INTRODUCTION ตั้งแต่เรียนจบ ก็ยังไม่ได้เริ่มสมัครงานแบบเป็นเรื่องเป็นราวซักที มีบ้างที่หยิบใบสมัครงานมากรอก แต่ก็กรอกทิ้งไว้ไม่ได้ยื่นหรอกนะ บางทีเห็นงานที่ประกาศรับสมัครก็ไปดาวน์โหลตใบสมัครมาดูเล่นบ้าง แต่ก็เหมือนเดิมไม่ได้ตั้งใจสมัครเพราะคิดว่าเดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนก็กลับเมืองไทยแล้ว เศรษฐกิจที่นี่ก็ไม่ดี งานก็เริ่มหายากขึ้น งานทั่วไปก็สามารถหาได้ไม่ยาก แต่งานเฉพาะทางหรืองานที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะด้านนั้น ผู้ว่าจ้างยังถูกจำกัดด้วยระบบเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัวดีนัก ในยุคที่น้ำมันแพงกว่าน้ำ การหางานก็ยากขึ้นไปตามลำดับ ส่วนนักศึกษาจบใหม่ก็มองหางานกันไม่ต่างจากบ้านเรา เพื่อนสนิทของแฟนเรียนเก่งมาก เรียนจบปริญญาเอกที่ฮาร์เวิร์ด ปัจจุบันนี้ยังร่อนจดหมายหางานทำอยู่เลย งานเฉพาะทางนั้นหายากจริงๆค่ะ พอนึกแบบนั้นแล้วเกิดอาการชักแขนเก็บเข้าข้างลำตัวทันที เพราะว่าขี้เกียจ หุหุอีกอย่างเวลาสมัครงานที่นี่ก็ต้องยื่น resume อีก ตอนยื่นก็ไม่เท่าไหร่แต่ตอนเขียนนี่สิ มันยาวเฟื้อยเรื้อย ก็เลยขี้เกียจอีกแล้ว เหอๆ มันคือเหตุผลที่ไม่สมัครงานซักที 555 ข้ออ้างัท้้งหมดทั้งสิ้น ก็คือยังไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ยังอยากหาอะไรหนุกๆทำ ตอนที่ยังเรียนหนังสืออยู่ตอนนี้มีเวลาหยิบเอางานอดิเรกที่ชอบมากๆอย่างทำอายแชโดว์ใช้เองกับเลี้ยงปลากัด((ไม่ได้เลี้ยงให้ปลากัดกันนะ สงสารปลา)) ขนาดไม่ได้ไว้โหลเดียวกัน มันยังคอพับคออ่อน ชิงตายไปแล้ว 3 ตัว T^Tแต่จู่ๆ ฟ้าก็ประทาน ดลบันดาลให้เราเดินไปชนกับงาน โดยไม่ต้องสมัครตอนเรียนอยู่ก็ทำงานพิเศษด้านแมลง ปักแมลง ไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรงแต่ก็ได้ทำงานจนเก็บความรู้มาจนเต็มหมอง ก็สนุกสนานดี ทำไปก็เพลินดีค่ะ จนกระทั่ง...ปัจจุบันนี้เรียนจบแล้ว ก็ยังทำงานด้านนี้อยู่ จะเล่าให้ฟังค่ะว่า ทำไมถึงได้งานนี้ค่ะ
IT'S ALL ABOUT BUGS เมื่อก่อนเคยทำเว๊ปเป็น webmaster ให้กับพิพิธภัณฑ์แมลงอยู่หลายปี ทำจนเรียนจบเลย ระหว่างที่ทำเว๊ปก็มีเบื่อบ้างนิดหน่อย ก็เลยขอเค้าลองปักแมลง แยกแมลง ก็ลองทำดู แรกๆก็ยากเหมือนกัน กลิ่นแอลกอฮอล์ก็ทำเอาเมาแทบทุกวัน กลับบ้านเล็บกับนิ้วเปื่อยเลย เพราะต้องแช่แอลกอฮอล์แทบจะตลอดเวลา แอลกอฮอล์เข้มข้น 85% ผสมกับกลิ่นแมลงที่แช่ไว้นานๆ ก็ทำให้กลิ่นติดผม ติดมือกลับบ้านแทบทุกวันแรกๆได้กลิ่นจนปวดหัว จนตอนนี้ก็ชินไปซะแล้ว การปักแมลงก็ไม่ยากนะแต่ต้องใช้สายตาตลอด ต้องนั่งเพ่ง นั่งจ้องแมลงตัวเล็กๆ ตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่แมลงที่ปักต้องใช้เข็มเล็กประมาณเบอร์ 1-3 เล็ก+บางกว่าเข็มเย็บผ้าอีก ถ้าตัวที่เล็กมากๆจนต้องใช้ microscope ส่องดู ก็ต้องเปลี่ยนเป็น point แปะกาวไว้บนกระดาษที่ตัดเป็น3เหลี่ยม ซึ่งจะยากกว่าเพราะตัวเล็กกว่าลื่นตกลงมาจากกระดาษได้ง่ายๆขั้นตอนการทำก็ยากเหมือนกัน แต่สเต๊ปการทำเคยเขียนบล๊อกไปแล้วเมื่อนานมากกกก จนตอนนี้แอบลืมไปบ้างแล้ว ไว้ว่างๆจะต้องถ่ายรูปแปะไว้ให้ละเอียดซะหน่อย กันลืมเน้อะพอเรียนจบปุ๊บ เพื่อนที่ทำงานด้วยกันก็ขอให้ไปช่วยทำงานให้เค้าหน่อยเพราะว่าเค้าเห็นว่าเราเป็นคนละเอียด สั่งงานครั้งเดียวก็ทำเสร็จลุล่วงโดยไม่ต้องวิ่งตามงาน ป้าแซนดี้ขอให้ช่วยเลี้ยงแมลงให้เค้าเป็น corn root warm คือเราเลี้ยงเพื่อดูการเจริญเติบโตของแมลงที่กินรากของต้นข้าวโพด ก็สนุกดีนะคะ เลี้ยงไปเรื่อยๆ มันดีนะคุณเคยมานั่งคิดดูคร่าวๆว่าเราปักกับพ๊อยด์แมลงไปประมาณไหนแล้ว นับคร่าวๆเล่นๆดูก็ไม่ต่ำกว่าหมื่นตัวอ่ะนะ ก็เล่นทำงานมาเกือบสิบปีแล้ว ถ้าทำไม่ได้เยอะเค้าคงดีดออกจากงานไปแล้วอ่ะเน้อะ 555ระหว่างที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ก็โชคดีที่สมัครเป็น TA กับ RA ด้วย เป็นที่มาของทุนการศึกษากับค่าเล่าเรียนฟรีค่ะ มาดูกันดีกว่าว่ากว่าได้เงินเรียนฟรีมายังไง
STARTING POINTS เราไม่ได้เป็นนักเรียนทุน กพ. ไม่ได้เงินทุนมาจากเมืองไทยอ่ะนะ เราได้เงินทุนจาก พม. มาเรียนที่เมกา ปีแรกๆค่าเล่าเรียนแพงมากๆ เห็นเงินที่พ่อกับแม่โอนเงินมาแต่ละเทอมแล้วก็เครียด เพราะสกุลเงินไทยอ่อนมากสมัยที่มาเรียนใหม่ๆ ช่วงฟองสบู่แตกค่าเงินแพงเหลือเกิน ดอลล่าร์ละ 49 บาท เห็นแม่โอนเงินทีจะเป็นลม เงินไทยเป็นปึก ได้เงินดอลฯกระจ้อยร่อยกระจิ๊ดริด ปีแรกเรายังสนุกกับการกินๆเที่ยวๆ แล้วก็เรียนหนังสือไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ไม่ได้สนใจอยากทำงานเหมือนคนอื่นๆเค้า ไม่เคยสมัคร ไม่เคยหางานเลยจนกระทั่งคุณแฟนชวนไปทำงาน ก็เลยเริ่มสนใจอยากทำงานกับเค้าบ้าง เพราะคุณแฟนได้เป็น RA (research assistant) คือเรียนฟรี มีเงินเดือน แล้วก็มีงานทำด้วย เลยเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำงานก้บเค้าบ้าง จึงเป็นจุดกำเนิดของการอยากมีงานทำค่ะ
IT STARTS HERE!!! การหางานที่เมืองนอกก็ไม่อยากจะบอกเลยว่ามันยากกกกกมั่กๆ งานง่ายๆอย่างล้างจาน งานแมคโดนัลด์เนี้ย ก็หาไม่ยาก ได้เงินไม่มาก แต่ได้เงินน้อยแล้วก็ทำงานหนักมากปีแรกเราหางานทำโดยที่คุณแฟนบอกว่าถ้าสามารถทำงานใน dorm จนครบหนึ่งเดือนล่ะก็เค้าจะพาไปเลี้ยงข้าว ซึ่งเราเป็นคนที่ไม่กลัวคำท้าอยู่แล้วหนึ่งเดือนแห่งความลำบากก็เริ่มขึ้นต้องทำงานร่วมกับคนดำที่ไว้เล็บยาว ต่อเล็บ ทำเล็บใหม่มาทำงานทุกวัน มาล้างจานนะแต่เล็บอย่างงาม ทุกวันก็อู้ๆๆๆๆไม่เคยเห็นแตะจานชามซักใบ ถามว่าทำไมเจ้านายเค้าไม่กล้าว่าหรือไล่ออก ก็เพราะพวกนี้เค้าไม่ได้เป็นนักเรียน เป็นพวกขอพึ่งเงินรัฐบาลไปวันๆ คือไม่ทำงานอะไร ให้รัฐเลี้ยง เดือนนึงก็ได้เงินกับตั๋วอาหาร (Food Stamps) พวกนี้ก็ไม่เคยหยิบจับงานอะไร เค้าอยากโดนไล่ออกเพื่อที่จะได้อยู่บ้านสบายๆไม่ต้องทำงาน แต่ทางเจ้าของร้านอาหารก็ไล่เค้าไม่ได้เพราะรัฐจัดหางานให้กับคนพวกนี้ ถ้าหากไล่ออก พวกนี้ก็สบายไม่ต้องทำงาน รัฐก็ต้องเลี้ยงต่อไปไม่รู้จบส่วนใหญ่เด็กพวกนี้จะไม่เรียนหนังสือ พ่อแม่เค้าสอนให้มีลูกตั้งแต่ยังเด็ก บางคนอายุ11 ก็มีลูกกันแล้ว การที่พ่อแม่ของเด็กพวกนี้สอนให้รีบมีลูกก็เพราะ เค้าไม่มีงานทำ พอมีลูก เค้าก็จะได้เงินช่วนจากรัฐบาลมากขึ้น ก็ได้แค่เห็นใจแต่ที่โมโหมากๆคือ เด็กพวกนี้ไม่ทำงาน ไม่เคยถูพื้น ไม่เคยล้างจานดังนั้นคนที่ทำทั้งหมด จะใครล่ะ ก็ชั้นนี่แหล่ะ เฮ้อ
SCHOLARSHIPS & TUITION WAIVER เมื่อความอดทนที่มีน้อยแล้วก็พร้อมจะขาดผึ่งทุกเมื่อ ก็มาเจอวันที่เจอเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม งานการไม่แตะ ตะคอกใส่ ก็เป็นวันที่ความอดทนมันสิ้นสุดมารู้อีกทีก็ทำงานที่นี่ไป 1 เทอมเต็มๆ ก็ประมาณ 3 เดือนกว่า ก็เลยบอกกับคุณแฟนว่าไม่ไหวแล้วนะ เราจะเริ่มหางานอื่นทำที่ไม่ต้องลำบากหรือไม่สบายใจอีกแล้วเราก็เลยเริ่มมองหาอะไรที่ไม่เหนื่อย ไม่ลำบาก ไม่ได้กลัวลำบากนะ แต่ทำงานหนัก ถูพื้นล้างจานกองโตๆ ขูด grills ทำเบอเกอร์ทุกวันล่ะก็คงไม่ไหวหรอกนะ เหนื่อยเกินไป กลับบ้านทีไรหอบแฮ่กๆทุกที เหนื่อยจนเดินไม่ไหวอ่ะนะ หนังสือหนังหาก็ไม่ได้อ่านเลย แต่ก็ยังโชคดีที่ยังประคองเกรดเฉลี่ยได้ดีจนสามารถยื่นสมัครทุนครั้งแรกกับเค้าได้ จริงๆมันก็ผ่านไปเกือบปีแล้วที่มาทุนแรกที่ขอ กำหนดไว้ว่าจะต้องเป็นนักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนที่มหาลัยอย่างน้อย 1 ปีและมีเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.25 แล้วเราก็ผ่านข้อกำหนดทุกข้อ ก็เลยขอสมัครดู แล้วก็ได้รับทุนการศึกษามาค่ะ เสียดายที่ทุนนี้ไม่ cover ค่าหนังสือกับค่ากินอยู่อื่นๆ ก็เลยอยากสมัครทุนอื่นๆแทนที่จะทำให้ได้เรียนหนังสือแล้วทำงานไปด้วยได้ ก็เป็ฯที่มาของการหางานอื่นร่วมไปด้วยงานไหนล่ะคะที่จะสบายไม่ต้องตรากตรำแต่ได้เงินเดือนแล้วก็ค่าเทอมอ่ะค่าเทอมที่นี่ก็ไม่น้อยเลยนะ เทอมนึงปาเป็นเงินไทยก็หลายแสนบาท แล้วไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าหนังสือ ค่าจิปาถะ ก็ไม่ไหวอ่ะน้อ มาเริ่มมองหาอะไรที่ไม่เหนื่อยมากแล้วก็เป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับชีวิตการงานเราดีกว่า คำถามที่จะได้รับส่วนมากคือ จบด๊อกเตอร์แล้วจะทำงานอะไร คนที่เลือกเรียนด๊อกเตอร์ก็มีความตั้งใจอยากเป็นอาจารย์นั่นแหล่ะค่ะ ทำไมเราถึงเลือกเรียนด๊อกเตอร์ หลายครั้งที่ท้อจะนึกคำถามนี้เสมอๆ แล้วคำตอบก็กลับมาสมัยเด็ก ถ้าจำไม่ผิดก็ประมาณ ป.5 คุณลุงเพิ่งเรียนจบใหม่มาจากอเมริกา กลับมาเป็นด๊อกเตอร์ สมัยที่เราเป็นเด็กเรามองว่ามันโก้มาก เราก็คิดว่าคนเป็นด๊อกเตอร์นี่มันเท่แท้ๆ หารู็ไม่ว่าหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ จะเลือกเรียนอะไรก็ไม่เลือกดันเลือกที่จะเป็นด๊อกเตอร์ การจะเป็นด๊อกเตอร์ สามารถเป็นได้สองทางใหญ่ๆ คือเป็นหมอหรือเรียนให้จบปริญญาเอก ถ้าเราเลือกที่ชอบสายวิทย์ฯเราคงไม่ต้องเรียนยาวนานหลายสิบปีแบบนี้หรอกเน้อะ แต่เราเลือกที่จะไม่ชอบเรียนวิทยาศาสตร์เอาซะเลย ดังนั้นวิชาที่เลือกเรียนได้แล้วทำให้เป็นด๊อกเตอร์ก็ลิบหรี่ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือ เรียนต่อให้จบปริญญาเอกก็จะเป็นด๊อกเตอร์นั่นเอง เมื่อผ่านความยากของการเรียนมัธยมมาได้ ที่เหลือก็ไม่ยากมากแล้วล่ะค่ะ ไว้จะมาเล่าเรื่องการเรียนทีหลังละกันนะคะ มาต่อกันเรื่องประสบการณ์การสอนที่ได้มาจากห้องเรียนดีกว่าค่ะ
PART 1 : TEACHING EXPERIENCES สำหรับตัวเราเอง งานที่เราสนใจเป็นพวกงานสอนหนังสือหรือเกี่ยวกับด้านแมลง ส่งวนตัวแล้วชอบวิชาด้านการตลาดเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว แล้วเราก็เรียนมาด้านนี้ การสอนวิชาการตลาดก็ดูจะไม่ไกลตัว สามารถหยิบยกเหตุการณ์ปัจจุบันหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาเป็นตัวอย่างได้ไม่ยาก หรืออีกวิชาที่สอนได้ก็ไม่พ้นวิชาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือการทำเว๊ป เพราะเคยมีประสบการณ์จากที่เคยสอนมา ทำให้ไม่ต้องเตรียมตัวให้ยุ่งยาก การสอนหนังสือไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากนัก ส่วนที่ยากที่สุดคือส่วนของการเตรียมการสอน การอ่านหนังสือเพื่อเตรียมเรื่องที่จะสอนกับยกตัวอย่างเพื่อให้นักเรียนเข้าใจ อันนั้นถือว่ายากที่สุดนะสำหรับเรา ตอนสอนจริงๆก็ไม่ยากนักแต่ตอนเตรียมตัวอ่านหนังสือเตรียมสอน หาการบ้าน อัพโหลดพวกไฟว์ขึ้นเว๊ปยุ่งยากกว่าเป็นนักเรียนซะเองอีก ต้องอ่านหนังสือหนาหลายนิ้ว เลือกการบ้านที่เหมาะสมกับบทเรียน แล้วอัพโหลดไฟว์ให้ตรงกับการบ้านนั้นๆ ปกติเราสอนร่วมกับเพื่อนอาจารย์ด้วยกันหลายคน มีการแบ่งความรับผิดชอบกันตามความเหมาะสม แต่ละอาทิตย์ก็จะโดน assign งานต่างกันไป คนนึงเลือกการบ้าน คนนึงเตรียมการสอน อีกคนนึงอัพโหลดไฟว์การบ้านขึ้นเว๊ปมีบ้างที่อัพโหลดไฟว์ผิด นักเรียนไม่มีไฟว์ทำการบ้านหรือบางคนถึงกับงง โมโหอาจารย์ที่ไม่มีการเตรียมพร้อม ก็เอ๋อกันได้เหมือนกัน ก็ต้องตามแก้ไข ทุกวันมีเรื่องราวใหม่ๆ ให้คอยแก้เสมอๆมีอยู่ครั้งนึงต้องสอนวิชา Intro. to Computer Applications ให้กับนักศึกษาปี 1 วิชานี้เจอกันอาทิตย์ละครั้ง นักเรียนต้องไปอ่านหนังสือมาเพื่อมาสอบทุกอาทิตย์ เนื่องจากเป็นวิชา 1 เครดิตแล้วนักเรียนต้องทำการบ้านแล้วก็อ่านหนังสือมาเอง การสอบก็จะเป็น multiple choices คลาสนี้ใหญ่มาก ประมาณ 90 กว่าคน เป็นคลาสที่นักเรียนมาลงเยอะมากกก ที่มหาลัยในเมกาส่วนใหญ่ นักศึกษาที่เป็นนักกีฬาด้วยจะได้สิทธิพิเศษหลายอย่าง เช่นค่าเทอมฟรี สามารถขาดเรียนได้หากต้องไปแข่งกีฬา การเรียนถือเป็นเรื่องรองสำหรับนักศึกษาพวกนี้มีนักเรียนของเราคนนึงชื่อ Kleizar มาจากประเทศ Lithuania ลงเรียนวิชานี้ด้วย เด็กคนนี้ตัวสูงมากกก พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง ใส่กางเกงเล่นบาสมาเรียนทุกครั้ง เด็กคนนี้เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลซึ้งเป็นกีฬาที่มหาลัยให้การสนับสนุนนอกเหนือไปจากกีฬาฟุตบอลKleizar มาสอบครั้งแรก กับข้อสอบแสกนทรอน ปกติแล้วสแกนทรอนต้องฝนด้วยดินสอสีดำสนิทเพื่อให้เครื่องอ่านสามารถอ่านคาร์บอนได้ แต่ Kleizar ฝนด้วยปากกาค่ะเราก็บอกว่าถ้าฝนด้วยปากกาเครื่องจะไม่อ่าน คะแนนจะออกเป็นศูนย์นะ เค้าก็บอกว่าแล้วจะให้ทำยังไง เราก็บอกว่าเอาดินสอมาฝนสิ เคยบอกแล้วว่าให้เอาดินสอมาด้วยทุกครั้ง เค้าบอกว่าไงรู้ไม๊คะ เค้าบอกว่าเค้าไม่เคยใช้ดินสอ เค้าไม่มี เราก็บอกให้ไปยืมเพื่อนสิ ณ ตอนนั้น ทุกคนยังทำข้อสอบไม่เสร็จ การสอบที่นี่ไม่ได้นั่งห่างกัน สามารถนั่งติดๆกันได้ แค่หันคอก็เห็นคำตอบของโต๊ะเพื่อนบ้าน แต่ที่นี่น้อยคนที่จะทุจริตนะคะ เพราะถ้าจับได้คือไล่ออกสถานเดียว ไม่มีการให้โอกาสใดๆ แล้วเจ้านี่ก็กวนมิใช่น้อย เนื่องจากเป็นนักกีฬา ออกทีวีบ่อยๆ ก็เลยคิดว่าเราต้อง treat เค้าเหมือนเจ้าชาย เค้าก็บอกว่างั้นเค้าก็จะรอแก้ โอเค แก้ก็แก้ ก็ต้องรอนักเรียนคนอื่นทำข้อสอบเสร็จถึงจะสามารถยืมดินสอได้ สรุปว่าครั้งนี้ก็รอดตัวไป อาทิตย์ต่อมาKleizar ก็มาพร้อมปากกาในมือหนึ่งแท่ง แล้วก็ฝนด้วยปากกาเหมือนเดิม แถมทำไม่ครบอีกต่างหาก เราก็เลยมั่นใจว่าไม่ได้อ่านหนังสือและไม่เตรียมตัวมาแน่นอน แต่เราก็ยังให้โอกาสอยู่ไม่อยากให้ครบสอบตกอ่ะนะ เราก็ให้เค้าเอากลับไปแก้อีกแต่นักเรียนคนนี้หันมาบอกเราด้วยสำเนียงแปร่งๆว่า "You fill it in for me then. I gotta go." เอ่อ งง สิคะเนี้ย อิชั้นเป็ฯ TA ก็มีสิทธิ์ให้ตกได้นะ เราก็บอกว่าไม่อ่ะ คราวนี้เราเห็นว่าเป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่มีการปรับปรุงเราก็ไม่ให้โอกาสอีก ได้ศูนย์ค่ะ แล้วก็แจ้ง academic adviser ของเค้าเพื่อให้มีการปรับปรุงต่อไปปัจจุบัน Kleizar เลือกที่จะดร๊อปเรียนแล้วไปเป็นนักบาสของทีม Denver เราก็เชื่อว่าเค้าได้เลือกทางที่เหมาะสมสำหรับเค้าแล้ว ถ้าเค้าเลือกที่จะเรียนต่อก็คงเรียนไม่จบเพราะเกรดวิชานี้ ขออนุญาตไม่บอกนะคะเพราะว่าการเอาเรื่องเกรดมาเผยแพร่ถือเป็นความผิดมหันต์ของอาชีพอาจารย์ที่นี่ค่ะ ขนาดโพสต์คะแนนนักเรียนนอกห้องยังอาจถูกฟ้องได้ง่ายๆเลย หุหุคราวหน้าจะมาเล่าประสบการณ์การทำงาน การหาทุนแล้วก็การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนที่จะเรียนจบด๊อกเตอร์ค่ะ ((อันนี้เขียนเป็นดราฟท์สำหรับเขียนเป็นหนังสือต่อไปค่ะ อาจจะย่อๆ ตกหล่นไปบ้าง จะมาเติมวันหลังนะคร้าบ))ตอน 2 : กว่าจะเป็นจบด๊อกเตอร์
แต่น้องก็ตั้งใจจริง ถึงได้มาถึงวันนี้