แตกต่างอยู่ข้างกัน
เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมาชีวิตดิฉันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย อันเนื่องมาจากผู้คนรอบข้าง สถานที่ ตลอดจนทัศนคติใหม่ๆ ทำให้ต้องเกิดการปรับตัวอย่างกระทันหัน ท่ามกลางความใหม่และสับสน ก็ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า่ช่วงชีวิตหนึ่งของคนเปรียบเสมือนการเดินทาง เดินทางไปที่ต่างๆ ได้พบ ได้เจอสิ่งใหม่ๆ เก็บเกี่ยวมาไว้เป็นประสบการณ์ ซึ่งก็ดีเหมือนกันนะ เลยต้องกลับมานั่งมองไปรอบๆ ตัว ซึ่งก็น่าแปลกคะว่ามนุษย์เรานะมันจะมองหาแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจ ชอบสิ่งไหนก็ไปหาสิ่งนั้น หาจะคบหาใครสักคนก็มองดูว่าเค้ากับเรานิสัยใจคนไปกันได้ ชอบเหมือนกัน คุยภาษาเดี่ยวกัน (ไม่ใช่แค่ภาษาไทยนะคะ) มี Lifestyle คล้ายๆ กัน ก็ดูจะมีความสุขดีที่มีเพื่อนแบบเดี่ยวกัน โดยที่หลีกเลี่ยงคนที่ไม่เหมือนเรา หรือต่างจากเราไปซะ
ในความเป็นจริงแล้วชีิวตเราก็มีตัวเลือกไม่มากนักนะคะ คุณจะเลือกงานให้ได้ดั่งใจคงเป็นไปไม่ได้ และนั่นก็หมายความว่าคุณก็คงเลือกเพื่อนร่วมงานให้ได้ดั่งใจไม่ได้เช่นกันแหละคะ มันจึงเป็นที่มาของความแตกต่างทั้งหลายแหล่ซึ่งตัองมานั่งทำงานรวมอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันรวมสิบกว่าชั่วโมงด้วยกัน หากเข้าใจกัน ยอมรับในความเป็นตัวตนของคนที่ไม่เหมือนเราได้ มันก็คงดี ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ก็คงไม่เกิดขึ้นให้เราเห็นอยู่ดาษเดื่อนในทุกสังคมเช่นทุกวันนี้ ด้วยความที่ต้องมาปกครองดูแลบุคคลที่มี Lifestyle ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ดิฉันเองเกิดความว้าวุ้นใจไปด้วยเหมือนกัน อานิสงค์จากน้องสาวคนสวยเอาบทความน่ารัก ๆ จาก A Day มาให้อ่าน จึงทำให้ดิฉันเกิดความฮึกเหิมในใจขึ้นว่าอีกรอบคะ
ต้องขอบคุณคอลัมม์ a an the ใน A Day ทีมีช่างมีมุมมองและแง่คิดดีๆ มาเล่าสู่กันฟังโดยการหยิบยกเอาเพลง Juxtapose ของวง Super Furry Animal ที่เค้าแต่งเพลงชื่อ Juxtapose with you มาขยายความได้โดนใจคะ
คำว่า Juxtapose อาจดูไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ เพราะแรกเริ่มเดิมที ดิฉันเองคิดไปว่าอาจไม่ใช่ภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ หากจริงๆ แล้วศัพท์คำนี้ ช่างมีความหมายที่พิเศษด้วยความที่แปลออกมาว่า To put things with are not similar next to each other หรือการเอาของสองสิ่งที่แตกต่างกันไว้่เคียงข้างกัน ไม่ว่าจะเป็นต่างความคิด ต่างสี ต่างฐานะ ต่างชนชั้นฯลฯ ในคอลัมม์ a an the ยังให้ข้อมูลอีกด้วยคะว่าคำนี้เป็นที่คุ้นเคยในวางการศิลปะซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะเค้ามีความเชื่อที่ว่าสิ่งมีมัน contrast กันนั้นเมื่อเรานำอะไรที่มันต่างกันโดยสิ้นเชิงมาวางไว้ใกล้ๆ กัน เราจะเกิดงานศิลปะขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า The art of Juxtaposition เมื่อลองทบทวนดูก็จะรู้อีกว่าต่อให้คุณเลือกที่จะอยู่กับคนที่เหมือนกัน คุยกันรู้เรื่อง เข้ากันได้ก็มีอะไรรับประกันว่าจะไม่มีปัญหา ในทางกลับกันของสองสิ่งหรือคนสองที่ที่แตกต่างกันมาอยู่ใกล้กันก็ใช่จะประหัดประหารกัน หากมันจะเริ่ม Osmosis สิ่งดีๆ เข้าหากันได้ ขอหยิบยกตัวอย่างจาก A Day มาเล่าสู่กันฟังคะ คนใจร้อนเมื่อมาอยู่กับคนใจเย็นก็จะเป็นสุขขึ้นเพราะไม่ต้องมาร้อนแข่งกัน คนขี้อายก็จะเริ่มมีความกล้ามากขึ้นเมื่อมาอยู่กับ(คนหน้าด้าน) คนขี้เหนียวก็จะเริ่มรู้จักใช้ัเงิน และมีความสุขกับชีวิตเมื่อมาอยู่กับคนสุรุ่ยสุร่ายจับจ่ายมือเิติบ ในขณะที่คนที่สุรุ่ยสุร่ายก็จะเริ่มรู้จักใช้เงิน และหาความมั่นคงให้กับชีวิตมากขึ้น คนโง่จะเริ่มฉลาดขึ้นเมื่ออยู่กับคนที่ฉลาด และเมื่อกลับมาดูที่เนื้อเพลงจะเห็นได้ว่าผู้แต่งแฝงแง่คิดเลิศๆไว้ในท่อนฮุกว่า Youve got to tolerate all those people that you hate Im not in love with you, but I wont hold that again you ความหมายของ Tolerate นั้นน่าสนใจคะ เพราะไม่ได้แปลว่า อดทน ตามรากศัพท์เพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมไปถึงความอดกลั้น ยอมให้เกิดขึ้น หรือยอมรับความแตกต่างของคนอื่นอย่างเข้าใจ รับได้ว่าเขามีความเชื่อ ความคิด ไม่เหมือนเรา โดยที่ไม่มาทะเลาะกันเมื่อเขาไม่เห็นด้วยกับเรา ในขณะที่ hold (something) against (someone) หมายถึงการที่เราชอบคนสักคนน้องลงเพียงเพราะเขาแตกต่างจากเรา เช่น ถ้าเขาคนนั้นทำอะไรไม่ถูกใจเรา หรือไม่ได้มาตรฐานตามที่เราต้องการเราก็พาลจะเกลียดเค้าไป นี่แหละคะชีวิตมนุษย์เราในปัจจุบัน หากเราเรียนรู้ที่จะอดทนต่อความแต่กต่างของคนอื่นและพยายามอยู่กับเขาให้ได้ อะไรๆ มันก็คงง่ายขึ้นปัญหาร้อยแปดในโลกปัจจุบัีนก็คงไม่มี หรือมีน้อยลง เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า ไม่ได้รักกัน ก็ไม่เห็นต้องเกลียดกัน แตกต่างกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าอยู่ร่วมกันไม่ได้
Create Date : 26 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 1 กันยายน 2551 7:39:54 น. |
|
6 comments
|
Counter : 9309 Pageviews. |
|
|
ชอบที่จะอยู่กับคนที่แตกต่างจากเรานะคะ รู้สึกว่ามันทำให้ชีวิตมีสีสัน ได้ลองทำอะไรในแบบที่เราไม่เคยทำ
ความแตกต่างไม่จำเป็นต้องขัดแย้งจริงมั๊ยคะ หากว่าเราแตกต่างอย่างเข้าใจ