Chubu Trip Day 1 (6-12-2015) ชมวัด ไหว้ศาลเจ้า
พอทุกอย่างพร้อมก็ได้เวลาออกเดินทางแล้ว จากสนามบินเข้าเมือง Nagoya ถ้าจะขึ้นรถไฟต้องอาศัยรถไฟฟ้า Meitetsu อย่างเดียวครับ ก็ลากกระเป๋าออกมา ผ่านจุด Custom ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วเดินตามป้าย Train ได้เลยครับ ตามป้าย Train ได้เลย เดินได้ไม่นาน ถ้าเจอสถานี Meitetsu Line แสดงว่ามาถูกทางแล้ว ไม่หลงแล้ว ค่าเดินทางจากสนามบินไปถึง JR Nagoya ราคา 870 เยนครับ แต่ขึ้นได้เฉพาะรถขบวน Semi-Express กับ Express เท่านั้นนะครับ ถ้าเผลอไปขึ้น Limited Express หรือ uSky ล่ะก็ เสียตังเพิ่มนะเออ ดูเวลารถไฟได้ที่ //www.meitetsu.co.jp/eng/timetable/centrair.asp ครับ ซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติเสร็จก็เดินเข้าไปได้เลย ชานชาลาจะอยู่ใกล้ๆกันนี่แหละ ของผมรอไม่กี่นาทีรถไฟก็มาครับ รถแดงแรงฤทธิ์ เช้าๆไม่ค่อยมีคนขึ้น โล่งเชียว ผมใช้บริการ Semi-Express ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงสถานี JR Nagoya แล้วครับ คืนนี้ผมนอนที่ Toyoko-inn Nagoya-eki Sakuradori-guchi ห่างจากสถานี JR Nagoya ไม่กี่ร้อยเมตรเลยเดินเอาข้าวของไปฝากไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาตั้งต้นที่ JR Nagoya ในสภาพตัวเบาดีกว่า กลับมาที่ JR Nagoya โชคดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ครับ เพราะฉะนั้นการเดินทางในเมืองสามารถใช้ตั๋ว Donichi Eco Kippu ที่ใช้เดินทางได้ทั้งวันในราคาถูกกว่า One-Day Pass ปกติครับ อย่างแรกก็หาป้าย Station Masters Office ก่อนเลย ไม่แน่ใจว่าซื้อที่อื่นได้รึเปล่านะ แต่ผมซื้อจากที่นี่แหละ Station Masters Office ใบนี้แหละ ตั๋วพร้อมแล้วก็ต่อกันเลยครับ ที่แรกที่จะไปของวันนี้ ผมวางแผนไว้ว่าจะไปไหว้พระที่วัด Osu Kannon ก่อน จาก JR Nagoya นั่งรถใต้ดินสาย Higashiyama ไปลงที่สถานี Fushimi แล้วนั่งสาย Tsurumai ไปลงสถานี Osukannon ออกทางออก 2 ก็ถึงครับ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งครับ สร้างมาตั้งแต่สมัยคะมะคุระนั่นเลย แต่ที่เห็นตอนนี้ เป็นการบูรณะขึ้นมาใหม่ตอนปี 1970 ครับ พื่นที่วัดอาจจะดูไม่ใหญ่มาก แต่ก็ดูโล่งๆ โปร่งๆ สบายดี รวมไปถึงนกพิราบที่เยอะมาก เรียกว่าบินพร้อมกันนี่เป็นร้อยตัวได้เลย วัด Osu Kannon The pigeons are all around ระหว่างที่ถ่ายรูปอยู่ ก็ได้ยินภาษาไทยเป็นระยะๆ พอมองไปเจอครอบครัวคนไทย พ่อแม่ลูกสาว มาเที่ยวกัน ก็ดูน่ารักดีครับ ไหว้พระกัน ด้านข้างๆวัดมีถนนคนเดินอยู่ด้วยนะ จะลองเดินเล่นหาขนมกินเล่นได้ครับ แต่ผมไม่ได้ซื้ออะไรหรอก ไปดูเฉยๆ เซฟเงินไว้ก่อน จับกระเป๋าตังให้แน่นๆเข้าไว้ พอเสร็จจากวัด Osu Kannon แล้ว ที่ต่อไปที่จะไปก็คือ ศาลเจ้า Atsuta Jingu ครับ (ความจริงเรียกศาลเจ้า Atsuta ก็พอ Jingu แปลว่าศาลเจ้าอยู่แล้ว) จากที่นี่ เดินกลับไปที่สถานี Osukannon นั่งรถสาย Tsurumai ไปลงสถานี Kamimaezu แล้วเปลี่ยนขึ้นสาย Meijo ไปลงสถานี Jingunishi พอผมออกจากสถานีขึ้นมาบนดินก็งงเลย ทางเข้ามันอยู่ตรงไหนกันหว่า เลยเดินเลียบกำแพงไปเรื่อยๆ ยังไงก็น่าจะเจอทางเข้า เดินได้ไม่นานก็เห็นเหมือนมีทางเข้าอยู่ทางซ้าย เลยเดินตรงเข้าไป แต่มีคนญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้ๆเข้ามาทำมือกากบาท น่าจะหมายถึงเข้าไม่ได้นะ เกือบหน้าแตกแล้วสิ ก็เลยต้องเดินต่อครับ แต่ไม่ไกลก็เจอทางเข้าจริงๆซะที เห็นเสาโทริอิต้นเบ้อเริ่มแบบนี้ ไม่ผิดแน่นอน ทางเข้า Atsuta Jingu ตามประวัติ ศาลเจ้านี้มีอายุถึง 1900 ปีแน่ะ เก่าจริงๆ ถึงจะที่เห็นน่าจะเป็นของที่บูรณะขึ้นมาใหม่แล้วก็เถอะนะ เดินเข้ามาก็เจอคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ เริ่มหน้าหนาวแบบนี้ ต้นสนที่นี่เลยถูกจับใส่เสื้อแล้วครับ แต่จริงๆไม่ได้ไว้กันหนาวให้ต้นไม้หรอก ให้เป็นที่อาศัยของแมลงศัตรูพืชในช่วงหน้าหนาวนี่แหละ พออากาศอบอุ่นขึ้นก็เอาฟางนี้ไปเผาพร้อมกับแมลงเลย เป็นการกำจัดศัตรูพืชแบบภูมิปัญญาชาวบ้านแต๊ๆ เท่าที่ดู มีลูกเด็กเล็กแดง สาวๆ รวมถึงที่ไม่สาวแล้ว ใส่กิโมโนมากันไม่น้อยเลย ต้นสนใส่เสื้อหนาว ไหว้ศาลเจ้าเสริมศิริมงคล ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ นอกจากเป็นศาสนสถานแล้ว ยังเป็นที่เก็บดาบ Kusanagi no Tsurugi ที่เป็นหนึ่งในสามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นด้วยนะ พลาดไม่ได้ที่จะต้องไปชมอยู่แล้ว เลยมองหาส่วนของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งไม่นานก็เจอครับ เดินเข้าไปก็เจอดาบ Kusanagi วางเด่นเป็นสง่าเลย ซึ่งแน่นอนครับ เป็นของจำลอง ส่วนของจริงน่ะเหรอ หายสาบสูญไปในสงคราม Dan no Ura เมื่อปี 1185 แล้วล่ะ น่าเสียดายเนอะ Kusanagi no Tsurugi ออกจากศาลเจ้าก็เกือบๆบ่ายโมงแล้ว ผมกับแฟนอาศัยของกินจากร้านสะดวกซื้อเป็นอาหารกลางวัน พอพูดถึงมื้อเย็น แฟนผมเสนอว่าอยากลองกินข้าวหน้าปลาไหลที่นี่ดู เห็นว่าขึ้นชื่อ ผมแอบสะดุดนิดนึงตรงเรื่องราคานี่แหละ สุดท้ายแฟนผมลองบอกว่าค่อยคิดอีกที แต่ดูเหมือนจะตัดใจไม่ลงแฮะ
Create Date : 22 มกราคม 2559 |
Last Update : 22 มกราคม 2559 1:05:55 น. |
|
0 comments
|
Counter : 797 Pageviews. |
|
|