มุมชีวิตของพหล ตอน คุณยาย
ในย่านชุมชนกลางเมือง ผู้คนเดินกันอย่างขวักไขว่ไปมาเพื่อไปสู่จุดหมายของตนเอง และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันที่กำลังวุ่นกับการพูดคุยกับเพื่อนสาวที่น่ารักอยู่ ซึ่งดูท่าเธอจะไม่ค่อยมีใจให้ผมเท่าไหร่ แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะยังไงวันนี้เธอก็ต้องเดินทางไปกับผมที่มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว เพื่อนต่างเพศที่มากับผมในวันนี้เธอชื่อว่ากิ่งกานต์ เธอเป็นผู้หญิงน่ารักพูดจาฉะฉาน และสามารถสร้างกำลังใจให้กับเพื่อนได้เสมอๆ เพียงแต่เธอดูไม่ค่อยอยากคุยกับผมมากเท่าไรนัก ซึ่งผมเองก็เข้าใจว่าท่าทีของผมที่มีต่อเพื่อนตรงข้าม ค่อนข้างเป็นคล้ายๆกันหมด จนหลายๆคนมองผมว่าเป็นคนเจ้าชู้บ้างเอย ขี้หลีบ้างเอย แต่สำหรับเธอคนนี้กลับไม่มีความรู้สึกว่าเหมือนเพศตรงข้ามคนอื่นๆเลย นี่ เธอจะเงียบไปอีกนานไหมอีตาพหล กิ่งกานต์เริ่มต้นถามผมก่อนซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมเงียบจนผิดปกติ ม่ะ ไม่มีอะไร เราแค่ไม่รู้จะชวนเธอคุยอะไรก็เท่านั้นเอง แหม ทีกับเพื่อนๆฉันพูดกันได้คล่องเชียว ดูเหมือนเธอจะประชดเล็กน้อยแล้วเธอก็พูดต่อ ทำไมยัยเหมียวต้องบอกให้ฉันมาที่นี้ด้วยนะ นี้อีตากนกนายมีแผนอะไรรึเปล่า? จริงอย่างเธอว่า ผมเองก็เตี๋ยมไว้กับเหมียวเพื่อนเธอว่าให้เธอมางานของจากเพื่อนคนหนึ่ง แล้วกำชับว่าอย่าให้เธอบอกว่าใครเป็นคนรอ แผนเผินอะไรเล่า ก็มาเอางานแล้วก็เข้าไปคณะ ใครๆก็มาได้ ผมพยายามเบือนสายตาเธอ ใช่!! ใครๆก็มาได้ แต่ทำไมต้องเป็นเธอ?? เอาน่า ยังไงเราก็มากันแล้ว อย่ามาสาวความยืดกันดีกว่า ระหว่างทางที่พวกเราพากันเดินไปตามทางเพื่อหารถประจำทางที่อยู่อีกฟากหนึ่งนั้น ผมกำลังเดินขึ้นสะพานลอย พบยายคนหนึ่งอายุซัก 70 ปีกว่าๆ ดูท่าทางจะหมดเรี่ยวแรง ราวกับว่าไม่ได้กินข้าวมาเลยสักวันสองวัน เสื้อคอกลมและผ้าถุงที่ดูเหมือนจะถูกอะไรเกี่ยวขาด เมื่อผมเห็นแล้วก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จนพลั้งปากออกไปว่า คุณยาย ให้ผมช่วยพยุงไหมครับ? คุณยายคนนั้นมองกลับมาด้วยความฉงน จะว่าเป็นแววตาของความยินดีก็ไม่ใช่ จะตกใจก็ไม่เชิง แต่คุณยายก็ไม่ตอบอะไรกลับมา แล้วผมก็ถามซ้ำอีกครั้ง คุณยาย ให้ผมช่วยนะครับ คราวนี้คุณยายมีท่าทีที่อ่อนลงไป และแสดงท่าทีว่าพร้อมที่จะให้ผมช่วยพยุงแล้ว ซึ่งตอนนี้ความคิดถึงการจีบเพื่อนสาวของผมก็หมดลงอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นการพยายามช่วยคุณยายคนนี้ข้ามสะพานลอยที่ดูจะสูงเกินไปกับเท้าเล็กๆของคุณยาย คุณยายจะไปไหนครับ ผมถามท่าน อีฉันจะไปขึ้นรถสายโน้นจ้า ยายตอบพลางชี้ไปที่ทิศข้างหน้าที่หมายเดียวกับที่ผมจะเดินไปพอดี ทางเดียวกันกับผมเลย ผมตอบพลางบอกนัยๆว่าผมจะพาคุณยาไปถึงท่ารถเลย แล้วผมก็ถามต่อไปว่า แล้วลูกหลายคุณยายอยู่ไหนครับ คุณยายชะงักไปเล็กน้อยพลางตอบกลับมาว่า ลูกหลานของอีฉันแกไปทำงานกันหมด ปล่อยให้อีฉันอยู่คนเดียวจ้า แล้วคุณยายเล่าให้ฟังต่อว่า ตัวอีฉันนะ มีลูกอยู่สามคน ชายสองคน หญิงอีกหนึ่งคน ลูกชายสองคนได้งานต่างจังหวัด ส่วนลูกสาวก็มาแต่งงานที่นี่ อีฉันก็กะจะมาหานังหนูนี้แหละจ้า แต่ก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนแล้ว ติดต่อไม่ได้ แล้วคุณยายจะทำยังไงล่ะครับ? ผมเริ่มสงสัย อีฉันก็จะกลับบ้านจ้า อย่างน้อยถึงอยู่คนเดียวขายผักขายปลาก็อยู่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะกลับยังไง ตอนนี้ก็กะว่าจะไปหาคนรู้จัก เผื่อเขาจะให้เงินอีฉันกลับบ้านบ้าง ซักสองร้อยก็ยังดี ร้อยหนึ่งเอาไปใช่เป็นค่ารถ อีกร้อยเอาไปซื้อผักซื้อปลาไปขายจ้า เมื่อลงจากสะพานลอยแล้วผมเริ่มถามคุณยายต่อว่า แล้วที่ไปฝั่งนี่นี้คือไปหาคนรู้จักเหรอครับ จ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยังอยู่ หรือให้เงินอีฉันรึเปล่า แล้วทางที่จะกลับไปบ้านคุณยายอยู่ทางไหนครับ อยู่ทางโน้นจ้า แล้วท่านก็ชี้ไปที่ฝั่งที่เคยข้ามมาพร้อมกับพูดต่อไปว่า นั่งรถสายนั้น แล้วก็ไปต่อคิดรถตู้อีกที ค่ารถก็ร้อยนึง แล้วคุณยายก็เล่าคร่าวๆว่าตนอยู่จังหวัดอะไร ผมครุ่นคิดอยู่ในใจพลางมือยังพยุงคุณยายอยู่ ผมหันหน้าไปทางกิ่งกานต์แล้วขอร้องให้เธอช่วยรอกับคุณยายอยู่นี้สักครู่หนึ่ง เธอจะไปไหนเหรอ แล้วเธอคุยอะไรกับคุณยายบ้าง ผมยังไม่ตอบพร้อมเดินดุ่ยๆออกไป ว่าไปแล้ว ลำพังค่ากินค่าใช้ในเมืองหลวงนี้ ก็ตกไปวันละสองร้อยบาทแล้วสำหรับตัวผม ซึ่งตัวผมเองก็ใช่คนมีฐานะอะไร แต่เมื่อมองย้อนกลับไปที่คุณยายแล้ว สองร้อยบาทของคุณยายช่างมีค่าขนาดจะทำให้คุณยายอยู่ได้หรือไม่ต่อไปเลย ผมเดินตรงไปที่ตู้ ATM พร้อมกับกดเงินจำนวนห้าร้อยบาทออกมา ซึ่งในใจก็คิดว่าให้ห้าร้อยบาทไปเลย แต่ก็คงเป็นไปได้ยากเพราะช่วงนี้ผมก็กรอบเหมือนกัน จึงตัดใจไว้ที่สองร้อยห้าสิบก็แล้วกัน เมื่อเห็นดังนั้นก็รับเงินจากตู้มาพลางหาร้านแลกธนบัตร ซึ่งก็คงไม่พ้นไปซื้อของ ผมจึงเดินเข้าซื้อของที่ร้านขายขนมปังแห่งหนึ่ง เมื่อได้รับสินค้าพร้อมเงินทอนแล้ว ผมก็หันกลับไปที่ที่ผมจากมา แล้วผมก็เห็นกิ่งกำลังคุยกับคุณยายอยู่ เธอมองผมด้วยสายตาแปลกๆซึ่งมันแตกต่างจากที่เคยเป็น แต่ผมก็ยังไม่ค่อยใส่ใจในเวลานั้นเท่าไรนัก คุณยายครับ คุณยายไม่ต้องไปหาคนรู้จักหรอก ผมให้คุณยายเอง ผมยื่นขนมปังพร้อมเงินสดจำนวนสองร้อยสี่สิบให้ท่าน ซึ่งนั้นก็ทำให้คุณยายมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ขอบคุณจ้า ขอบคุณ ถ้าอย่างนั้นคุณยายก็กลับบ้านได้เลย เดี๋ยวผมพาคุณยายไปส่งที่ฝั่งโน้นนะครับ แล้วผมก็ยื่นมือให้คุณยายอีกครั้ง ซึ่งท่านก็ตอบรับมาด้วยดี แล้วเราก็เดินไปด้วยกันอีกครั้ง ตอนนี้กิ่งกานต์เธอดูซึมๆ ดูเหมือนเธออยากจะพูดอะไรบางอย่างกับผม ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะพูดอะไร ฉันรู้แล้วว่านายทำอะไร ตอนแรกฉันก็งงๆ แต่พอได้คุยกับคุณยายแล้ว แค่สองคำฉันก็... แล้วเธอก็แสดงท่าทางเศร้าใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ฉันคิดถึงแม่ขึ้นมา ฉันกลัวว่าอนาคตฉันจะทำให้แม่ของฉันเป็นแบบนี้ เมื่อพูดเสร็จแล้วเธอก็หันไปทางคุณยาย คุณยายคะ เดี๋ยวหนูช่วยคุณยายด้วยค่ะ แล้วเธอก็ยื่นมือออกไปจับแขนคุณยาย
ณ เวลานี้ ถ้ามองจากคนนอกก็คงแปลกใจที่หนุ่มสาวนักศึกษากำลังจูงมือคุณยายขึ้นสะพานลอยอยู่ มีคุณป้าคนหนึ่งช่วยให้กำลังใจคุณยาย ซึ่งผมก็ยิ้มกลับไปให้เธอ บางทีเธออาจจะเข้าใจว่าพวกเราเป็นหลานของคุณยาย แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่สำหรับบุคคลอื่นๆ เข้าใจอย่างนั้นก็ดีแล้ว พวกเราสองคนพากันส่งคุณยายขึ้นรถเมล์ ดูเหมือนกิ่งจะเป็นห่วงเป็นใยคุณยายมาก ซึ่งผมเกรงว่ามันจะมากไปรึไม่ เพราะดูเหมือนเธอจะมองว่าคุณยายอ่อนแอที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียวหลังจากที่ลับตาเราสองคนไปแล้ว คุณยายคะ ถ้าคุณยายยังกลับบ้านไม่ได้เอาเบอร์นี้ไปนะคะ เธอบอกคุณยายพลางให้ผมจดเบอร์โทรของผมลงในกระดาษ เมื่อเขียนเสร็จแล้วผมก็ยื่นให้คุณยาย แล้วเธอก็ถามคุณยายต่อไปว่า คุณยายใช้โทรศัพท์เป็นไหมคะ ซึ่งคุณยายก็ส่ายหน้า ถ้าอย่างนั้น ก็ลองของร้องให้คนอื่นช่วยโทรมาก็ได้นะคะ รถเมล์สายที่คุณยายรอได้ผ่านมาแล้ว รถเทียบท่าเฉกเช่นปกติที่มันเคยเป็น ผู้โดยสารเดินลงจากรถอย่างขวักไขว่ พร้อมกับผู้โดยสารที่ยืนรอเพื่อเตรียมพร้อมที่จะขึ้นต่อไป ซึ่งพวกเราก็เป็นเช่นนั้น เมื่อผู้โดยสารขึ้นลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมและกิ่งก็ส่งคุณยายขึ้นรถ พนักงานเก็บค่าโดยสารก็ตอนรับคุณยายอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย หลังจากที่คุณยายได้ที่นั่งแล้ว ท่านก็หันมาทางเราอีกครั้ง ขอให้เจริญๆนะจ๊ะ ขอให้เจริญๆ พวกเรายิ้มรับพร้อมกลับไหว้คุณยาย แล้วรถเมล์ก็พาคุณยายไปจากพวกเรา ผมได้แต่หวังในใจว่าคงจะไม่มีโทรศัพท์ของคุณยายมาหาผม หรือถ้ามีก็หวังว่าจะได้รู้ว่าท่านกลับไปถึงที่ๆท่านต้องการแล้ว ชีวิตคนเรานี้ลำบากดีแท้? หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป เราสองคนต่างเงียบอีกครั้ง และจะเงียบต่อไปถ้าเธอไม่ทำลายบรรยากาศนี้ไปซะก่อน พล นี้เธอแกล้งทำรึเปล่า? เธอสงสัย เธอคิดว่าฉันแกล้งทำไหมล่ะ ซึ่งมันก็เป็นไปได้นะ ผมถามเธอกลับ ฉันรู้นะว่าเธอแอบชอบฉัน เหมียวบอกฉันแล้ว ผมเงียบไปอีกครั้ง มันก็เป็นไปได้นะที่ฉันจะแสดงเป็นคนดีมีศีลธรรมเพื่อเอาใจเธอ แต่ฉันสามารถรับปากเธอได้เลยว่า ถึงเธอไม่มาฉันก็คงจะทำอย่างนี้ เธอครุ่นคิดสักครู่ แต่ก็ไม่พูดอะไร พลางเดินไปฝั่งที่เคยผ่านมา เพื่อรอรถกลับเข้าคณะ ฉันเชื่อใจเธอนะ อันที่จริงฉันไม่ได้เกลียดเธอหรอก แค่เธอไม่ยอมคุยกับฉันเหมือนคนอื่นๆ ฉันเลยคิดว่าเธอเกลียดฉันซะอีก ผมอึ้งเล็กน้อยกับคำพูดของเธอ และยิ่งอึ้งมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ตอนนี้ผมไม่กล้าที่จะมองหน้าเธอ เมื่อครู่เธอตั้งใจบอกรักผมหรือนี้? รึว่าเธอเพียงแค่เริ่มเห็นผมเป็นเพื่อนขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงเศร้าใจไม่น้อย ซึ่งท่าทีของเธอก็ไม่ต่างจากผมในตอนนี้ เลาๆว่าถ้าคนนอกมาเห็น ก็คงแปลกใจที่ลูกตำลึงแดงสองลูกมาอยู่อะไรตรงนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เวลาที่นานนัก เพราะรถประจำทางที่เรารอนั้น ได้มาเสียแล้ว ระ..รถมาแล้ว ผมพูดเสียงสั่น เธอหันมามองหน้าผม พลางหัวเราะคิกคัก แล้วเธอก็กล่าวต่อไปว่า พวกเรานี้แปลกนะ เรียนจิตวิทยามาแท้ๆ กลับไม่รู้ว่าแต่ละคนคิดอะไรอยู่ อืม...ก็จริงนะ สงสัยเพราะความกลัวว่าคิดผิด หรือถูกปฏิเสธกลับมา เลยทำให้ความคิดอ่านมันหดหายลงไปมั้ง? นี้...เธอไม่รู้เหรอว่าฉันคิดยังไง...กับเธออ่ะ? เธอพยายามทำเสียงอ้อนๆ ม่ะๆๆๆ ไม่ๆๆ เอ๊ยไม่ใช่ ระๆๆ รู้ก็ได้ ผมรีบเปลี่ยนคำตอบเพราะดูท่าเธอจะบีบคอผมแล้ว เอาไว้ว่าฉันจะรอฟังคำตอบบนรถก็แล้วกัน เมื่อเธอพูดเสร็จแล้ว เธอก็รีบวิ่งไปต่อคิวขึ้นรถ พลางกวักมือเรียกผม ผมได้แต่อมยิ้ม และคิดในใจว่าจะพูดอะไรกับเธอดี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ช่วยคุณยายด้วยท่าทีเช่นนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร?
Create Date : 22 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2556 3:56:13 น. |
Counter : 405 Pageviews. |
| |
|
|
|