ยิ้มไว้...ไม่ว่าอะไรก็ขอให้...ยิ้มไว้....
Group Blog
First Time
My Favorite Books
Paradise Lost สวนสวรรค์ที่สาปสูญ
ลมหายใจ The Musical
My Favorite Movies
Private Zone
My Songs My Life
บทกวี...ที่รัก
นัย...ความคิด
เที่ยวไปเรื่อย เหนื่อยก็พัก
London Secondment
All Blogs
ลอนดอนในฝัน วันที่สาม
ลอนดอนในฝัน วันที่สอง
ลอนดอนในฝัน วันที่หนึ่ง
ลอนดอนในฝัน วันที่หนึ่ง
1 กันยายน 2553
เดินทางออกจากประเทศไทยไปโดยสายการบิน Etihad Airways ตั้งแต่เช้าตรู่ แวะพักเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ... ทีแรกก็แอบกังวลกับสายการบินน้องใหม่เจ้านี้เล็กน้อยว่าจะเป็นยังไงหว่า.. แต่พอได้ขึ้นเครื่อง ก็..อื้มม..ใช้ได้แฮะ.. เครื่องบินใหม่เลยเชียว แถมมีจอส่วนตัวทุกที่นั่งซะด้วย... แถมไฟลท์ที่เราบินตอนนั้นไม่ค่อยมีคนขึ้นเท่าไร ทำให้ที่นั่งเหลือเพียบ เราก็เลยเป็นเจ้าของที่นั่งแบบหนึ่งคนสองที่นั่งเลย... 555
การเดินทางยังไม่ค่อยเหนื่อยมากนัก เพราะตลอดทางเราหมดไปกับการดูหนังจบไปหนึ่งเรื่อง Percy Jackson สนุกดีแฮะ กับนั่งเล่นเกมนู่นนี่นั่น... รู้สึกตัวอีกทีก็ต้องลงจากเครื่องเสียแล้ว... มองลงมาจากบนฟ้าแล้วก็ได้แต่ประหลาดใจ...
พื้นดินด้านล่าง มองไปทางไหนก็ไม่มีตึกเลยซักกะนิดเดียว มีแต่สีขาว น้ำตาลอ่อนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทีแรกเรานึกว่า สนามบินของอาบูดาบีนี่ช่างมีลานจอดกว้างเสียจริง ลาดปูนซีเมนต์ไปตลอดเลย จนกระทั่งบินต่ำลงไปเรื่อยๆ ถึงได้พบว่า แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงผืนทรายกว้างใหญ่ต่างหาก....
เราได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อก... ผืนทราย ที่ไม่มีต้นไม้สีเขียวเลยแม้สักต้นเดียว...ไม่มีน้ำ... มีแต่ทรายร้อนๆ กลางแดดจ้า... เราไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิตกับผืนทรายกว้างใหญ่แบบนี้ ไม่นึกว่ามันจะดูแล้งได้ถึงขนาดนี้...สมัยก่อนที่คนเรายังไม่เคยรู้จักทองคำสีดำที่ฝังอยู่ใต้ทะเลทราย ชนเผ่าทั้งหลายคงต้องใช้ชีวิตผ่านความลำบากขนาดไหนกันหนอ จึงจะสามารถมีชีวิตรอดกับทะเลทรายผืนนี้ได้....
แต่ก็นั่นล่ะน่ะ... อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป... ใต้ทะเลทรายที่แห้งแล้งกลับเต็มไปด้วยทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาล... ใครๆ ต่างก็อยากจะได้ไว้ครอบครอง.. น้ำมัน..กลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในโลกปัจจุบันนี้... แต่ก็ไม่รู้ว่า... อีกเมื่อไร...ที่น้ำมันจะถูกดึงไปใช้เสียจนหมด...แล้วถึงบัดนั้น..ทะเลทรายจะเป็นอย่างไร
พอลงมาที่สนามบินอาบูดาบี ก็ได้พบว่า... สนามบินของเค้าก็ใช้ได้นะเนี่ย..สะอาด..สะดวก ...มีเน็ตฟรีให้ใช้ได้ตลอด...แถมมีเยอะซะด้วย.... ไม่ต้องคอยจ้องไปจองแบบที่เมืองไทยแฮะ.. 555
นั่งได้สักพักก็ต้องขึ้นเครื่องอีกแล้วเชียว... ฮึ่ม..ยังเล่นเน็ตไม่หนำใจเลย...
คราวนี้ขึ้นเครื่อง Etihad อีกครั้ง คนก็ยังไม่เยอะเท่าไร แต่ก็นับว่าเยอะกว่าไฟลท์ที่บินมาจากเมืองไทย เสียแต่คราวนี้เครื่องบินเก่าแฮะ... เบาะที่นั่งดูหมองๆ ชอบกล แถมที่นั่งก็ยังดูเบียดๆ กันซะด้วย... นั่งแล้วก็แอบอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็เอาเหอะ..นั่งไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงลอนดอนแล้ว...คิดก็ยังแอบตื่นเต้น
ระหว่างนั่งๆ นอนๆ หลับบ้างตื่นบ้าง..กดหน้าจอไปมา...ก็ไปเจอเกมสอนภาษาเข้าให้..เจ๋งชะมัดเลย... นั่งเรียนภาษาเกาหลีไปเรื่อยๆ ถึงได้ค้นพบว่า..ภาษาเกาหลีมันก็คล้ายภาษาไทยอยู่เหมือนกันนะเนี่ย.. อย่างเลข 3 ภาษาไทยอ่านว่า สาม ภาษาเกาหลีก็ออกเสียง sam เหมือนกันแฮะ เลข 10 ก็ สิบ เหมือนกันซะอีก...
โฮะ..โฮะ... หรือเราจะเคยเป็นญาติกันมาก่อนหว่า...
หลังจากนั่งออกเสียงฝึกภาษาเกาหลีจนเพื่อนรุ่นพี่ที่เดินทางมาด้วยกัน นึกสงสัยว่ายัยนี่ออกเสียงภาษาอะไรไปตลอดทาง...เราก็ได้แต่ทำตาใสๆ ไปให้ แล้วก็ชักชวนให้เรียนภาษาไปด้วยกัน...สนุกดี..แต่ว่าพี่เค้าไม่เล่นด้วยแฮะ..... แต่ว่ายังเรียนไปไม่ถึงไหน เครื่องบินก็มาถึงลอนแล้ว...
เย้...เย้...
ลอนดอนในฝันของข้าพเจ้า....ในที่สุด...ก็ได้เยือน...
Heathrow Terminal 4 คือ ก้าวแรกของเราใน London
คราวนี้ล่ะ...การผจญภัยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว... ณ บัดนี้...
กว่าจะมาถึงลอนดอน ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว... เดินทางออกจากสนามบินด้วย Tube สาย Piccadilly ปลายทาง Cockfosters เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางกรุงลอนดอน...
เริ่มจากการซื้อบัตร Oyster ซะก่อน เสียค่ามัดจำ 3 ปอนด์ แล้วเราก็ตัดสินใจ Top up สำหรับใช้งานไป 10 ปอนด์ จำไม่ได้แล้วว่าค่า Tube จาก Heathrow ไปปลายทางของเราที่สถานี King's Cross St. Pancras นั้นเท่าไร แต่ก็น่าจะอยู่ระหว่าง 2-4 ปอนด์โดยประมาณ
หลังจากนั้นสองสาวจากเมืองไทยก็ทุลักทุเลเล็กๆ น้อยๆ ขนกระเป๋าลงไปที่ชานชาลารถไฟ..เหลียวซ้ายมองขวาหาป้ายที่บอกปลายทางซะหน่อย จะได้ไม่ขึ้นรถไฟผิดขบวน... ยิ่งป้ำๆ เป๋อๆ อยู่ด้วยซีเล่า...
รถไฟใต้ดินของเค้าก็ไม่ต่างจากของเราเท่าไรหรอกน่า...เก่ากว่าซะอีก..เพราะของเราใหม่ระเบิด..ฮี่..ฮี่... ก็เพิ่งจะมีใช้ไม่กี่ปีนี้เองนี่นา... นั่งไปเรื่อยๆ ก็นานเหมือนกันล่ะนะ...ครึ่งชั่วโมงได้ละมั้ง...
นั่งจ้องสถานีไปเรื่อยๆ จนถึงปลายที่ที่ต้องการ King's Cross St. Pancras พอเดินออกมาจากสถานีเท่านั้นแหละ...ขาเราก็แทบอยากจะวิ่งกลับเข้าไปข้างในใหม่เลย เพราะว่าอากาศเย็นเชียว... ปรับตัวแทบไม่ทันแน่ะ...เวลาลมพัดมากรูนึงละก็...เย็นเย็ยบไปถึงข้างในเลย... คงเพราะเรามาถึงกันดึกด้วยล่ะ อากาศก็ยิ่งเย็นลงทุกที... ต้องงัดเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่เลย เพราะกลัวว่า..ถ้าเป็นหวัดไปตั้งแต่เริ่มทริปล่ะก็...ทริปคงจะกร่อยสุดๆ ไปเลยเชียว...
จากนั้นเราก็ได้ย้ายสัมภาระทั้งหมด...เดินทางไปสู่นิวาสถานที่เราจะใช้ซุกหัวนอนที่ลอนดอน ซึ่งก็เป็นหอพักของสาวน้อยแสนน่ารักที่ไปเรียนอยู่ที่นู่น...โดยรถเมล์...แต่ว่าสาวน้อยเจ้าถิ่นที่มารับบอกกับเราว่า...พี่ๆ ขา..หนูจะพาพี่ๆ ไปทานอาหารก่อนเข้าที่พักนะคะ..
เราก็ได้อยู่แล้ว..เรื่องกินเนี่ยขอให้บอกเหอะ...ชอบ...ถึงไหนถึงกันซีน่า..ว่าแล้วสาวน้อยก็พาสาวใหญ่สองคนขึ้นรถเมล์...
ใช่แล้ว...รถเมล์...กับกระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ น้ำหนักประมาณ 15 kg กับ 20 kg ขึ้นรถเมล์...แม่เจ้า..
ทีแรก..เราก็แอบตกใจอยู่ไม่น้อย...จะแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ ขึ้นรถเมล์เนี่ยนะ... นึกภาพตัวเองขนกระเป๋าเดินทางใบบักเอ้กขึ้นรถเมล์ของเมืองไทย .. นึกแล้วก็คงดูไม่จืดเชียว...
แต่ช้าก่อน... รถเมล์ที่ลอนดอนนี่..ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย...
แม้จะเป็นรถเมล์สีแดง สองชั้น อย่างที่เราเคยเห็นเป็นสัญลักษณ์ของลอนดอนนั่นล่ะ แต่ก็ต่างจากรถเมล์บ้านเราเน้อ...
อันดับแรก... ตัวรถไม่ได้ยกสูงขึ้นจากพื้นถนนขนาดต้องขึ้นบันได 2 ขั้น เหมือนของบ้านเรา.. รถเมล์บ้านเค้าเนี่ย แค่ก้าวเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อยก็ขึ้นได้แล้วมั้ง... เรากะว่าสูงจากขอบฟุตบาธไม่เกิน 2 นิ้วน้า... ทำให้การขนกระเป๋าขึ้นไปเป็นเรื่องไม่ยากเย็นเกินไปนัก
อันดับที่สอง... การขึ้นรถเมล์ที่นี่ เค้าไม่มีกระเป๋ารถเมล์มาคอยเก็บตังค์นะจ๊ะ.. ซึ่งเราว่าที่ไหนในโลกเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้วล่ะ..ยกเว้นที่เมืองไทย...
แต่เค้าใช้วิธีว่า ใช้บัตร Oyster แตะเข้ากับเครื่อง Scanner ข้างๆ คนขับรถ หรือถ้าไม่มีบัตร ก็ต้องหยอดเงินเหรียญเข้ากับตู้เก็บเงินข้างๆ คนขับเช่นกัน... หรือมีอีกวิธีคือ.. ต้องซื้อตั๋วไปก่อนขึ้นรถ ซึ่งเค้าจะมีตู้ขายตั๋วอยู่ที่สถานี (ซึ่งจะตั้งอยู่บางสถานีเท่านั้น)
อันดับที่สาม... คนขับรถเมล์ของที่นี่ไม่รีบขับออกจากป้าย ราวกับว่ากำลังหนีใครอยู่หรอกนะ... เค้าจะรอ..รอ..และรอ...ให้แน่ใจก่อนว่า..ทุกๆ คนได้ก้าวขาขึ้นมาบนรถพร้อมกับสัมภาระต่างๆ (ถ้ามี) เรียบร้อยแล้ว และทุกๆ คนที่ต้องการจะลงจากรถได้ลงไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งประตูได้ปิดครบแล้วจึงจะออกรถไป...เพราะฉะนั้นมีเวลาให้สาวน้อยต่างแดนมะงุมมะงาหรากับการยกกระเป๋าได้สบายๆ ไม่ต้องกลัวหัวทิ่มหัวตำ
อันดับที่สี่... รถเมล์ที่นี่เค้าไม่บีบแตรใส่กันเลยนะ.. ไม่ได้ยินเสียงแตรรถเลยสิน่า..ต่อให้รถเมล์คันหน้าจอดนานขนาดไหน เค้าก็ไม่บีบแตรไล่หรอกนะ... เท่าที่เห็นคือ..อย่างมาก...ถ้ามันนานจัด.. คนขับรถเค้าก็จะเบนหัวรถออกไปจากตรงนั้น แล้วก็ค่อยแซงคันหน้าไป... ซึ่งเราเห็นแล้วก็แอบทึ่งจริงๆ เพราะว่าเค้าใช้เนื้อที่น้อยมากๆ ในการเบนหัวออกไป...แถมพ้นซะด้วย... ถ้าพวงมาลัยไม่ตีวงได้เจ๋งจริงๆ เนี่ย.. เราว่าทำได้ยากมากเลยน้า..
อันดับที่ห้า... รถเมล์ที่นี่เค้ามีพื้นที่ว่างสำหรับการวางสัมภาระต่างๆ ได้โดยไม่เกะกะทางเดินบนรถเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่า กระเป๋าเดินทาง หรือรถเข็นเด็ก จะกลายเป็นอุปสรรคสำหรับผู้โดยสารท่านอื่นแต่อย่างใด ดังนั้นเราจึงเห็นได้จนชินว่า..คนอังกฤษมักจะเข็นรถเข็นเด็กโดยสารรถเมล์กันเป็นปกติ...
อันดับที่หก... ถ้าเราจะลงจากรถ เราก็ต้องกดออดเหมือนรถเมล์บ้านเราใช่ม้า... แต่ที่นี่มันแบบ... ชิลอ่ะ.. บางทีนะ... ผู้โดยสารนั่งอยู่บนชั้นสองของรถเมล์ แล้วจะลงป้ายหน้าใช่ม้า... เค้าก็จะกดออดก่อน รถก็จะจอดเข้าป้าย..จากนั้นผู้โดยสารถึงจะค่อยๆ เดินลงบันไดมาจากชั้นสองล่ะ... ถ้าเป็นเมืองไทยล่ะก็..ต้องโดนด่าแน่นอน..ที่รถต้องจอดรอ... แต่คนที่นี่เค้าบอกว่า...ถ้าลงบันไดตอนที่รถกำลังวิ่งก็อาจจะไม่ปลอดภัยได้..จึงต้องรอให้รถหยุดหรือชะลอความเร็วลงก่อน...เออ..เอากะเค้าสิ..
หลังจากสำรวจรถเมล์บ้านเค้าเกือบครบ...ก็ถึงที่หมายซะที... ลงจากรถเมล์ก็เดินงงๆ ตามกันไป..มะงุมมะงาหรา..เพราะว่าฟ้ามืด อากาศเย็น ลมพัดกรูเกรียว... ลากกระเป๋าตามหาร้าน...
จนที่สุดก็ถึงร้าน...เป็นร้านชื่ออะไรก็จำไม่ได้...เพราะว่าเหนื่อยจัดเกินกว่าจะเงยหน้ามองป้ายชื่อร้าน รู้แต่ว่าเป็นร้านอาหารเม็กซิกัน (น่าจะชื่อ Nando's นะ) ขายไก่ย่าง...เหมือนไก่ย่าง Piri piri ที่ในสยามพารากอนนั่นแล... น้ำจิ้มมีเลือกหลากหลายมาก แถมมีความเผ็ดให้เลือกหลายระดับเช่นกัน... เพื่อมิให้เสียชื่อสาวชาวไทย เราจึงเลือกซอสเผ็ดสุด... แต่ก็ไม่ได้เผ็ดเท่าไรแฮะ... แถมไม่อร่อยด้วย..มีแต่รสเปรี้ยวกับรสเผ็ด... ไม่มีหวาน เค็มแต่อย่างใด... ก็เลยเปลี่ยนใจไปชอบซอสสมุนไพรแทน...พอไหวอยู่...
กินเสร็จแบบงงๆ เล็กน้อย ลิ้นไม่ค่อยรับรสอาหารแล้วตอนนี้ เพราะนั่งหาวหวอดๆ ด้วยความง่วง...เดินออกมาจากร้าน...ขึ้นรถเมล์อีกรอบ...แล้วก็มาถึงปลายทางของคืนนี้ซะที...กว่าจะเดินต่อมาถึงหอพัก...ก็หนาวขาขึ้นมาทันที..ลมก็ช่างพัดมา...วู้..วู้... เสื้อหนาวที่เป็นเสื้อวอร์มที่เอามาแค่หนึ่งตัวจะพอไหมหนอ....
ห้องพักของสาวน้อยที่มาเรียนหนังสือที่นี่เป็นห้องพักขนาดสตูดิโอ มีห้องน้ำพร้อม เตียงเดี่ยวหนึ่ง... ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน... สะอาดแล้วก็น่ารัก...
ที่นี่ล่ะ..จะเป็นที่พักของเรา...
แล้วคืนนี้...ก็นอนหลับฝันดี.....เก็บแรงไปเที่ยวพรุ่งนี้ดีกว่า..
Create Date : 15 กันยายน 2553
Last Update : 26 กันยายน 2553 1:24:11 น.
4 comments
Counter : 502 Pageviews.
Share
Tweet
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่าา อย่าลืมเอารูปมาอวดกันด้วยนะคะ..รอชมตอนต่อไปอยู่ค่ะ
โดย:
i'm not superman
วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:20:34:24 น.
ครั้งแรกที่เราไปลอนดอน เราประทับใจกับ tube ของลอนดอนมากเลย แบบว่าจะมีอะไรหลายสายขนาดน้านนน แล้วนั่งๆไปบางทีก็โผล่มาบนดินซะงั้น แต่ตอนหลังก็หันมาชอบรถเมลล์มากกว่า เอาไว้นั่งชิวๆเวลาไม่รีบไปไหน แถมยังถูกกว่าอีก :P ว่าแต่คุณเจ้าหญิงน้อยรสส้มจะไปเรียนอะไรที่ลอนดอนค่ะเนี้ย อาทิตย์หน้าเราก็จะกลับไปแล้วเหมือนกันค่ะ
โดย:
แพนด้าทาโกยากิ
วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:22:11:18 น.
อย่าลืมเอารูปมาโพสต์บ้างนะคะ
โดย: mearnss IP: 61.19.67.148 วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:23:13:15 น.
โดย: Cheria (
SwantiJareeCheri
) วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:17:50:55 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
เจ้าหญิงน้อยรสส้ม
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
Friends' blogs
chabori
หัวใจนักท่องเที่ยว
Webmaster - BlogGang
[Add เจ้าหญิงน้อยรสส้ม's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.