ยิ้มไว้...ไม่ว่าอะไรก็ขอให้...ยิ้มไว้....
Group Blog
 
All Blogs
 

ลอนดอนในฝัน วันที่สาม

3 กันยายน 2553

เริ่มเที่ยวจริงจังล่ะน้า

วันนี้วางแพลนกันไว้ว่าจะไปเที่ยวสถานที่สำคัญในลอนดอนเสียหน่อย แล้วก็เริ่มคำนวณค่าเดินทางไปกลับสถานที่ต่างๆ ก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋ว 1-day Travel Card Zone 1 เลยดีกว่า ราคา 5.60 ปอนด์ (Off peak) เทียบกับค่า Tube 1.80 ปอนด์ต่อครั้ง หรือค่า Bus 1.20 ปอนด์ต่อครั้ง ใช้ตั๋ววันคุ้มกว่าแน่นอน...

การท่องเที่ยวของวันนี้เริ่มจากโบสถ์ St. Paul ก่อนเลย โดยการนั่ง Tube สายสีแดง Central ไปลงที่สถานี St. Paul ... สะดวกมาก...โผล่จาก Tube ออกมาก็มองเห็นโดมกลมๆ ของโบสถ์ทันที...ไม่มีคำว่าหลง



จากนั้นก็เก็บภาพด้านข้างและด้านหน้าโบสถ์เสียหน่อย ที่เป็นจุดเด่นๆ ของโบสถ์ก็คือ บันไดทางเข้าโบสถ์จะมีอยู่แนวชันหลายๆ ขั้น แล้วก็จะมีผู้คนมากมายมานั่งเล่นกันตามบันไดในแต่ละขั้น...นั่งตากแดด กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ มองไปผ่านๆ แล้วนึกถึงบันไดหน้าห้างสยามสแควร์สมัยก่อนที่มักจะมีวัยรุ่นไปนั่งเรียงกันให้แมวมองมามองชักชวนไปเป็นดารา...ยังไงยังงั้นเลยนะเนี่ย...



ค่าเข้าชมโบสถ์...คนละ 12.50 ปอนด์... นับว่าแพงเอาการ...โดยคราวนี้สาวน้อยเจ้าถิ่นบอกว่า...หนูไม่เข้าไปนะ...เพราะเคยเข้าไปแล้วไม่มีอะไรมาก...แถมยังบอกอีกว่า...ถ้าพี่ๆ มาวันอาทิตย์ล่ะก็...โบสถ์จะเปิดให้เข้าชมฟรี...อ่ะ..บอกกันซะยังงั้น...แต่ก็เอาเถอะ...ไม่มีทางเลือกนี่นา เพราะว่าวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เรามีแพลนไปเที่ยว Edinburgh ไม่ได้อยู่ลอนดอนซะหน่อย แถมวันอาทิตย์ข้างหน้าก็เดินทางกลับแล้ว..มาถึงที่แล้วนี่..ยังไงก็ขอเข้าไปชมหน่อยแล้วกัน..

หลังจากจ่ายตังค์ค่าตั๋วเข้าไปชมในโบสถ์..ก็พยายามจะอ่านเอกสารแนะนำก่อนว่า..โบสถ์นี้มีความสำคัญยังไงบ้าง..อ่านไปอ่านมาก็ยังงงๆ .. อิ..อิ..แต่ก็นั่นแหละ..เดินดูไปเลยดีกว่า..นึกว่าดูสถาปัตยกรรมไปแล้วกัน... ก็นับว่าเป็นโบสถ์ที่สวยดี... ใหญ่พอสมควร แล้วก็เป็นที่สำหรับจัดงานพระราชพิธีสำคัญๆ ของราชวงศ์อังกฤษมานับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน... เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกับทางลงชั้นใต้ดิน ซึงเป็นส่วนของสถานที่ฝังศพ (หรือเปล่านะ) ของบุคคลสำคัญต่างๆ เช่น Duke of Wellington รวมถึงแม่ชีไนติงเกลด้วยล่ะ... นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการความเปลี่ยนแปลงของโบสถ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...

ที่เราชอบก็คือ..มีห้องที่จัดฉายหนังเรื่องราวของโบสถ์ โดยการฉายบนกำแพงหมุนไปรอบๆ ตัวของเราเกือบจะ 360 องศาเลย... น่าสนใจมากมาย... แล้วก็มีเรื่องราวของการต่อเติมสร้างโบสถ์ รวมถึงตอนสงครามโลกครั้งทีสองที่โบสถ์นี้ได้รับความเสียหายด้วย... แต่ก็ยังนับว่าผ่านมาได้..และมีการต่อเติมให้สวยงามมากขึ้นอีกด้วย...

หลังจากเดินวนอยู่ในโบสถ์อยู่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้เวลาที่เรานัดไว้กับสาวน้อยหน้าร้าน M&S Simply Food ตรงข้างหน้าโบสถ์... จากนั้นก็ไปเดินเล่นหาอะไรอร่อยในนั้นทานเป็นของว่าง..แล้วก็หยิบฉวยได้โยเกิร์ตรสพีชมาหนึ่งถ้วย ราคาก็เกือบๆ ปอนด์ได้ล่ะมั้ง... ตอนนี้ชักจะเริ่มชินๆ กับราคาของกินของที่อังกฤษได้แล้ว จึงเริ่มตัดใจซื้อขนมใส่ปากใส่ท้อง... ^__^

สาวน้อยเจ้าถิ่นยังคงทำหน้าที่ไกด์ที่แสนน่ารัก โดยบอกว่าถ้าเดินต่อไปอีกนิดล่ะก็..จะเจอกับ Millennium Bridge ซึ่งความสำคัญสำหรับเราก็ไม่มีอะไรหรอก..ยกเว้นแต่มีคำบรรยายว่า..มันเป็นฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Harry Potter ด้วย..เท่านั้นล่ะ..สาวก HP อย่างเราก็ตั้งอกตั้งใจเดินไปชมความงามเลยเชียว... ไม่พลาด พอไปถึงก็...สมกับที่เป็นสะพานยุคสหัสวรรษแฮะ... ก็เล่นสร้างจากเหล็กหรืออลูมิเนียมหรืออะไรสักอย่างที่เป็นเงาๆ ทั้งสายเลยนี่นา..ไม่มีคอนกรีตหรืออิฐหินปูนให้เห็นเลยสักนิด... แล้วก็เป็นสะพานสำหรับคนเดินอย่างเดียวด้วยสิ..เพราะไม่เห็นมีรถขับข้ามไปมาเลยนี่นา...



หลังจากเราไปยืนเก๊กท่าถ่ายรูปอยู่กลางสะพานได้สักพัก..ก็เริ่มร้อนจากแดดที่แรงขึ้นๆ ก็เลยรีบวิ่งกลับเข้ามาอีกด้านของสะพานที่มีไกด์สาวนั่งคอยอยู่

เก้าอี้นั่ง..รูปทรงเก๋ดีนะ..




ภาพที่มองจากสะพานไปยังอาคารโบสถ์



จากนั้นเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไปยัง Westminster Abbey โดยรถเมล์เหมือนเดิม แต่คราวนี้อะไรๆ ก็ไม่ง่ายแฮะ.. เพราะเราต้องยืนรอรถเมล์อยู่เกือบๆ ชั่วโมง พร้อมกับความสงสัยว่าป้ายรถเมล์นี้มันยกเลิกไปแล้วหรือเปล่า แต่ก็ยังคงยืนรอต่อ เพราะเห็นว่ามีสาวผมทองเจ้าถิ่นสองสามคนก็ยืนรออยู่เหมือนเรา แสดงว่าป้ายยังใช้งาน...ด้วยความที่ยืนรอจนเราขี้เกียจจะยืน...ก็นั่งรอมันซะเลย...ไม่สนว่าใครจะเดินผ่านไปผ่านมาทั้งนั้น... ^o^

นี่คงเป็นข้อดีอีกอย่างของการไปอยู่เมืองนอก ก็คือ..ไม่มีใครรู้จักเรา...อยากทำอะไรก็ได้...ตามใจฉัน...ไม่เดือดร้อนคนอื่น...ไม่แคร์... :P

จะว่าไป...เราก็อยู่กันเหมือนสวมหน้ากากเนอะ... อย่างถ้าเราอยู่เมืองไทยล่ะก็..ต่อให้ไม่รู้จักใครที่ป้ายรถเมล์นั้นก็ตาม แต่เราก็คงจะไม่กล้าลงไปนั่งรอรถเมล์ที่ป้ายหรอก...แหะ..แหะ..คงแอบอายๆ ว่า...คนอื่นจะมองยังไง.. แต่พอไปอยู่ที่นู่น ก็กลายเป็นว่า.. เราไม่สนใจอ่ะ..ไม่แคร์สายตาของใครสักเท่าไร..อยากทำอะไรก็ทำ..อยากแต่งตัวแปลกยังไงก็ได้... แฟชั่นจ๋าขนาดไหนก็ได้... แบบที่ถ้ามาใส่เมืองไทย คงได้มีคนหลายคนมองจนเหลียวหลังแน่ ไม่ใช่เพราะสวยหรือว่าเซ็กซี่อะไรหรอกนะ..แต่คงมองแล้วบอกว่ายัยนี่พิลึก..อากาศร้อนจะตายใส่เสื้อผ้ายังกับอยู่เมืองหนาว 5555

และแล้วรถเมล์ที่เรารอมานานแสนนานก็มาถึงเสียที...ปลายทางคือ Westminster Abbey ซึ่งจนบัดนี้เราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่..เพราะไม่ได้เข้าไปดู เนื่องจากเจอกับราคาค่าเข้าชม 14.50 ปอนด์เข้าไปก็ทำเอาเราถึงกับถอยกรูดดดดด... คงเพราะเข็ดกับโบสถ์ St. Paul ที่จ่ายไป 12.50 ปอนด์ แล้วรู้สึกไม่ประทับใจเท่าไร ก็เลยไม่กล้าจ่ายแพงกว่าเข้าไปชม...แต่พอกลับมานั่งนึกๆ ดู ก็แอบเสียดายเหมือนกันนะเนี่ย... เพราะฉะนั้นถ้าใครได้ไปล่ะก็..อย่าแอบงกแบบเรานะ... ไหนๆ ก็ได้ไปถึงที่แล้ว อย่ามาเสียดายเงินอีกไม่กี่ปอนด์นี่เลย...จริงๆ..



แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชมข้างใน Westminster Abbey แต่ก็เดินดูบรรยากาศรอบๆ จนเต็มอิ่มเลย เดินอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของลอนดอน...ถนน...ผู้คน...สวนสาธารณะ...อืมมม....เดินไปเรื่อยๆ จนถึง Park อะไรสักแห่ง มีสนามหญ้าสีเขียวๆ แดดอ่อน ลมพัดเอื่อยๆ ริมแม่น้ำ...มองไปไกลๆ ก็ยังเห็น London Eye ตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้าม.... ทำเลดีแล้วแหละ...ได้โอกาสนั่งแปะอยู่บนสนามหญ้ากลางแดดอุ่นๆ...สบายใจจริงแฮะ ...ว่าแล้วก็คว้าเอาโยเกิร์ตที่อยู่ในกระเป๋ามาตักกิน....นั่งมองฟ้า...ชมสวนสีเขียวขจี..ลิ้มรสของโยเกิร์ตและลูกพีชแสนอร่อย...

หลังจากท้องเราอิ่มนิดๆ..ก็เริ่มออกเดินชมวิวรอบๆ บริเวณนั้นต่อ ทั้ง Parliament, Big Ben และสุดท้ายก็จบลงที่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ ไปนั่งจ้องตากับลอนดอน... งงอ๊ะป่าว... ก็ไปนั่งจ้องตาอยู่กับ London Eye ยังไงล่ะ.. ^_^ ไม่ได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้นหรอกนะ..เพราะว่า...คิดแล้วไม่น่าจะคุ้มแฮะ... เหมือนนั่งชิงช้าสวรรค์บ้านเรา บวกกับชมวิวตึกใบหยกล่ะมั้ง... ไม่เอาดีกว่า..ประหยัดตังค์ไว้ทำอย่างอื่นแล้วกันเนอะ... ไม่ได้ไปเดทกับชายหนุ่มเพื่อทำเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานซะหน่อย... 555 แต่จะว่าไป..เห็นน้องเล่าว่า..มีเพื่อนของเค้าคู่หนึ่งไปขอแต่งงานกันบน London Eye ด้วยล่ะ สวีทกันน่าดูเลย...อิ..อิ...ถ้าจะทำเซอร์ไพรส์เรื่องสำคัญขนาดนี้..มันก็น่าลงทุนอยู่ล่ะนะ... @^_^@



หลังจากนั่งจ้องตากับความเหงา..เอ๊ย..ไม่ใช่...จ้องตากับ London Eye จนสมควรแก่เวลา เราก็เริ่มขยับกระบวนท่าไปจุดหมายต่อไปของวันในทันที...นั่นคือ...ห้าง Harrods

การจะไปคราวนี้...เราไปกันแบบโดยใช้รถเมล์อีกแล้วค้าบบ....นี่ถ้าไม่ไปกับสาวเจ้าถิ่นล่ะก็..มีหวังได้งมหารถเมล์อยู่จนค่ำแน่นอน...แต่ก็นั่นล่ะ.. เรามีเจ้าถิ่นติดตัวซะอย่าง..สบายไปแปดอย่าง...หลังจากลงรถ..เราก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ ซึ่งแถบนั้นก็นับว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งอีกแห่งล่ะนะ...มีร้านเสื้อผ้าเหมือนกับบนถนน Oxford Street เลย... ซึ่งเราก็จัดไปไม่ให้เสีย...โดยการเข้าไปช้อป..ช้อป..และช้อป... แต่คราวนี้ดีกว่าเมื่อวาน เพราะมีอะไรติดไม้ติดมือออกมาพอควร...เป็นเสื้อ 2 ตัว ของ H&M... จะว่าไปสาขาแถวนี้ดีนะ...ของ Sale มีเหลืออยู่เยอะมากกว่าสาขาที่ Oxford St. คงเพราะส่วนใหญ่คนเข้าไปเดินใน Harrods กันหมดล่ะม้าง...

จะว่าไปเราก็ไม่ได้เดินห้าง Harrods มากมายหรอก..เพราะว่าเรามีนัดสำคัญตอนทุ่มครึ่งอยู่ ก็เลยไม่อาจจะเสียเวลาเดินเล่นอยู่ใน Harrods นานเกินกว่าการเข้าห้องน้ำ (อันหรูหราพอๆ หรือยิ่งกว่าโรงแรมห้าดาวเมืองไทย) กับเดินไปชมสถานที่รำลึกถึงเลดี้ไดอาน่า กับโดดี อัลฟายเอด กับไปถ่ายรูปกับน้องหมี Harrods ใส่ชุดทหาร...

แต่ห้องน้ำของ Harrods นี่มันเจ๋งจริงๆ นะ... สะอาดแล้วก็หอมด้วย... จะไม่ให้หอมได้ไงกันเล่า...พี่แกเล่นจัดวางน้ำหอมเป็นขวดๆ หลากหลายแบรนด์ไว้ให้ผู้ใช้บริการสามารถจะฉีดได้ถึงไหนถึงกันเลยล่ะ... แต่เราก็ไม่ได้ลองฉีดหรอกนะ...เพราะว่าเราแพ้น้ำหอมอ่ะ...ขืนฉีดเข้าไปล่ะก็..ภูมิแพ้คงจะกำเริบชัวร์...ได้จามกันฟึดฟัดให้อายกันแน่..

ก่อนถึง Harrods



แล้วก็ถึงเวลาที่เราจะต้องอำลาจากเพื่อนร่วมทริปทั้งสองเป็นการชั่วคราว และจากนี้ล่ะ..เราจะเริ่มการบุกตะลุยเดี่ยวกลางกรุงลอนดอนเพียงลำพังซะที... เพื่อไปพบกับบุคคลสำคัญที่เราเฝ้าตั้งตารอมานานแสนนาน

จากห้าง Harrods เราก็เริ่มออกเดินทางโดยการนั่ง Tube ไปยัง Piccadilly Circus ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราเดินทางในลอนดอนเพียงคนเดียว...สองตาต้องทำงานอย่างมีสติ ห้ามหลงเด็ดขาด...เดี๋ยวไปไม่ทันนัด...แต่ก็นะ..เดินทางโดย Tube ไม่หลงอยู่แล้วล่ะ..มองป้ายให้ดีก็พอ...พอมาถึงสถานี Piccadilly Circus เราก็เริ่มออกเดินต่อไปจุดหมายปลายทาง...เดินไปสู่ถนน Haymarket และก่อนที่จะสุดปลายถนน Haymarket เราก็เจอกับสถานที่นัดของเรากับ....

…..Phantom….


ใช่แล้วค่า.... เรามีนัดกับละครเวทีเรื่อง The Phantom of the Opera ละครเพลงในฝันของเราที่อยากจะมาดูนานแล้ว...วันนี้ฝันนั้นเป็นจริงซะที...

วันนี้เราต้องฉายเดี่ยวมาดูละครเวทีคนเดียว เพราะว่าสาวเจ้าสองนางเคยดูเรื่องนี้มาก่อนแล้ว พอเดินมาถึงข้างหน้าโรงละคร Her Majesty’s Theatre ก็ไม่เห็นมีคนเลย..มีแต่เจ้าหน้าที่เก็บบัตรอยู่ข้างหน้าแค่สองคนเอง ก็เลยแอบนึกว่า ไม่มีคนดูเหรอเนี่ย...เงียบฉี่เลย...หรือว่าเราจะมาถึงเร็วเกินไป แต่พอดูนาฬิกาก็ไม่เร็วนา...เราไปถึงก่อนเวลาที่ระบุในบัตรเกือบ 5 นาทีแน่ะ...

พอยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ เค้าก็บอกว่าให้เราขึ้นไปบนชั้นสองได้เลย (ตั๋วราคาแค่ 40 กว่าปอน์ ก็เลยต้องนั่งชะเง้อคอดูอยู่บนชั้นสอง) เราก็เดินขึ้นบันไดไป ก็ยังไม่พบเจอผู้คนอยู่ดี...เงียบชะมัด... แอบกังวลในใจ..เราถูกหลอกมาขายหรือเปล่าเนี่ย... แต่พอเราเดินถึงชั้นสอง เจอเจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกคนนึงบอกกับเราว่า..ให้เรารีบหน่อย เพราะว่าละครกำลังจะเริ่มพอดี... เราก็งงดิ.. ตอนนั้นยังไม่เชื่อ เพราะยังไม่ได้ยินเสียงผู้คนที่มาชมอยู่เลย..ออกจะเงียบกริบ..

แต่พอเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ..ตกใจเลย... คนนั่งอยู่เพียบ...เกือบเต็มทุกที่นั่งแล้ว...แล้วพอเราเดินควานหาที่นั่งของตัวเองได้แล้ว...ก็รีบขอทางเข้าไปนั่งทันที...ที่นั่งดีแฮะ...อยู่แถวที่สองตรงกลางเวทีพอดิบพอดี..เป๊ะเลย...อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับคนที่จองตั๋ว จองที่นั่งให้อย่างดีเลย... 555 จากทีแรกแอบกังวลกับที่นั่ง เพราะอ่านรีวิวมาบอกว่าโรงหนังแห่งนี้ปราบเซียนเลย เพราะถ้าไปเจอที่นั่งไม่ดีล่ะก็..แย่มาก... แต่นับเป็นโชคดีของเราด้วยที่คนที่นั่งข้างหน้าเราตัวไม่สูงมาก ก็เลยไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนตัวเตี้ยอย่างเรา...

นั่งอยู่ก้นไม่ทันอุ่น...ละครเวทีก็เริ่มเปิดฉาก...ที่นี่เค้าเริ่มแสดงกันตรงเวลาแฮะ..ไม่เหมือนกับรัชดาลัยของเรา...ประกาศเรียกแล้วเรียกอีก คนก็ยังไม่ยอมจะเข้าโรง..เรียกว่าละครรอคน...แต่ที่นี่..คนมาไม่มา..ถึงเวลาแสดงแล้วก็เริ่มทันที ไม่มีประกาศเตือน...ใครมาไม่ทันก็อดดูไปเอง แถมอาจจะได้รับสายตาตำหนิจากผู้ที่นั่งรออยู่ก่อน โทษฐานรบกวนสมาธิของเค้าซะอีก...

นั่งดูจนจบด้วยความประทับใจ..แต่ถึงแม้จะประทับใจ..ก็ยังแอบมีบางช่วงที่ง่วงๆ แฮะ.. ไม่รู้เพราะเหนื่อยเกินไปกับการระเหระหนทั้งวันหรือว่า..มันมีบางช่วงที่แอบน่าเบื่อ...แต่ก็ถือว่าจบลงด้วยดี... ดูจบแล้วก็แอบเพ้อตามเพลงด้วย...

Love me. That’s all I ask of you.


อะฮึก..อะฮึก..จะว่าไปเราชอบเรื่องนี้ในเวอร์ชั่นของละครเวทีอย่างนี้มากกว่าภาพยนตร์นะ...เราว่าในภาพยนตร์เค้าทำให้ Phantom กลายเป็นตัวร้ายจนร้ายเกินไป..แต่สำหรับละครเวที..เรารับรู้ว่า จริงๆ แล้ว Phantom รักด้วยใจ..และแม้ท้ายที่สุดไม่อาจจะครอบครองหัวใจหญิงอันเป็นที่รัก...ก็ยินยอมปล่อยให้เธอจากไปกับคนที่เธอเลือก...

ซึ้ง...

ดูจบแล้วทำให้เราอยากจะจองตั๋วดูภาค 2 Love never dies ต่อเลย..เสียแต่ว่า..เวลามันถูกจำกัดจำเขี่ยไปหมดเรียบร้อยแล้ว.. ใจก็หวังว่าอยากให้ละครเรื่องนี้เอามาแสดงที่เมืองไทยสักหน..จะได้ไปดู...แต่ก็นะ..ภาคแรกยังไม่ได้..ภาคสองยิ่งต้องรอต่อไป...


หรือไม่งั้นก็....


ไว้เดี๋ยวเรามาลอนดอนใหม่แล้วกันนะ... ไม่นานเกินรอหรอกจ้า...


Piccadilly ยามค่ำคืน







 

Create Date : 21 กันยายน 2553    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2554 23:32:22 น.
Counter : 813 Pageviews.  

ลอนดอนในฝัน วันที่สอง

2 กันยายน 2553
วันแรกในลอนดอนแบบเต็มตัว

วันนี้ตื่นมาตั้งแต่เช้า.. ไม่ได้ขยัน..แต่ว่านอนไม่หลับ สงสัยว่าเป็นเพราะยังปรับเวลาไม่ได้ละมั้ง...ไม่ตื่นเปล่า ยังปลุกเพื่อนร่วมทริปให้ตื่นตามไปด้วย.. 5555 ด้วยความที่ยังป้ำเป๋อเรื่องเวลา เพราะคิดว่าเวลาที่อังกฤษจะช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 7 ชั่วโมง ตามตำราเรียน Greenwich + 7 ดังนั้นพอตื่นมาเห็นนาฬิกาตัวเองอยู่ที่เที่ยงกว่าๆ ก็เลยคิดว่า 7 โมงเช้าแล้ว (ด้วยความสับสนเรื่องเวลาบวกๆ ลบๆ แล้วงง จนถึงตอนนี้ก็ยังงงตัวเองว่าดูเวลาอีท่าไหนกันหว่า) ...แล้วก็ตะโกนบอกน้องบอกพี่ว่า... เจ็ดโมงเช้าแล้วค้าบ...พี่น้อง..ตื่นได้แล้ว..

หลังจากทุกคนกระเด้งตัวตื่นจากที่นอน...น้องสาวเจ้าของห้องพักก็หันไปดูนาฬิกาของตัวเอง แล้วก็โวยวายว่า...พี่ขา..ตอนนี้ที่อังกฤษเพิ่งจะตีห้ากว่าๆ เองค่า...จะตื่นมาทำอะไรเช้าตรู่ขนาดนี้.. เราก็ยังคงเจื้อยแจ้วไปว่า..ไม่ใช่นะ..ต้องเจ็ดโมงเช้าต่างหาก... เพราะต้อง -7 จากนาฬิกาของไทย

หารู้ไม่ว่า..ช่วงเวลานี้ของอังกฤษเค้าเป็น Daylight Saving ทำให้เวลาของอังกฤษกับไทยต่างกันเพียงแค่ 6 ชั่วโมงเท่านั้น...ไม่ใช่ 7 ชั่วโมงอย่างที่คิด...อีกทั้งเราก็สับสนกับการนับเลขชั่วโมง ด้วยว่าเพิ่งจะสะโหลสะเหลตื่นนอน คำนวณผิดแฮะ... เราก็เลยได้แต่หัวเราะแหะแหะ..แล้วบอกว่า..ไหนๆ ก็ตื่นกันมาแล้ว..ก็เตรียมตัวไปเที่ยวกันดีกว่านา...


เช้านี้...สาวน้อยเจ้าถิ่นก็พาสองสาวต่างแดนไปท่องเที่ยวลอนดอน... เริ่มจากอาหารมื้อ Brunch (ขนาดว่าตื่นมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่กว่าจะเตรียมตัวพร้อมกันครบทุกคนก็ปาเข้าไป 9 โมงกว่าๆ แล้ว) ร้านที่สาวน้อยแนะนำคือ.. Patisserie Valerie แถวโซโห.. (จริงๆ เค้ามีอยู่หลายสาขาทั่วลอนดอน แต่สาวน้อยของเราเลือกสาขานี้) จากหอพักของน้องก็เดินทางด้วยรถเมล์ไปยังร้านอาหาร... เดิน..เดิน..แล้วก็...เดิน..กว่าจะถึงป้ายรถเมล์ ระหว่างทางสาวน้อยแวะร้านขายของชำ (พวก Grocery shop ขายตั้งแต่กระเทียม หัวหอม ผลไม้ หนังสือพิมพ์ยันบุหรี่) เพื่อแวะเติมเงินโทรศัพท์ เพื่อใช้ติดต่อกันระหว่างอยู่ในลอนดอน จะได้ไม่มีสาวไทยหลงทางหาทางกลับบ้านไม่ถูกในลอนดอน

การจะขึ้นรถเมล์ของที่นี่..ไม่ใช่ว่าเห็นป้ายรถเมล์ที่ไหนก็จะขึ้นได้หรอกนะ... มันต้องมีการศึกษาเส้นทางให้ดีก่อน เพราะรถเมล์ที่นี่จะจอดเฉพาะบางป้ายเท่านั้น...ต่อให้ขับผ่านถนนเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะจะจอดป้าย ดังนั้นจะขึ้นรถเมล์สายไหน ไปที่ไหน ก็ต้องไปดูบอร์ดประกาศเส้นทางของแต่ละป้ายรถให้ดีว่า รถเมล์สายที่เราต้องการจะขึ้นนั้น จอดที่ป้ายนี้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องดูจากแผนที่ที่เค้าแปะไว้ให้ว่า..รถเมล์ที่เราจะขึ้นนั้น จอดป้ายไหนกันแน่ แล้วจึงเดินไปยังป้ายรถเมล์ที่ต้องการ

วิธีการดูป้ายรถเมล์แบบคร่าวๆ คือ ทุกๆ ป้ายจะมีเสาป้ายบอกสัญลักษณ์ว่า...นี่เป็นป้ายที่เท่าไร เช่น ป้าย A, B, C หรืออาจจะเป็น UW, UX, etc ก็ได้ แล้วก็วิ่งไปดูที่บอร์ดว่า ป้าย A นั้นมีรถเมล์สายไหนจอดบ้าง ถ้าหากที่ป้าย A ไม่มีรถเมล์สายที่เราไปจอด ก็ให้หาว่ารถเมล์ที่เราต้องการจอดป้ายไหน เช่น ถ้าสาย C1 จอดป้าย D ก็ให้ไปดูแผนที่ว่า ...ป้ายรถเมล์ D นั้นอยู่ตรงไหน แล้วก็ค่อยเดินไป... ส่วนใหญ่ป้ายรถเมล์ก็จะอยู่บริเวณใกล้ๆ กัน หรือติดๆ กัน ยกเว้นว่าเป็นบริเวณที่กว้างขวางจริงๆ เช่นแถว Hyde Park Corner แต่ละป้ายอยู่ไกลกันพอควร หาจนเหงื่อตก เหงือกแห้งได้เลย...




รถเมล์ของที่นี่มีดีอีกอย่าง ก็คือ... จะมีการบอกชื่อสถานที่ของป้ายหยุดรถแต่ละป้ายตลอดเส้นทาง พร้อมกันนี้ก็จะมีเสียงตามสายมาบนรถด้วย เช่น This is C1 to Victoria. Next stop is Earls Court. (ของจริงไม่ใช่อย่างนี้เป๊ะนะ..แต่ว่าก็ประมาณนี้ล่ะ) ฉะนั้นโอกาสจะหลงหรือลงผิดป้ายน้อยมาก (แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะบางทีชื่อป้ายจะคล้ายๆ กัน ต้องจำให้ดีว่าต้องลงป้ายไหน อย่าเพิ่งตื่นเต้น รีบลงจากรถก่อนจะถึงป้ายที่ต้องการ ซึ่งเราเคยมาแล้ว ทำให้ต้องลงมาเดินต่ออีกสองป้ายเลย...แหะ..แหะ)

การขึ้นรถเมล์ของที่นี่อาจจะดูสับสนเล็กน้อย เพราะต้องใช้สติและปัญญาพอสมควรเลยเชียว เพราะว่าไอ้เจ้าบอร์ดมันชวนสับสนเสียจริง แม้แต่คนอังกฤษเองก็ยังมึน แต่ว่าถ้าศึกษาให้ดีล่ะก็.. มันก็นับว่าสะดวกดี เผลอๆ อาจจะสะดวกกว่าใช้ Tube ก็เป็นได้ แต่ก็นั่นล่ะ...กว่าจะเชี่ยวชาญในการใช้รถเมล์ ก็คงจะพอดีกับเวลาต้องกลับเมืองไทย (ศึกษาเส้นทางรถประจำทางได้ที่ //www.londonbusroutes.net)

ครั้งนี้เป็นวันที่สองที่ได้นั่งรถเมล์ในกรุงลอนดอน ด้วยความตื่นเต้น ก็เลยรีบวิ่งขึ้นไปนั่งบนชั้นสองของรถเมล์ซะหน่อย... วะเฮ้ย....รถเมล์สองชั้นได้นั่งกับเค้าแล้ว.. (ตื่นเต้นราวกับว่าเมืองไทยไม่มีรถบัสสองชั้นอย่างนั้นแล...โฮะ..โฮะ..) จากนั้นก็เป็นการรัวชัตเตอร์อย่างไม่หยุดยั้ง....ถ่ายรูปทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้าและสองข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม 5555

และแล้วก็มาถึงร้าน Patisserie Valerie ซะที...ร้านก็เล็กๆ แต่บรรยากาศก็ดูสบายๆ น่ารักดี ตกแต่งแบบบรรยากาศย้อนยุคเล็กน้อยด้วยโปสเตอร์แบบยุคมาริลีน (มั้ง?) ว่าแล้วสามสาวก็เดินขึ้นชั้นสองของร้าน ... กะจะไปนั่งชิลกับบรรยากาศของร้านซะหน่อย พอขึ้นไปถึงมีโต๊ะ 3 ที่นั่งว่างอยู่โต๊ะเดียวริมหน้าต่าง...ก็เหมือนว่าจะดี..แต่ว่าแดดส่องอ่ะ...แดดแรงด้วย... สามสาวกลัวผิวดำ (ไปกว่านี้) ก็เลยตัดสินใจไปนั่งเบียดกันที่โต๊ะอีกตัวข้างในเพื่อหลบแดดดีกว่า ที่ไหนได้ พอเราสามคนย้ายออกเท่านั้น ก็มีหนุ่มฝาหรั่งรีบดิ่งไปที่โต๊ะริมหน้าต่างแดดส่องนั้นทันที ดั่งกลัวว่าเราจะเปลี่ยนใจไปนั่งอีก...

เหอ..เหอ.. เราก็นึกในใจ...ไม่นั่งหรอกย่ะ..ตากแดดน่ะ..ที่บ้านอิฉัน..มีแดดออกตั้งเยอะกว่านี้หลายเท่าเลย...5555



หลังจากพลิกเมนูไปมา แล้วก็ต้องแอบถอนหายใจอยู่ข้างใน (เดี๋ยวโดนแซว)... ทำไมค่าอาหารมันแพงหูฉี่ยังงี้หว่า...Brunch set ปาเข้าไปตั้ง 7 ปอนด์กว่าเกือบ 8 ปอนด์ทั้งนั้นเลยอ่ะ..อะฮึก...อะฮึก... คิดแล้วก็นึกถึงเงินสดในกระเป๋าที่แลกไปมันจะพอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปอีก 10 กว่าวันมั้ยหนอ..เฮือก...ก..

อ่ะ..เอาก็เอา..ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว...กินเป็นกินละ... จากนั้นก็สั่งอาหารชื่อแปลกๆ Egg Benedict Royal - Two Poached Eggs on Toasted Brioche with Smoked Salmon & Hollandaise Sauce ราคา 7.95 ปอนด์ พร้อมกับ Toasted Valerie Club, Char Grilled Chicken Breast, Gammon Ham, Lettuce, Tomato & Mayonnaise on Granary Toast ราคา 7.50 ปอนด์ มากินสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ 3 คน... จากนั้นเราก็สั่ง Hot Chocolate มาเป็นเครื่องดื่มของตัวเอง พร้อมกับ English Breakfast มา 1 pot และกาแฟอีกแก้ว สำหรับสองสาว





พออาหารมาถึงเท่านั้นแล...ว้าว...ววววว...ววว.... ดูดีมากๆ.. โดยเฉพาะ Egg Benedict ที่มาเป็นขนมปังชิ้นสี่เหลี่ยมหนาประมาณ 1 นิ้ว 2 แผ่น มีเนื้อปลาแซลมอนชิ้นหนาๆ ดูดีวางโปะอยู่ และมีไข่ดาวกึ่งสุกกึ่งดิบวางโปะอยู่ด้านบนสุด...ราดด้วยซอสสีส้ม...อืมมม...น่ากินสุดยอด...แล้วรสชาติก็ดีสุดยอด ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ...อืมม...น้ำตาจะไหล...หรืออาจจะเป็นเพราะเราหิวกันแน่เนี่ย...




จานที่สองที่มาวาง ก็มีลักษณะคล้ายๆ กับ Club Sandwich ทั่วไป..แต่ก็มาแบบจานใหญ่อลังการพอควร...รสชาติก็ใช้ได้..แต่ไม่โดดเด่นเท่าไร เราว่ามันก็คล้ายกับ Club sandwich บ้านเรานั่นแหละ...




โชคดีที่สั่งกันมาแค่ 2 จาน สำหรับอาหารจานหลัก เพราะไม่งั้นก็คงจะกินกันไม่หมด เสียดายแย่เลย... สั่งมาขนาดนี้กำลังดีสำหรับผู้หญิง 3 คน....มื้อนี้รวมแล้วก็ 22 ปอนด์นิดๆ หารออกมาก็อยู่คนละ 7 ปอนด์กว่า

อิ่มท้องแล้ว..กองทัพสาวโสดสามนางก็เดินทางต่อไปได้...

วันนี้ยังไม่มีแผนการอะไรมาก...สาวน้อยเจ้าถิ่นพาแวะนู่นแวะนี่ไปตามทาง...โดยเริ่มการไปเยือน British Musuem ซึ่งทีแรกพวกเราก็แค่กะว่าจะเข้าไปเดินเล่นเล็กๆ น้อยๆ ด้วยเราแอบคิดเอาเองว่า..อาจจะไม่มีอะไรมาก (มั้ง) เพราะเค้าไม่คิดค่าเข้าชมนี่นา..เปิดให้เข้าฟรียังงี้จะมีอะไรให้ดูมากมาย



รูปถ่ายที่ประตูทางเข้า


ด้านในอาคาร

ปรากฎว่า...เราคิดผิดอย่างมหันต์เลยล่ะ..เพราะที่นี่มีอะไรต่อมิอะไรให้เราเดินดูได้ไม่เบื่อเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ความตั้งใจทีแรกว่าจะเข้ามาชมแป๊ปๆ ต้องเปลี่ยนเป็นว่า เราใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบๆ ห้าชั่วโมงได้...

ที่นี่แบ่งส่วนการจัดแสดงสิ่งของโบราณมีค่าต่างๆ ไว้เป็นโซนๆ เช่น โซนกรีกโรมัน โซนอียิปต์ โซนเอเชีย มีวัตถุโบราณหายากและล้ำค่ามาตั้งแสดงไว้อย่างไม่หวงเลย..สามารถถ่ายรูปได้เต็มที่ นอกจากนี้ในบางช่วงเวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่นำวัตถุโบราณเหล่านั้นมาให้เราจับต้องได้อย่างใกล้ชิดด้วย..

เรียกได้ว่า.. British Musuem นับเป็นสถานที่ที่ผู้ที่มาเยือนไม่ควรพลาดเด็ดขาด


ภาพโบราณวัตถุ ของมีค่าต่างๆ จากหลายมุมโลก









หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งวันหมดไปกับพิพิธภัณฑ์ จากนี้ก็จะเป็นช่วงของการเดินเล่นแล้วล่ะ... เราเริ่มจากถนน Oxford Street ก่อน.. เรียกได้ว่า...ถนนนี้เป็นถนนสาย Shopping จริงๆ มีร้านค้าอยู่เต็มสองข้างทางไปหมด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแนว Street Fashion (ใช้ถูกหรือเปล่าหว่า) คือ ไม่ใช่แบรนด์ไฮโซหรูหราเว่อร์ แต่ก็พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เช่น M&S, H&M, Next, Gap, Zara, Uniqlo, Boots, HMV ฯลฯ มีให้เดินตลอดทั้งสาย...ช้อป..ช้อป...และช้อป...

เดินไปเดินมา..ก็ยังไม่มีอะไรที่ถูกใจ..เพราะว่าอะไรๆ ที่นี่ก็ดูเหมือนจะแพงไปซะหมดเลยน้อ... เดินเข้าไปในแต่ละร้านก็จะพยายามมุดมาซอกหามุมที่ติดป้าย Sale ตัวแดงก่อนที่อื่น จนกระทั่งไปได้ชุดแซกสีส้ม Old Rose ผ้ายืดเนื้อเนียนกริบจาก M&S มาได้ในราคาเพียงแค่ 9 ปอนด์... แถมตอนไปจ่ายตังค์ คิดแค่ 5 ปอนด์ด้วย เพราะว่ามันลดลงมาจากป้ายอีก... ไชโย้...

หลังจากเดินเล่นจนขาชักล้า..เข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนปรุไปหมด ก็เป็นเวลาสำหรับการหาร้านกินขนม...สาวน้อยเจ้าถิ่นคนเดิมก็เริ่มแนะนำ... ร้าน The Hummingbird Bakery เป็นร้าน Cup cake เจ้าดังของที่นี่ พร้อมกับเมนู Recommend คือ Red Velvet Cup cake เป็น cup cake ที่มีครีมสีขาวรสหวานจัดพองฟูอยู่บนเนื้อเค้กสีแดงแช้ด...ทำให้เราต้องมานั่งขบคิดว่า..ทำจากอะไรกันหนอ ถึงได้มีสีแดงเลือดนกได้ขนาดนี้...แล้วก็เดาเอาว่า..ต้องทำมาจาก Beetroot แน่ๆ.. สั่งกันมา 2 ก้อน..แต่ 3 คนกินกันไม่หมด...เพราะมันหวานจัดมาก..จำใจต้องตัดใจจากขนมที่เหลือไว้ในร้าน....ขนมอาจจะไม่โป๊ะเชะกับเราเท่าไร...แต่หนุ่มหน้ามนพนักงานในร้าน...หน้าตาน่ารักได้ใจเรามากๆ...ฮี่..ฮี่...




หลังจากกินขนมเข้าไป..ก็เริ่มมีแรงขึ้นมาอีกหน่อย.. เดินไปเดินมา ...ชักจะหิวน้ำแฮะ..ก็เลยแวะเข้าร้าน Boots หาซื้อน้ำดื่มซะหน่อย ...อุเหม่..น้ำที่นี่แพงซะจริงเว้ยเฮ้ย...ขวดเล็กๆ ที่บ้านเราขายแค่ 7 บาท ที่นี่ปาเข้าไปอย่างต่ำๆ ก็เกือบ 1 ปอนด์... อะฮึก..อะฮึก..แต่ทำไงได้..ไม่มีที่ถูกกว่านี้ตอนนี้นี่นา... ก็เลยขอเลือกน้ำแบบไม่ธรรมดาซะหน่อยดีกว่า...555 ... สุดท้ายก็เลยได้น้ำดื่ม Still Water รส Raspberry and Apple มาซะเลย... ก็อร่อยดีนา...น้ำก็ใสๆ เหมือนน้ำเปล่าธรรมดานี่ล่ะ แต่ว่ามีรสชาติของผลไม้เพิ่มมานิดหน่อย... อืมม..แปลกดี...เมืองไทยไม่ค่อยมียังงี้เนอะ...

เรายังคงตั้งตาเดินกันต่อจนฟ้าเริ่มมืด...ก็เลยเตรียมตัวเดินทางไปหาอาหารอร่อยๆ กินกันดีกว่า โดยรถเมล์เหมือนเดิม...โดยมื้อเย็นนี้จะเป็นคิวของร้านเป็ดย่างชื่อดังหนักหนาในกรุงลอนดอน...ขนาดที่ว่ามีคนไทย (ไฮโซ) บางคนถึงกับต้องบินมาซื้อเป็ดย่างร้านนี้เดินทางกลับเมืองไทย... ไหน...ขอไปลองเป็นบุญปากซะหน่อยดีกว่า...

จุดหมายของเราคือ....เป็ดย่าง Four Seasons

ในความคิดของเราก่อนหน้านี้..นึกว่า Four Seasons น่าจะเป็นร้านอาหารหรูๆ แพงๆ ดังๆ อยู่ในโรงแรมห้าดาว เหมือนเมืองไทยแน่นอน... อ่ะน่า...เป็นวาสนาของเราเสียจริง...ได้มากินร้านหรูขนาดนี้ด้วย...

ที่ไหนได้...ตอนเดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน..ยังงงๆ ว่า ถึงแล้วเหรอ... มันเป็นร้านอาหารจีนห้องเดียว ถ้าเรียกง่ายๆ ก็คือ อยู่ในตึกแถวห้องเดียวธรรมดาๆ ริมถนนนั่นล่ะ.. แล้วก็เป็นร้านอาหารจีนน่ะ..ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอะไร มีคนรอต่อคิวอยู่ 3-4 คิวก่อนหน้า แต่โชคดีที่สาวน้อยของเราจองโต๊ะไว้แล้วตอนสองทุ่ม... ก็เลยรอเวลาอีกนิดเดียวก็ได้โต๊ะนั่ง...



แล้วบรรยากาศในการเสิร์ฟก็เป็นเช่นเดียวกับร้านอาหารจีนทั่วไปในโลกใบนี้ (ไม่นับร้านที่อยู่ในโรงแรมแพงๆ นะ) เสียงคุยกันโช้งเช้งอื้ออึงไปหมด... คนเสิร์ฟก็ทำงานแข่งกับลูกค้าและเวลา... ที่สำคัญ...พนักงานที่นี่พูดภาษาไทยได้ด้วยนะฮะ.... ไม่ใช่เล่น... อีกอย่างที่มั่นใจได้ว่า คนไทยต้องมากินที่ร้านนี้มากมาย ก็คือ..ฝาผนังด้านหนึ่งของร้านมียันต์แบบโบราณของไทยแขวนไว้ด้วยนา...มองกี่ที..กี่ที..ก็ใช่... แถมในร้านนั้นก็มีโต๊ะที่มีเป็นคนไทยอีกไม่น้อยกว่า 2 โต๊ะ..จากที่เราแอบเงี่ยหูฟังตอนที่เค้าคุยกันเป็นภาษาไทยด้วย..ฮี่..ฮี่...

แน่นอน..เมนูเด็ดอันแรกที่ต้องสั่งคือ.. Roasted Duck ครึ่งตัว... จากนั้นก็ตามมาด้วย Hot & Sour Soup 1 โถ แล้วก็ Squid fried with garlic ...อาหารแนะนำของสาวน้อยเจ้าถิ่น...



เป็ดย่างมาเสิร์ฟพร้อมกับน้ำราดสีเข้มข้น... รสชาติก็อร่อยดีใช้ได้ล่ะ...แต่จากใจลึกๆ...เราว่า..มันก็งั้นๆ อ่ะ... ไม่ได้อร่อยเหาะแบบเหมือนกินแล้วได้ขึ้นสวรรค์ซะหน่อย... ทำไมต้องขนกลับมาเมืองไทยให้มันลำบากด้วยหว่า... หรือว่าลิ้นรับรสชาติเราไม่ถึงกันนะ... จริงๆ แล้ว ถ้าเทียบกัน..เราชอบเป็ดย่างที่มาเก๊ามากกว่าซะอีก...หนังกรุบกรอบ แต่เนื้อนุ่มแน่น...ไม่เหนียว...ถ้าให้เลือกกินอีก..เราก็เลือกไปกินที่มาเก๊าอยู่ดี...สำหรับเป็ดย่าง...เสียแต่ว่าเป็ดย่างที่มาเก๊า จะไม่มีน้ำราด..เสิร์ฟมาแต่เป็ดอย่างเดียว ...ขนาดมีแต่เป็ดยังอร่อยจะแย่..ถ้ามีน้ำราดมาด้วยล่ะก็..เป็ด Four ชิดซ้ายไปเลยดีกว่า

มื้อนี้ก็จบลงไปแบบอิ่มตื้อ...จำราคาไม่ได้แฮะ...น่าจะตกคนละเกือบๆ 12-13 ปอนด์ได้... ชักเริ่มชินๆ กับราคาอาหารที่ลอนดอนนี่ซะแล้ว...

กว่าจะออกจากร้านก็ดึกอยู่เหมือนกัน...เกือบๆ 5 ทุ่มได้แล้วมั้ง....ก็ Take a bus กลับที่พักดังเคย...วันแรกก็เล่นเอาซะแทบจะต้องลากขากลับที่พัก ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเนื้อเป็นหนังเท่าไร (นอกจาก Dress 1 ตัว) แต่ก็นับว่าเริ่มต้นได้ดีสำหรับการทัวร์หาร้านอาหารเด็ดๆ ของที่นี่...... เหนื่อยเหมือนกันนะ..แต่ความอยากเที่ยวยังคงมีมากกว่า...


สู้...สู้




 

Create Date : 16 กันยายน 2553    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2554 0:03:28 น.
Counter : 614 Pageviews.  

ลอนดอนในฝัน วันที่หนึ่ง

1 กันยายน 2553





เดินทางออกจากประเทศไทยไปโดยสายการบิน Etihad Airways ตั้งแต่เช้าตรู่ แวะพักเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ... ทีแรกก็แอบกังวลกับสายการบินน้องใหม่เจ้านี้เล็กน้อยว่าจะเป็นยังไงหว่า.. แต่พอได้ขึ้นเครื่อง ก็..อื้มม..ใช้ได้แฮะ.. เครื่องบินใหม่เลยเชียว แถมมีจอส่วนตัวทุกที่นั่งซะด้วย... แถมไฟลท์ที่เราบินตอนนั้นไม่ค่อยมีคนขึ้นเท่าไร ทำให้ที่นั่งเหลือเพียบ เราก็เลยเป็นเจ้าของที่นั่งแบบหนึ่งคนสองที่นั่งเลย... 555

การเดินทางยังไม่ค่อยเหนื่อยมากนัก เพราะตลอดทางเราหมดไปกับการดูหนังจบไปหนึ่งเรื่อง Percy Jackson สนุกดีแฮะ กับนั่งเล่นเกมนู่นนี่นั่น... รู้สึกตัวอีกทีก็ต้องลงจากเครื่องเสียแล้ว... มองลงมาจากบนฟ้าแล้วก็ได้แต่ประหลาดใจ...

พื้นดินด้านล่าง มองไปทางไหนก็ไม่มีตึกเลยซักกะนิดเดียว มีแต่สีขาว น้ำตาลอ่อนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทีแรกเรานึกว่า สนามบินของอาบูดาบีนี่ช่างมีลานจอดกว้างเสียจริง ลาดปูนซีเมนต์ไปตลอดเลย จนกระทั่งบินต่ำลงไปเรื่อยๆ ถึงได้พบว่า แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงผืนทรายกว้างใหญ่ต่างหาก....

เราได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อก... ผืนทราย ที่ไม่มีต้นไม้สีเขียวเลยแม้สักต้นเดียว...ไม่มีน้ำ... มีแต่ทรายร้อนๆ กลางแดดจ้า... เราไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิตกับผืนทรายกว้างใหญ่แบบนี้ ไม่นึกว่ามันจะดูแล้งได้ถึงขนาดนี้...สมัยก่อนที่คนเรายังไม่เคยรู้จักทองคำสีดำที่ฝังอยู่ใต้ทะเลทราย ชนเผ่าทั้งหลายคงต้องใช้ชีวิตผ่านความลำบากขนาดไหนกันหนอ จึงจะสามารถมีชีวิตรอดกับทะเลทรายผืนนี้ได้....





แต่ก็นั่นล่ะน่ะ... อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป... ใต้ทะเลทรายที่แห้งแล้งกลับเต็มไปด้วยทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาล... ใครๆ ต่างก็อยากจะได้ไว้ครอบครอง.. น้ำมัน..กลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในโลกปัจจุบันนี้... แต่ก็ไม่รู้ว่า... อีกเมื่อไร...ที่น้ำมันจะถูกดึงไปใช้เสียจนหมด...แล้วถึงบัดนั้น..ทะเลทรายจะเป็นอย่างไร

พอลงมาที่สนามบินอาบูดาบี ก็ได้พบว่า... สนามบินของเค้าก็ใช้ได้นะเนี่ย..สะอาด..สะดวก ...มีเน็ตฟรีให้ใช้ได้ตลอด...แถมมีเยอะซะด้วย.... ไม่ต้องคอยจ้องไปจองแบบที่เมืองไทยแฮะ.. 555

นั่งได้สักพักก็ต้องขึ้นเครื่องอีกแล้วเชียว... ฮึ่ม..ยังเล่นเน็ตไม่หนำใจเลย...




คราวนี้ขึ้นเครื่อง Etihad อีกครั้ง คนก็ยังไม่เยอะเท่าไร แต่ก็นับว่าเยอะกว่าไฟลท์ที่บินมาจากเมืองไทย เสียแต่คราวนี้เครื่องบินเก่าแฮะ... เบาะที่นั่งดูหมองๆ ชอบกล แถมที่นั่งก็ยังดูเบียดๆ กันซะด้วย... นั่งแล้วก็แอบอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็เอาเหอะ..นั่งไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงลอนดอนแล้ว...คิดก็ยังแอบตื่นเต้น

ระหว่างนั่งๆ นอนๆ หลับบ้างตื่นบ้าง..กดหน้าจอไปมา...ก็ไปเจอเกมสอนภาษาเข้าให้..เจ๋งชะมัดเลย... นั่งเรียนภาษาเกาหลีไปเรื่อยๆ ถึงได้ค้นพบว่า..ภาษาเกาหลีมันก็คล้ายภาษาไทยอยู่เหมือนกันนะเนี่ย.. อย่างเลข 3 ภาษาไทยอ่านว่า สาม ภาษาเกาหลีก็ออกเสียง sam เหมือนกันแฮะ เลข 10 ก็ สิบ เหมือนกันซะอีก...
โฮะ..โฮะ... หรือเราจะเคยเป็นญาติกันมาก่อนหว่า...

หลังจากนั่งออกเสียงฝึกภาษาเกาหลีจนเพื่อนรุ่นพี่ที่เดินทางมาด้วยกัน นึกสงสัยว่ายัยนี่ออกเสียงภาษาอะไรไปตลอดทาง...เราก็ได้แต่ทำตาใสๆ ไปให้ แล้วก็ชักชวนให้เรียนภาษาไปด้วยกัน...สนุกดี..แต่ว่าพี่เค้าไม่เล่นด้วยแฮะ..... แต่ว่ายังเรียนไปไม่ถึงไหน เครื่องบินก็มาถึงลอนแล้ว...

เย้...เย้... ลอนดอนในฝันของข้าพเจ้า....ในที่สุด...ก็ได้เยือน...




Heathrow Terminal 4 คือ ก้าวแรกของเราใน London

คราวนี้ล่ะ...การผจญภัยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว... ณ บัดนี้...

กว่าจะมาถึงลอนดอน ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว... เดินทางออกจากสนามบินด้วย Tube สาย Piccadilly ปลายทาง Cockfosters เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางกรุงลอนดอน...

เริ่มจากการซื้อบัตร Oyster ซะก่อน เสียค่ามัดจำ 3 ปอนด์ แล้วเราก็ตัดสินใจ Top up สำหรับใช้งานไป 10 ปอนด์ จำไม่ได้แล้วว่าค่า Tube จาก Heathrow ไปปลายทางของเราที่สถานี King's Cross St. Pancras นั้นเท่าไร แต่ก็น่าจะอยู่ระหว่าง 2-4 ปอนด์โดยประมาณ

หลังจากนั้นสองสาวจากเมืองไทยก็ทุลักทุเลเล็กๆ น้อยๆ ขนกระเป๋าลงไปที่ชานชาลารถไฟ..เหลียวซ้ายมองขวาหาป้ายที่บอกปลายทางซะหน่อย จะได้ไม่ขึ้นรถไฟผิดขบวน... ยิ่งป้ำๆ เป๋อๆ อยู่ด้วยซีเล่า...



รถไฟใต้ดินของเค้าก็ไม่ต่างจากของเราเท่าไรหรอกน่า...เก่ากว่าซะอีก..เพราะของเราใหม่ระเบิด..ฮี่..ฮี่... ก็เพิ่งจะมีใช้ไม่กี่ปีนี้เองนี่นา... นั่งไปเรื่อยๆ ก็นานเหมือนกันล่ะนะ...ครึ่งชั่วโมงได้ละมั้ง...

นั่งจ้องสถานีไปเรื่อยๆ จนถึงปลายที่ที่ต้องการ King's Cross St. Pancras พอเดินออกมาจากสถานีเท่านั้นแหละ...ขาเราก็แทบอยากจะวิ่งกลับเข้าไปข้างในใหม่เลย เพราะว่าอากาศเย็นเชียว... ปรับตัวแทบไม่ทันแน่ะ...เวลาลมพัดมากรูนึงละก็...เย็นเย็ยบไปถึงข้างในเลย... คงเพราะเรามาถึงกันดึกด้วยล่ะ อากาศก็ยิ่งเย็นลงทุกที... ต้องงัดเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่เลย เพราะกลัวว่า..ถ้าเป็นหวัดไปตั้งแต่เริ่มทริปล่ะก็...ทริปคงจะกร่อยสุดๆ ไปเลยเชียว...

จากนั้นเราก็ได้ย้ายสัมภาระทั้งหมด...เดินทางไปสู่นิวาสถานที่เราจะใช้ซุกหัวนอนที่ลอนดอน ซึ่งก็เป็นหอพักของสาวน้อยแสนน่ารักที่ไปเรียนอยู่ที่นู่น...โดยรถเมล์...แต่ว่าสาวน้อยเจ้าถิ่นที่มารับบอกกับเราว่า...พี่ๆ ขา..หนูจะพาพี่ๆ ไปทานอาหารก่อนเข้าที่พักนะคะ..

เราก็ได้อยู่แล้ว..เรื่องกินเนี่ยขอให้บอกเหอะ...ชอบ...ถึงไหนถึงกันซีน่า..ว่าแล้วสาวน้อยก็พาสาวใหญ่สองคนขึ้นรถเมล์...
ใช่แล้ว...รถเมล์...กับกระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ น้ำหนักประมาณ 15 kg กับ 20 kg ขึ้นรถเมล์...แม่เจ้า..

ทีแรก..เราก็แอบตกใจอยู่ไม่น้อย...จะแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ ขึ้นรถเมล์เนี่ยนะ... นึกภาพตัวเองขนกระเป๋าเดินทางใบบักเอ้กขึ้นรถเมล์ของเมืองไทย .. นึกแล้วก็คงดูไม่จืดเชียว...

แต่ช้าก่อน... รถเมล์ที่ลอนดอนนี่..ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย... แม้จะเป็นรถเมล์สีแดง สองชั้น อย่างที่เราเคยเห็นเป็นสัญลักษณ์ของลอนดอนนั่นล่ะ แต่ก็ต่างจากรถเมล์บ้านเราเน้อ...

อันดับแรก... ตัวรถไม่ได้ยกสูงขึ้นจากพื้นถนนขนาดต้องขึ้นบันได 2 ขั้น เหมือนของบ้านเรา.. รถเมล์บ้านเค้าเนี่ย แค่ก้าวเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อยก็ขึ้นได้แล้วมั้ง... เรากะว่าสูงจากขอบฟุตบาธไม่เกิน 2 นิ้วน้า... ทำให้การขนกระเป๋าขึ้นไปเป็นเรื่องไม่ยากเย็นเกินไปนัก

อันดับที่สอง... การขึ้นรถเมล์ที่นี่ เค้าไม่มีกระเป๋ารถเมล์มาคอยเก็บตังค์นะจ๊ะ.. ซึ่งเราว่าที่ไหนในโลกเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้วล่ะ..ยกเว้นที่เมืองไทย... แต่เค้าใช้วิธีว่า ใช้บัตร Oyster แตะเข้ากับเครื่อง Scanner ข้างๆ คนขับรถ หรือถ้าไม่มีบัตร ก็ต้องหยอดเงินเหรียญเข้ากับตู้เก็บเงินข้างๆ คนขับเช่นกัน... หรือมีอีกวิธีคือ.. ต้องซื้อตั๋วไปก่อนขึ้นรถ ซึ่งเค้าจะมีตู้ขายตั๋วอยู่ที่สถานี (ซึ่งจะตั้งอยู่บางสถานีเท่านั้น)

อันดับที่สาม... คนขับรถเมล์ของที่นี่ไม่รีบขับออกจากป้าย ราวกับว่ากำลังหนีใครอยู่หรอกนะ... เค้าจะรอ..รอ..และรอ...ให้แน่ใจก่อนว่า..ทุกๆ คนได้ก้าวขาขึ้นมาบนรถพร้อมกับสัมภาระต่างๆ (ถ้ามี) เรียบร้อยแล้ว และทุกๆ คนที่ต้องการจะลงจากรถได้ลงไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งประตูได้ปิดครบแล้วจึงจะออกรถไป...เพราะฉะนั้นมีเวลาให้สาวน้อยต่างแดนมะงุมมะงาหรากับการยกกระเป๋าได้สบายๆ ไม่ต้องกลัวหัวทิ่มหัวตำ

อันดับที่สี่... รถเมล์ที่นี่เค้าไม่บีบแตรใส่กันเลยนะ.. ไม่ได้ยินเสียงแตรรถเลยสิน่า..ต่อให้รถเมล์คันหน้าจอดนานขนาดไหน เค้าก็ไม่บีบแตรไล่หรอกนะ... เท่าที่เห็นคือ..อย่างมาก...ถ้ามันนานจัด.. คนขับรถเค้าก็จะเบนหัวรถออกไปจากตรงนั้น แล้วก็ค่อยแซงคันหน้าไป... ซึ่งเราเห็นแล้วก็แอบทึ่งจริงๆ เพราะว่าเค้าใช้เนื้อที่น้อยมากๆ ในการเบนหัวออกไป...แถมพ้นซะด้วย... ถ้าพวงมาลัยไม่ตีวงได้เจ๋งจริงๆ เนี่ย.. เราว่าทำได้ยากมากเลยน้า..

อันดับที่ห้า... รถเมล์ที่นี่เค้ามีพื้นที่ว่างสำหรับการวางสัมภาระต่างๆ ได้โดยไม่เกะกะทางเดินบนรถเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่า กระเป๋าเดินทาง หรือรถเข็นเด็ก จะกลายเป็นอุปสรรคสำหรับผู้โดยสารท่านอื่นแต่อย่างใด ดังนั้นเราจึงเห็นได้จนชินว่า..คนอังกฤษมักจะเข็นรถเข็นเด็กโดยสารรถเมล์กันเป็นปกติ...

อันดับที่หก... ถ้าเราจะลงจากรถ เราก็ต้องกดออดเหมือนรถเมล์บ้านเราใช่ม้า... แต่ที่นี่มันแบบ... ชิลอ่ะ.. บางทีนะ... ผู้โดยสารนั่งอยู่บนชั้นสองของรถเมล์ แล้วจะลงป้ายหน้าใช่ม้า... เค้าก็จะกดออดก่อน รถก็จะจอดเข้าป้าย..จากนั้นผู้โดยสารถึงจะค่อยๆ เดินลงบันไดมาจากชั้นสองล่ะ... ถ้าเป็นเมืองไทยล่ะก็..ต้องโดนด่าแน่นอน..ที่รถต้องจอดรอ... แต่คนที่นี่เค้าบอกว่า...ถ้าลงบันไดตอนที่รถกำลังวิ่งก็อาจจะไม่ปลอดภัยได้..จึงต้องรอให้รถหยุดหรือชะลอความเร็วลงก่อน...เออ..เอากะเค้าสิ..

หลังจากสำรวจรถเมล์บ้านเค้าเกือบครบ...ก็ถึงที่หมายซะที... ลงจากรถเมล์ก็เดินงงๆ ตามกันไป..มะงุมมะงาหรา..เพราะว่าฟ้ามืด อากาศเย็น ลมพัดกรูเกรียว... ลากกระเป๋าตามหาร้าน...

จนที่สุดก็ถึงร้าน...เป็นร้านชื่ออะไรก็จำไม่ได้...เพราะว่าเหนื่อยจัดเกินกว่าจะเงยหน้ามองป้ายชื่อร้าน รู้แต่ว่าเป็นร้านอาหารเม็กซิกัน (น่าจะชื่อ Nando's นะ) ขายไก่ย่าง...เหมือนไก่ย่าง Piri piri ที่ในสยามพารากอนนั่นแล... น้ำจิ้มมีเลือกหลากหลายมาก แถมมีความเผ็ดให้เลือกหลายระดับเช่นกัน... เพื่อมิให้เสียชื่อสาวชาวไทย เราจึงเลือกซอสเผ็ดสุด... แต่ก็ไม่ได้เผ็ดเท่าไรแฮะ... แถมไม่อร่อยด้วย..มีแต่รสเปรี้ยวกับรสเผ็ด... ไม่มีหวาน เค็มแต่อย่างใด... ก็เลยเปลี่ยนใจไปชอบซอสสมุนไพรแทน...พอไหวอยู่...






กินเสร็จแบบงงๆ เล็กน้อย ลิ้นไม่ค่อยรับรสอาหารแล้วตอนนี้ เพราะนั่งหาวหวอดๆ ด้วยความง่วง...เดินออกมาจากร้าน...ขึ้นรถเมล์อีกรอบ...แล้วก็มาถึงปลายทางของคืนนี้ซะที...กว่าจะเดินต่อมาถึงหอพัก...ก็หนาวขาขึ้นมาทันที..ลมก็ช่างพัดมา...วู้..วู้... เสื้อหนาวที่เป็นเสื้อวอร์มที่เอามาแค่หนึ่งตัวจะพอไหมหนอ....

ห้องพักของสาวน้อยที่มาเรียนหนังสือที่นี่เป็นห้องพักขนาดสตูดิโอ มีห้องน้ำพร้อม เตียงเดี่ยวหนึ่ง... ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน... สะอาดแล้วก็น่ารัก...

ที่นี่ล่ะ..จะเป็นที่พักของเรา...

แล้วคืนนี้...ก็นอนหลับฝันดี.....เก็บแรงไปเที่ยวพรุ่งนี้ดีกว่า..







 

Create Date : 15 กันยายน 2553    
Last Update : 26 กันยายน 2553 1:24:11 น.
Counter : 503 Pageviews.  


เจ้าหญิงน้อยรสส้ม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add เจ้าหญิงน้อยรสส้ม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.