ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 5

1 ทุ่มกว่าๆ มายืนเคาะประตูห้อง 2 หนุ่มมาเก๊า เพราะนัดกันไว้ว่าจะออกไปกินข้าวด้วยกัน ออกจากโรงแรมมาหันซ้ายหันขวาว่าจะไปทางไหนดี เมืองห่ายหลัวโกวนี่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มีถนนสายหลักผ่ากลางเมืองแค่ 1 เส้นเท่านั้น แล้วโรงแรมที่พวกเราพักกันนี่อยู่ด้านล่างๆ ของทางขึ้นเนิน พวกเราต้องเดินตามถนนขึ้นเนินไปเพื่อที่จะหาร้านอาหารกัน เดินผ่านไปก็หลายร้านแล้วแต่ยังไม่ถูกใจพวกเราทั้ง 4 คนเลยเดินกันต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างทางจะมีร้านค้าขายของที่ระลึกซึ่งโดยส่วนใหญ่จะขายของเหมือนกันหมดเลย และในช่วงที่เดินหาร้านอาหารกันอยู่นั้นเราเล็งบริษัทนำเที่ยวที่หนึ่งเอาไว้ คิดในใจว่ากินข้าวเสร็จจะเดินเข้าไปถามเรื่องธารน้ำแข็งห่ายหลัวโกวที่จะไปในวันพรุ่งนี้ เพราะเริ่มหวั่นใจว่าอาจจะอดได้ยลโฉมธารน้ำแข็งกันเนื่องจากเวลาไม่ลงตัว



เมืองห่ายหลัวโกวนี่เงียบมากๆ แม้แต่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเห็นเลย แต่เท่าที่สังเกตจากจำนวนรถที่จอดตามโรงแรมต่างๆ นั้นเยอะมากๆ แต่อาจจะเลยเวลาอาหารเย็นกันไปแล้ว เลยเข้าห้องนอนกันหมด เหลือแต่ 4 หนุ่ม 2 สัญชาตินี่เท่านั้นที่เดินตากลมหนาวหาข้าวกิน ทั้งๆ ที่ตอนที่พวกเราเดินกันอยู่นี่ประมาณเกือบๆ 2 ทุ่มแล้วแต่ว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่เลย เดินขึ้นมาจนมาเจอร้านนี้เข้าเห็นแล้วรู้สึกถูกชะตาทันที อาจจะเป็นเพราะว่าหิวมากแล้วก็ได้เลยไม่อยากเดินต่อไป หรือเป็นเพราะที่ผนังร้านแขวนเนื้อชิ้นใหญ่มาก 6 – 7 ชิ้น ดูจากสีเนื้อแล้วคาดว่าน่าจะเป็นเนื้อวัวขน หรือจามรีนั่นเอง (毛牛 , maoniu) ทั้ง 4 คนเดินเข้าไปนั่งทันที คนขายเป็นสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง โดยที่สามีเป็นคนทำอาหาร ภรรยาคอยบริการลูกค้า อาหารที่ร้านนี้มีขายก็ประมาณว่าผัดผัก แกงจืด ข้าวผัด เหมือนร้านอาหารตามสั่งบ้านเรา

พวกเราสั่งผัดผัก ผัดเต้าหู้ และแกงจืดใส่เนื้อจามรี รสชาติดีถูกปากพวกเราทั้ง 4 คนมากๆ หนุ่มมาเก๊าคนหนึ่งครึ้มอกครึ้มใจสั่งเหล้าพื้นเมืองมากินกัน โดยมีพี่เขาออกแรงเชียร์ด้วย หน้าตาของเหล้าแปลกมากๆ เพราะว่าใส่มาเป็นกาแบบกาต้มน้ำบ้านเราเลย พอเปิดดูข้างในปรากฏว่าเป็นเหล้าดองแน่ๆ เพราะมีเมล็ดอะไรไม่รู้เต็มกาเลย พี่เขาลองชิมดูแล้วไม่ไหวทั้งกลิ่น และรสชาติไม่ถูกปากเลย 2 หนุ่มนั่น ฟาดซะเกือบหมดกาเลย



พวกเรา 4 คนท้องอิ่มแล้วเลยเดินย่อยอาหารกันสักพักก่อนจะเดินย้อนกลับทางเดิมเพื่อกลับที่พักกัน ร้านค้าที่พวกเราเดินผ่านนี่เงียบเหงามากๆ เลย เห็นแต่คนขายหรืออาจจะเป็นเพราะว่าร้านค้าตั้งแต่ใกล้ๆ กับโรงแรมที่พวกเราพักจนมาถึงที่นี่ทุกร้านขายของเหมือนกันหมดเลย คือทุกร้านจะขายพวกภาพวาดแบบฑิเบต หมวกสร้อยคอ สร้อยข้อมือที่ทำจากหิน หรือว่าทำจากหินฑิเบต ระหว่างทางสายตาก็เหลือบไปเห็นชาวตะวันตก 2 คนกำลังนั่งกินของปิ้งๆ ย่างๆ แกล้มเบียร์กระป๋องอยู่ ร้านประเภทนี้มีเยอะมากจะขายของสารพัดที่สามารถนำมาเสียบไม้ย่างไฟได้ เช่น เนื้อหมู วัว แพะ ปลา ไก่ ลูกชิ้น สารพัดเห็ด แตงกวา และอีกสารพัดอย่าง โดยระหว่างที่ย่างอยู่นั้นจะมีการโรยผงเครื่องเทศให้ทั่วของที่ย่างนั้นๆ เป็นการปรุงรสให้อร่อย (ซึ่งอร่อยจริงๆ) เป็นหนึ่งในของโปรดของพวกเราเลยทีเดียว มีขายทุกเมืองหาง่ายกว่าลูกชิ้นปิ้งที่ประเทศไทยอีก ต้องหาซื้อกินกันทุกครั้งที่มีโอกาสไปเที่ยวประเทศจีน



พวกเราทั้ง 4 แวะเข้าบริษัทนำเที่ยวที่หมายตาเอาไว้ตอนขาไป โดยเรายกหน้าที่ในการถามรายละเอียดให้ 2 หนุ่มมาเก๊านั่นไปเลย เพราะว่าพวกเรา 2 คนหมดอารมณ์ตั้งแต่หนุ่มตี๋เจ้าของบริษัทบอกว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 – 6 ชั่วโมงในการเดินเข้าไปและกลับออกมา (สำหรับคนเดินอึดนะ) แต่ว่ารถจากเมืองห่ายหลัวโกวไปเมืองคังติ้งนั้นหมดประมาณบ่าย 3 โมงเย็น ถ้าไม่ทันรถต้องเหมารถไปเองคันละ 250 – 300 หยวน (ไม่มีรถประจำทางวิ่งระหว่างเมือง 2 เมืองนี้มีแต่รถตู้รับจ้างวิ่งเท่านั้น) พวกเรา 2 คนเลยขอข้ามโปรแกรมนี้ไปละกัน เนื่องจากว่าเป้าหมายหลักของพวกเราอยู่ที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติย่าติง อื่นๆ ถือว่าเป็นสีสันในการเดินทาง ไว้คราวต่อไปค่อยมาเก็บที่นี่อีกที หนุ่มตี๋เจ้าของบริษัทอาสาจองรถไปคังติ้งรอบ 7 โมงเช้าให้พวกเรา ค่ารถคนละ 60 หยวน ก่อนอำลาจากมาเราเลยขอนามบัตรทั้งหนุ่มตี๋เจ้าของบริษัท และ 2 หนุ่มมาเก๊านั่นเก็บไว้ด้วย เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว พอพวกเราไปไม่ได้ 2 หนุ่มมาเก๊าเลยขอเปลี่ยนโปรแกรมเป็นการเดินป่าแบบ 2 วัน 1 คืน โดยนอนค้างคืนในป่า 1 คืน เนื่องจากว่าต้องการเดินเท้าเข้าไปดูธารน้ำแข็งเยี่ยนจึโกว (燕子沟冰川, yanzigoubingchuan) ซึ่งอยู่ลึกกว่าธารน้ำแข็งห่ายหลัวโกว โดยหนุ่มตี๋นี่จะเป็นคนนำทางให้ อีกทั้งยังนำรูปภาพ พร้อมกับบรรยายความสวยงามต่างๆ นานาให้พวกเรา 2 คนน้ำลายไหลอีก แต่ไม่เป็นไรฝากไว้ก่อนละกัน เพราะถ้ากลับมาคราวหน้าคงต้องมาพึ่งพาหนุ่มตี๋นี่อีกแน่นอน

พวกเรา 2 คนเดินออกจากบริษัทของหนุ่มตี๋นั่นออกมาก่อน 2 หนุ่มมาเก๊าเพราะว่าทั้ง 3 คนกำลังวางแผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้กัน คาดว่าอีกนาน ดังนั้นกลับไปนอนเอาแรงก่อนดีกว่า ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมนั้นไม่ได้รู้สึกเสียดายเท่าไหร่ที่ไม่ได้ไปธารน้ำแข็ง เนื่องจากว่าเป็นโปรแกรมฉุกเฉินที่เราเปลี่ยนกะทันหันก่อนเดินทางมาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และเพื่อไม่อยากให้กระทบกับเป้าหมายหลักของการเดินทางในครั้งนี้ คือพวกเราตั้งเป้าไว้ว่าต้องไปถึงที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติย่าติง ให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นค่อยว่ากัน



Create Date : 28 กันยายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2550 13:29:48 น. 1 comments
Counter : 551 Pageviews.  

 


โดย: kampanon วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:15:09:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

liminghui
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add liminghui's blog to your web]