bloggang.com mainmenu search









นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ (25 เมษายน พ.ศ. 2489 - ) องคมนตรี อดีตประธานศาลฎีกา และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตผู้พิพากษาอาวุโส

นายชาญชัย เป็นผู้มีบทบาทในการแก้ไขวิกฤตการเมือง อันเนื่องจากการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 และกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง ชุดที่ 2 ที่มีพลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภเป็นประธาน ก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร หลังจากที่เกษียณอายุราชแล้วได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลแพ่งธนบุรี แต่ทำงานได้เพียง 2 วัน จึงได้ลาออกจากตำแหน่ง

ภายหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 เคยถูกทาบทามจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ในที่สุดทาง คปค. ได้ตัดสินใจเลือกเลือกพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีแทน ต่อมาจึงถูกเลือกให้เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์

ภายหลังจากที่พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ชาญชัยยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกา เพื่อขอกลับรับราชการเป็นผู้พิพากษาอาวุโส ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรีเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน และยังเป็น 1 ใน 3 องคมนตรีที่ถูกตั้งเป้าลอบสังหาร แต่เจ้าตัวออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน


ประวัติ

ชาญชัย ลิขิตจิตถะ เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2489 จบการศึกษามัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดทรงธรรม จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2512 จบเนติบัณฑิตไทย พ.ศ. 2514

เมื่อสำเร็จการศึกษาได้เข้ารับราชการตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา ผู้พิพากษาประจำกระทรวง ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงราย หัวหน้าศาลแขวงนครสวรรค์ หัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรี หัวหน้าศาลประจำกระทรวง หัวหน้าศาลจังหวัดกระบี่ หัวหน้าศาลจังหวัดเพชรบุรี

ผู้พิพากษาศาลแพ่ง หัวหน้าคณะในศาลแพ่ง ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษา หัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 3 รองอธิบดีศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ผู้พิพากษาศาลฎีกา หัวหน้าแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอุทธรณ์ หัวหน้าคณะในศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 รองประธานศาลฎีกา เป็นประธานศาลฎีกาในปี 2548 ต่อจากนายศุภชัย ภู่งาม เกษียณอายุราชการในปี 2549 และได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์

เมื่อวันที่ 25 เมษายน เวลา 17.42 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่

พร้อมทั้งรับสั่ง เปิดสภาไม่ครบ 500-ขอนายกฯ พระราชทานทำให้ประชาธิปไตยมั่ว การเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวไม่ใช่ประชาธิปไตย ให้ศาลปกครองไปพิจารณาเลือกตั้ง 2 เมษา โมฆะหรือไม่ ทรงย้ำกษัตริย์ไม่เคยทำตามใจชอบ

ต่อมาได้ปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกับคณะตุลาการทั้ง 3 ฝ่ายประชุมปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาการเมือง เมื่อวันที่ 28 เมษายน

จากการแลกเปลี่ยนความเห็นข้อกฎหมายในหลายประเด็นแล้ว ทั้ง 3 ศาล มีความเห็นพ้องกันใน 3 ประเด็นว่า

1. แต่ละศาลจะเร่งรัดพิจารณาพิพากษาคดี และดำเนินการในส่วนที่อยู่อำนาจหน้าที่ของแต่ละศาล ให้รวดเร็วทันต่อของความเร่งด่วนในแต่ปัญหาที่เกิดขึ้น

2. การพิจารณา คดีความแต่ละศาล จะต้องใช้และตีความตัวบทกฎหมายเดียวกันนั้นต้องระมัดระวัง ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งนี้เพื่อป้องกันความขัดแย้งและสับสนของประชาชน

3. ในการดำเนินการของแต่ละศาลนั้น ยังต้องยึดถือหลักความเป็นอิสระของศาล ตามเขตอำนาจแต่ละศาลให้ดำเนินไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ด้วยความสุจริตและยุติธรรม โดยทั้ง 3 ประเด็นนี้เป็นข้อยุติที่ประธานทั้งสามศาลเห็นพ้องต้องกันอย่างไม่มีข้อแม้

ต่อมาคำวินิจฉัยทั้ง 3 ศาลมีคำสั่งให้ระงับการเลือก ตั้ง สส.ใน จ.ชุมพร,ตรัง,นครศรีธรรมราช,ปัตตานี,พังงา,พัทลุง,ภูเก็ต,สงขลา และสุราษฎร์ธานี รวม 9 จังหวัด 14 เขต ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29เมษายน 2549 นี้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น

หลังจากที่เกษียณอายุราชการแล้วได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลแพ่งธนบุรี แต่ทำงานเพียง 2 วัน ก็ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง

ราชการพิเศษ
พ.ศ. 2548

ประธานกรรมการพัฒนาระบบการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลสูง
ประธานอนุกรรมการกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม
ประธานกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
ประธานกรรมการบริหารศาลยุติธรรม
ประธานกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
กรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
พ.ศ. 2547

อนุกรรมการบริหารศาลยุติธรรมเพื่อศึกษาวางแนวทางการใช้ดุลพินิจและเหตุผลในการลงโทษผู้กระทำผิดทางอาญา
พ.ศ. 2546

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับหลักสูตรและแผนการพัฒนาข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม

เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ภายหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ทางคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเคยทาบทามให้ชายชัย ลิขิตจิตถะเป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ในที่สุดทางคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ตัดสินใจเลือกเลือกพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทน ชาญชัยจึงถูกเลือกให้มาเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

ในการโฟนอินของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2552 ได้กล่าวหาชาญชัยว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังวางแผนการรัฐประหาร 19 กันยายนที่บ้านของนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา

ต่อมา ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวระหว่างการปราศรัยกับกลุ่มคนเสื้อแดง ผ่านระบบวิดีโอลิงก์ว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้เล่าให้ตนฟังว่า

เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี, นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี), นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด, นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ปัจจุบันเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ), นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ ผู้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

อ้างว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ วางแผนที่จะใช้ ปฏิญญาฟินแลนด์ และนายปีย์ ร่วมปรึกษาหารือกัน ที่บ้านพักของนายปีย์ ถนนสุขุมวิท ในอันที่จะวางแผนจัดตั้งขบวนการขับไล่ตน โดยเฉพาะการลอบสังหารตน และวางแผนสำรอง หากดำเนินการไม่สำเร็จ ซึ่งก็คือการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 แต่ทั้งพลเอก สุรยุทธ์ และนายปีย์ ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว

การดำรงตำแหน่งรมว.ยุติธรรม

ชาญชัย ลิขิตจิตถะ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2549 และได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พร้อมทั้ง นางเพ็ญศรี ลิขิตจิตถะ ภรรยา ในวันที่ 9 ตุลาคม มีทรัพย์สินมากกว่า (น้อยกว่า) หนี้สิน 4,385,488.76 บาท ส่วนของนางเพ็ญศรีมีทรัพย์สิน 3,977,758.27 บาท

ชาญชัยเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ได้มอบนโยบายว่า งานอันดับแรกที่จะเข้ามาสานต่อนโยบายเดิม คือ การเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด ที่ผ่านมาเคยเป็นนโยบายที่เข้มงวดการกวาดล้างอย่างหนัก แต่ในระยะหลังเบาบางลงไป เพื่อปราบปรามยาเสพติดให้หมดไป รวมถึงการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดให้กลับตัวเป็นคนดีในสังคม

ตามด้วยมาตรการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชน ในทุกภูมิภาค สำหรับปัญหาการอำนวยความยุติธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลทุกชุดพยายามแก้ไข เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข บทบาทของกระทรวงยุติธรรมต้องทำให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมอย่างเสมอภาค

ในกรณีที่ประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ จะเข้าไปจัดการให้เกิดความยุติธรรม ผู้ต้องหาคนใดไม่มีทนายจะจัดหาทนายความให้ ในส่วนของประชาชนที่ให้ข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์ จะได้รับการคุ้มครองดูแลให้ปลอดภัย และชาญชัยยังได้เน้นย้ำในการดำเนินงานกองทุนยุติธรรม เพื่อความยุติธรรมโดยเสมอภาค

วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2550 ชาญชัยได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ จัดชุดปฏิบัติการ เข้าร่วมสอบสวนคลี่คลายคดีลอบวางระเบิดตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี โดยให้เข้าไปทำงานสนับสนุนตำรวจและหาข้อเท็จจริง ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์วางระเบิดกรุงเทพมหานครและนนทบุรีในวันส่งท้ายปีเก่า (31 ธันวาคม 2549)

ชาญชัยลงนามในคำสั่งย้าย พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในขณะนั้น ไปช่วยราชการที่กระทรวงยุติธรรม และแต่งตั้งให้นายสุนัย มโนมัยอุดม ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ในขณะนั้นมาดำรงตำแหน่งแทน

ชาญชัยให้เหตุผลว่า เขาไม่ต้องการให้ดีเอสไอเป็นกรมตำรวจย่อยๆ อีกกรมหนึ่ง เขาต้องการให้ดีเอสไอ เป็นหน่วยสอบสวนพิเศษเหมือนเอฟบีไอ ของสหรัฐ โดยต้องการให้เป็นหน่วยงานที่คานกับตำรวจ ไม่ใช่เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งคนที่ยืมตัวมาจาก สตช.ก็อยากคืนกลับไป

วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2550 ได้ลงนามคำสั่งโยกย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่งข้าราชการกระทรวงยุติธรรม ระดับ 9 จำนวน 2 ตำแหน่ง โดยให้ปรับเปลี่ยน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นรองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และให้ นายภิญโญ ทองชัย รองเลขาฯ ป.ป.ส.มาเป็นรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแทน โดยมีผลในวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2550

สำหรับสาเหตุที่ต้องย้าย พล.ต.อ.สมบัติ ก็เพื่อให้การสอบสวนคดีอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม มีความคืบหน้า และเพื่อไม่ให้ดีเอสไอตกเป็นจำเลยของสังคมต่อไป

ชาญชัยออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้า ในการสอบสวนคดีการหายตัวของ นายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าจนถึงขณะนี้ยังหาพยานหลักฐานไม่ได้ว่า หลังจากนายสมชายถูกคนร้ายนำตัวขึ้นรถและขับออกจากย่านรามคำแหงแล้ว นายสมชายอยู่กับคนร้ายตลอดเวลาหรือไม่

แต่หลักฐานจากพยานแวดล้อมระบุว่า นายสมชายน่าจะเสียชีวิตแล้ว โดยจุดต้องสงสัยแห่งสุดท้าย ที่พบตัวนายสมชายคือพื้นที่ จ.ราชบุรี ซึ่งดีเอสไอ เตรียมที่จะนำกำลังลงพื้นที่ เพื่อค้นหาชิ้นส่วนศพของนายสมชาย ซึ่งอาจจะยังหลงเหลืออยู่

วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2550 นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ เสนอรายงานการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นให้คณะรัฐมนตรีทราบ โดยมีรายงานผลการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น จาก 15 กระทรวง ซึ่งยังมีส่วนราชการที่ยังไม่รายงานผลการดำเนินงานคือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ นายชาญชัย ยังแจ้งให้รัฐมนตรีที่ดูแลหน่วยงานในสังกัดว่า ให้ทุกส่วนราชการ ส่งแบบรายงานผลการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นให้กระทรวงยุติธรรมรับทราบ ตามเวลาดังนี้ ครั้งที่ 1 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน ให้รายงานผลก่อนวันที่ 15 กรกฎาคม ของทุกปี ครั้งที่ 2 ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม ให้รายงานผลก่อนวันที่ 15 มกราคม ของทุกปีด้วย

นายชาญชัยยังแจ้งถึงปัญหาในระดับโครงสร้าง ที่ทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่น ยังมีอยู่ คือ 1.เด็กและเยาวชนไม่ตระหนักถึงความสำคัญเนื่องจากกระแสโลกาภิวัฒน์ไหลบ่าเข้าสู่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง เกิดค่านิยมเชิงลบที่แปลกแยกจากวิถีเดิม 2.ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งร้องเรียน และไม่กล้าร้องเรียน เพราะกลัวอันตราย จะต้องเร่งสร้างการมีส่วนร่วมที่เข้มแข็งของภาคประชาชนทุกระดับ

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ได้สั่งการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) รวบรวมคำกล่าวมอบนโยบายในการปราบปรามยาเสพติดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อนำมาประกอบสำนวนการสอบสวนในคดีฆ่าตัดตอน

โดยหากพบว่าการมอบนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งผลให้มีการจัดชุดเฉพาะกิจออกปฏิบัติการฆ่าตัดตอนเพื่อลดเป้าบัญชีดำ ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะตั้งข้อหาดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ฐานเป็นผู้สนับสนุน โฆษณา หรือจูงใจ ปลุกเร้าให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ความรุนแรงนอกกฎหมาย ฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด

วันที่ 23 มีนาคม 2550 ชาญชัยสั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เตรียมนำคดีบริษัทกุหลาบแก้ว จำกัด เป็นนอมินีเสนอให้คณะกรรมการฯพิจารณาเพื่อลงมติว่าจะรับโอนเป็นคดีพิเศษ และนำเสนอแนวคิดเพื่อสังคมถูกนำเสนอออกมารายวัน เช่น เสนอกฎหมายเฉพาะสำหรับการบริหารจัดการเรื่องการดื่มสุรา การเก็บภาษีเหล้า เบียร์ และเสนอแนวทางแก้ไข พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเก็บภาษีนักปั่นหุ้นใน 3 ประเด็นคือ

1.กฎหมายการซื้อขายหุ้นต้องระบุให้ชัดเจนว่า การกระทำลักษณะใดเข้าข่ายปั่น หุ้นหรือเก็งกำไร ถ้าพบต้องใช้มาตรการเสียภาษีย้อนหลังกับนักปั่นหุ้นทันที

2.กำหนดระยะเวลาการซื้อการคอบครองหุ้น ไม่ใช่ซื้อขายวันต่อวัน เพราะถือว่าเข้าข่ายนักเก็งกำไร

3.ต้องให้อภิสิทธิ์คุ้มครองนักลงทุนจริงๆ โดยไม่ต้องเสียภาษี

แต่ต้องกำหนดกำไรในการซื้อขายในวงจำนวนมาก ประมาณ 100 ล้านบาทขึ้น เพื่อต้องการให้นำกำไรที่ได้มาให้สังคม เช่น การซื้อหุ้นนอกตลอดแต่นำมาขายในตลาดมีกำไรเป็น 10,000 ล้านบาท ดังนั้น ควรเก็บภาษีเป็นขั้นบันไดตามเปอร์เซ็นต์กำไร

และเสนอแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 เพื่อบังคับใช้กับผู้ขับขี่ยานพาหนะ โดยให้เหตุผลว่าที่ผ่านมา การมึนเมาสุราขณะขับขี่รถยนต์เกิดปัญหาผู้ที่เมาแล้วขับ ไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งกฎหมายไม่มีมาตรการบังคับ ทำให้ลงโทษผู้ที่เมาแล้วขับฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานคือ ปรับ 1,000 บาท

ดังนั้น ต้องแก้กฎหมายให้มาตรการบังคับ ตรวจวัดแอลกอฮอล์เป็นผู้เมาแล้วขับ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเกิดอุบัติเหตุต้องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย

วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ออกประกาศกระทรวงยุติธรรมเรื่อง กำหนดอำนาจการคุมขังผู้ต้องขังของเรือนจำฉบับที่ 2 เรือนจำส่วนภูมิภาคตามข้อ 1 (ข) แห่งกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความใน พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 (ฉบับที่ 3) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2547) ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 มีอำนาจการคุมขังผู้ต้องขังที่ต้องรับโทษต่อไป ดังนี้ 1. เรือนจำอำเภอชัยบาดาล จำคุกไม่เกิน 15 ปี 2. เรือนจำอำเภอเกาะสมุย จำคุกไม่เกิน 10 ปี

วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2550 นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รมว. กระทรวงยุติธรรม ถูกเลือกให้เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551 ได้ลงนามความร่วมมือในการดำเนินงานโครงการนำร่อง ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามากาเด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้เกิดประสิทธิภาพ ครบถ้วนทั้งด้านฐานข้อมูล ระบบเครือข่าย และระบบการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร

โดยการสัมมนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอสาระสำคัญของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสาธิตระบบนำร่องศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม ต้นแบบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับความต้องการ

สำหรับหน่วยงานที่ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ในการดำเนินงานโครงการนำร่องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม มีหน่วยงานร่วมลงนาม 9 หน่วยงานประกอบด้วย กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมคุมประพฤติ กรมราชทัณฑ์ กรมการปกครอง ศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกิจการยุติธรรม และสำนักงาน ป.ป.ส.

ภายหลังจากที่พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ชาญชัยยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกา เพื่อขอกลับรับราชการเป็นผู้พิพากษาอาวุโส


องคมนตรี

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่าตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งองคมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 16 สิงหาคม พุทธศักราช 2550 แล้วนั้น บัดนี้ ทรงพระราชดำริเห็นเป็นการสมควรแต่งตั้งองคมนตรีเพิ่มขึ้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 ประกอบกับ มาตรา 13 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งดังต่อไปนี้ 1.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ 2.นายศุภชัย ภู่งาม 3.นายชาญชัย ลิขิตจัตถะ ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 8 เมษายน พุทธศักราช 2551 เป็นปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี

ในเวลาต่อมากลุ่มคนเสื้อแดงออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 โดยเรียกร้องให้ประธานองคมนตรี องคมนตรี และนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ซึ่งชาญชัยเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเรียกร้องด้วย


ความพยายามลอบสังหารชาญชัย ลิขิตจิตถะ

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552 ชุดสืบสวนภูธรภาค 1 ได้ควบคุมตัวชายต้องสงสัย อายุประมาณ 35 ปี ขณะเดินอยู่ใกล้กับบ้านชาญชัย ไว้ได้ทันก่อนลงมือโดยผู้ต้องสงสัยสารภาพว่า ได้รับการติดต่อจ้างวานให้ลงมือสังหารชาญชัยภายในวันที่ 7 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลตรวจ สอบข้อเท็จจริงตามคำให้การของผู้ต้องสงสัยที่ซัดทอดทหาร กลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังบงการลอบสังหารองคมนตรีเพื่อทำให้สถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย

ต่อมาชาญชัยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า รู้สึกแปลกใจทีมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ไม่เคยมีปัญหากับใคร และไม่ทราบสาเหตุว่า จะมาทำร้ายกันทำไม จากนั้นตำรวจจึงส่งชุดป้องกันรักษาความปลอดภัยมาคุ้มกันทันที

วันที่ 7 เมษายน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง พร้อมด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แถลงการณ์การจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นจำนวน 3

คนประกอบด้วย นาย คนิช สุกาญจกาศ อายุ 30 ปี นายศักดิ์ชาย แซ่ลิ้ม อายุ 28 ปี นาย ภาณุพาศ รัตนาไพบูลย์ อายุ 31 ปีพร้อมอาวุธปืนขนาด . 38 จำนวน 1 กระบอก กระสุน 10 นัด จักรยานยนต์ 1 คัน ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานไปขออนุมัติหมายจับผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน คือ นาวาเอก จักรกฤษณ์ เสขะนันท์ สังกัดกองกิจการภายใน กองทัพเรือ และนายแจ็ค ไม่ทราบชื่อสกุล โดยสั่งการให้พนักงานสอบสวนนำหลักฐานไปขออนุมัติหมายจับที่ศาลอาญา ถ.รัชดาฯ


เครื่องราชอิสริยาภรณ์

พ.ศ. 2540 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2535 มหาวชิรมงกุฎ
พ.ศ. 2532 ประถมาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2529 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย
พ.ศ. 2526 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2523 ทวิติยาภรณ์มงกุฎไทย
พ.ศ. 2521 ตริยาภรณ์ช้างเผือก

ผลงานทางวิชาการ

หนังสือ “คู่มือการจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาในคดีอาญาและสิทธิในการรับเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ทนายความให้แก่ผู้ต้องหา” , 2548


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


สิริสวัสดิ์โสรวาร สิริมานรมณีย์ค่ะ
Create Date :07 สิงหาคม 2553 Last Update :8 สิงหาคม 2553 15:07:57 น. Counter : Pageviews. Comments :0