| The War Memorial of Korea | | | ถึงแม้จะมีชื่อว่า เกาหลี เหมือนๆ กัน แต่ เกาหลีเหนือ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี) และ เกาหลีใต้ (สาธารณรัฐเกาหลี) กลับถูกแบ่งแยกออกจากกันด้วยความแตกต่างด้านแนวความคิดทางการเมือง โดยมีเส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือ หรือ เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งเขตแดนของทั้งสองประเทศ ซึ่งบริเวณเส้นขนานที่ 38 นี้ ถูกกั้นให้เป็นเขตกันชนระหว่างสองประเทศ ขนาดกว้าง 4 กิโลเมตร และยาว 248 กิโลเมตร ไปจนตลอดเส้นแบ่งเขตแดน โดยถือว่าเป็นเขตปลอดทหารเกาหลี หรือที่เรียกว่า DMZ (Demilitarized Zone) แต่นอกจาก DMZ จะเป็นเขตชายแดนและเขตปลอดทหารแล้ว ที่นี่ก็ยังถือเป็นเขตท่องเที่ยวพิเศษของเกาหลีใต้ โดยนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเยี่ยมชมจุดต่างๆ ได้ตามที่กำหนดไว้ แต่ต้องทำการซื้อทัวร์จากบริษัททัวร์ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลเกาหลีใต้แล้วเท่านั้น ไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขต DMZ ด้วยตัวเองได้ ส่วนพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับเกาหลีเหนือได้ใกล้ชิดมากที่สุด (ผ่านเขตแดนของเกาหลีใต้) เรียกว่า JSA (Joint Security Area) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเขต DMZ และอยู่ภายใต้การควบคุมของเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ สหประชาชาติ (UN) และชาติเป็นกลางอื่นๆ ถือเป็นพื้นที่ตรงกลางที่มีไว้เพื่อการเจรจา และจุดสำคัญที่สุดก็คือบริเวณ Panmunjeom (พันมุนจอม) |
| อนุสาวรีย์สงครามเกาหลี | | | นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมบริเวณ Panmunjeom ได้โดยผ่านบริษัททัวร์เช่นกัน แต่ในเขตนี้จะมีความเข้มงวดกว่ามาก โดยจะต้องมีการจองทัวร์ล่วงหน้า 48 ชั่วโมงขึ้นไป และอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเพียงไม่กี่ชาติเท่านั้นที่สามารถมาเที่ยวได้ นอกจากนี้ยังมีข้อปฏิบัติที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด อาทิ สามารถถ่ายรูปได้เฉพาะในบริเวณที่กำหนดเท่านั้น การจองทัวร์ Panmunjeom สามารถจองได้ทั้งจากเว็บไซต์ต่างๆ ของบริษัททัวร์ที่มีให้เลือกหลายบริษัท หรือจะจองผ่านที่พักในเกาหลีใต้ ที่ส่วนใหญ่จะมีแผ่นพับแนะนำทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว เมื่อถึงวันที่จะออกทัวร์ ส่วนใหญ่จะนัดให้มาขึ้นรถในจุดจอดสำคัญๆ ใจกลางกรุงโซล เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาทัวร์ลักษณะนี้จะเป็นชาวต่างชาติ ไกด์ทัวร์จึงจะบรรยายด้วยภาษาอังกฤษทั้งหมด (อาจมีภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาอื่นบ้าง ในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวชาตินั้นเยอะ) |
| ส่วนจัดแสดงธง และชุดนายทหารของไทย ที่เข้าร่วมสงครามเกาหลี | | | โปรแกรมทัวร์เริ่มต้นด้วยการอธิบายข้อควรปฏิบัติต่างๆ ระหว่างการทัวร์ การปูพื้นทำความเข้าใจในเรื่องเขตแดนระหว่างสองเกาหลี จากนั้นทัวร์จะพาแวะที่ The War Memorial of Korea ที่ตั้งอยู่ในกรุงโซล พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ภายนอกจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในสงครามเกาหลี และยังมีอนุสาวรีย์สงครามเกาหลี (The Korean War Monument) ที่สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี สงครามเกาหลี เพื่อเป็นที่ระลึกถึงความสูญเสียจากสงครามในครั้งนั้น ด้านในอาคาร แบ่งการจัดแสดงออกเป็นห้องต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ยุคสามอาณาจักรของเกาหลี ก่อนจะกลายมาเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้อย่างในทุกวันนี้ มีห้องจัดแสดงเกี่ยวกับสงครามเกาหลีโดยละเอียด ตั้งแต่ชนวนเหตุในการเกิดสงคราม เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างสงคราม ข้อมูลทหารและชาติต่างๆ ที่เข้าร่วมรบ โดยมีการจัดแสดงธง เครื่องแบบ และอาวุธของชาติต่างๆ ซึ่งก็มีการจัดแสดงในส่วนของประเทศไทยที่เข้าร่วมรบในสงครามเกาหลีครั้งนั้นด้วย |
| The Bridge of Freedom | | | หลังจากใช้เวลาในพิพิธภัณฑ์อยู่พักใหญ่ ก็ออกเดินทางสู่การทัวร์ Panmunjeom อย่างเต็มตัว โดยใช้เวลาจากกรุงโซลประมาณ 1 ชั่วโมง (ระยะทางประมาณ 40-50 กิโลเมตร) รถจะมาหยุดพักที่ Imjingak ที่อยู่ติดกับเขต DMZ ที่นี่สร้างขึ้นจากแนวคิดในการถูกแบ่งแยกดินแดน จึงมีสิ่งที่เป็นอนุสรณ์เพื่อการรำลึกอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น อนุสาวรีย์ รถถุง หรือเครื่องบินที่ใช้ในช่วงสงครามเกาหลี บริเวณ Imjingak จัดพื้นที่ให้กลายเป็นสวนสาธารณะกว้างขวาง มีร้านอาหาร ร้านขายของ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจด้วย แต่อีกจุดหนึ่งที่สำคัญก็คือ The Bridge of Freedom หรือ สะพานแห่งเสรีภาพ ทีมาของชื่อสะพานแห่งนี้มาจากช่วงหลังสงคราม ทหารที่ถูกจับเป็นเชลยประมาณ 13,000 คนได้ถูกปล่อยตัว เมื่อเดินทางมาถึงกลางสะพาน ได้ตะโกนกันออกมาว่า FREEDOM จึงได้ตั้งชื่อสะพานนี้ว่า The Bridge of Freedom ซึ่งถูกทำลายในช่วงสงครามเกาหลี แต่ได้รับการก่อสร้างขึ้นมาใหม่ |
| ซากรถไฟที่ถูกทำลายในช่วงสงครามเกาหลี | | | ออกจาก Imjingak แล้ว รถทัวร์ก็จะตรงมาที่เขต DMZ โดยต้องผ่านด่านตรวจเอกสาร บริเวณปากทางเข้าสู่ Camp Bonifas หรือค่ายทหารของยูเอ็น ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในเขต DMZ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ทหารจากยูเอ็นขึ้นมาตรวจเอกสารรายบุคคล พร้อมกับเจ้าหน้าที่จะแจกบัตรประจำตัวให้ ก่อนที่รถจะออกเดินทางผ่าน Unification Bridge (สะพานรวมชาติ) มายัง JSA Visitor Center เพื่อฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเขต JSA และ Panmunjeom รวมถึงการเซ็นต์เอกสารยินยอมจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จากนั้น เปลี่ยนมาขึ้นรถที่ทางยูเอ็นจัดเตรียมไว้ โดยไม่สามารถถือกระเป๋าติดตัวมาได้ สามารถพกติดตัวได้เฉพาะพาสปอร์ต กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ และกล้องถ่ายรูป ระหว่างทางที่จะเข้าสู่เขต Panmunjeom จะผ่านพื้นที่เขตปลอดทหาร และหมู่บ้าน Tae Sung Dong หรือ Freedom Village ที่ยังคงมีชาวเกาหลีอาศัยอยู่จริง โดยชาวบ้านในหมู่บ้านนี้มีข้อจำกัดในการเดินทางออกไปยังโลกภายนอกอยู่บ้าง และแม้ในช่วงที่ทำการเกษตรอยู่ในพื้นที่นี้ก็จะต้องมีทหารมาคอบควบคุม แต่ชาวบ้านที่นี่ก็จะได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลเกาหลีใต้ อาทิ สิทธิในการเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใดก็ได้ในเกาหลีใต้ สิทธิเรื่องภาษี เป็นต้น |
| บริเวณ Panmunjeom | | | สองข้างทางบนถนนสายนี้ ยังสามารถมองเห็นฝั่งเกาหลีเหนือได้อย่างชัดเจนเป็นช่วงๆ ด้วย ซึ่งก็ดูไม่ต่างจากฝั่งเกาหลีใต้มากนัก เนื่องจากยังอยู่ในเขต DMZ เช่นกัน ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่มีแต่ป่าเขา ไม่มีสิ่งก่อสร้างเหมือนในพื้นที่อื่นๆ มาถึงจุดสำคัญที่สุดของทัวร์นี้ นั่นคือ Panmunjeom พื้นที่เพื่อการเจรจาระหว่างสองเกาหลีที่ตั้งอยู่บนเส้นขนานที่ 38 พอดี รถของยูเอ็นจะจอดด้านหน้าตึก Freedom House ให้นักท่องเที่ยวตั้งแถวแล้วเดินเรียงหนึ่งเพื่อออกไปยังประตูทางออกอีกฝั่งหนึ่ง เบื้องหน้าตึก Freedom House คืออาคารสีฟ้าชั้นเดียว 3 อาคารที่ตั้งอยู่เรียงกัน โดยอาคารหลังกลางเป็นอาคาร Conference ที่ใช้เพื่อการเจรจา โดยบริเวณอาคารสีฟ้าฝั่งเกาหลีใต้ จะมีทหารเกาหลีใต้ยืนประจำการรักษาความปลอดภัยอยู่ กึ่งกลางของตัวอาคารจะเห็นเส้นเขตแดนที่ถูกแบ่งสองประเทศไว้อย่างชัดเจน ส่วนด้านหลังอาคารสีฟ้าคือตึก Panmun Hall ของฝั่งเกาหลีเหนือ ที่มีทหารเกาหลีเหนือยืนประจำการอยู่เช่นกัน |
| ภายในอาคาร Conference | | | ทหารจะเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปอาคารสีฟ้าและตึกของฝั่งเกาหลีเหนือ รวมถึงสามารถถ่ายภาพตัวเองเป็นที่ระลึกได้ แต่ต้องไม่ยืนแตกแถว ไม่พูดคุย หรือโบกไม้โบกมือใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะพาเดินเรียงแถวเข้าไปชมภายในอาคาร Conferrence ภายในอาคาร Conference มีโต๊ะเจรจาวางอยู่กึ่งกลางระหว่างสองประเทศ โดยมีไมโครโฟนเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ภายในห้องมีทหารเกาหลีใต้ยืนประจำการอยู่บริเวณโต๊ะเจรจาหนึ่งคน และบริเวณประตูทางออกฝั่งเกาหลีเหนือหนึ่งคน ซึ่งไกด์ทัวร์อธิบายว่า เจ้าหน้าที่ทหารภายในห้องนี้ มายืนรักษาการณ์เพื่อคอยป้องกันความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวหากเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น หากว่าเดินเข้ามาในห้อง Conference แล้วเดินผ่านโต๊ะเจรจาไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็ถือว่าได้เดินผ่านข้ามแดนมายังเกาหลีเหนืออย่างสมบูรณ์ แม้จะเป็นระยะทางเพียงเล็กน้อย และอยู่ในเขต DMZ ก็ตาม |
| ทหารเกาหลีใต้ยืนประจำการณ์บริเวณโต๊ะเจรจา | | | ใช้เวลาในห้อง Conference เพียงไม่ถึงสิบนาที ทหารจากยูเอ็นก็จะเรียกกลับขึ้นรถ จากนั้นรถจะพาวนมาชมอาคารสีฟ้าสามหลังอีกครั้ง ผ่านทางถนนด้านหน้าอาคาร และพาไปชมจุดสำคัญอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ Bridge of No Return เป็นสะพานที่ใช้เป็นจุดแลกเปลี่ยนตัวนักโทษระหว่างกัน โดยภายหลังจากทำสัญญาหยุดยิง และเกาหลีถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศแล้ว สะพานแห่งนี้เป็นจุดที่ให้ประชาชนเลือกว่าจะข้ามไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งหรือไม่ ซึ่งหากว่าข้ามไปแล้วจะไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกเลย นอกจากเกาหลีใต้จะมีที่ท่องเที่ยวสวยๆ งามๆ มีร้านค้าให้ชอปปิ้งมากมาย มีอาหารอร่อยๆ ให้ลิ้มลอง แล้วก็ยังมี Panmunjeom และสถานที่ท่องเที่ยวในเขต DMZ ที่ทำให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ของเกาหลีนั้น คนในชาติถูกแบ่งแยกออกจากกันเพียงเพราะความคิดเห็นอยู่กันคนละด้าน เป็นประวัติศาสตร์บนคราบน้ำตา ที่ไม่อาจมีใครลืมได้ |
| Bridge of No Return | | | * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * สำหรับทัวร์ในเขต DMZ สามารถจองทัวร์กับบริษัททัวร์ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลเกาหลีใต้ โดยสามารถจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป ส่วนทัวร์ในเขต Panmunjeom นั้น ต้องซื้อทัวร์กับบริษัททัวร์ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลเกาหลีใต้ โดยต้องจองล่วงหน้า 48 ชั่วโมงขึ้นไป และมีเฉพาะบางวัน โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้ - ต้องพกพาสปอร์ตติดตัวตลอดเวลา - เมื่อถึงบริเวณ Panmunjeom ไม่สามารถถือกระเป๋าติดตัวลงไปชมได้ สามารถพกติดตัวได้เฉพาะพาสปอร์ต กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ และกล้องถ่ายรูป - แต่งกายสุภาพ ไม่สวมรองเท้าแตะ ไม่ใส่กางเกงยีนส์ขาด ชุดกีฬา กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น เสื้อแขนกุด หรือชุดแนวทหาร - สามารถถ่ายรูปได้เฉพาะในพื้นที่ที่อนุญาตเท่านั้น - ไม่จับมือ พูดคุย กับทหารเกาหลีเหนือ - สามารถยกเลิกทัวร์ได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า หากเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ |
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * |