แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว

ผู้เฒ่าสายลม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นข้าราชการคนหนึ่งในรัฐบาลไทย มีความสนใจในศาสตร์หลากหลาย สนใจเรื่องวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ การลงทุน ฯลฯ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ผู้เฒ่าสายลม's blog to your web]
Links
 

 

ติดฟิลม์กรองแสง

หลังจากที่ได้รถมาก็ขับไปติดฟิลม์วันนั้นเลยครับ เพราะหาข้อมูลมาบ้างแล้ว ข้อมูลที่ผมหามาได้ ผมสรุปได้ดังนี้

ณ วันที่โพสต์นี้ ฟิลม์กรองแสงบ้านเรา จัดเกรดได้ออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน

ระดับบน นำด้วย V-Kool ที่เชื่อว่าทุกท่านคงได้ยินชื่อเสียงมานาน ตามมาด้วย Lamina รุ่น Special, 3M รุ่น Crystalline และ Huper Optik

ระดับกลาง ได้แก่ Lamina รุ่นธรรมดา, 3M รุ่น สก๊อตทินต์, Hi-Kool และ SmartTec

ระดับล่างได้แก่ฟิลม์อื่น ๆ ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง

คราวนี้มาดูกันว่าฟิลม์กรองแสง มีหน้าที่อะไรบ้าง และ มีวิธีการผลิตอย่างไร ฟิลม์กรองแสงมีหน้าที่ 2 อย่าง หน้าที่หลักก็คือ กันความร้อนไม่ให้เข้ามาในรถ แม้จะชื่อว่าฟิลม์กรองแสงก็เถอะ เพราะทุกคนที่เข้าไปติดฟิลม์ก็เนื่องจากไม่ต้องการความร้อน ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการแสง สำหรับเหตุที่เรียกกันว่าฟิลม์กรองแสง ก็เนื่องมาจากในสมัยก่อน ยังไม่มีเทคโนโลยีอะไร เข้าใจกันว่า แสงทำให้เกิดความร้อน ดังนั้นถ้าไม่ต้องการความร้อน ก็ต้องลดแสงลง

แต่ต่อมามีการแยกแยะขึ้นว่า พลังงานที่ดวงอาทิตย์ส่องมานั้นประกอบด้วย รังสี 3 ชนิด คือ รังสีอินฟราเรด มีพลังงานถึง 53 เปอร์เซนต์ของพลังงานทั้งหมด ดังนั้นความร้อนที่เกิดจากแสงมาจากรังสีนี้กว่าครึ่ง รังสีชนิดที่ 2 คือ แสงสว่างมีพลังงาน 44 เปอร์เซนต์ และสุดท้ายคือรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต หรือ รังสียูวี (UV) ซึ่งมีพลังงาน 3 เปอร์เซนต์ แต่รังสียูวีนี้แม้จะมีพลังงานน้อยเมื่อเทียบกับตัวอื่น แต่ก็เป็นอันตราย เพราะอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

ในฟิลม์กรองแสง ไม่ว่ายี่ห้อใด จะมีการบอก 3 ค่าข้างต้นเสมอ ว่าแสงส่องผ่านเท่าไร ป้องกันรังสียูวีเท่าใด และป้องกันรังสีอินฟราเรดเท่าใด ซึ่งกรรมวิธีในการผลิตฟิลม์นั้น ไม่ว่ายี่ห้อใด ของถูกหรือของแพง จะมีหลักการอยู่ 2 อย่าง อย่างแรก คือ ความเข้มของสีฟิลม์ ซึ่งฟิลม์ที่มีสีเข้มจะสามารถกันแสงสว่างได้ดี กันรังสีอินฟราเรดและยูวีได้บางส่วน ดังนั้นรถที่มีฟิลม์ดำเพียงอย่างเดียว จึงสามารถลดความร้อนลงไปได้บางส่วน ไม่สามารถลดความร้อนได้ทั้งหมด แม้ว่าฟิลม์จะสีดำสนิทก็ตาม เพราะความร้อนไม่ได้มากับแสงสว่างเพียงอย่างเดียว

ฟิลม์ที่กรองแสงได้ดี จะต้องกรองยูวีได้เกือบ 100 เปอร์เซนต์ ซึ่งฟิลม์ส่วนใหญ่ก็สามารถป้องกันได้ประมาณ 99 เปอร์เซนต์กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว การกรองแสงก็ไม่ยาก เพราะฟิลม์ที่สีเข้มก็จะกรองแสงได้มากกว่าฟิลม์ที่สีอ่อน สำหรับแสงอินฟราเรดจะยากหน่อย เพราะไม่สามารถใช้สีของฟิลม์กรองได้ทั้งหมด เทคโนโลยีที่มาแก้ไขข้อจำกัดนี้เรียกว่า Spectrally Selective ซึ่งมีความหมายว่า ให้สะท้อนรังสีในช่วงยูวีและอินฟราเรดออกไป ในขณะที่ยอมให้แสงผ่านได้ ผลที่ได้ คือ ฟิลม์ที่มีลักษณะใส แต่กันความร้อนได้ดี เทคโนโลยีนี้จะใช้อนุภาคของโลหะเงินทำเป็นชั้นฟิลม์บาง เพื่อทำหน้าที่สะท้อนรังสีอินฟราเรด โดยมีชั้นของอ็อกไซด์ของโลหะประกบเพื่อไม่ให้โลหะเงินเป็นสนิม


บางคนอาจสงสัยว่าทำไมโลหะจึงสะท้อนรังสีอินฟราเรดได้ ถ้าเคยสังเกตุเวลาที่เขามุงหลังคาบ้านเขามักจะเอาแผ่นฟอยซ์ใส่ลงไปที่ใต้หลังคา ก็เพื่อสะท้อนความร้อน แสดงว่าโลหะสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี แต่ต้องเป็นโลหะที่มีลักษณะเป็นมันวาว เช่น อลูมิเนียม สำหรับเทคโนโลยี Spectrally Selective เขาจะใช้แร่เงิน ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องเป็นแร่เงิน อาจเนื่องจากแร่เงินมีความวาวสูงก็ได้ โดยอนุภาคมีขนาดที่เล็กมาก ไม่สามารถมองเห็น เราจึงเห็นฟิลม์มีลักษณะใส แต่เมื่อมองเหลือบ ๆ จะเห็นความวาวได้บ้าง

บางคนอาจสงสัยว่าเอาอนุภาคเงินไปขวางแสง น่าจะมืด ซึ่งก็อาจมืดไปบ้าง แต่เนื่องจากแสงมีความสามารถในการเลี้ยวเบน จึงทำให้สายตาคนมองเห็นว่าฟิลม์มีลักษณะใส ฟิลม์แบบนี้จะแพงมาก ซึ่งก็คือฟิลม์ระดับบนที่ได้กล่าวถึงไปเมื่อตอนแรกนั่นเอง

สำหรับฟิลม์ในกลุ่มที่ 2 นั้น เขาก็ใช้การประยุกต์ครับ คือ การใช้อนุภาคเงินที่เล็กมากนั้น มีราคาแพง เขาก็ใช้อนุภาคโลหะอื่น ๆ เช่น อลูมิเนียม หรือ ไทเทเนียม โดยใช้อนุภาคที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งทำได้ง่ายกว่า ราคาถูกกว่า เจือลงในฟิลม์ ซึ่งก็สามารถป้องกันรังสีอินฟราเรดได้เช่นกัน แต่ข้อเสีย คือ เนื่องจาออนุภาคใหญ่ มันจึงเห็นเป็นโลหะอย่างชัดเจน ยิ่งเจือลงในฟิลม์มากเท่าไร จะยิ่งเห็นชัดมากขึ้นเท่านั้น ที่เราเรียกกันว่าฟิลม์ปรอทนั่นแหละ ซึ่งฟิลม์ระดับกลางและล่างทุกยี่ห้อ ล้วนทำแบบนี้ทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้จากคุณลักษณะหนึ่งของฟิลม์ คือ การสะท้อนแสง เพราะถ้าไม่มีโลหะในเนื้อฟิลม์เลย ก็ย่อมจะไม่มีการสะท้อน ซึ่งก็ต้องยอมให้สะท้อนบ้าง เพราะสามารถลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรดได้ดี

ถึงตรงนี้แล้ว ก็คงเข้าใจเทคโนโลยีของฟิลม์กรองแสงกันพอสมควร โดยทั่วไปแล้วฟิลม์แบบที่ 1 ที่ใช้เทคโนโลยี Spectrally Selective เขาจะขายความใส และไม่ร้อน โดยมักจะให้แสงส่องผ่านมากกว่า 60 เปอร์เซนต์ขึ้นไป ในขณะที่สามารถลดความร้อนรวมได้ประมาณ 60 เปอร์เซนต์ขึ้นไปเช่นเดียวกัน สำหรับฟิลม์แบบอื่น ๆ นั้น จะมีรุ่นต่าง ๆ ที่จะแตกต่างที่ สีของฟิลม์ การเจือโลหะ และความเข้มของสี ซึ่งก็จะผลิตออกมาเป็นรุ่นต่างๆ ซึ่งจะสามารถลดความร้อนได้ระหว่าง 30-50 เปอร์เซนต์ในรุ่นที่ไม่ดำมากนัก และอาจมากถึง 60 เปอร์เซนต์ในรุ่นที่ดำมาก ๆ เช่น แสงส่องผ่าน 20 เปอร์เซนต์

ในด้านของราคานั้น กลุ่มระดับบนถ้าติดทั้งคัน ก็จะตก 20,000 กว่าบาททุกคัน ยิ่งคันใหญ่ยิ่งแพง แค่บานหน้าบานเดียวก็ตกประมาณ 7-8 พันบาทแล้ว ในขณะที่แบบที่ 2 ติดตั้งคันจะอยู่ที่ราคา 3000-5000 บาท จะเห็นว่าต่างกันหลายเท่าตัวทีเดียว

คราวนี้ก็มาถึงคำถามสุดท้าย คือ จะติดอะไรดี สำหรับคนที่มีเงินและลงทุนได้ ก็ควรจะติดระดับบน เพราะเย็นสบาย และ สว่างดีด้วย บางคนบรถคันละเป็นล้าน แต่ไม่ยอมลงทุนกับเรื่องของฟิลม์

แต่ถ้ามีเงินจำกัด ผมแนะนำให้ลงทุนกับบานหน้า เพราะบานหน้าเป็นกระจกที่มีความลาดเอียง ดังนั้นจะรับแสงเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากกันความร้อนจากบานหน้าได้ รถก็จะเย็นขึ้นมากแล้ว นอกจากนั้น บานหน้าเป็นบานที่เราต้องมองผ่านเวลาขับรถ ดังนั้นในตอนที่แสงน้อย เราต้องการความสว่างในการขับรถมาก การให้บานหน้าสว่างไว้ ย่อมจะปลอดภัยมากกว่า คือ อาจใช้ฟิลม์ระดับบนติดบานหน้า และ ระดับกลางติดรอบคัน
แต่ถ้าจะประหยัดอีกก็คงต้องใช้ระดับกลาง แต่ไม่แนะนำให้ใช้ระดับล่างครับ

สำหรับผมหลังจากที่ได้ศึกษายี่ห้อต่าง ๆ ผมเลือกติด V-Kool 70 ในบานหน้า และ Lamina APL50 ในบานที่เหลือ ซึ่งมีค่าเสียหาย 12,000 บาท ตอนแรกผมไม่ได้คิดไปถึง V-Kool หรอก เพียงแต่จะติด L75 Special ของ Lamina เท่านั้น คือ ขอบานหน้าสว่างหน่อยเป็นรุ่นพิเศษ ถือเป็นรุ่นรอง Top ของ Lamina ซึ่งแม้จะสู้ V-Kool ไม่ได้ แต่ก็ยังดี ซึ่งตอนแรกตกลงค่าเสียหายที่ 9000 บาท แต่ปรากฏว่า L75 มากว้างไม่พอกับกระจก Jazz ของผม เขาจึงถามว่าจะเอารุ่น J60 ของ V-Kool ไหม ได้ราคาเดิม แต่ผมอยากให้สว่าง ก็เลยเลือก V-Kool 70 ซึ่งต้องเพิ่มอีก 3500 แต่ขอต่อลดได้ 500 ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะติดได้ถูกกว่านี้หรือเปล่า เพราะไม่ค่อยได้ต่อเขาเท่าไร

ติดฟิลม์เนี่ย เสียเวลาเหมือนกันนะครับ ใช้เวลาไป 3 ชั่วโมง จริงๆ ประมาณชั่วโมงครึ่งบานอื่น ๆ ก็เสร็จเรียบร้อย จะช้าก็บานหน้า เพราะเขาต้องเป่าลมร้อนให้ฟิลม์โค้งตามรูปกระจกเสียก่อนจึงติดได้ และฟิลม์ก็หนา จึงต้องรีดน้ำกันนาน อ้อ ถ้าใครขับ Jazz ไปติดฟิลม์ ให้ระวังน้ำที่จะเปื้อนบนผ้าที่ประตูด้วย เพราะรถผมโชกเลยครับ ต้องเอาทิชชูซับ ถ้าทำได้หาพลาสติกมาปิดเอาไว้ก่อน จะได้ไม่เลอะเทอะครับ

ผลที่ได้ก็น่าพอใจครับ จอดตากแดดไว้ก็ยังไม่ร้อนเท่าไร รถ Sunny คันเก่าของผม ติดฟิลม์โบราณ เวลาตากแดดสักชั่วโมง เข้าไปนั่งแทบจะลวกเลยละครับ พวงมาลัยแทบจะจับไม่ได้ แต่สำหรับคันนี้ก็ร้อนบ้าง แต่ไม่มากนัก สรุปว่า ตัดสินใจได้ถูกครับ คุ้มค่าเงิน แต่รู้สึกว่าเข้มไปนิด อยากได้แบบสว่าง ๆ หน่อย แต่ก็กลัวจะร้อน




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2552 21:35:57 น.
Counter : 1862 Pageviews.  

รับรถ

ก่อนจะรับรถ ผมได้ทำรายการที่จะตรวจสอบรถยนต์ โดยค้นหาข้อมูลจากห้องรัชดา และ ที่อื่น ๆ จนได้เป็น List หนึ่งที่ใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการรับรถได้ ถ้าใครต้องการ List นี้ ก็หลังไมค์มาได้ ครับ

นอกจากนั้นผมยังได้เตรียมคำถามต่าง ๆ ซึ่งขอแนะนำให้จดไปเลย ไม่เช่นนั้น เมื่อถึงวันที่ไปรับรถจริง จะมีเรื่องต่าง ๆ เยอะแยะ จนอาจจะลืมไปก็ได้ สำหรับเรื่องที่ควรจะถาม โดยเรื่องที่ผมเตรียมไปถาม ได้แก่ เรื่องของทะเบียน ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร ซึ่งได้บอกกับเซลล์ว่าจะลองไปขอเลขทะเบียนดูก่อน เพื่อให้เขารอเรา จากนั้นก็ถามเรื่องการเช็คระยะว่าต้องเข้าเช็คที่กี่กิโลเมตร ซึ่งเซลล์ก็อธิบายให้ฟัง ว่าให้มาครั้งแรกที่ 10,000 กิโลเมตร เราก็สงสัยถามต่อว่าแล้วไม่ต้องรันอินหรือ ซึ่งเซลล์ก็ทำหน้างง ๆ เราก็พูดขึ้นว่า เขารันอินมาจากโรงงานแล้วใช่ไหม เซลล์ก็พยักหน้า

เรื่องของการรันอินนั้น ก่อนไปรับรถ ผมก็ได้อ่าน ๆ ไปบ้าง แต่ยังไม่ได้ค้นหาอย่างละเอียดเพราะมีหลายเรื่องที่กำลังหาข้อมูลอยู่ หลังจากที่ได้ไปรับรถมาแล้ว ก็ได้หาข้อมูลใหม่อีกครั้งอย่างละเอียด ก็พบว่าในสมัยก่อนนั้นจะมีการทำสิ่งที่เรียกว่ารันอิน คือ ให้ขับรถด้วยความเร็วรอบ และ ความเร็วรถไม่สูงมากนัก เพื่อให้เครื่องยนต์มีการปรับชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าหากัน พวกเศษเหล็กที่ไม่พอดีกัน ก็จะถูกขัดสีออกมาปนกับน้ำมันเครื่อง ดังนั้นในครั้งแรกจึงต้องถ่ายน้ำมันเครื่องเร็วหน่อย คือ ถ่ายที่ 1000 กิโลเมตร แต่มาในยุคหลัง เทคโนโลยีการผลิตดีขึ้น แต่การรันอินก็ยังต้องทำ แต่ในรูปแบบที่ต่างออกไป คือ ใน 1000 กิโลเมตรแรก ควรขับรถด้วยรอบไม่เกิน 3000 รอบ ความเร็วไม่ควรเกิน 120 หรือถ้าขับไม่เกิน 100 ได้ยิ่งดี ไม่ควรเร่งเครื่องเร็วแรง ๆ ไม่ไม่ควรเบรคแรง ๆ เมื่อเลย 1000 กิโลเมตรไปแล้ว ก็เริ่มแรงได้บ้าง แต่ให้ยั้ง ๆ เอาไว้บ้าง เมื่อเกิน 5000 กิโลเมตรไปแล้ว จึงค่อยอัดเต็มที่ และการถ่ายน้ำมันเครื่องครั้งแรก ก็ทำที่ 10,000 กิโลเมตรครับ ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากคู่มือของฮอนด้าเอง ประกอบกับคำถามคำตอบของผู้รู้ทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่ได้นับการนับถือว่าเป็นผู้รู้ในวงการ ที่ได้ตอบเอาไว้ในเว็บต่าง ๆ ดังนั้นถ้าคนที่ผ่านเข้ามาอ่านสงสัยเรื่องรันอิน ก็เอา Solution ของผมไปใช้ได้เลยครับ อ้อ แล้วที่เซลล์บอกว่ารันอินจากโรงงานนั้น ไม่จริงนะครับ อย่าไปเชื่อเด็ดขาด เพราะบางคนได้รับคำแนะนำมาว่ารันอินแล้ว อัดได้เลย

หลังจากนั้นก็มีการส่งมอบเอกสารต่าง ๆ ได้แก่คู่มือการซ่อมบำรุง คู่มือผู้ใช้รถ โดยจะมีกระเป๋าที่ทำมาสวยงามพอใช้ได้ แล้วก็มีสมุดทะเบียนป้ายแดง รายละเอียดของประกัน ซึ่งได้แต่กรมธรรม์ของประกันภัยบุคคลที่ 3 แล้วก็ให้ขอเลขรับแจ้งของประกันชั้น 1 หรือที่เรียกว่าเลขเคลมด้วย เผื่อว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นจะได้เอาเลขไปแจ้งได้ ไม่เช่นนั้นอาจยุ่งยากมากได้ สำหรับประกันชั้น 1 จะส่งมาทีหลัง สำหรับเอกสารเกี่ยวกับไฟแนนซ์ เขาจะส่งมาทีหลังภายใน 1 เดือน เสร็จจากเรื่องเอกสารก็ไปขั้นตอนการรับรถ

ในการรับรถนั้น ในขั้นตอนแรก เซลล์จะมาอธิบายการใช้งานต่าง ๆ ซึ่งควรจะตั้งใจฟัง และ พยายามจำเอาไว้ เพราะมีเยอะเหมือนกัน ถ้าสงสัยตรงไหนให้รีบถาม เพราะบางเรื่องก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร แต่ไม่ได้ถาม เพราะนึกว่าเดี๋ยวไปอ่านในคู่มือก็ได้ แต่ปรากฏว่าคู่มือในบางเรื่องก็เขียนไม่ดี อ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร พอเซลล์อธิบายเสร็จ เขาก็จะให้เราเซ็นรับ ซึ่งถ้ามีการเตรียมรายการตรวจสอบไป ก็ควรจะตรวจสอบทีละรายการ สำหรับผมเองระหว่างที่เซลล์อธิบายหัวข้อที่พอรู้อยู่แล้ว ก็แอบ ๆ สังเกตุตามจุดต่าง ๆ ไปบ้าง ก็เลยไม่ได้ไล่ทีละข้อจนหมด ประกอบกับถึงเที่ยงแล้ว เริ่มหิวข้าว ดูภาพรวม OK ก็เลยเซ็นไป สำหรับคนที่ยังได้รับของแถมไม่ครบ ให้เขียนบันทึกเอาไว้ด้วย ว่ายังขาดอะไรบ้าง แล้วก็ถามด้วยว่าของจะได้วันไหน

หลังจากที่ตรวจรายการต่าง ๆ ครบแล้วก็เข้ามาในห้องอีกที ซึ่งจะเป็นการจัดการกับเรื่องของการจ่ายเงินส่วนที่ไม่ได้กู้ ซึ่งให้ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ให้ครบ ใบเสร็จจะต้องมีให้ จากนั้นก็รับกุญแจ ถึงตอนนี้เซลล์ก็ถามว่าพี่ไม่ติดฟิลม์กับหนูหรือ คือ ในคราวที่ไปจองนั้น ได้มีการคุยกันเรื่องฟิลม์เหมือนกัน แต่ฟิลม์ที่ผมต้องการ ไม่มีในรายการของเซลล์ เนื่องจากรายการของเซลล์จะมีแต่ฟิลม์ที่แถม ซึ่งมักจะเป็นฟิลม์ถูก ๆ ก็เลยไม่เอา สำหรับฟิลม์นั้น ถ้าถามผม ผมว่าเอาไปติดเองดีกว่า เพราะมีให้เลือกได้มากกว่า ดูสี ดูอะไรได้ชัดเจนกว่าด้วย เพราะฟิลม์ที่เซลล์เอามาให้ดู มันแผ่นเล็กนิดเดียว มองอะไรแทบไม่เห็น

ในบทความต่อไปจะเอารถไปติดฟิลม์แล้วครับ ซึ่งก็มีเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2552 21:50:49 น.
Counter : 441 Pageviews.  

จองรถ

พอตกลงใจได้ว่าจะซื้อ Jazz สิ่งแรกที่ทำ คือ ไปโชว์รูมใกล้ ๆ บ้าน ค่อนข้างใกล้มาก เยื้อง ๆ ซอยบ้านเท่านั้น ไปแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ตอนนั้นบอกเซลล์ว่าสนใจ City กับ Jazz จะได้รู้สึกว่ายังไม่ได้ตัดสินใจ ก็ได้รับโบชัวร์ และ พาไปทดลองขับ ซึ่งการทดลองขับเนี่ย บอกตามตรงว่า มันไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเท่าไร เพราะความที่เราไม่เคยขับรถอื่นเลยนอกจาก Sunny แถมเวลาขับก็ต้องระวังมาก ด้วยความไม่คุ้นกับรถ โดยเฉพาะรถสมัยใหม่ เพราะ Sunny ของผม เวลาขับจะเห็นหน้ารถ ท้ายรถชัดเจน แต่สำหรับ Jazz แล้ว ไม่เห็นอะไรเลยครับ เลยไม่รู้ว่าหน้ารถหรือท้ายรถมันอยู่แถว ๆ ไหน

ความรู้สึกที่ได้ คือ รู้สึกว่าช่วงล่างแน่น แต่แข็งไปหน่อย เมื่อเทียบกับ Sunny ที่ช่วงล่างนิ่มกว่าพอสมควร และรู้สึกว่า เบรกจะไวมาก และ คันเร่งก็ไวมาก สำหรับพวงมาลัยก็เบาจริง ๆ สำหรับคนที่คุ้นกับรถสมัยก่อนที่พวงมาลัยหนัก จะรู้สึกว่าขับไปแบบแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ครับ

สำหรับ City ไม่ได้ขับ เพราะเซลล์บอกว่ารถไม่อยู่ เอาไปติดเบาะหนัง

กลับมาที่โชว์รูม เซลล์ก็ถามว่าต้องการของแถมอะไรบ้าง ผมก็บอกว่าไม่รู้ เพราะอย่างที่บอกว่าไม่ได้หาข้อมูลอะไรมาเลย กะว่าจะมาเดิน ๆ ดูก่อน เซลล์ก็จัดของแถมให้ มีเบาะหนัง ฟิลม์กรองแสง กรอบป้าย สปอยเลอร์หลัง ชายบันได กันสาดประตู ยางปูพื้น เซ็นเซอร์ถอย 2 จุด บัตรน้ำมัน 200 บาท ตอนแรกก็คิดว่าเขาแถมกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ ก็กลับมาบ้าน

คราวนี้หาข้อมูลกันใหญ่ โทรไปถาม อย่างแรก มีคนบอกว่าอย่าเอาเบาะหนัง เพราะมันร้อน และเวลานั่งมันจะลื่น จากนั้นไปไปค้นทางอินเตอร์เน็ตถึงได้เข้าใจว่าที่ว่าแถมเยอะ จริงๆ แล้วไม่เยอะเลย คราวนี้ก็ลองค้นหาข้อมูลดูว่าคนที่ซื้อ Jazz หรือ City เขาได้ของแถมอะไรกันบ้าง เราก็เอามาประมาณเป็นจำนวนเงิน โดยเทียบจากราคาของ Modulo ซึ่งจริงๆ แล้วของที่เขาแถมไม่ใช้ของ Modulo แต่เป็นของเลียนแบบ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทาง Honda เขาจะผลิตมาทำไม ในเมื่อไม่มีใครซื้อ ขนาดศูนย์ของตัวเองยังไม่ซื้อเลย พอสรุปเป็นจำนวนเงินได้เลยคราวนี้ก็โทรไปต่อรอง ก็บอกว่าไม่เอาเบาะหนัง กับ ฟิลม์ แต่ขอเปลี่ยนเป็นประกันชั้น 1 แทน

ในเรื่องของแถมนี้ หลังจากที่ตอนนี้ได้รถมาแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าเลือกของแถม เพราะคุณภาพมันจะไม่ดีเลยครับ ให้เลือกของที่ไม่มีของเลียนแบบ เช่น ประกันชั้น 1 จะดีกว่า ถึงตรงนี้ก็คิดถูกที่ไม่เอาเบาะหนัง เพราะไม่รู้ว่าจะได้ของคุณภาพแบบไหนมา หลังจากที่เราต่อรอง เซลล์ก็หายไปชั่วโมงนึง ก็โทรมาใหม่ บอกว่าตกลงเรื่องประกันชั้น 1 คราวนี้ก็เป็นการต่อรองกันว่าเป็นประกันของที่ไหน ซึ่งตอนแรกเขาบอกประกันบริษัทอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยได้ยินชื่อ เราก็บอกว่าเป็นของวิริยะได้ไหม เซลล์ก็บอกว่าของวิริยะแพง เราก็ถามว่าแพงกว่าเท่าไร เขาก็บอกไม่ทราบ เราก็บอกให้ไปถามมา เขาก็หายไปอีกพักหนึ่ง ก็โทรมาใหม่ บอกว่า “ถูกอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะพี่” คือ วิริยะเป็น บริษัทประกันชั้นนำ ชื่อเสียงดี เซลล์ก็นึกว่าจะแพงเหมือนกับพวกแอกซ่า แต่ปรากฏว่าราคาอยู่ที่สองหมื่นต้น ๆ เท่านั้น นี่เป็นบทเรียนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าอย่าไปเชื่อเซลล์มาก เซลล์ไม่ได้รู้ทุกอย่าง เซลล์บอกว่าเขามีงบให้แค่ 18,000 เราก็บอกว่าจะจ่ายส่วนที่เพิ่มให้เอง

สรุปของแถมที่ได้ คือ ประกันชั้น 1 วิริยะ (เพิ่มเงินประมาณ 2,000) คิ้วกันสาด พวงกุญแจ กรอบป้าย ผ้ายาง บัตรน้ำมัน 200 สปอยเลอร์หลัง เซ็นเซอร์ถอย 2 จุด และ กระบะด้านหลัง จริง ๆ แล้ว ผบ.ทบ. ยังไม่ค่อยพอใจเท่าไร จะต่อรองเซลล์อีก หรือไปหาที่ศูนย์อื่นๆ แต่เราคิดว่านี่ก็ได้พอประมาณแล้ว แม้จะไม่ได้มากที่สุดที่มีคนขอได้ แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย และคิดว่าเหลือไว้ให้เซลล์ได้กำไรบ้าง ก็เลยตกลงจองไป 10,000

สำหรับเรื่องต่อมาที่ต้องตัดสินใจ คือ “สี” เดิมคิดว่าจะเอาสีฟ้า ซึ่งสวยมากเลยครับ บอกตรง ๆ ว่าอยากขับมาก แต่ด้วยอายุอานามที่ปาเข้าไป 40 กว่าแล้ว และหน้าที่การงานที่อยู่ในระดับกลาง ๆ จะกล้าขับรถสีฟ้าเหรอ ก็ถามตัวเองอยู่นาน มันกึ่งกล้ากึ่งไม่กล้า บอกไม่ถูก ก็ยังตัดสินใจไม่ลง ระหว่างสีฟ้าซึ่งสวยมาก เป็นเป้าสายตา กับสีเงินที่เรียบ ๆ ไม่สะดุดตา จนเซลล์แนะนำว่ารถสีเงินจะขายต่อได้ราคากว่า ซี่งจริง ๆ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่มันก็ทำให้น้ำหนักข้างสีเงินมันเอียงลงมาได้อย่างประหลาด ก็เลยตกลงใจจองสีเงินไป ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือไม่ แต่ก็ ช่างมันเถอะ ซื้อมาแล้ว

คราวนี้ก็เป็นเรื่องของกำหนดรับรถ ตอนแรกก่อนจะจอง ทำเป็นพูดดีว่าจะเช็คที่อื่น ๆ ให้ถ้ามีรถก็ไม่นาน เราก็นึกว่าช่วงนี้ยอดขายน่าจะตก เพราะตอนไปจองก็ประมาณกลางเดือนมกราคม ซึ่งมีข่าวรถยนต์ขาดทุนกันมาก น่าจะได้รถไม่นาน แต่พอจองเสร็จเรียบร้อย บอกว่าปลายเดือนเมษายน โอ้ แม่เจ้า ต้องรอกัน 3 เดือนเลยเหรอเนี่ย ถ้าเป็นช่วงที่ออกใหม่ จะไม่แปลกใจเลย แต่ตอนนี้เศรษฐกิจแบบนี้เนี่ยนะ รอ 3 เดือน เล่นเอาอารมณ์ดาวน์กันไปเยอะเลยครับ

ก็กลับบ้าน ทำใจให้สบาย ค่อย ๆ คิดว่าได้รถมาแล้วจะทำอะไรบ้าง หาข้อมูลไปเรื่อย ๆ แต่พอวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา อยู่ ๆ เซลล์ก็โทรมา แล้วถามว่า “สะดวกรับรถวันไหน” ถามได้จู่โจมมากเลย ทำเอาตั้งตัวปรับสติกันแทบไม่ทัน อันที่จริงก็แอบหวังไว้เล็ก ๆ ว่าจะมีคนทิ้งจอง และ เซลล์จะให้เราพอดี แต่ก็ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือ มีคนทิ้งจอง เซลล์บอกว่าขอเวลา 3 วัน จัดการกับของแถมทั้งหลาย ก็ตกลงกันว่าจะไปรับรถวันที่ 7




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2552 8:41:02 น.
Counter : 406 Pageviews.  

เกริ่นนำ

เนื่องจากผมได้ซื้อรถยนต์มาใหม่ จึงคิดว่าน่าจะนำประสบการณ์มาบันทึกไว้
ไม่ใช่ว่าผมเห่อรถหรอกนะครับ มันก็เห่อบ้าง แต่ความต้องการอยากจะบันทึกสิ่งที่ได้ค้นคว้าและพบเห็นมามากกว่า

ผมมีแผนจะซื้อรถยนต์ตั้งแต่ปีที่แล้ว (2008) แต่ยังรอเวลาที่ปัจจัยพร้อม ตอนนี้ก็พร้อมแล้ว ผมมีรถยนต์อยู่แล้วคันหนึ่ง Nissan Sunny Super Saloon ปี 97 แต่ซื้อต่อเขามาอีกทีครับ ก่อนที่รถมาอยู่ที่ผมมันก็ช้ำไปบ้างแล้ว คาดว่าจะชนหนักไม่เบา ที่ซื้อเพราะราคาที่ขายตั้งไว้ค่อนข้างถูก

เมื่อมาอยู่กับผม มันก็ไม่ค่อยเกเรเท่าไร เพราะผมดูแลค่อนข้างดี เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เกียร์ พวงมาลัย เมื่อถึงคราวเปลี่ยนอะไหล่ ถ้ามีอะไหล่แท้ที่ไม่แพงมาก ผมก็จะเลือกอะไหล่แท้ แต่ถ้าชิ้นไหนแพงเกินไป ก็จะเลือกของเซียงกงครับ เดิมทีก็คิดว่าจะใช้กันนี้ไปอีกนาน ๆ เพราะชอบที่มันมีฟังก์ชันครบดี การขับขี่ก็ใช้ได้ นุ่มนวล การทรงตัวยามขับความเร็วสูง ก็นับว่าดี ผมใช้มา 7 ปี ก็มีอันจะต้องพรากจากกัน

สาเหตุที่จะเปลี่ยนรถใหม่ ก็เนื่องจากมันมีปัญหาเรื่องกลิ่น คือ มีกลิ่นไอเสียของรถเองเข้ามาในรถ ก็ได้พยายามแก้ไขจนดีขึ้นมากพอควร แต่ ผบ.ทบ. ที่บ้านยังไม่พอใจ จึงแก้ปัญหาด้วยการซื้อรถใหม่

รถที่จะซื้อ จะเน้นซื้อรถเล็ก เพราะอยู่กันแค่ 2 คนเท่านั้น สำหรับค่าย Nissan ก็ใช้มานานชักเบื่อ ศูนย์บริการก็ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร ผมใช้รถมา 7 ปี เข้าศูนย์แค่ 2 ครั้งเท่านั้น ที่เหลือก็เข้าอู่นอก ก็เลยมองผ่านนิสสันไป

ก็เหลือแค่ Honda กับ Toyota สำหรับ Toyota นั้นผมเกลียดหน้าปัทม์ที่อยู่ตรงกลางเลยไม่เลือกแน่ จึงมองมายัง Honda โดยมองไปที่ City กับ Jazz เพราะเน้นที่ความประหยัด ผมขับรถไม่ค่อยสนใจว่าคนอื่นจะมองยังไงเท่าไร อย่างซันนี่คันเก่า รถผมแทบจะเก่าที่สุดในที่ทำงานเลยมั้ง คนอื่นเขาเปลี่ยนรถกันแล้ว แต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะมันก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ (ยกเว้นเรื่องกลิ่น)

สุดท้ายก็มาลงที่ Jazz เพราะ ผบ. ทบ. ชอบเป็นส่วนตัว ผมเองก็เป็นบุคคลประเภท ตจม. ก็เลยมาลงที่ Jazz ที่เพิ่งจะออกรุ่นใหม่มาพอดี

ในเรื่องต่อ ๆ ไป จะเล่าประสบการณ์ที่พบจากการไปจองรถ และ ดำเนินการเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับรถ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ เพราะผมเป็นคนประเภท ทำอะไรสักอย่างจะหาข้อมูลเยอะมาก ก็เลยคิดว่าจะนำข้อมูลต่าง ๆ มาสรุป เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่เข้ามาอ่านบ้าง






 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2552 16:13:43 น.
Counter : 480 Pageviews.  

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.