ขีดเขียนเวียนอ่าน
ซีรีส์ที่อยากเขียนถึง
ภาพยนตร์โปรด
การสื่อสาร
เรื่องเล่าจากประสบการณ์
โรคภัยไข้เจ็บ
รายการบันเทิ้งบันเทิง
หนังสือ
เพลง
เมื่อฉันเกิด เศษกระดูกโผล่จากเบ้าฟัน (ภาค 2)
เมื่อฉันเกิด เศษกระดูกโผล่จากเบ้าฟัน (ภาค 1)
สิทธิหลักประกันสุขภาพฯ : สิทธิที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึง (จบ)
สิทธิหลักประกันสุขภาพฯ : สิทธิที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึง (3)
สิทธิหลักประกันสุขภาพฯ : สิทธิที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึง (2)
สิทธิหลักประกันสุขภาพฯ : สิทธิที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึง (1)
เมื่อฉันเกิด เศษกระดูกโผล่จากเบ้าฟัน (ภาค 2)
[เรื่องเล่าภาค 1 >>
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=skywriter&month=03-07-2025&group=5&gblog=5
]
ภาวะกระดูกข้างเบ้าฟันโผล่ออกมา
(Alveolar Bone Sequestration) คือ การมีเศษกระดูกตายขนาดเล็กหลุดล่อนจากขอบกระดูกขากรรไกร ถูกดันขึ้นมานอกเหงือก เหมือนเป็นตุ่มหรือหนามเล็ก ๆ ที่เหงือก มักเกิดบริเวณกรามล่างด้านหลัง ผู้ป่วยอาจรู้สึกระคายเคืองหรือเจ็บเล็กน้อย ไม่มีอันตรายร้ายแรง หากไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนติดเชื้อ
สาเหตุและกลไกการเกิด
การเกิดชิ้นกระดูกตาย (Sequestrum) สามารถเกิดขึ้นได้...
หลังการถอนฟัน
— กระดูกบางส่วนขาดเลือดและตาย จากการถอนฟันอย่างรุนแรง เช่น การผ่าฟันคุด กระบวนการสลายและสร้างใหม่ของกระดูกขากรรไกร อาจทำให้บางส่วนแตกล่อน ตายค้างอยู่ แล้วค่อย ๆ ถูกดันขึ้นมา อาจเกิดขึ้นหลังถอนฟันไม่นาน หรือผ่านมาแล้วหลายปี
การใส่ฟันปลอมเป็นเวลานาน
— หากฟันปลอมกดแน่นเกินไปหรือการสบฟันไม่สมดุล จะเกิดแรงกดเฉพาะจุดเดิมซ้ำ ๆ ที่เหงือกและกระดูกส่วนนั้น อาจทำให้กระดูกสันขากรรไกรสึกหรือเสื่อมลงเรื่อย ๆ จนบางจุดของกระดูกตาย แล้วค่อย ๆ โผล่ออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ
พยาธิสภาพ
เศษกระดูกตายนี้ เมื่อขาดการไหลเวียนของเลือด ร่างกายจะพยายามกำจัดออกโดยดันขึ้นสู่ผิวเหงือกจนหลุดออกมาเอง หรือบางครั้งต้องให้ทันตแพทย์ช่วยสะกิดออก
อาการ
รู้สึกเหมือนมีตุ่มหรือหนามแข็งเล็ก ๆ สีขาวหรือสีงาช้าง นูนอยู่บนเหงือก (คุณอาจเข้าใจผิดว่าเป็นตุ่มหนอง) อาจเจ็บเล็กน้อยหากถูกลิ้นไปโดน หากฉายไฟส่องดู จะเห็นมีวงสีแดงบาง ๆ รอบตุ่มสีขาวนั้น
ไม่มีอาการบวมแดงรุนแรง ยกเว้นมีการติดเชื้อร่วมด้วย
การรักษา
ถ้าไม่มีอาการ อาจปล่อยให้หลุดออกเอง
ถ้ารำคาญหรือเจ็บ ควรพบทันตแพทย์เพื่อเอาออกอย่างปลอดภัย
รักษาความสะอาดช่องปากเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
กรณีที่เศษกระดูกไม่หลุดเองและเจ็บ
ควรพบทันตแพทย์
ขั้นตอนการเอาออก
ตรวจและทำความสะอาดบริเวณ
ที่เป็น หมอจะดูว่าชิ้นกระดูกหลวมพอที่จะเอาออกหรือไม่
ฉีดยาชาเฉพาะที่
– หากบริเวณนั้นไวต่อความเจ็บหรือกระดูกฝังแน่นเล็กน้อย
ใช้เครื่องมือปลอดเชื้อขนาดเล็ก
– เช่น คีมถอนฟันขนาดจิ๋วหรือคีมปลายแหลม ค่อย ๆ คีบหรือดันชิ้นกระดูกออก
ถ้ามีขอบคมของกระดูกเหลืออยู่
หมออาจใช้หัวกรอขนาดเล็กเกลาลบคมเพื่อให้แผลเรียบขึ้น
ห้ามเลือดและแนะนำการดูแล
– ถ้ามีแผลเล็ก ๆ อาจใช้ผ้าก๊อซกด และบอกวิธีทำความสะอาดช่องปากให้แผลหายเร็ว
ในกรณีที่แผลค่อนข้างลึก หมออาจเย็บหรือใช้ผ้าก๊อซชนิดพิเศษ (Reso-Pac หรือ Coe-pak) ช่วยให้แผลหายเร็วและป้องกันการติดเชื้อ
ถ้ากระดูกหลวมมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
ถ้าฝังลึกเล็กน้อย อาจต้องค่อย ๆ เลาะ ใช้เวลา 10–15 นาที
Cr.
https://www.youtube.com/watch?v=UVl_cy6vEnw
คำแนะนำหลังทำหัตถการ
หลีกเลี่ยงการเคี้ยวบริเวณนั้น 1–2 วัน
รักษาความสะอาดช่องปาก ใช้น้ำเกลือบ้วนปากเบา ๆ
อาจให้ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับบ้วนปาก เช่น chlorhexidine
ถ้ามีอาการปวดหรือบวมผิดปกติ ให้กลับมาพบทันตแพทย์
ตัวอย่างคลิปการสะกิดเศษกระดูกออก
Cr. https://www.youtube.com/watch?v=UVl_cy6vEnw
แหล่งอ้างอิง
https://www.healthline.com/health/dental-and-oral-health/bone-spicule?utm_source=chatgpt.com#symptoms
https://journals.indexcopernicus.com/api/file/viewByFileId/1833235?utm_source=chatgpt.com
https://www.mdpi.com/2076-3417/12/16/8202?utm_source=chatgpt.com
https://www.healthline.com/health/dental-and-oral-health/bone-spicule
https://powerroaddentalcare.com/understanding-and-managing-bone-spicules-after-tooth-extraction/?utm_source=chatgpt.com
ใช้ ChatGPT ช่วย
**ห้ามคัดลอกงานเขียน**
Create Date : 03 กรกฎาคม 2568
0 comment
Last Update : 3 กรกฎาคม 2568 17:55:54 น.
Counter : 174 Pageviews.
(โหวต blog นี้)
Share
Tweet
เมื่อฉันเกิด เศษกระดูกโผล่จากเบ้าฟัน (ภาค 1)
หากคุณเห็นตุ่มหนองบนเหงือกกรามล่าง ด้านในสุด นั่นอาจไม่ใช่หนอง แต่เป็น “เศษกระดูก”
ใช่ค่ะ มันเกิดกับฉันเอง และด้วยความ “ไม่รู้” จึงทำให้ฉันเสียเวลา ผ่านมือหมอตั้ง 6 คน กว่าจะรู้สาเหตุ แถมเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโดยไม่จำเป็นเลย...
อาการเริ่มจาก เจ็บ ๆ สะดุดเวลาลิ้นไปโดนตรงฐานฟันกรามล่าง ข้างซ้าย ด้านในสุด
เมื่อเอาไฟฉายส่องดู เห็นเป็นจุดหนองเล็กๆ ทีแรกฉันคิดว่าก้างปลาไปทิ่มโดน แล้วติดเชื้อ
ฉันเลยเพิ่มการทำความสะอาดด้วยการอมน้ำเกลืออุ่นๆ หลังแปรงฟัน
เสิร์ชหาข้อมูล ส่วนใหญ่บอกว่า มีปัญหาที่รากฟัน
ภาพประกอบจาก
https://dentagama.com/news/bone-spur-in-gums
เนื่องจากฉันใช้สิทธิ์บัตรทอง จึงไปตรวจที่คลินิกทันตกรรมของศูนย์บริการสาธารณสุข
หมอฟัน (1) กด ๆ ไปตามเหงือกด้านที่มีจุดหนอง ปวดมาก หมอสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อเคลียร์หนองออก (สำหรับกิน 5 วัน) กับยาแก้ปวด เธอแนะนำให้ไปพบหมอเฉพาะทางเหงือกที่โรงพยาบาล
มีการถามว่าฉันรู้ได้ยังไงว่ามีตุ่มหนอง ? ฉันตอบว่า “ลิ้นไปโดนค่ะ”
กลับมาบ้าน ปวดหนักกว่าเดิมมาก ปวดร้าวยาวไปทั้งแถบ
วันที่ไปโรงพยาบาล (เป็นวันศุกร์) ณ ห้องตรวจทันตกรรม เล่าอาการให้หมอคัดกรอง (2) ฟัง หมอส่งเอกซเรย์ เรียกดูฟิล์มเอกซเรย์ แต่ไม่อธิบายอะไร ฉันดูเอง ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ
หมอแนะนำให้ไปพบหมอเฉพาะทางเหงือกวันจันทร์หรืออังคาร ส่วนวันนั้นให้ฉันขูดหินปูนก่อน
หมอฟัน (3) ขูดหินปูนไปค่อนปากแล้ว บอกว่า “หมอยังไม่เห็นหนองเลย” ฉันบอกว่ากินยาปฏิชีวนะอยู่ค่ะ (มันอาจจะเคลียร์หนองออกแล้ว)
จากวันแรกที่ถูกหมอฟัน (1) กด อยู่เฉย ๆ ก็ปวดมาก หลังขูดหินปูน รู้สึกเบา สบายเหงือกขึ้น หายปวดไปเลย
รอถึงวันจันทร์ไปโรงพยาบาลอีกรอบ (เพิ่งรู้ทีหลังว่า จนท.ไม่ทำนัดให้ เพราะวอล์กอินเข้าไปเลยเร็วกว่า)
ฉันเลยต้องพบหมอคัดกรอง (4) ใหม่ คนละคนกับคราวก่อน
หมอถามว่าขูดหินปูนแล้วดีขึ้นมั้ย ? แต่กดเหงือกยังเจ็บ เลยยืนยันส่งต่อหมอเหงือก
พบหมอเหงือก (5) กด ๆ ไปบริเวณเหงือกที่ฉันบอกว่าเจ็บ
ฉันบอกความรู้สึกเพิ่มเติมว่า หลังขูดหินปูน เวลาลิ้นไปโดนเหมือนมีรอยแผลเล็ก ๆ ไม่เรียบลื่น พอหมอกดถึงจุดยุทธศาสตร์ ฉันแสดงอาการเจ็บม้ากกกก !! หมอใช้ปลายเครื่องมือเคาะเบา ๆ แล้วบอกว่า “เป็นที่กระดูกนะ น่าจะกระดูกแตก ต้องให้หมอศัลยกรรมดู”
ฉันร้อง “ฮ้า !!” เสียงดัง กระดูกแตก ! แตกได้ยังไง ? (ไม่ได้กระแทกอะไรเลย)
หมอเหงือกไม่พูดอะไร เดินไปโทรคุยกับหมอศัลยกรรม แล้วกลับมาพร้อมบัตร “ส่งนัด แต่งกระดูก ผ่าฟันคุด คิวที่ 2” ให้นั่งรอเรียก
นั่งรอราว 2 ชั่วโมง คนไข้ค่อย ๆ ออกไปทีละคน ๆ จนเหลือฉันเกือบเป็นคนสุดท้าย เจ้าหน้าที่ถึงเดินมาถาม แล้วไปดูหมอให้
เขากลับมาบอกให้รออีกแป๊บนึง หมอผ่าตัดคนไข้วอร์ดอยู่ เป็นเคสยาก
รอต่ออีกหน่อย หมอศัลยกรรม (6) เดินมาเรียกเองเลย ขอโทษที่ให้รอนาน แล้วถามว่า “ไหน มีกระดูกตรงไหนต้องผ่า ?”
ฉันตกใจ จะผ่าเลยเหรอ ! ฉันละล่ำละลักบอก “หมอดูก่อนค่ะ”
หมอถึงสวมถุงมือยาง กด ๆ ดู เรียกนักเรียนแพทย์ 2 คนมาดูด้วย แล้วหมอก็เลยสอนนักเรียนแพทย์ไปพร้อม ๆ กับสอนฉันไปด้วย โดยให้ฉันเป็นคนถือกระจกส่องดูตามที่หมออธิบาย
หมอเริ่มต้นบทเรียนว่า “มักพบในคนอายุ 40+”
จากนั้นก็อธิบายประมาณว่า ตำแหน่งที่เป็น คือ กรามด้านในสุดท้าย เพราะมีลักษณะเหมือนหน้าผา พอใช้งานมาก ๆ กล้ามเนื้อจะเกิดการ “หดรั้ง” จนกระดูกโผล่ออกมา ไม่อันตราย ส่วนใหญ่เป็นกระดูกที่ตาย มันจะหลุดออกไปเอง ซึ่งของฉันน่าจะหลุดออกไปแล้ว (ตุ่มหนองเล็ก ๆ ที่ฉันเห็น ความจริงเป็นเศษกระดูก)
อีกข้างก็มีเหมือนกัน แล้วหมอก็กด ๆ บนเหงือกกรามข้างขวา บอกว่า “เนี่ย เป็นกระดูกเหมือนกัน แต่ยังไม่เป็นอะไร”
หมอเข้าไปเอาโมเดลฟันในห้องออกมาสอน ชี้ให้ดูกรณีที่ถ้าเป็นกระดูกงอก ต้องผ่าตัดใหญ่เหมือนเวลาซ่อมผ้า ต้องเลาะตะเข็บ (เหงือก) ทั้งแถบออกก่อน
ฉันถามว่า “แล้วอย่างกรณีนี้ ถ้ากระดูกไม่หลุดเอง?”
หมอบอกว่า “ถ้าไม่หลุดเอง เกิดอักเสบ ติดเชื้อ ก็มาให้หมอสะกิดออกให้ได้”
หมอถามทวนอาการว่า “เป็นจุดขาวเล็กๆ แล้วมีสีแดงรอบๆ ใช่มั้ย?”
ฉันตอบ “ใช่ค่ะ”
หมอบอกว่า “แล้วเวลาลิ้นไปโดนก็จะเจ็บมาก บางคนเจ็บจนสะดุ้ง”
ฉันบอก “ใช่ ๆ” แต่ของฉันแค่รู้สึกสะดุด ๆ เวลาลิ้นไปโดน ไม่เจ็บจนสะดุ้ง แค่ปวดเวลาเคี้ยวอะไรที่ต้องออกแรงหน่อย
ภาพประกอบจาก
https://dentagama.com/news/bone-spur-in-gums
หลังจากนั้น หมอเรียกฉันเข้าไปในห้องทำงาน เปิดฟิล์มเอกซเรย์ฟันของฉันให้ดู (พอได้ดูใกล้ ๆ แล้ว สภาพฟันสวยจัง รากเรียวยาวตรงดิ่ง) หมอบอกว่า "ฟันยังดี เหงือกยังเฟิร์ม ไม่มีปัญหาอะไรเลย สบายใจนะ"
โอเค สบายใจขึ้นมาก
ฉันถามหมอคำถามสุดท้ายว่า “อาการแบบนี้มีชื่อเรียกไหมคะ จะเรียกว่าอะไร ?
หมอนิ่งคิดแป๊บนึง บอกว่า “กระดูกโผล่”
แต่ฉันยังไม่สิ้นสงสัย ก็เลยหาข้อมูลทางออนไลน์ต่อ.... (ภาค 2)
**ห้ามคัดลอกงาน**
Create Date : 03 กรกฎาคม 2568
0 comment
Last Update : 3 กรกฎาคม 2568 20:29:36 น.
Counter : 152 Pageviews.
(โหวต blog นี้)
Share
Tweet
สิทธิหลักประกันสุขภาพฯ : สิทธิที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึง (จบ)
ภาค
4 การกำจัดยุงลายในบ้านผู้ป่วยของศูนย์บริการสาธารณสุขเขตฯ กับฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล สำนักงานเขตฯ
เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 เวลาประมาณ 10.00 น. มีเจ้าหน้าที่จากศูนย์บริการสาธารณสุข 50 เขตบึงกุ่ม ได้รับแจ้งว่า บ้านฉันมีผู้ป่วยไข้เลือดออก จึงเข้ามาขอตรวจลูกน้ำยุงลายในบ้าน โดยโทรแจ้งปุ๊บ ก็มีรถตู้ของศูนย์ 50 มาโผล่หน้าบ้านเลย ซักพักก็มีรถปิ๊กอัปของเขตฯ มาจอดต่อท้ายอีก 1 คัน
เจ้าหน้าที่ขอเข้ามาตรวจแหล่งเพาะยุงลายในบริเวณบ้าน และตักทรายอะเบทหยอดในทุกที่ที่มีน้ำ โดยไม่ถามฉันก่อนว่า จะใช้น้ำนั้นทำอะไรและหยอดได้หรือไม่ !
เมื่อฉันถามถึงอันตรายของทรายอะเบท ถ้ามีสัตว์กินเข้าไป ?
เจ้าหน้าที่ก็ตอบไม่ชัดเจนว่า “สัตว์กินน้ำที่ใส่ทรายฯ ได้ แต่ไม่ควรกิน”
ฉันจึงต้องยกชามใส่น้ำให้นกและแมวจรเก็บชั่วคราว เหลือแต่กระถางต้นผักตบชวาที่ยกคนเดียวไม่ไหว (ฉันชำกิ่งผักชีลาวไว้ในน้ำ กำลังจะนำลงดิน เจ้าหน้าที่ก็หยอดทรายอะเบทลงไป ไม่นานผักชีลาวที่รากงอกแล้วก็เฉาตาย
)
จากนั้นเจ้าหน้าที่ผู้หญิง (น่าจะเป็นพยาบาล) แจ้งว่าจะฉีดพ่นสารเคมีกำจัดยุงลาย
ฉันปฏิเสธว่า “ยังไม่พร้อมค่ะ เพราะผลเลือดยังไม่ปกติ ค่าตับยังสูงอยู่” ขอให้มาฉีดภายหลัง แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าสารเคมีไม่อันตราย ฉันจึงยอมให้ฉีด
โดยการฉีดพ่นสารเคมี เจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งข้อควรปฏิบัติและควรระวังใด ๆ ทั้งสิ้น แค่ให้ฉันเซ็นเอกสารโดยไม่บอกด้วยว่าเอกสารอะไร ฉันเองก็มองไม่เห็น เพราะไม่ได้ใส่แว่นสายตายาว แต่เข้าใจเองว่าคงเป็นเอกสารยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่แล้ว
ตอนนั้น ฉันอยู่บ้านคนเดียวและยังไม่แข็งแรง ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้ และคิดไม่ทันว่าควรปฏิบัติอย่างไร และคิดไม่ทันว่าต้องปิดแหล่งน้ำใช้ เก็บภาชนะ เสื้อผ้า เครื่องนอนของใช้ต่าง ๆ
เมื่อฉีดพ่นสารเคมี ปรากฏว่ามีสารเคมีถูกพ่นเข้ามาเต็มภายในบ้าน ทั้งชั้นล่างและชั้นบน เนื่องจากเป็นบ้านแบบเปิด เก่ามาก หน้าต่างปิดไม่สนิท ชั้นบนมีช่องลมในห้องน้ำ หมอกควันสารเคมีฟุ้งเข้ามาตามช่อง ตามท่อระบายน้ำ จนเป็นควันขาวและเหม็นไปทั้งบ้าน
ฉันถูกรมยาฆ่ายุงจนแสบจมูก ริมฝีปากล่างบวมและชา ปวดศีรษะเป็นเวลานานข้ามวัน
รุ่งเช้าหน้าบวมเล็กน้อยจนดันขาแว่นนูนออกมา แสบตา โพรงจมูกบวมและปวด
จึงร้องเรียนไปยังสำนักอนามัย โทร 0 2203 2872
เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องแย้งว่า “การพ่นยาเป็นหน้าที่ของเขต ไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข”
ฉันยืนยันว่า คนที่บอกให้พ่นยาเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
มีการโต้เถียงกันพอประมาณ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ฟังให้จบประโยคและจับประเด็นไม่ถูก แต่สุดท้ายปลายสายรับเรื่องจะไปประสานไปทางศูนย์ 50
วันจันทร์ 9 โมง หัวหน้าพยาบาลศูนย์ 50 โทรมาหาฉัน พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม รับฟังปัญหาอย่างดี แสดงความสำนึกผิด และขอโทษ (พูดจาดีมาก ทั้งที่น่าจะอาวุโสกว่าฉัน)
ทางหัวหน้าทีมสอบถามเจ้าหน้าที่มาก่อนแล้ว ได้ความว่า พวกเขาทำงานร่วมกันกับเขต วันนั้นเขาไม่ได้นัดกัน แต่บังเอิญมาพบกันหน้าบ้านฉัน เพราะข้างบ้านโทรแจ้งให้เขตมาพ่นยากำจัดยุงลาย บ้านเขาก็มีผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกเหมือนกัน ซึ่งขณะนั้นผู้ป่วยนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
ปัญหาที่เกิดขึ้นในส่วนของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 50 บึงกุ่ม คือ ฉันปฏิเสธแล้วว่าสภาพร่างกายยังไม่พร้อม แต่พยาบาลประมาท ไม่ใส่ใจ และไม่ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย อาจจะไม่มีความรู้มากพอด้วย
ฉันถามหัวหน้าพยาบาลว่า ถ้าอย่างนั้นฉันควรแจ้งปัญหาทางเขตด้วยมั้ย ?
หัวหน้าแนะนำให้แจ้งไปยังผู้อำนวยการเขต
ฉันส่งเรื่องร้องเรียนในลักษณะหนังสือราชการ แล้วส่งไปทางเพจสำนักงานเขตบึงกุ่ม แอดมินส่งเรื่องต่อไปให้ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล
อีก 10 วันต่อมา แอดมินได้ส่งภาพถ่ายหนังสือราชการผลการดำเนินงานมาให้ฉัน ดังภาพประกอบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อมฯ ก็ไม่ยอมรับผิด ไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไขวิธีการทำงานให้ถูกต้องปลอดภัยต่อชีวิตของผู้ใดเลย ซ้ำยังแจ้งเท็จต่อบุคลากรระดับสูงว่าได้แจ้งเจ้าของบ้านล่วงหน้าแล้ว
ทั้งนี้ ไม่มีการแสดงคำขอโทษใด ๆ จากผู้เกี่ยวข้องของเขตบึงกุ่มกลับมา
เนื้อความส่วนหนึ่งในจม.ที่ส่งให้เขต
“จึงขอร้องเรียนให้หน่วยงานดังกล่าวปรับปรุงระบบการทำงาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก ดังนี้
๑. ควรแจ้งเจ้าของบ้านล่วงหน้าว่าจะเข้ามาทำอะไร
๒. แจ้งข้อควรปฏิบัติเมื่อมีการฉีดพ่นสารเคมี เช่น ให้เก็บของใช้ ซีลบ้าน ปิดแหล่งน้ำใช้ ฯลฯ
๓. ตรวจสอบสภาพที่อยู่อาศัยก่อนว่าปิดมิดชิดหรือไม่ มีพื้นที่เพาะปลูกผักผลไม้แบบไร้สารพิษหรือไม่
๔. ควรสอบถามก่อนว่า ภายในบ้านมีผู้ป่วย เด็กเล็ก คนชรา หรือสัตว์เลี้ยงหรือไม่ ควรย้ายให้ไปอยู่ที่อื่นชั่วคราวก่อน เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีสภาพร่างกายที่ทนต่อสารเคมีได้ (เจ้าหน้าที่ที่พ่นสารเคมียังใส่ชุดป้องกันเลย) หากผู้อยู่อาศัยแพ้สารเคมีมีอาการรุนแรง อาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลวจนเสียชีวิตได้
๕. ควรบอกวิธีถอนพิษ เมื่อสัมผัสหรือได้รับสารเคมี และบอกวิธีกำจัดสารตกค้างตามพื้น ตามแหล่งเพาะปลูก
ทั้งนี้ ดิฉันได้แจ้งหัวหน้าพยาบาลของศูนย์บริการสาธารณสุข ๕๐ เขตบึงกุ่มแล้ว จึงทราบว่า ๒ หน่วยงานแยกกันไป แล้วบังเอิญมาพบกันที่บ้านดิฉัน (ดิฉันเข้าใจว่ามาจากศูนย์ ๕๐ ทั้งหมด) หัวหน้าพยาบาลยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ของศูนย์ ๕๐ บกพร่องเรื่องการสื่อสาร แต่ดิฉันเห็นว่า เจ้าหน้าที่ของเขต ก็ควรสื่อสารกับเจ้าของบ้านในส่วนหน้าที่ความรับผิดชอบของตนด้วย โดยระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก
จึงร้องเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะดังกล่าว”
ทั้งนี้ ฉันเห็นว่า ประชาชนมีสิทธิที่จะรับรู้ข้อปฏิบัติในการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดยุงลาย ที่ถูกต้องและปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินก่อน มีสิทธิที่จะปฏิเสธ และหากเกิดข้อผิดพลาด ก็มีสิทธิที่จะได้รับการดูแลเยียวยา รวมถึงได้รับคำขอโทษจากผู้เกี่ยวข้อง
Create Date : 08 เมษายน 2567
0 comment
Last Update : 16 เมษายน 2567 21:12:06 น.
Counter : 561 Pageviews.
Share
Tweet
สิทธิหลักประกันสุขภาพฯ : สิทธิที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึง (3)
ภาค
3 “ข้อบกพร่องด้านระบบการให้ข้อมูลของ สปสช. และการสื่อสารกับผู้ใช้สิทธิ”
ความจริงปัญหาเรื่องการเข้ารักษาในโรงพยาบาลและข้อมูลสิทธิการรักษานี้ ฉันได้แจ้งทาง สปสช. แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซ้ำร้ายเจ้าหน้าที่ยังพูดเท็จด้วย (ยังเก็บไฟล์เสียงสนทนาไว้นะคะ ไม่ได้กล่าวหา) ก็เลยคิดว่า มาแชร์ข้อมูลนี้ไว้ที่นี่ดีกว่า
...ของคนอื่นเป็นอย่างนี้ไหมคะ ?
ตอนที่เราลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพหรือบัตรทอง เราได้เลือกคลินิกปฐมภูมิกับโรงพยาบาลเอง 2 แห่ง โดยฉันเลือกจากคลินิกและโรงพยาบาลที่พอจะเดินทางได้สะดวก นั่งรถเมล์ทอดเดียวถึง
ฉันเปลี่ยนหน่วยบริการแค่ 2 ครั้ง ให้ใกล้สถานที่ทำงาน เมื่อลาออกก็กลับมาเลือกที่ไม่ไกลบ้านมาก ไปมาสะดวก แต่พอสมัครประกันสังคมมาตรา 40 สปสช. ก็เปลี่ยนทั้งคลินิกปฐมภูมิและโรงพยาบาลที่รับส่งต่อไปอยู่นอกเขต เดินทางลำบากมากสำหรับคนไม่มีรถส่วนตัว รายได้น้อย แถมบ้านยังอยู่ในซอยลึกและเปลี่ยว มืด
สิทธิที่ฉันเพิ่งรู้หลังรับเอกสาร “ข้อมูลรายละเอียดบุคคล สปสช.” จากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสิทธิของโรงพยาบาลตอนไปรักษาไข้เลือดออก คือ เราสามารถใช้หน่วยบริการได้ 3 แห่ง ได้แก่
1. หน่วยบริการประจำ
2. หน่วยบริการปฐมภูมิ
3. หน่วยบริการที่รับการส่งต่อ
ฉันถามคนรู้จัก พวกเขาก็รู้ว่าตัวเองรักษาฟรีได้ 2 แห่ง ??
โทรไปสอบถาม 1330 เรื่องนี้ เจ้าหน้าที่แนะนำให้ “แอดไลน์ @nhso จะขึ้น 3 แห่งค่ะ”
แต่พอทำ ก็ลิงก์ต่อไปที่เว็บไซต์ ซึ่งขึ้นข้อมูล 2 แห่งอยู่ดี
(ตามภาพประกอบ)
เพื่อนบอก “ต้องโทรถาม เขาจะบอก 3 แห่ง”
ฉันโทรไปร้องเรียน บอกด้วยว่าที่ จนท.แนะนำ มันก็ลิงก์ไปที่เว็บไซต์อยู่ดี ซึ่งตอนนี้เข้าไม่ได้ด้วย
เจ้าหน้าที่แถเอาตัวรอดว่า “อ๋อ ทางเรากำลังปิดปรับปรุงระบบ IT อยู่ค่ะ”
ฉันรู้ว่าเธอโกหก เพราะปกติสัญญาณอินเทอร์เน็ตของฉันไม่ค่อยดีอยู่แล้ว มักมีปัญหาเข้าเว็บในครั้งแรกไม่ได้ ถ้าลองอีกถึงจะเข้าได้
แล้วนี่ก็ผ่านมาเกือบ 3 เดือนแล้ว เข้าไปดูล่าสุด ฉันยังไม่เห็นเขาปรับปรุงอะไรเลย
ผลของการที่เราไม่รู้สิทธิการรักษาของตัวเองนั้น ทำให้ฉันเสียโอกาสในชีวิต เพราะหน่วยบริการประจำอยู่ใกล้กว่าหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่ฉันไปเป็นลมเสียอีก !
ที่สำคัญกว่านั้น คือ เจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนแต่ละคน ล้วนจับประเด็นปัญหาไม่ได้ มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รายที่ 2 ที่โทรมาถามว่าฉันประเมินการให้บริการต่ำ มีข้อผิดพลาดตรงไหน ? ก็เป็นเจ้าหน้าที่ที่พูดเสียงเหินขึ้นท้ายประโยคเหมือนคอลเซ็นเตอร์บางบริษัท แถมอ่านชื่อ-นามสกุลของฉันที่เขียนเป็นภาษาไทยไม่ออก เลยอ่านจากภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่มีเสียงวรรณยุกต์ ทำให้ผิดความหมาย จนฉันต้องทวนถามว่าโทรมาจากไหนนะคะ ? เพราะระแวงว่าเป็นมิจฉาชีพ
...อยากให้อบรมการพูดและการฟังจับประเด็นให้เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องร้องเรียนใหม่จังค่ะ
รวมทั้ง แสดงข้อมูลสถานที่รักษาใน e-service ให้ครบถ้วนทั้งสามที่ด้วย
Create Date : 07 เมษายน 2567
0 comment
Last Update : 7 เมษายน 2567 11:36:55 น.
Counter : 316 Pageviews.
Share
Tweet
สิทธิหลักประกันสุขภาพฯ : สิทธิที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึง (2)
ภาค
2 “หน่วยบริการที่รับส่งต่อ”
“หน่วยบริการที่รับส่งต่อ” ที่ฉันได้รับเป็นโรงพยาบาลรัฐ ที่เป็นสถานที่ฝึกอบรมแพทย์ฝึกหัด ซึ่งมีจำนวนคนไข้มหาศาล
เมื่อไปถึง แน่นอนว่า เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบสิทธิตำหนิฉันด้วยน้ำเสียงกระด้าง สีหน้าแววตาไม่พอใจสุด ๆ
แกพรินต์เอกสาร “ข้อมูลรายละเอียดบุคคล สปสช.” ส่งให้ฉันดู บอกว่า “ครั้งหน้าไปศูนย์บริการสาธารณสุข...หรือที่นี่นะ (เอาปากกาแดงติ๊กหลังชื่อหน่วยบริการปฐมภูมิกับหน่วยบริการประจำ) ไม่ต้องมาที่นี่ ตัดสิทธิ์แล้ว” แล้วให้ฉันเซ็นยินยอมว่าจะรับสิทธิการรักษาที่นั่นแค่ครั้งเดียว! (แบบนี้ก็ได้เหรอ?)
ฉันรับเอกสารข้อมูลบุคคลมาแบบงง ๆ เพราะยังไม่เคยใช้บริการตามสิทธิประกันสังคม และไม่รู้จักศูนย์บริการสาธารณสุข
จากนั้น ไปคัดกรองหน้าห้องตรวจประกันสังคม พบหมอคนที่ 1 ฉันนำผลเลือดจากคลินิกให้ดู เล่าอาการ หมอให้ขึ้นเตียง นอนคว่ำ หมอกดหลังบริเวณกระเบนเหน็บ ยังวิเคราะห์ไม่ออก เลยให้ไปเจาะเลือดอีกครั้ง รอผลประมาณชั่วโมงครึ่ง (เร็วกว่าคลินิกหลายเท่าตัว)
ฉันนั่งรอหมอหน้าห้องตรวจเดิม จามแล้วน้ำมูกปนเลือดไหลออกมา คงเพราะพักเที่ยง คนไข้ที่นั่งรอเหลือไม่กี่คน แอร์เลยเย็นจนฉันไข้ขึ้น
หมออ่านผลเลือด บอกว่า ค่าตับอักเสบสูงขึ้น ค่าเกล็ดเลือดต่ำลงมาก (ฉันคิด ‘แน่สิ กินอะไรไม่ได้ จะเอาอะไรมาสร้างเลือด’) หมอไม่แน่ใจว่าฉันเป็นอะไร เลยส่งไปหาหมอเฉพาะทาง
ตอนนั้นบ่าย 2 โมงแล้ว พยาบาลที่อยู่ตรงโถงหน้าลิฟต์ บอกฉันว่า “คิวเต็มแล้ว บอกเจ้าหน้าที่ให้นัดเช้าพรุ่งนี้นะ”
แต่พอฉันบอกเจ้าหน้าที่ห้องตรวจอายุรกรรมเฉพาะโรคตามนั้น กลับถูกดุว่า “ค่าเลือดคุณไม่ดีเลยนะ จะรอถึงพรุ่งนี้ไหวเหรอ?” (อ้าวเหรอ!)
ฉันรีบบอก “ไม่รอค่ะ ตรวจวันนี้เลย”
หมอเฉพาะทางดูผลเลือดเปรียบเทียบกับครั้งแรก ไล่ทามไลน์ แล้วลงความเห็นว่า “น่าจะเป็นไข้เลือดออก” แม้จะไม่มีจุดแดงขึ้นตามตัว แต่ค่าเลือดทุกอย่างดีหมด ยกเว้นเกล็ดเลือดต่ำลงกว่าวันที่ตรวจวันแรกมาก และค่าตับอักเสบยังสูงอยู่
หมอห้ามกินยาอะไร ห้ามกินสมุนไพร ดื่มน้ำเยอะ ๆ ส่วนที่กินอาหารไม่ลง ก็ปล่อยไปก่อน ไม่ต้องฝืนกิน นัดเจาะเลือดอีกครั้ง 2 วันข้างหน้า
ฉันกลับมาหาข้อมูล “ไข้เลือดออก” ในอินเทอร์เน็ต แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า “เป็นไข้เลือดออก ห้ามกินยาไอบูโพรเฟน เพราะจะทำให้เลือดออกมากขึ้น !! ”
...นี่เองสาเหตุที่ทำให้ถ่ายสีดำและมีเลือดออกทางจมูก แล้วหลังจากหมอพลิกแขนหาจุดแดง ถึงได้ขึ้นเป็นรอยช้ำจ้ำ ๆ ตามแขนขา
วันที่ 2 ของการไปโรงพยาบาล แม้จะมีใบนัดเจาะเลือดเพื่อติดตามอาการ ก็ไม่มีสิทธิที่จะรับการรักษาฟรี ซึ่งฉันทราบตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปขอใบส่งต่อจากคลินิก แอบหวังนิด ๆ ว่า ถ้าเป็นการรักษาต่อเนื่อง เขาอาจจะยอม แต่เขาตัดสิทธิจริง และฉันต้องจ่ายเงินเอง
ผลเลือดดีขึ้นมากจนหมอแปลกใจ ถามว่า “เริ่มกินอาหารได้แล้วใช่มั้ย?”
“ยังกินได้นิดหน่อยค่ะ”
...ไม่กล้าบอกว่า พอรู้ว่าป่วยเป็นอะไรก็สบายใจขึ้น แรงมา (ทีแรกฉันคิดว่าเป็นมะเร็งตับ 555) เริ่มทำงานบ้าน ออกไปตากแดด โยคะเบา ๆ ดื่มน้ำมะเขือเทศกับน้ำบีตรูต เพราะเคยได้ยินว่าผักผลไม้สีแดงช่วยบำรุงเลือดได้
หมอคอนเฟิร์ม “ไข้เลือดออกแน่นอน” นัดเจาะเลือดอีก 1 สัปดาห์ ยังให้ระวังตัว อย่าเพิ่งทำอะไรโลดโผน อย่าทำให้เลือดออก
หลังจากนั้น อาการของฉันก็ดีขึ้นตามลำดับ เริ่มรู้จักความรู้สึก “หิว” และกินอาหารได้ปกติ
สัปดาห์ต่อมา ผลเลือดดีขึ้น แต่ค่าตับ ค่าเกล็ดเลือด ยังไม่ปกติ แถมค่าเม็ดเลือดขาวต่ำ
...หมอไม่นัดอีก บอกว่า “จะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง” และยังเตือนไม่ให้กินสมุนไพรอยู่
คำถามที่เกิดขึ้น ณ หน่วยบริการที่รับส่งต่อ...
1. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสิทธิของโรงพยาบาล มีอำนาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงและบันทึกข้อมูลใหม่ใน “ข้อมูลรายละเอียดบุคคล สปสช.” ของคนไข้ได้หรือ? ซ้ำยังสั่งให้ครั้งหน้าไปรักษาที่อื่น โดยไม่ให้คำแนะนำที่เหมาะสม (และสุภาพ)
2. จากที่ฉันถูกพยาบาลดุว่า “ค่าเลือดคุณไม่ดีเลยนะ จะรอถึงพรุ่งนี้ไหวเหรอ?” แสดงว่าอาการเข้าข่ายฉุกเฉินได้ไหม? อยากให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาเคสลักษณะนี้ด้วย เนื่องจากจริง ๆ แล้วอาการของฉันหนักขึ้นจากการที่หมอหน่วยปฐมภูมิวินิจฉัยโรคไม่ได้และให้ยาอันตรายมากิน !
3. กรณีที่แพทย์นัดติดตามอาการ และผู้ป่วยยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไปขอใบส่งตัวจากหน่วยปฐมภูมิได้ ไม่มีญาติหรือใครไปแทน ควรมีข้อยกเว้น ให้ได้รับสิทธิรักษาต่อเนื่องฟรีในสถานพยาบาลนั้นโดยอัตโนมัติ
(ฉันขอไม่กล่าวถึงปัญหาจากการปรับการบริหารจัดการที่เริ่มใช้เมื่อ 1 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมานะคะ เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์โดยตรง แต่ก็เห็นผลกระทบในข่าว)
...ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เวลาคิดกฎระเบียบ คณะกรรมการอิงจากปัญหาที่คนไข้ประสบจริงหรือเปล่า?
Create Date : 06 เมษายน 2567
0 comment
Last Update : 6 เมษายน 2567 11:06:20 น.
Counter : 358 Pageviews.
Share
Tweet
1
2
skywriter
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ขี้เล่า ^^
ขอรบกวนทั้งชุดนอน
Webmaster - BlogGang
[Add skywriter's blog to your web]
Bloggang.com