ท่องเที่ยวต่างประเทศ
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 25
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 24
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 23
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 22
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 21
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 20
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 19
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 18
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 17
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 16
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 15
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 14
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 13
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 12
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 11
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 10
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 9
ย่าติง แชงกรีล่า แห่งสุดท้าย ตอนที่ 8
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 7
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 6
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 5
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 4
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 3
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้ายตอนที่ 2
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 1
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย
ย่าติง แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ตอนที่ 23
ทันทีที่เรากับเพื่อนเดินไปถึงจุดนัดพบตอน 10 โมงเช้า คนจีนผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่าเขาได้ไกด์คนใหม่แล้วราคาถูกกว่าด้วย (60 หยวน) ให้เราไปยกเลิกไกด์สาวซะ เล่นเอาเรากับเพื่อนเราอึ้งไปเลย (ใครจะกล้าไปพูดล่ะ) แต่เรากับเพื่อนก็บอกว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ ไกด์สาวเขาคงไม่ยอมหรอก ซึ่งก็จริงๆ พอเธอรู้เข้าดกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย เดือดร้อนเรากับเพื่อนต้องเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย จนสุดท้ายคนจีนกลุ่มนั้นจึงจะยอมโดยจ่ายค่าเสียเวลาให้ไกด์คนใหม่ไป 10 หยวน เรื่องถึงจบ
หลังจากหมดปัญหาเรื่องคนนำทางและเพื่อนร่วมทางมากันครบแล้ว ไกด์สาวก็สำรวจเสื้อผ้าทีละคนๆ เลย แล้วบอกให้เรากลับไปเปลี่ยนเสื้อตัวนอกมาใหม่เพราะว่าที่เราใส่อยู่นั้นมันบางเกินไป แล้วยังบอกอีกว่าที่ที่พวกเราจะไปนั้นอยู่สูงกว่าที่นี่ประมาณ 200 300 เมตร (สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 4,500 เมตร) ลมแรงมาก เธอพูดจบปุ๊บเรารีบหันหลังค่อยๆ เดินกลับไปที่เต็นท์เปลี่ยนเสื้อทันทีเลย ไม่อยากทำให้คนอื่นเสียเวลาเพราะเราคนเดียว
บริเวณจุดนัดพบของพวกเรา เป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ มีลำธารเล็กๆ ไหลลัดเลาะคดเคี้ยวผ่านกลางทุ่งหญ้า เสียแต่ว่าท้องฟ้าวันนี้ปิดสนิทมองไม่เห็นพระอาทิตย์เลยไม่อย่างนั้นบรรยากาดีสุดๆ ไก๊ด์สาวนำพวกเราเดินข้ามลำธาร
เล็กๆ ไปฝั่งตรงข้าม เส้นทางที่พวกเราเดินอยู่นี่นั้นเป็นช่องเขาลมแรงมาก บางช่วงถึงกับสั่นเลย (นึกขอบคุณไกด์สาวที่ไล่เราให้ไปเปลี่ยนเสื้อ) พวกเรา 6 คนเดินตามไกด์สาวไปเรื่อยๆ เราลองเลียบๆ เคียงๆ ถามเธอว่าต้องเดินกันประมาณกี่ชั่วโมงถึงจะได้เห็นทะเลสาป เธอบอกว่าเรากับเพื่อน 2 คน และคนจีนอีก 1 คน ไป กลับประมาณ 3 ชั่วโมง แต่ที่เหลือน่าจะ 4 ชั่วโมง พอได้ยินตอนแรกก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมใช้เวลานานจัง เดินไปเรื่อยๆ ถึงได้รู้เพราะทางเดินชันมาก บางช่วงเกินกว่า 40 องศา ยิ่งเดินยิ่งสูง ยิ่งเหนื่อยง่าย เพราะที่พวกเราจะไปทั้ง 2 ทะเลสาปอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 4,000 กว่าเมตรขึ้นไป เดินไปได้ไม่นานก็เหนื่อยหอบแล้ว แต่เหลือบมองไกด์สาวเราอาการยังปกติมากๆ
ช่วงแรกๆ เส้นทางที่เดินยังไม่ชันมากนัก มีบ้างบางช่วงที่ต้องออกแรงปีนกันเลยทีเดียว เป็นทางเดินขึ้นเขาตลอดเส้นทางเลย รอบข้างยังพอเห็นสีเขียวๆ อยู่บ้าง ลองมองย้อนกลับไปทางที่พักเห็นแต่ทุ่งหญ้าสีเขียว ไกด์สาวหันมาบอกพวกเราว่าจะพาเดินไปทะเลสาปนมวัว (牛奶海, niunaihai) ก่อน แต่พวกเราเหมือนไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไหร่เพียงแต่รู้สึกว่ารูจมูกที่มีติดตัวมา 2 รูท่าทางจะน้อยเกินไปซะแล้ว เพราะไม่ว่าจะสูดออกซิเจนเข้าไปเท่าไหร่รู้สึกว่ามันไม่เพียงพอซะที ต้องหยุดพักกันเรื่อยๆ เรากับเพื่อนยังถือว่าอาการยังไม่หนักยังเดินตามก้นไกด์สาวได้กระชั้นชิดอยู่ แต่คนที่เหลือนี่สิพักตลอดทาง เดินไปได้สักประมาณ 10 นาทีไกด์สาวต้องให้พวกเราหยุดรอ และถ้าตรงไหนที่เป็นเนินเขาสูงๆ จะมีธงมนตราปักอยู่เต็มเลย
ระหว่างทางเจอคนท้องถิ่นเป็นคุณยายแก่ๆ คนหนึ่งใส่รองเท้าผ้าใบสีแดง แบกกระบุงเดินขึ้นมาจากข้างทาง ทักทายกับไกด์สาวเราเป็นภาษาท้องถิ่น แล้วก็หันมาส่งยิ้มฟันหลอให้พวกเรา คุณยายแกคงคิดในใจมาเที่ยวทำไมที่นี่นะไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย แล้วแกก็เดินทิ้งพวกเราไปแบบไม่เห็นฝุ่น พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินยิ่งช้าลง ลักษณะภูมิประเทศรอบข้างจะค่อยๆ เปลี่ยนไป จากที่มีต้นไม้ใบหญ้าปกคลุม จะเปลี่ยนเป็นภูเขาหินโล้นๆ ไม่มีต้นไม้ หรือต้นหญ้าเลย เนื่องจากเป็นภูเขาหิน หินล้วนๆ มีดินปกคลุมอยู่ด้านบนนิดหน่อยเท่านั้นและในฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมหมดเลย ทำให้รู้สึกแห้งแล้งไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ แต่ที่แห้งแล้งแบบนี้ยังมีน้ำตกสวยงามให้พวกเราได้ชื่นชมอีก มองไปที่น้ำตกเห็นคุณยายคนที่เดินแซงไปกำลังล้างเท้าอยู่ (ในที่สุดเราก็เดินแซงแกจนได้)
เรากับเพื่อนไต่เนินที่สูงมากๆลูกหนึ่งขึ้นไปหาไกด์สาวที่นั่งรออยู่ พอเรากับเพื่อนขึ้นไปนั่งหอบใกล้ๆ ไกด์สาวก็บอกว่าที่เห็นข้างหน้านั่นก็คือ ทะเลสาปนมวัว แต่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนกับที่เคยเห็นจากอินเตอร์เน็ตเท่าไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะรูปส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นในฤดูหนาว เรากับเพื่อนเลยช่วงชิงเวลาระหว่างที่นั่งรอเพื่อนร่วมทางที่เหลือซึ่งยังอยู่ข้างล่างโน่นอยู่เลยพักหอบ
เมื่อทุกคนขึ้นมาถึงและหายเหนื่อยกันแล้วไกด์สาวก็นำพวกเราเดินลงเนินไปยังทะเลสาปข้างล่าง เดินลงยังพอไหวไม่กลัวอยู่แล้ว (ลืมนึกถึงตอนเดินขึ้น) แต่ต้องระวังเพราะทางลงเป็นหินมีดินคลุมผิวอยู่บางๆ เท่านั้นถ้ากลิ้งลงไปนี่คงจบชีวิตแน่ๆ เพราะสูงมาก น้ำที่เห็นในทะเลสาปนั่นเกิดจากการละลายของหิมะ ถ่ายรูปกันหนำใจแล้ว ไกด์สาวเราพาเดินตัดขึ้นเนินที่พวกเราเดินลงมา ซึ่งต้องแหงนจนคอตั้งบ่าเลยทีเดียวจึงจะมองเห็นยอด แค่มองก็หอบแล้วแต่ไหนๆ ก็ไหนๆแล้วก้มหน้าก้มตาเดินตามไกด์สาวไป ไกด์เราอึดมากไม่หอบไม่เหนื่อย อาจจะเป็นเพราะเขาเกิดที่นี่ทำให้ร่างกายชินกับสภาพอย่างนี้แล้ว (เรากับเพื่อนยังว่าจะชวนเธอมาเดินแข่งกันที่กรุงเทพตอนเที่ยงๆ อยู่เลย จะได้รู้ว่าพวกเรารู้สึกยังไงตอนเดินตามเธอตลอดทางนี่) พ้นเนินแรกมายังมาเจออีกเนินอีก ซึ่งลักษณะก็ไม่ได้ด้อยกว่าอันแรกเท่าไหร่เลย พวกเราที่ขึ้นมาถึงก่อนเลยถือโอกาสนั่งพักระหว่างที่รอพวกที่อยู่ข้างล่างตามขึ้นมา
รอจนพวกที่ตามหลังขึ้นมาหายเหนื่อยแล้ว ไกด์สาวก็พาพวกเราเดินต่อไปอีกสักพักหนึ่งก็ถึงแล้ว ทะเลสาปห้าสี แต่ว่าน้ำน้อยไปหน่อย ต้องเดินลงเนินอีกแล้ว นั่งสักพักพอมีแรงแล้วก็เดินลงไปข้างล่างถ่ายรูปกัน แต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็มองไม่เห็นว่ามีห้าสีเลย อาจจะเป็นเพราะว่าท้องฟ้าปิด
สำหรับน้ำในทะเลสาปที่นี่คนท้องถิ่นถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ห้ามเล่น ห้ามอาบใดๆ ทั้งสิ้น พวกเราใสนใจเรื่องที่ว่ามันจะมีกี่สี แต่ติดใจตรงลวดลายของพื้นรอบๆ ทะเลสาปที่แปลกมากๆ เป็น
หินสองสีสองประเภทที่แยกกันอยู่เป็นลวดลายที่ชัดเจนแปลกดี พวกเรานั่งพักนั่งคุยกันสักพักจึงค่อยๆ เดินกลับทางเก่ากันไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางเดินกลับนั้นพวกเราเจอกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ คลานสี่ขาอยู่ตามทุ่งหญ้าบนเนินเขาแห่งหนึ่ง พอพวกเราเดินเข้าไปใกล้ก็หันมามองกันหมดเลย เราลองถามไกด์สาวดูว่าพวกเขาหาอะไรกันอยู่ เธอเลยพาเข้าไปดูใกล้ๆ หลังจากส่งภาษาทักทายกันเล็กน้อย พวกเขาก็หยิบของที่พวกเขากำลังหาอยู่ออกมาให้ดู ปรากฎว่าเป็น ตังฉั่งเช่า ตงฉงเฉ่า หรือตงฉงเซี่ยเฉ่า ในภาษาจีนกลาง (冬虫夏草, dongchongxiacao) ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นสุดยอดยาสมุนไพรที่มีราคาแพงมากๆ โดยคนจีนมีความเชื่อว่า ในฤดูหนาวเป็นตัวหนอนพอเข้าสู่ฤดูร้อนจะกลายเป็นต้นหญ้า พบมากในทุ่งหญ้าที่อยู่บนที่ราบสูงตั้งแต่ 3,000 เมตรขึ้นไป เราเลยลองไปด้อมๆ มองๆ หาดูบ้าง ปรากฎว่าโดนพวกเขาไล่เอาเลย คงกลัวเราไปแย่งอาชีพเขากันเพราะราคาแพงมาก พวกเขาบอกขายพวกเราที่ตัวละ 50 หยวน (ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วซื้อขายกันราคากี่บาท) หลังจากเสียเวลายืนดูอยู่ไม่นานก็ออกเดินจากมาโดยที่ไกด์สาวเราคราวนี้ใส่สปีดเต็มที่ทิ้งพวกเราไม่เห็นฝุ่นเลย พวกเราเลยค่อยๆ เดินกลับมากันเอง ตลอดเวลาที่พวกเราเดินไปและกลับนั้น ท้องฟ้าไม่สดใสซะเลย ทำให้มองไม่เห็นยอดภูเขาหิมะเลย เห็นแต่ฐานด้านล่างเท่านั้น
Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 9 มกราคม 2551 8:40:54 น.
1 comments
Counter : 1427 Pageviews.
Share
Tweet
ขอตามมาเที่ยวด้วยคน
และมาชวนไปเที่ยวไร่ Jim Thompson ที่ อ.ปักธงชัย โคราช ด้วยกันครับ
สามารถคลิกที่ภาพเพื่อมาเที่ยวด้วยกันครับ
โดย:
มิสเตอร์ฮอง
วันที่: 8 มกราคม 2551 เวลา:21:40:19 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
liminghui
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
ตาอ้วนชวนคุย
ชิงดวง
Webmaster - BlogGang
[Add liminghui's blog to your web]
Bloggang.com
ขอตามมาเที่ยวด้วยคน
และมาชวนไปเที่ยวไร่ Jim Thompson ที่ อ.ปักธงชัย โคราช ด้วยกันครับ
สามารถคลิกที่ภาพเพื่อมาเที่ยวด้วยกันครับ