบมากขึ้นและไม่ทำให้ของกระจัดกระจายเวลาเปิดหรือเคลื่อนย้ายกระเป๋าครับ แค่นี้ก็ช่วยให้การเดินทางของผมเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกขึ้นเยอะเลยครับ








ใครที่กำลังมองหากระเป๋าเดินทางดีๆ ซักใบก็ลองไปเลือกดูที่ Samsonite ได้นะครับ ตอนนี้เค้ามีโปรโมชั่นSamsonite TRADE-IN 2016 นำกระเป๋าใบเก่าแบบใดก็ได้มาแลกซื้อ Samsonite รุ่น TILEUM ใบใหม่ พร้อมรับส่วนลด 50% และสิทธิประโยชน์อีกเพียบเลยครับ ใครที่สนใจแวะเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่เลยครับ //goo.gl/w4kjxW  โปรโมชั่นนี้มีถึงแค่วันที่ 17 เมษายนนี้เท่านั้นนะครับ ดังนั้นหยุดยาวสงกรานต์ปีนี้ใครที่มองหากระเป๋าเดินทางดีๆ ซักใบ รีบแวะไปจับจองได้ที่ Samsonite ใกล้บ้านเลยครับ






 

Create Date : 22 มีนาคม 2559    
Last Update : 22 มีนาคม 2559 22:08:20 น.
Counter : 2197 Pageviews.  

B-Quik ศูนย์บริการรถยนต์ที่ครบครันและทันสมัย แห่งใหม่ย่านสาทร

B-Quik สาขาถนนนราธิวาส – สาทร

โทร. 0 2676 3633, 0 2676 3634




แน่นอนว่าสำหรับไลฟ์สไตล์คนที่ชอบกินชอบเที่ยวอย่างผม สิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับการเดินทางนั่นก็คือรถยนต์ส่วนตัวนั่นเองครับ แต่ด้วยความที่ต้องทำงานหลายอย่าง ทั้งงานประจำและ blogger เรื่องกินเที่ยว ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถยนต์ด้วยตัวเองซักเท่าไร เต็มที่ก็ได้แต่พาไปอาบน้ำตามคาร์แคร์ต่างๆ ดังนั้นคงจะดีไม่น้อยที่เราจะต้องดูแลรถยนต์คู่ใจให้ดียิ่งขึ้น และถ้าให้ครบวงจรเรื่องการตรวจเช็ครถยนต์ผมขอแนะนำศูนย์บริการนี้เลยครับ B-Quik




สำหรับ B-Quik เมื่อก่อนมักจะคุ้นเคยกับเรื่องยางเป็นหลัก เพราะถ้ายางรั่วซึมผมก็จะวิ่งไปหา B-Quik ก่อนใคร เพราะไว้ใจเรื่องยางได้ดี แต่รู้รึเปล่าว่าที่นี่นอกจากเรื่องยางแล้ว เค้าให้บริการเรื่องรถยนต์ครบวงจร จะยกเว้นก็แต่เรื่องทำสีรถอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ






และรีวิวนี้จะขอพาไปทำความรู้จักกับศูนย์บริการรถยนต์ B-Quik สาขาใหม่ล่าสุด นั่นก็คือสาขาถนนนราธิวาส – สาทร นั่นเองครับ บอกเลยว่าสาขานี้นั้นมีขนาดใหญ่กว่าศูนย์บริการ B-Quik ทั่วไป ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการมากถึง 19 ช่องซ่อม ภายในสะอาดกว้างขวาง และที่นี่พร้อมให้บริการตรวจเช็ครถฟรี 30 รายการ ไม่ว่าจะเป็น ยาง ระบบเบรก ระบบหล่อลื่น ช่วงล่าง โช้ค และอีกหลายรายการ ดังนั้นผมเลยขอตรวจเช็คสภาพรถซะเลยครับ เพราะไม่ได้ตรวจเช็คมานานแล้ว


















ที่นี่นอกจากจะเป็นศูนย์ฯ ที่มีช่องซ่อมมากที่สุดแล้วยังมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยอีกด้วย เช่น เครื่องตั้งศูนย์ล้อR.E.M.O. (Robotic Equipment for Measuring by Obtics) หุ่นยนต์ที่ใช้ตั้งศูนย์ที่ทันสมัยที่สุด ซึ่งเป็นเครื่องแรกและเครื่องเดียวในประเทศไทย ณ ตอนนี้ ซึ่งทำงานด้วยระบบเลเซอร์ออฟติคที่มีการวัดค่าที่แม่นยำสูงและรองรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงซุปเปอร์คาร์ แต่ที่สำคัญค่าบริการไม่เพิ่มนะครับ








และจุดเด่นของที่นี่ก็คือเรื่องยาง ที่นี่มีเครื่องถอดใส่ยางรุ่นใหม่ที่ช่วยให้ขอบยางด้านในไม่ช้ำและตัวล้อก็ไม่เป็นริ้วรอย รวมทั้งมีตัวช่วยในการอับขอบยางเวลาที่เติมลมยางไม่ให้ยางขึ้นขอบอีกด้วย






และโชคดีที่แวะมาตรวจสภาพรถ ทำให้เจอว่าล้อหน้าด้านขวามีตะปูตำอยู่ จึงให้ทางนี้ช่วยจัดการให้เลยครับเพราะที่นี่ปะยางให้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และหากพูดเรื่องตั้งศูนย์แล้วก็ต้องมาที่เรื่องของการถ่วงล้อรถยนต์ ซึ่งเครื่องถ่วงล้อของที่นี่ก็เป็นระบบดิจิตอลที่ควบคุมค่าอัตโนมัติได้แม่นยำรวมทั้งใช้เลเซอร์ในการยิงจุดคำนวณน้ำหนักตะกั่วที่จะต้องใช้ในการถ่วงล้อได้อย่างแม่นยำ




นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นๆ อีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการ Flushing ระบบแอร์ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนอะไหล่ต่างๆ ที่นี่ก็พร้อมให้บริการเช่นกันเปลี่ยนยางก็มีให้เลือกมากมายแถมผ่อนจ่าย 0% อีกด้วยนะครับ










นอกจากศูนย์บริการที่กว้างขวางและทันสมัย ที่นี่ยังมีห้องรับรองสำหรับลูกค้าที่ไม่มีธุระที่ไหน สามารถนั่งรอรับรถได้อย่างสบายๆ ซึ่งมีเครื่องดื่มไว้ให้บริการฟรีทั้งน้ำอัดลมและกาแฟ














หรือจะเลือกฝากรถไว้ที่นี่แล้วไปทำธุระที่อื่นก็สะดวกเพราะศูนย์ฯ อยู่ใกล้กับ BTS ช่องนนทรีและ BRT อาคารสงเคราะห์ เดินทางไปไหนก็สะดวก ทำธุระเสร็จค่อยมารับรถก็สะดวกรวดเร็ว สำหรับศูนย์บริการแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ อยู่ไม่ใกล้กับแยกนราธิวาส – สาทร หากมาจากแยกสาทร จะอยู่ทางขวามือครับจะเห็นศูนย์บริการสีเหลืองสดใสชัดเจน จากนั้นก็กลับรถวนเข้ามาจอดรอรับคิวบริการได้เลยครับ ซึ่งที่นี่ให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 – 21.00 น. เลยครับ ว่างเมื่อไรก็แวะนำรถยนต์มาตรวจเช็คสภาพหน่อยนะครับ เค้าจะได้พาเราไปไหนมาไหนได้นานๆ




Smiley




 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2559 11:53:58 น.
Counter : 5573 Pageviews.  

One fine day กินเที่ยว เขาใหญ่ สบายๆ กับ OPPO R7s




สวัสดีครับ วันนี้ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง ขอพาไปกินไปเที่ยวแบบสบายๆ แบบ one day trip ที่เขาใหญ่ (แต่ขอบอกว่าทริปนี้เน้นกินเป็นส่วนใหญ่ครับ อิอิ) และทริปนี้เป็นทริปแบบสบายๆ เลยขอพากล้องน้องใหม่ จะเรียกว่ากล้องก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะทริปนี้ผมขอพา OPPO R7S รุ่นใหม่ ไปรีวิวแทนกล้อง DSLR เหมือนเคยแทนครับ ซึ่งบอกเลยว่าสบายๆ กว่าเดิมเยอะ เพราะน้ำหนักเบากว่ากล้องใหญ่แน่นอนครับ





สิ้นปีแบบนี้คงไม่มีที่ไหนเหมาะสำหรับการขับรถขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศเย็นๆ สบายๆ ที่เขาใหญ่ แต่ด้วยมีเวลาว่างแค่วันเดียวดังนั้น ที่เขาใหญ่นี่เหมาะสำหรับการไปเที่ยวแบบไปเช้า เย็นกลับได้สบายๆ ครับ เพราะระยะทางไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ใช้เวลาเดินทางเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับผมเดินทางโดยใช้ถนนพหลโยธิน แล้วไปทางเลี่ยงเมืองสระบุรี จากนั้นก็เข้าสู่ถนนมิตรภาพ แล้วก็ขับรถตรงไปทางเขาใหญ่สบายๆ ครับ โชคดีที่วันนั้นรถไม่ติด ขับรถได้สบายๆ



อย่างที่บอกว่าทริปนี้เน้นเรื่องกินเป็นหลัก และด้วยความที่รถไม่ติด ทำให้ไปถึงปากช่องเร็วกว่าที่คิด ดังนั้นจุดหมายแรกที่แวะก็คือ Dairy Home นั่นเองครับ ร้านอาหารที่เป็นอาคารแบบฟาร์มโคนมสีแดง ตั้งเด่นอยู่ริมถนนฝั่งขาเข้า





ร้านนี้เป็นร้านที่ตั้งใจจะแวะหลายครั้ง แต่ก็พลาดทุกที เพราะแวะที่ไรรอคิวนานตลอด แต่วันนี้ไปถึงเร็ว จึงมีโต๊ะว่างพอดี เลยขอแวะทานอาหารรองท้องก่อนครับ เริ่มกันที่ พอร์คชอพ (330+) เสิร์ฟชิ้นใหญ่เหมือนกันครับ เนื้อนุ่ม รสชาติถือว่าใช้ได้ครับ ส่วนอีกจานเป็น สเต็กแกะ (ส่วนขา 390+) จานนี้ถือว่าเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้แย่เกินไปครับ ส่วนเครื่องดื่มเป็น น้ำอัญชันน้ำผึ้งมะนาว  (55+)และ น้ำว่านหางจระเข้ (35+) เสิร์ฟในแก้วไวน์ ทำให้ดูเหมือนเป็นน้ำไวน์แดง กับไวน์ขาวเลยครับ แต่ว่าไม่ใช่ อิอิ รสชาติเครื่องดื่มโอเคเลยครับ ได้ความเป็นสมุนไพรดี แถมเสิร์ฟเพียวไม่ใส่น้ำแข็งเลยครับ สำหรับบรรยากาศด้านนอกร้านก็ดูดี เพราะหลายๆ คนก็แวะออกมาถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนานเชียวครับ เราสองคนก็เลยขอมา Selfie เป็นสายแบ๊วกับเค้าบ้างครับ อิอิ







เสร็จจากร้าน Dairy Home แล้วเราสองคนก็ใช่เส้นทางนี้เพื่อไปยังถนนธนะรัชต์ ได้เลยครับ เพราะทางนี้ถือว่าเป็นทางลัดตรงไปเข้าเขาใหญ่ได้เลยครับ ขับรถไปซักพักขึ้นเขาไปตามทางเรื่อยๆ ก็จะถึงถนนธนะรัตช์แล้วครับ และร้านต่อไปที่จะพาไปชิมกันก็คือร้าน Chocolate Factory ซึ่งอยู่บนถนนธนะรัชต์ ประมาณช่วง กม.12 จากถนนมิตรภาพ ซึ่งเราไปถึงร้านประมาณเที่ยงนิดๆ ขอบอกเลยครับว่าคนแน่นร้าน ต้องรอคิวกันทีเดียว







ด้วยบรรยากาศการตกแต่งที่เหมือน Glasshouse แต่เน้นสีเข้มของสีดำเป็นหลัก ซึ่งคล้ายๆ กับว่าที่นี่เหมือนเป็นโรงงานผลิตช็อคโกแล๊ตเลยก็ว่าได้ ด้วยบรรยากาศที่ดูเข้มขรึม ทำให้แสงในร้านค่อนข้างน้อย แต่ด้วยระบบ Anti-shake Optimizations ที่มากับตัวกล้องของ OPPO R7s ซึ่งเป็นระบบกันสั่นอัตโนมัติ และบวกกับประสิทธิภาพการจับภาพระดับ HD ทำให้ถ่ายภาพได้ง่ายและชัดขึ้นแม้ในพื้นที่แสงน้อยก็ตามครับ



เอาเป็นว่ามาดูเรื่องอาหารกันต่อดีกว่าด้วยความที่เรากินมื้อแรกที่ Dairy Home กันเร็ว และทานไม่ได้เยอะนัก ทำให้เราต้องมาเติมพลังมื้อเที่ยงกันที่นี่อีกรอบ ตอนแรกตั้งใจจะมาทานของหวานอย่างเดียว แต่ด้วยความที่ยังไม่อิ่มดีเลยขอหม่ำของคาวด้วยซะเลยครับ อิอิ ขอเริ่มที่ Pan-fried foie gras with raspberry sauce (580.-) ฟัวกราส์ราดด้วยซอสราสเบอร์รี่ ซึ่งตัวฟัวกราส์นั้นทำได้ดีเลยครับ ด้านนอกกรอบนิดๆ แต่กัดเข้าไปด้านในเนียนนุ่มได้รสชาติดี แถมราดด้วยซอสรสเปรี้ยวอมหวานตัดกับความมันของฟัวกราส์ได้ดีทีเดียวครับ





ตามมาด้วย Charcoal grilled Australian racks of lamb with rose mary suace (780.-) ซี่โครงแกะย่างซอสโรสแมรี่ เนื้อแกะนุ่ม ไม่คาวด้วยครับ หน้าตาน่าทานเชียว







ต่อกันที่ Prosciutto di parma (450.-) พิซซ่าพาร์มาแฮม ขนาด 8 ชิ้น รสชาติดี แต่สรุปทานไม่หมดเพราะอิ่มเกินครับ เลยต้องห่อกลับมาทานที่บ้านต่อ อิอิ



จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยของหวานเย็นๆ ชื่นใจนั่นก็คือ ทีรามิสุ (160.-) นั่นเองครับ เมนูนี้ปลื้มมากเพราะเป็นไอศกรีมที่แต่งหน้าด้วยผงกาแฟมาพร้อมกับวิปปิ้งครีม ช่วยเติมความสดชื่นได้ดีทีเดียวครับ ที่นี่นอกจากจะเป็นร้านอาหารที่นั่งทานแล้ว ยังมีอีกส่วนที่เป็นมุมของหวานโดยเฉพาะช็อคโกแลตให้เลือกซื้อเป็นของฝากอีกด้วยนะครับ







จากนั้นก็ออกมาเดินถ่ายรูปเล่นที่ด้านร้าน เป็นมุมที่มีคนมาเซลฟี่กันเยอะทีเดียวครับ เราสองคนก็เลยขอบ้าง เพราะชอบรูปเซลฟี่ของ OPPO R7s มาก ซึ่งถ่ายออกมาแล้วดูหน้าเนียนใส อ่อนกว่าไวไม่ต้องรีทัชเพิ่มเลยครับ 555



แล้วถ้าหากชอบถ่ายภาพแนว Landscape ที่อยากเก็บภาพแบบเต็มๆ ก็สามารถเลือกฟังค์ชั่นถ่ายภาพแบบพาโนรามาได้นะครับ ใช้งานง่าย แถมได้ภาพสวยสมใจด้วยครับ หรือจะเลือกถ่ายโหมดอื่นๆ ก็เลือกได้ตามใจชอบครับ ไม่ใช้ใช้แอพพลิเคชั่นแต่งรูปเพิ่มเติมให้เสียเวลา สะดวกจริงๆ ครับ



เราใช้เวลาอยู่ที่นี้พอสมควร แต่ยังไม่หมดนะครับ เพราะช่วงบ่ายแก่ๆ เรานัดกับเพื่อนไว้อีกร้าน ซึ่งเป็น café น้องใหม่บนถนนธนะรัชต์ นั่นก็คือร้าน The Mew – Khao Yai นั่นเองครับ อยู่ห่างจากร้าน Chocolate Factory ไปเพียง 2 กม. โดยย้อนกลับไปทางถนนมิตรภาพ ร้านจะอยู่ทางขวามือครับ เราไปถึงที่ร้านก็เกือบบ่ายสามโมงแล้ว  สำหรับที่ The Mew นั้น ถือว่าเป็นคาเฟ่น้องใหม่ที่บรรยากาศดีสุดๆ

ครับ เพราะเป็นคาเฟ่ที่ตกแต่งโดยอยู่รายล้อมด้วยธรรมชาติ ด้านหน้าร้านมีสวนสวยๆ ที่มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน มีมุมให้นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่นกันเพลินเลยครับ แม้ว่าจะเป็นร้านที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ไปถึงปรากฏว่าร้านเต็มครับ ต้องรอโต๊ะซักพัก ก็เลยเดินเล่นภายในร้านชิลๆ ต่อ












สำหรับที่นี่แม้บรรยากาศจะดูเหมือนเป็นร้านกาแฟ แต่ก็มีของคาวให้บริการด้วยนะครับ ขอเริ่มกันที่เมนูเด่นของร้านนั่นก็คือ Mew Curry Puff  หรือกะหรี่ปั๊บฉบับ DIY ของทางร้าน ที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาอาจจะดูแตกต่างจากกะหรี่ปั๊บทั่วไปเพราะที่นี่เค้าแยกไส้กับแป้งออก โดยบอกว่าบางคนอาจจะไม่ชอบแป้ง บางคนอาจจะไม่ชอบไส้ ก็เลยแยกออกมาแล้วเลือกทานได้ตามใจชอบครับ ถือว่าแปลกตา แต่รสชาติก็อร่อยดีนะครับ




จากนั้นก็มาต่อกันที่ Homemade Herbal Fettuccine White Sauce with Black Truffles เฟตตูชินี่สมุนไพรไวท์ซอส สูตรของ The Mew ผัดเคล้ากับเห็ดทรัฟเฟิล หอมอร่อย ที่สำคัญไม่เลี่ยนด้วยครับ




ส่วนที่เด่นสุดๆ ของที่นี่ก็น่าจะเป็นของหวานครับ เพราะ Homemade Scone with Three Sauces สโคนสูตรโฮมเมด ที่มาพร้อมกับซอสสามแบบ คือ แยม เนย และเสาวรสครับ ที่ชอบสุดก็เป็นซอสเสาวรสนี่แหละครับ รสเปรี้ยวนิดๆ ตัดกับตัวสโคนได้อร่อยลงตัวเชียวครับ




และอีกเมนูที่ขอแนะนำนั่นก็คือ Mrs. Mew and Friend Tea Set เซ็ตน้ำชาหอมๆ น่ารักๆ ที่มาพร้อมกับขนมและของว่างมีให้เลือกหลากหลาย เสิร์ฟขนาดพอดีคำ ที่ชอบสุดเห็นจะเป็นทาร์ตมะม่วงครับ หอมหวาน อร่อยมากๆ




สำหรับเครื่องดื่มที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลายเช่นกันไม่ว่าจะเป็นชาหอมๆ หรือกาแฟร้อนซักแก้ว ก็ช่วยเติมความสดชื่นได้อย่างดีทีเดียวครับ สำหรับราคาอาหารและขนมที่ร้าน The Mew ต้องขออภัยด้วยนะครับที่จำไม่ได้ เอาเป็นว่าใครผ่านไปผ่านมาแถวถนนธนะรัชต์ก็ลองแวะดูนะครับ เพราะแถวนั้นมีร้านน่ารัก น่านั่งให้เลือกหลายร้านทีเดียวครับ หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารทั้ง 3 ร้านแล้วก็ได้เวลาขับรถกลับบ้านแล้วครับ เห็นมั้ยละครับทริปนี้เน้นกินจริงๆ เพราะอิ่มอร่อยทุกร้านที่แวะเลยครับ แถมแต่ละร้านก็บรรยากาศดีสุด










และสำหรับรีวิวนี้รูปทั้งหมด (ยกเว้นรูปที่ถ่ายเห็นสมาร์ทโฟน) นั้นเป็นรูปที่ถ่ายจากกล้องของ OPPO R7s ซึ่งที่ผมชอบมากๆ ก็คือ ถ่ายภาพอาหารได้ชัดมาก กล้องหลังขนาด 13 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล รูปทั้งหมดนั้นไม่ได้นำออกมารีทัชเพิ่มเติมแต่อย่างไร มีบางรูปแค่ปรับแสงให้ดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีการนำมาปรับสี หรือความคมชัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะให้ได้เห็นว่ารูปที่ออกมาจากกล้องนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งหากจะแต่งภาพก็ทำได้ง่ายๆ เพียงใช้ฟังค์ชั่นที่มีในเครื่องก็สามารถปรับแต่งภาพได้สบายๆ ไม่ต้องแต่งภาพคอมพิวเตอร์ครับ






ไม่ว่าจะเป็นการที่เราถ่ายภาพติดคนอื่น ซึ่งหากอยากจะทำโมเสกที่หน้าคนเหล่านั้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ




หรือหากถ่ายภาพที่อยากเน้นอาหารอย่างเดียว เราก็สามารถเลือกฟังค์ชั่น Blur Background แค่นี้ก็ทำให้อาหารดูโดดเด่นน่าทานสุดๆ ครับ






นอกจากเรื่องรูปถ่ายที่คมชัดแล้ว และฟังค์ชั่นการถ่ายภาพที่มีให้เลือกหลากหลายแล้ว เรื่องการเร็วของตัวเครื่องก็ถือว่าโอเคด้วยครับกับ Ram 4 GB นอกจากเร็วแล้วยังถ่ายภาพได้เยอะ และนานทั้งวัน แถมยังชาร์จแบตได้เร็วเพราะระบบ VOOC Flash Charge อันนี้รู้สึกได้จริงๆ ครับ ซึ่งอีกอย่างที่ช่วยได้เยอะเลยก็คือน้ำหนักเบา บาง พกง่าย สะดวกกว่ากล้อง DSLR หลายเท่าครับ เท่านี้ไม่ว่าจะทริปเล็กทริปใหญ่ก็สามารถพึ่งพารูปสวยๆ จากสมาร์ทโฟนได้ง่ายๆ แล้วครับ




สำหรับรีวิวนี้ต้องขอจบเพียงเท่านี้ และต้องขอบคุณ OPPO R7s ที่ช่วยสนับสนุนการรีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ Smiley




 

Create Date : 13 มกราคม 2559    
Last Update : 13 มกราคม 2559 17:06:45 น.
Counter : 1560 Pageviews.  

One Day Trip สบายๆ ไปกับ New Toyota Avanza

ช่วงนี้เราสองคนนั้นงานเยอะและยุ่งจนแทบไม่ค่อยมีเวลาว่างไปเที่ยวไหนเท่าไรนัก แต่ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหนถ้ามีเวลาว่าง แค่วันเดียวก็ขอออกไปขับรถเที่ยวพักผ่อนให้ชื่นใจซักหน่อยซึ่งครั้งนี้ก็ขอขับรถเที่ยวแบบ One day trip ซึ่งแน่นอนว่าเราสองคนชอบทะเลเป็นที่สุด แต่มีเวลาแค่วันเดียวก็นึกถึง พัทยาบางแสน ขึ้นมาทันทีครับ เพราะว่าเดินทางไม่ไกล แถมที่กินที่เที่ยวก็มีให้เลือกเยอะด้วยครับ ดังนั้นทริปนี้จึงขอไปเที่ยวสบายๆกันซักหน่อยครับ




ปกติแล้วเราสองคนเวลาไปเที่ยวก็ชอบที่จะขับรถเที่ยวเพราะว่าเป็นพวกบ้าหอบฟาง อะไรที่ติดรถไปได้ก็จะเอาไปด้วยตลอด ใช้ไม่ใช้ค่อยว่ากันอีกที ยิ่งทริปนี้เราไปกับ Toyota Avanza ใหม่ ที่มีจุดเด่นเรื่องพื้นที่ว่างในรถไม่ว่าจะเดินทางกัน 6-7 คน ก็สะดวก เพราะในรถมีที่นั่ง 3 แถว นั่งกันได้สบายๆหรือหากไปกันสองคนก็สบายเลยครับ เพราะมีที่เหลือสำหรับขนของเพียบเลยเอาเป็นว่าพร้อมเดินทางกันรึยังเอ่ย Smiley



เราเริ่มต้นทริปกันที่ The Promenade รามอินทรา เพราะมีนัดรับของเล็กๆ น้อยๆ กับเพื่อนซึ่งแน่นอนว่า รถ Avanza ใหม่ มีพื้นที่พอรับของจากเพื่อนได้สบายๆซึ่งครั้งนี้เราพกจักรยานพับได้ และห่วงยางโดนัทใบใหญ่เบิ้มไปด้วยซึ่งสามารถเป่าลมได้เต็มที่ ไปถึงทะเลก็เอาไปเล่นได้สบายๆ แล้วครับของชิ้นใหญ่ขนาดไหนก็เอาอยู่ เพียงแค่พับที่นั่งแถว 2 กับแถว 3ก็สามารถพกพาของได้เยอะขึ้นมาก พร้อมทั้งแวะจิบกาแฟเติมความสดชื่นก่อนเดินทาง



แน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการขับรถออกต่างจังหวัดก็คือเสียงเพลงดังนั้นจึงต้องเตรียมเพลงโปรดใส่แฟรชไดรฟ์เพราะสามารถเสียบเล่นเพลงให้ฟังระหว่างขับรถได้เพลินๆแถมหน้าจอของ New Toyota Avanza ยังเป็นระบบ Touch Screen และยังมีรีโมทด้วยนะครับ ทำให้ง่ายต่อการใช้งานอีกด้วยที่สำคัญยังมีฟังก์ชั่นที่เชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟน หรือเชื่อมต่อ internet ได้อีกด้วยนะครับเอาเป็นว่าเอนเตอร์เทนได้เต็มที่ครับ และหน้าจอยังสามารถแสดงภาพกล้องมองหลังเวลาถอยรถด้วยนะครับช่วยให้การถอยรถง่ายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย







จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังถนนกาญจนาภิเษกมุ่งไปยังบางนาเลี้ยวตัดเข้าไปยังทางหลวงหมายเลข 7 หรือถนนมอเตอร์เวย์นั่นเองครับโดยทริปนี้ขอเริ่มต้นแวะไปสักการะหลวงพ่อโสธรฯ ก่อนครับ จะได้เดินทางปลอดภัยรวมทั้งขอพรด้านอื่นๆอีกด้วย อิอิ การเดินทางก็ใช้ถนนมอเตอร์เวย์นี่แหละครับแต่ออกช่องทางที่มุ่งหน้าไปยังฉะเชิงเทรา แล้วก็ตรงดิ่งไปเรื่อยๆก็จะมีป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไปยังวัดโสธรฯ ซึ่งเดินทางไม่ยากครับโดยที่นี่มักจะมีปัญหาเรื่องที่จอดรถซึ่งบางคนก็ไม่ค่อยมั่นใจในการจอดรถภายในวัดมากนัก ส่วนใหญ่แล้วผมมักจะจอดรถในโรงเรียนซึ่งสะดวก มีที่จอดรถมากมายแถมไม่ต้องกังวลกับร้านค้าที่มากดดันเรื่องของซื้อของไหว้ในวัดด้วยครับจากนั้นก็เข้าไปกราบไหว้ขอพรหลวงพ่อโสธรฯได้อย่างสบายใจแล้วครับ













เสร็จแล้วก็วกกลับทางเดิมมาขึ้นมอเตอร์เวย์อีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังพัทยาเลยครับ โดยเราตรงดิ่งกันไปที่ Mimosa Pattaya ถือว่าเป็นจุดเช็คอินสุดฮิตอีกแห่งของพัทยาครับสามารถแวะเดินเล่น ช้อปปิ้ง ได้ตามสบาย หากมาช่วงเย็นๆ ก็จะมีโชว์การแสดงของที่นี่ด้วยนะครับ






พอเสร็จจากมิโมซ่าก็ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี เลยขอแวะเติมพลังก่อนไปต่อโดยผมแวะร้านส้มตำชื่อดังของพัทยา นั่นก็คือร้านส้มตำป้ามล นั่นเองครับ ร้านนี้อยู่ตรงข้ามมิโมซ่าครับอยู่ริมถนนมีที่จอดรถมากมาย สะดวกสบาย แถมภายในร้านก็กว้าง โล่ง โปร่งลมพัดเย็นสบายๆ มื้อนี้เลยขอจัดเบาๆ โดยเริ่มที่ส้มตำปูม้า (50.-) ราคาเบาๆเพราะปูม้าที่ให้มานั้นตัวเล็กๆ รสชาติก็จัดจ้าน แต่ติดหวานเล็กน้อย ต่อที่ ลาบทะเล(70.-) จานนี้พลาดสุดๆ ครับเห็นเป็นเมนูแนะนำเลยสั่งมาสรุปทะเลนิดเดียวส่วนใหญ่เป็นเห็ดหูหนูขาว จานนี้ไม่ผ่านครับแต่สองจานที่เหลืออร่อยมากไม่ว่าจะเป็น ไก่ทอดใบเตย (70.-) และหมูทอดตะไคร้ (70.-) ซึ่งทอดมาได้แห้ง และอร่อย มีรสชาติสมุนไพรอยู่ด้วยสรุปสองจานนี้หมดเกลี้ยงในพริบตาครับ โดยรวมแล้วถือว่ารสชาติโอเค ในราคาที่รับได้ แถมอาหารก็เสิร์ฟเร็วไม่รอนานแม้ว่าจะมีลูกค้าในร้านหลายโต๊ะก็ตามครับ









หลังจากอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าต่อไปทางสัตหีบเพราะเป้าหมายต่อไปคือแวะไปที่วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหารซึ่งเป็นวัดอารามหลวงชั้นเอก เพื่อแวะไปไหว้พระและแสดงความเคารพถึงบุญกุศลของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งท่านเป็นองค์ประธานในการจัดสร้างวัดแห่งนี้ครับ








ไหว้พระเรียบร้อยก็ไปต่อยังวิหารเซียน หรือ อเนกกุศลศาลา เป็นแหล่งรวมของงานศิลปะของไทย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดญาณฯ ครับ โดยมีป้ายบอกทางตลอดที่วิหารเซียนแห่งนี้เสียค่าเข้าชม 50 บาท/คน ซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะภายในเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่รวมศิลปกรรมไทย-จีน ที่สำคัญหลายอย่าง เหมาะสำหรับการไปศึกษาและเรียนรู้มากๆครับ










จากนั้นก็ไปต่อยังไร่องุ่นซิลเวอร์เลค (Silverlake) ไร่องุ่นที่ถือว่ามีบรรยากาศดีโด่งดังมาจากการเป็นฉากในละครเรื่องสูตรเสน่หา (นำแสดงโดย เคน ธีรเดช และ แอนทองประสม) จริงๆ แล้วสมัยก่อนเรามาที่ไร่นี้บ่อย แต่ก็นานมาแล้วดังนั้นจึงอยากขอมาย้อนรอยอีกครั้ง ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าอากาศคงเย็นสบายเพราะช่วงเช้าถือว่าเริ่มหนาวแล้วเหมือนกัน แต่ปรากฎว่ามาถึงที่ไร่แดดเปรี้ยงเลยครับ ร้อนสุดๆ ดีนะที่ยังมีลมพัดเย็นๆ บวกกับบรรยากาศที่สวยงามในไร่ถือว่ายังพอทนได้ครับ ซึ่งที่นี่ถือว่าเปลี่ยนไปเยอะ มีการต่อเติมอาคารขึ้นมารองรับนักท่องเที่ยวเยอะเลยครับ โดยหากใครจะเข้าไปชมภายในไร่ก็ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ70 บาท ที่สำคัญเข้าห้องน้ำต้องเตรียมเหรียญห้าบาทไว้หยอดด้วยนะครับแต่ด้วยบรรยากาศร้อนๆ ตอนเที่ยงแบบนี้ ขอแวะมาจิบน้ำองุ่นเย็นชื่นใจพร้อมกับชมบรรยากาศสวยๆ อยู่ด้านนอก ก็ถือว่าคุ้มค่แล้วครับโดยด้านข้างของไร่องุ่นคือเขาชีจรรย์ สถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สลักบนหน้าผาที่มีชื่อเสียงด้วยนะครับเรียกได้ว่าถ้ามาแถวนี้ ได้เที่ยวสถานที่สำคัญๆ ถึง 4 แห่ง อยู่ใกล้กันด้วยนะครับซึ่งมีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เที่ยวครบแล้วครับ
















หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเมืองพัทยาเพราะตั้งใจจะไปจิบกาแฟดูวิวสวยๆ บนเขาพระตำหนัก โดยร้านที่จะไปแวะนั่งพักก็คือร้าน Coffee Break Pattaya ซึ่งร้านจะอยู่บนเขาพระตำหนักพอดีโดยทางขึ้นเขาค่อนข้างเล็กและชัน การขึ้นเขาแบบนี้ไม่ต้องห่วงครับ เพราะว่า New Toyota Avanza มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่Dual VVT-i รวมทั้งช่วงล่างใหม่ที่รองรับทุกสภาพถนน ขับขึ้นไปได้อย่างง่ายดายไม่มีปัญหาเลยครับและบริเวณร้านมีที่จอดรถน้อยดังนั้นเมื่อเจอที่จอดรถตรงทางขึ้นเขาก็รีบแวะจอดเลยครับโชคดีที่วันนั้นได้ที่จอดตรงหน้าร้านพอดี ซึ่งก็เป็นทางลาดชันแต่ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการจอดครับ สามารถจอดรถได้สบายๆ สำหรับร้านนี้ตัวร้านเป็นรถตู้สีส้มน่ารักๆโดยมีที่นั่งซึ่งเป็นจุดเด่นของร้านนั่นก็คือวิวที่มองเห็นเมืองพัทยาได้ทั้งเมืองเป็นวิวที่สวยงามสุดๆ ซึ่งแน่นอนว่าวิวสวยๆ แบบนี้ลูกค้าแน่นร้านแน่นอนครับถ้ามีโต๊ะว่างก็รีบจับจองก่อนเลยจากนั้นก็สั่งกาแฟลาเต้เย็นๆ (55.-)ซักแก้ว และก็บลูเบอร์รี่โซดา (50.-)สำหรับเครื่องดื่มอาจจะรอนานนิดนึงเพราะลูกค้าค่อนข้างเยอะแต่ก็ไม่ซีเรียสเพราะวิวสวยๆ ที่อยู่ตรงหน้าทำให้นั่งรอได้สบายๆแต่ก็ขอรองท้องด้วยขนมปังทาเนยซักแผ่น (30.-) แค่นี้ก็ฟินแล้วครับ









พักผ่อนจิบกาแฟเติมความสดชื่นแล้วก็ขอขับรถไปยังบางแสนต่อนะครับเพราะแถวพัทยารถติดและดูคนเยอะเกิน การเดินทางก็ไม่ยากครับออกจากพัทยาปุ๊บก็หาทางขึ้นมอเตอร์เวย์ มุ่งหน้าไปทางกลับกรุงเทพฯเพื่อเลี่ยงถนนสุขุมวิทครับ โดยไปลงบางแสนได้เลย แค่นี้ก็ประหยัดเวลาไปเยอะครับไม่ได้แวะมาบางแสนตั้งนาน รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้บางแสนสะอาดขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะขยะในทะเลก็น้อยลง รู้สึกว่าน้ำจะใสกว่าแต่ก่อนด้วยนะครับแต่ที่เหมือนเดิมคือคนเยอะมากกกกก







หลังจากเดินเล่นน้ำริมชายหาดบางแสนแล้วก็ได้เวลาไปชมพระอาทิตย์ตกดินกัน ซึ่งเมื่อก่อนเวลามาที่บางแสนก็มักจะแวะขึ้นไปบนเขาสามมุกเพราะที่นี่ถือว่าเป็นมุมที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในบางแสนแล้วครับซึ่งเย็นๆ ใกล้เวลาก็จะเห็นรถจอดเรียงรายกันเพราะรอชมบรรยากาศสวยๆเราสองคนก็ไม่พลาดเช่นกัน แต่จอดรถแถวนี้สิ่งที่ต้องระวังเลยก็คือลิงนั่นเองครับเราก็เลยเลือกจอดในจุดที่ไม่ค่อยมีลิงพลุกพล่านเท่าไร เรียกว่าปลอดภัยไว้ก่อนระหว่างรอเวลาก็ขอเอาจักรยานที่เราพกใส่ถ้ายรถมาปั่นเล่นแถวนี้ซักพักละกันครับ และรถAvanza ใหม่ ก็ยังสามารถปรับเบาะรถด้านหลัง ทำเป็นเบาะนอนดูวิวเล่นสบายๆโดยไม่ต้องพึ่งเก้าอี้แถวนั้นเลยครับ ถือว่าสะดวกสบายแล้วก็ปลอดภัยดีด้วยเรียกได้ว่านอกจากจะขนของได้เยอะแล้วยังสามารถปรับให้เป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจได้อีกด้วยครับ






















หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วก็ได้เวลามื้อเย็นแล้วครับเย็นนี้เราขอแวะทานอาหารทะเลใกล้ๆ นี่แหละ กับร้านครัวปะการัง ร้านดังของบางแสนเค้าเลยครับซึ่งร้านนี้อยู่ตรงทางลงเขาสามมุกเลี้ยวขวามาไม่ไกลก็จะเจอร้านครับจากนั้นก็เลี้ยวซ้ายหาที่จอดได้สบายๆ บรรยากาศร้านก็ถือว่าดีครับ เพราะเป็นร้านเรือนไม้ที่อยู่ริมทะเลพอดีแม้จะมืดแล้วแต่บรรยากาศก็ถือว่าชิลดีครับ สำหรับมื้อนี้ขอจัดเต็มอาหารทะเลกันซักหน่อยครับโดยเริ่มที่ หอยแมลงภู่อบหม้อดิน (150.-) เสิร์ฟร้อนๆ หอยดูสด สะอาดยิ่งได้น้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้าน อร่อยลงตัวครับ ต่อด้วยเมนูเผ็ดร้อนอย่าง รวมมิตรผัดฉ่า(190.-) ทะเลผัดฉ่ารสเผ็ดร้อน ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยสุดๆ ตามมาด้วย ปลากะพงนึ่งมะนาว(380.-) ปลาตัวโตเนื้อแน่น เสิร์ฟมาในหม้อไปร้อนๆ น้ำยำรสเปรี้ยวจี๊ด จัดจ้านตัดกับรสหวานของเนื้อปลาได้ดีเลยครับจากนั้นก็ปิดท้ายด้วยเมนูซีฟู้ดสุดโปรดของเรานั่นก็คือ ปูทะเลนึ่ง(ตัวละครึ่งโล 425.-) ปูเนื้อตัวใหญ่ เนื้อหวาน สด อร่อยมากๆ เราสองคนแกะ แทะจิ้มน้ำจิ้มกันมันมือเลยครับ สรุปมื้อนี้ อร่อยสะใจสุดๆราคาก็ถือว่าไม่แรงเกินไปด้วยครับ










เมื่ออิ่มมื้อเย็นแล้วฟ้าก็มืดสนิท ดังนั้นก็ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้วครับ ซึ่ง One Day Trip ในครั้งนี้ถือว่าเช็คอินได้ครบทั้งที่กิน ที่เที่ยวแถมยังได้เดินทางมากับ New Toyota Avanza ซึ่งสามารถขนความสุขของเราสองคนมากันได้เยอะทีเดียวที่สำคัญด้วยเครื่องยนต์ใหม่ทำให้น้ำมันเต็มถังไปกลับ ได้สบายๆไม่ต้องแวะปั๊มเติมน้ำมันด้วยนะครับ ถือว่าประหยัดน้ำมันพอสมควรเอาเป็นว่าทริปนี้ต้องขอบคุณ New Toyota Avanza ที่พาเราสองคนไปพบกับความสุขในช่วงเวลาสั้นๆในหนึ่งวันได้อย่างเต็มที่ครับ ใครที่กำลังมองหารถยนต์อเนกประสงค์ในราคาสบายกระเป๋า ที่ปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น









ภายในก็เพิ่มฟังค์ชั่นการใช้งานให้เหมาะกับทุกสภาวะที่นั่งตอนหลังก็มีช่องปรับอากาศช่วยเพิ่มความเย็นได้อย่างทั่วถึงทุกที่นั่งที่สำคัญเบาะแถวที่ 2 และ 3 สามารถปรับพับได้เป็นอิสระต่อกันจึงสามารถปรับพับเพื่อเพิ่มพื้นที่การบรรทุกของได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะจุคนหรือจุของก็ทำได้ดี ถ้าอยากลองสัมผัสด้วยตัวเองก็แวะไปทดลองขับ New Toyota Avanza ได้ที่โชว์รูมโตโยต้าใกล้บ้านได้นะครับ Smiley





 

Create Date : 13 มกราคม 2559    
Last Update : 13 มกราคม 2559 14:14:24 น.
Counter : 2008 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.