ปีกธรรมพระอริยเจ้า... หลวงพ่อธี วิจิตฺตธมฺโม เขียนพระมหายาจินต์ ธมฺมธโร ป.ธ.๙,สส.ม. แปลจันทรวารสิริสวัสดิ์-โสมนัสปรีดิ์เขษม ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ ค่ะ๖. สมาธิสัมโพชฌังคะ ซึ่งมาจากคำว่าสมาธิ - ความตั้งมั่นสัมโพชฌังคะ - การบรรลุมรรคผลอังคะ - เตรื่องมือ หมายถึง สมาธิ อันเป็นเครื่องมือแห่งการบรรลุมรรคผลคำว่า "สมาธิ" มี ๒ ประเภท คือ โลกิยสมาธิและโลกุตรสมาธิโลกิยสมาธินี้ มี ๓ ระดับ คือ บริกรรมสมาธิ อุคคหสมาธิ และอัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิที่อาฬารดาบสและอุทกดาบสเคยประพฤติมาก่อน ซึ่งเป็นการฝึกจิตให้จดจ่ออยู่ในอารมณ์เดียวจนจิตตั้งมั่น เกิดเป็นฌานขึ้นมาโลกิยะสมาธินี้ เป็นสมาธิที่เปลี่ยนแปลงได้ ไม่มั่นคง และไม่ทำให้พ้นจากวัฏสงสาร ส่วนสมาธิในโพชฌงค์เป็นสมาธิที่ประกอบร่วมกับสัมมาสังกัปปะ เรียกว่า เป็นสมาธิของอาจาระมรรคอริยะ (ผู้เตรียมจะเป็นพระอริยเจ้า) เป็นจอมพลแห่งสมาธิทั้งหลายดังพุทธพจน์ที่ว่า "ยัมพุทธเสฏโฐ ปริวัณณยี สุจิง" ซึ่งหมายถึงสมาธิที่ประกอบร่วมกับอนาคามิผล อรหัตมรรค และอรหัตผล และเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญยิ่ง๗. อุเปกขาสัมโพชฌังคะ มาจากคำว่า อุเปกขา - วางเฉยสัมโพชฌะ - การบรรลุมรรคผลอังคะ - เครื่องมือเมื่อรวมกันจึงหมายถึง ความวางเฉยเป็นเครื่องมือแห่งการบรรลุมรรคผล อุเบกขาอันเป็นเครื่องมือของพระอริยเจ้านี้มี ๓ ประเภท๑. อุเบกขาทุกขเวทนา ความวางเฉยในความทุกข์๒. อุเบกขาสุขเวทนา ความวางเฉยในความสุข๓. อุเบกขาเวทนา ความวางเฉยในอารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์คำว่า "ทุกข์" นี้ เป็นโทสเจตสิก เรียกว่า "ใจโทสะ" อัตตาเป็นเหตุแห่งโทสะ โทสะเป็นเหตุแห่งทุกข์ หากว่าทุกข์หรือทุกขเวทนาเกิดขึ้นมาเวลาใด จงพิจารณาว่าเป็นอนัตตา วางเหตุเสียในทันที ณ เวลานั้นคำว่า "สุข" นี้เป็นโสมนัสที่ประกอบด้วยโลภะ สุขนี้มีโลภะเป็นเหตุ เมื่อสุขหรือสุขเวทนาเกิดขึ้นมาเวลาใด จงพิจารณาว่าเป็นอนัตตา วางเหตุเสียในทันที ณ เวลานั้นคำว่า "อุเบกขา" หมายถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสุขก็มิใช่ เป็นทุกข์ก็มิใช่ หรือเรียกว่าอารมณ์เฉย หากว่าอุเบกขาเวทนานี้เกิดขึ้นมา ณ เวลาใด จงพิจารณาว่าเป็นอนัตตา วางเหตุเสียในทันที ในเวลานั้นอนึ่ง คำว่า "อุเบกขา" ความวางเฉย หรือความว่างนี้ มีหลายประเภท กล่าวคือ๑. การที่สังขารคือการปรุงแต่ง "อนิจจัง" คือการเกิดดับ "ทุกขัง" คือความแปรปรวนเป็นทุกข์ เข้าถึงจุดเงียบเฉย ว่าง สงบเย็นอยู่ และปัญญาก็รู้ถึงสภาวะอนัตตาที่เป็นปรมัตถ์อยู่อย่างนี้ เรียกว่า "สังขารเปกขาญาณ" เป็นอุเบกขาของรองพระอริยเจ้า คือผู้กำลังเจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่๒. อุเบกขาของพระอริยเจ้าผู้กำลังเจริญมรรคขั้นสูงต่อไป๓. อุเบกขาของพระอริยเจ้าผู้เสวยผล คือผู้เข้าผลสมาบัติอยู่ อุเบกขาชนิดนี้เรียกว่า "ผลสมาบัติ" และมีลักษณะ ๔ ประการ...๓.๑ มีอยู่ (มีสภาวะปรมัตถ์อยู่)...๓.๒ รู้อยู่ (รู้สภาวะปรมัตถ์อยู่)...๓.๓ เห็นอยู่ (เห็นสภาวะปรมัตถ์อยู่)...๓.๔ เงียบสงบอยู่ (รูป จิต และเจตสิก เป็นอสังขตะ คือไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เงียบเฉยอยู่)อุเบกขาที่มีลักษณะ ๔ ประการดังกล่าวนี้ เป็นการเสวยผล หรือการเข้าผลสมาบัติของพระอริยเจ้าประเภทปกติสามัญ คำว่า "ผลสมาบัติ" ประกอบด้วย ศัพท์ ๓ คำ ได้แก่ผล - ใจผลทั้ง ๔ ประการสมะ - สงบเย็นอาปัตติ - บรรลุถึงเมื่อรวมกันจึงได้ความว่า "เข้าถึงใจผลทั้ง ๔ ที่สงบเย็นอยู่" ส่วนผลสมาบัติประเภทพิเศษเรียกว่า "นิโรธสมาบัติ" ซึ่งมีลักษณะ ๕ ประการ ดังนี้๑. ดับลมหายใจ๒. ดับวิญญาณ๓. ดับเจตสิกและสัมผัสต่างๆ๔. ดับจิตสังขาร การนึกคิดปรุงแต่ง๕. ดับทุกขเวทนา สุขเวทนา และอุเบกขาเวทนาเพราะฉะนั้น "นิโรธสมาบัติ" นี้ หมายถึงการที่ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมดเงียบสงบเย็นอยู่ ผู้สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้นั้น มีพระอัครสาวกและพระมหาสาวกบางองค์เท่านั้น การเข้านิโรธสมาบัติแต่ละครั้ง สามารถเข้าได้นานที่สุดไม่เกิน ๗ วันกราบนมัสการมาด้วยความเคารพ จันทรวารสิริสวัสดิ์-โสมนัสสวัสดิ์ปรีดิ์ที่มาอ่านอุดมมงคลนี้ค่ะ Create Date :12 ตุลาคม 2552 Last Update :12 ตุลาคม 2552 0:01:19 น. Counter : Pageviews. Comments :0 twitter google