ชิ้นส่วนแห่งความทรงจำ
Group Blog
 
All Blogs
 

บ่นๆๆ

เมื่อมองย้อนมองดู หลายๆสิ่งๆหลายๆอย่างที่เราเลือกเดินนั้น มันออกจะแตกต่างจากสิ่งที่อุดมคติของสังคมคาดหมายเอาไว้ จะว่าไปแล้วก็น่าใจหายอยู่เหมือนกัน ที่วันนี้เราแทบไม่เหลือใครที่เข้าใจจริงๆ แม้ว่าจะมีคนที่พูดคุยได้มากหน้าหลายตา เราควรจะพิจารณาตัวเองดีไหมเนี่ย ว่าทำไมถึงคุยเปิดใจลึกๆกับใครไม่ได้ซักที เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตัวตนเรียกร้องอยู่เสมอๆว่าอยากเข้าใจธรรมชาติ เมื่อเข้าใจในระดับนึง ก็มาเจอระดับต่อๆไปที่ยังไม่เข้าใจซักที ในบางครั้งเราก็ท้ออยู่เป็นพักใหญ่ แล้วยิ่งไปกว่านั้นด้วยความคาดหวังทางสังคมก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกอึดอัดใจในเวลาที่เราท้อถอย ดั่งว่าเมื่อเราล้มแล้วทุกอย่างก็ล้มมาทับเราเสียอย่างนั้น รึว่าสังคมแห่งนี้เป็นสังคมที่ไม่สามารถเปิดใจให้กันแล้ว

เมื่อกล่าวถึงสังคมที่เปิดใจก็ทำให้เรานึกถึงลัทธิต่างๆที่คนที่ชอบลัทธิหนึ่ง จะนิยมชมชอบกันเอง และมีบางส่วนที่กีดกันลัทธิอื่นๆ พวกเขาจะเปิดใจให้กันในระดับที่ยอมรับได้ เช่น ชอบความเป็นชาตินิยมเหมือนกัน ชอบศาสนาเดียวกัน พวกเขาก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างสบายใจ แต่พอมีเรื่องที่ขัดแย้งแล้ว การจัดการกับสิ่งนี้มักจะใช้วิธีข่มความคิดกัน ว่าใครถูกใครผิด เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ถูกต้องมีเพียงสิ่งเดียว เพียงแค่ว่าของใครจะถูก ถ้าดีๆหน่อยก็ว่าด้วยเหตุผล แต่ท่าไม่ดีก็ใช้ความเหนือกว่าข่มกัน ทำไมคนเราถึงได้เลือกที่วิธีข่มความคิดกันนะ แทนที่จะเปิดพื้นที่ให้กันแล้วพูดคุยกันจากแก่นสารที่มี

ในวิถีการเจรจา สาระสำคัญมันอยู่ที่ไหนกัน ชัยชนะ ความถูกต้อง หรือความเป็นไป ประชาธิปไตบคืออะไร จะมีใครเข้าใจมันได้จริงๆอย่างที่มันเป็น ความรู้สึกที่ให้ความเท่าเทียมกันในระดับที่เรารู้สึกอย่างไรก็สามารถมอบให้เขาได้ เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่เขาทำก็ได้ แต่ถ้าเราเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น และเราก็ยินดีรับฟังเขา แล้วเรื่องที่เขาจะทำอะไรเราก็ค่อยมาว่ากันในภายหลัง

สำหรับวิถีการเจรจานั้น ปัญหาอย่างหนึ่งที่ฉุดรั้งให้การเจรจาไม่เกิดผลนอกจากเรื่องท่าทีแล้ว ก็จะมีเรื่องของทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นว่า ถ้ามีคนสองคนมาถกกันเรื่องการตัดเล็บตอนกลางคืน คนหนึ่งบอกว่าโบราณเขาถือว่าไม่ดีไม่ควรตัด ส่วนอีกคนลองเสนอสมมติฐานต่างๆว่าทำไมถึงห้ามตัด ถ้าคนแรกไม่คล้อยตาม การเจรจาก็ไม่เกิดผล แต่ในประเด็นที่ใหญ่กว่านั้น ถ้าฝ่ายหนึ่งมีจุดยืนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว การเจรจาก็เป็นเรื่องที่ไร้สาระโดยทันที

ยังมีการเจรจาที่ไม่เหมาะสมอยู่ คือการพยายามเปลี่ยนวิถีทางของเขาด้วยการบีบบังคับ ผู้เจรจาทั้งสองฝ่ายสามารถให้ข้อมูลแก่กันและกันได้ แต่ไม่สามารถปักธงว่าทางออกต้องเป็นแบบนี่เท่านั้น การเจรจาต้องมองถึงแก่นกลางของความขัดแย้งทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง แล้วนำข้อมูลทั้งหมดมาร่วมประมวลผลแก่กันและกัน

และสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเจรจาคือ ต้องหาจุดร่วมที่แข็งแรงพอในการเจรจา เช่น ปัญหาครอบครัวกำลังเลิกรากัน ถ้าทั้งสองคนยังรักซึ่งกันและกันอยู่ เพียงแต่มีท่าทีที่ไม่เหมาะสมให้กันแล้ว ปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการวางจุดร่วมที่เข้มแข็งคือความรักต่อกัน แล้วสางตัวแปรอื่นๆเช่น การกลับบ้านค่ำของสามี การขี้บ่นของภรรยา เป็นต้น

เมื่อได้ข้อมูลตัวแปรที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแล้ว ก็ต้องมองด้วยว่าวงจรความขัดแย้งมันเกิดขึ้นได้ยังไง เช่น สามีกลับบ้านค่ำ ภรรยาเลยบ่น สามีก็เลยเบื่อจึงกลับบ้านค่ำอีก ภรรยาเลยยิ่งบ่นเข้าไปอีก เป็นต้น ซึ่งเมื่อสังเกตวงจรดีๆแล้วก็เหมือนงูกินหาง ถ้าเราทราบวงจรความขัดแย้งแล้ว การแก้ไขปัญหาก็มีทางเป็นไปได้ เช่น ขอความร่วมมือทั้งสองฝ่ายว่าถ้าภรรยาสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับที่บ้าน โดยการถามไถ่สามีในการทำงานแต่ละวัน แทนการบ่นที่รั้งแต่จะสร้างปัญหา แล้วขอความร่วมมือจากสามีว่าช่วยสะสางงานให้เสร็จทันภายในวันนั้น แล้วเปรียบเทียบว่าถ้าระหว่างไปเที่ยวนอกบ้านก่อนกลับมาบ้าน กับอยู่บ้านที่มีความสงบสุขจะเลือกอะไร เมื่อพิจารณาตัวแปรตั้งต้นที่สอดคล้องกันคือยังรักกันอยู่ สามีก็เลือกที่จะกลับบ้านดีกว่า เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดร่วมและการแสดงออกที่สอดรับกันแล้ว ปัญหาต่างๆก็คลี่คลายลงไปได้

เมื่อพิจารณาปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ อะไรคือสิ่งที่ร่วมกันได้ อะไรคือสิ่งที่แตกต่าง คงจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่ามีเรื่องแค่เรื่องเดียว เพราะสังคมเป็นอะไรที่รวบรวมคนมากหน้าหลายตา ต่างคนต่างความคิด แต่ถ้าสิ่งที่ควรจะเป็นแก่นสารจริง น่าจะเป็นเรื่องของประชาธิปไตย เพราะทางรัฐเองก็ยินดีกับเรื่องนี้ แล้วทางนปช.เองก็ต้องการสิ่งนี้ ส่วนเรื่องย่อยๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งนั้น ค่อยๆคลายปมกันทีละนิดจะดีไหม เราอาจจะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน เรื่องนอกเรื่องในก็เยอะ แต่มันใช่สาระสำคัญจริงๆเหรอกับการที่จะแคร์คนๆนึงเท่านั้น สังคมมันละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก ที่ผ่านมาการเจรจาไม่บรรลุผลเพราะว่าต่างฝ่ายต่างตรึงเรื่องที่ฝ่ายตนเองต้องการ แล้วกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่ง ทางนปช.เองก็ว่ารัฐไม่ชอบธรรม ทางรัฐเองก็บอกว่านปช.เป็นผู้ก่อการร้าย แล้วเถียงกันอย่างนี้จะแก้ปัญหากันได้รึอย่างไร หรือจะใช้อำนาจเท่านั้นที่คะคานอีกฝ่ายให้เพลี้ยงพล้ำไป แล้วเมื่อไหร่ปัญหาถึงจะลงตัว

มาถึงตรงนี้ผมไม่อยากอ้างถึงเรื่องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะมันมีแต่จะทำให้เรื่องมันบานปลายกับการเป็นเครื่องมือที่แต่ละฝ่ายต่างใช้เพื่อบ่งบอกว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้อง หรือจะอ้างว่าคนไทยรักกันและต้องสามัคคีมันก็มายาคติเกินไป ในเมื่อเราไม่เข้าใจกันและขัดแย้งกันอยู่ จะทำให้สามัคคีกันได้ยังไง ในเมื่อยังไม่มีหนทางทำให้เป็นอย่างนั้น ผมจึงคิดว่าสิ่งที่พวกเราทุกคนควรจะทำคือเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไม่ต้องไปเปิดตำราใดๆหาคำจำกัดความของสิ่งนี้ แค่คุณให้เกียรติทุกๆคนแม้กระทั่งในครอบครัว ไม่คิดว่าใครต้องเป็นเหยื่ออารมณ์ของคุณ รวมถึงตัวคุณเองด้วย ถ้าคุณเติมเต็มในตัวเองได้แล้ว คุณจะไปรังแกคนอื่นเขาไหม

สำหรับทิศทางการแก้ไขปัญหา ณ ปัจจุบัน ดูเหมือนสังคมแทบจะไม่มีช่องว่างเอาซะเลย ถ้าจุดยืนของทั้งสองฝ่ายเป็นสิ่งเดียวกันคือประชาธิปไตย เป็นไปได้ไหมที่รัฐหรือนปช.จะเสนอแผนที่ทำให้ประชาธิปไตยเป็นไปอย่างเต็มใบจริงๆ ที่สามารถลดช่องว่างทางสังคมได้ แทนที่รัฐจะมุ่งโจมตีคนๆเดียว แล้วหาข้อผิดพลาดของนปช.เพื่อยืนยันว่ารัฐทำในสิ่งที่ถูกต้อง ต้องขอกล่าวอีกทีว่าการทำสิ่งที่ถูกต้องตามข้อกำหนดนั้น มันใช่สิ่งเดียวกับการแก้ไขปัญหาหรือไม่ ถ้าไม่รัฐควรจะเลือกทางไหน

สำหรับนปช.เองผมมีความเห็นว่าเราเป็นคนเหมือนๆกัน แต่คนผิดคนถูกมันสำคัญด้วยเหรอ ผู้คนส่วนมากที่เข้ามาร่วมชุมนุม ถ้าเขามีโอกาสดีๆเขาก็คงเป็นคนใหญ่คนโตไปแล้ว แล้วถ้าเกิดคนใหญ่คนโตในประเทศไม่มีโอกาสเหมือนพวกเขาแล้ว คุณจะเลือกทำแบบนี้ไหม ประเด็นสำคัญที่เราควรจะทำไม่ใช่ตีหน้าใครว่าเป็นคนผิดคนชั่วหรือคนโง่ แล้วปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดขึ้น เราควรหันหน้าเขามาพูดจากันดีๆดีกว่า

ส่วนแผนการเจรจานั้น มันมีช่องทางอยู่แล้ว จำเป็นด้วยเหรอที่ผู้ชุมนุมจะฟังแกนนำทุกอย่าง การสลายการชุมนุมที่ดีนั้น คือการตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้เข้าร่วมชุมนุมได้ ที่เป็นทั้งผลในระยะสั้นและในระยะยาว พาลทำให้ผมนึกถึงเรื่องในช่วงที่มีแผนการให้บุคคลที่ถูกตีหน้าว่าคอมมิวนิสต์ออกจากป่าได้โดยสามารถใช้ชีวิตปรกติเหมือนบุคคลทั่วๆไป

วันนี้คงบ่นแค่นี้ก่อนแล้วกัน จากบ่นเรื่องตัวเองกลายเป็นเรื่องสังคมไปซะได้ 555+




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2553 0:40:51 น.
Counter : 336 Pageviews.  

กระดานติชมผลงาน

เนื่องจากหลายๆผลงานผมไม่ได้เปิด comment ไว้
เช่นเรื่อง
กรง
ปลายฟ้า
แสง


ขอเชิญลงคำิติชมได้ในห้องนี้เลยครับ




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 19:39:33 น.
Counter : 326 Pageviews.  

สนิม

มันก็แปลกดีที่พอไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรนานๆ
ความรู้สึกอยากจะถ่ายทอดก็น้อยลง
จะกล่าวอะไรออกมาก็พะอืดพะอมไม่รู้จะเริ่มตรงจุดไหนดี

อาจจะเป็นเพราะผ่านอะไรมาเยอะขึ้นแล้วเกิดความ"ปลง"รึเปล่า
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรจะถ่ายทอดได้มากขึ้น(มั้ง)

เวลาผ่านมาก็เหมือนผ่านไป
แต่สิ่งที่จากไปไม่อยากให้มันสูญเปล่าไปเสียดื้อๆ
อารมณ์คนนี้ขึ้นๆลงๆดีนะครับ




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2550 20:16:25 น.
Counter : 269 Pageviews.  


blueocynia
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กาลเวลาร่องลอยคอยร่วงโรย
น้ำค้างโปรยปรอยทั่วทุกหัวระแหง
ดังความสุขทุกข์มิหลงจงสำแดง
จำต้องแปลงเปลี่ยนเรื่องเพราะเตือนความ

วันเวลาอยู่คู่ความทรงจำ ไม่ว่าทุกข์หรือสุขเพียงใด
วันเวลาเหล่านั้นจะค่อยเข้ามาสู่ความทรงจำของเราเอง
Friends' blogs
[Add blueocynia's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.