bloggang.com mainmenu search
ขอเชิญร่วมประชุม “ศรีนครินทรวิโรฒวิชาการ” ประจำปี 2551 ในวันที่ 31 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2551
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดประชุม “ศรีนครินทรวิโรฒวิชาการ” ระหว่างวันที่ 31 มกราคม -1 กุมภาพันธ์ 2551 เพื่อให้อาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี บัณฑิตศึกษา และบุคคลทั่วไปได้นําเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบการบรรยายและแบบโปสเตอร ได้เผยแพร แลกเปลี่ยนความรูความคิดเห็นในด้านความก้าวหน้าทุกสาขากับนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศในสาขาต่างๆ อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมสําหรับการเป็นนักวิจัยที่ดีของผู้ที่กําลังศึกษาในระดับต่างๆ และสร้างโอกาสในการเผยแพรผลงานวิจัยสูประชาชนโดยทั่วไป
คณะกรรมการจัดงาน ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมประชุมและเสนอผลงานในการประชุมวิชาการทั้งแบบบรรยาย หรือโปสเตอร์ การเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนจะได้รับเอกสาร ซึ่งรวมหนังสือบทความวิชาการ กระเป๋าใส่เอกสารฟรี
ผู้สนใจเข้าร่วมประชุมวิชาการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2649-5000 ต่อ 5617, 5654, 5729
กำหนดการการประชุม “ศรีนครินทรวิโรฒวิชาการ”ประจำปี 2551 ในวันที่ 31 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2551 ณ อาคารวิจัยและการศึกษาต่อเนื่อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
วันที่ 31 มกราคม 2551
08.00 – 09.00 น. ลงทะเบียน
09.00 – 09.30 น. พิธีเปิด
โดย อธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
09.30 – 10.30 น. ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “แก้วิกฤตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ”
โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี
10.30 – 10.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง
10.45 – 12.00 น. การอภิปราย เรื่อง “ การแก้วิกฤตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิบัติ ”โดย - ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
- อาจารย์วิวัฒน์ ศัลยกำธร
ประธานมูลนิธิกสิกรรม ธรรมชาติ
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปิยะ กิจถาวร
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์อำนาจ เย็นสบาย
ผู้ดำเนินการอภิปราย
12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
12.30 – 13.30 น. ชมโปสเตอร์นำเสนอผลงานวิจัย และนิทรรศการ
13.00 – 15.30 น. นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาทางด้านการสอน
15.30 – 15.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง
15.45 – 16.30 น. ชมโปสเตอร์นำเสนอผลงานวิจัย และนิทรรศการ
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551
08.00 – 09.00 น. ลงทะเบียน
09.00 – 10.30 น. การบรรยายพิเศษ เรื่อง “งานวิจัย กับการจดทรัพย์สินทางปัญญา”
โดย อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
10.30 – 10.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง
10.45 – 12.00 น. นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาทางด้านการสอน
12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
12.30 – 13.30 น. ชมโปสเตอร์นำเสนอผลงานวิจัย และนิทรรศการ
13.00 – 15.30 น. นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาวิชาด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
นำเสนอผลงานวิจัยกลุ่มย่อย สาขาทางด้านการสอน
15.30 – 16.00 น. ชมโปสเตอร์นำเสนอผลงานวิจัย และนิทรรศการ
พร้อมรับประทานอาหารว่าง
16.00 – 16.30 น. พิธีปิด
การประชุม “ศรีนครินทรวิโรฒวิชาการ”
ประจำปี 2551 ในวันที่ 31 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2551

ณ อาคารวิจัยและการศึกษาต่อเนื่อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ด้วยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จะจัดการประชุม “ศรีนครินทรวิโรฒวิชาการ” ระหว่างวันที่ 31 มกราคม -1กุมภาพันธ์ 2551 เพื่อให้้อาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี บัณฑิตศึกษา และบุคคลทั่วไป ได้นำเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบการบรรยายและแบบโปสเตอร์ ได้เผยแพร่ แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นในด้านความก้าวหน้าทุกสาขา กับนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศในสาขาต่างๆ อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นนักวิจัยที่ดีของผู้ที่กำลังศึกษาในระดับต่างๆ และสร้างโอกาสในการเผยแพร่ผลงานวิจัยสู่ประชาชนโดยทั่วไป
คณะกรรมการจัดงาน ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมประชุมและเสนอผลงานในการประชุมวิชาการทั้งแบบบรรยายหรือโปสเตอร์ การเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนจะได้รับเอกสารซึ่งรวมหนังสือบทความวิชาการ กระเป๋าใส่เอกสารฟรี
- ผู้สนใจส่งบทความวิชาการหมดเขตส่งภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2550 (กรณีสำหรับบุคลากรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หมดเขตส่งภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2550) โดยจัดส่งผลงานไปยังหัวหน้าฝ่ายวิจัย ฝ่ายวิจัย สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ตั้ง 114 สุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 0-2649-5000 ต่อ 5654, 5729 โทรสาร 0-2259-1822 อีเมล research@swu.ac.th
- ผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าฟังบรรยาย การอภิปราย โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ และชมนิทรรศการ ตลอดจนการเสนอผลงานทางวิชาการของอาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยกรอกใบสมัครแล้วส่งไปยัง ผู้อำนวยการกองบริการการศึกษา กองบริการการศึกษา สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ตั้ง 114 สุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 0-2649-5000 ต่อ 5617 โทรสาร 0-2258-
9582 หมดเขตลงทะเบียนภายในวันที่ 11 มกราคม 2551
คำแนะนำการเสนอผลงานแบบโปสเตอร์
1. ขนาดโปสเตอร์ กว้าง 90 ซม. X ยาว 110 ซม.
2. ต้องมีป้ายชื่อเรื่อง ผู้ทำการวิจัย
3. เนื้อหาประกอบด้วย
- เรื่องย่อ แจ้งผลการทดลองเป็นข้อ ๆ อย่างกระชับความ
- คำนำ บ่งพื้นฐาน หรือที่มา ของงานที่เคยทำมาก่อน และบอกวัตถุประสงค์ของการวิจัย
- ผลการทดลอง ควรแบ่งเป็นหัวข้อย่อยที่คัดแล้วว่าสำคัญที่สุด และมีน้อยข้อที่สุด แต่ละข้อบอกผล
การค้นพบที่สำคัญที่สุด ในข้อนั้น ๆ ทั้งนี้เพื่อความเด่นของเรื่อง
- อภิปรายและสรุปผลการทดลอง เพื่อเน้นถึงความสำคัญของงานและสรุปในแบบที่เข้าใจง่าย
- เอกสารอ้างอิง ถ้ามีเนื้อที่พอเลือกเฉพาะที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น
4. ผู้เสนอผลงานแบบโปสเตอร์จะต้อง ส่งบทความที่นำเสนอจะจัดตีพิมพ์ใน Proceeding สามารถเขียนเป็น
ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ โดยมีส่วนประกอบดังนี้
1) ชื่อเรื่อง ชื่อผู้เขียนทุกคน
2) สถานที่ทำงานของผู้เขียนทุกคน เขียนใต้ชื่อ
3) บทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวของแต่ละบทคัดย่อไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4พร้อมทั้งคำสำคัญ (Key words)
4) บทความเต็มรูป
บทความไม่ควรยาวเกิน 8 หน้า รวมบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมเอกสารอ้างอิง โดยมีส่วนประกอบดังนี้ บทนำ วัตถุประสงค์ของการวิจัย อุปกรณ์และวิธีดำเนินการวิจัย สรุปและอภิปรายผลการวิจัย
ข้อเสนอแนะ เอกสารอ้างอิง ผู้เขียนต้องส่งต้นฉบับที่เป็นเอกสารจำนวน 1 ชุด และไฟล์บันทึกลงแผ่น CD-ROMจำนวน 1 ชุด หรือส่งผ่าน research@swu.ac.th
5) ผู้เสนอผลงานตกแต่งหรือติดโปสเตอร์ ณ บริเวณ ชั้น 1 ห้องแปดเหลี่ยม อาคารวิจัยและการศึกษาต่อเนื่อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในวันที่ 30 มกราคม 2550 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป
6) ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้นำเสนอผลงานแบบโปสเตอร์ ต้องแสดงผลงานไว้ตลอดการจัดงานทั้ง 2 วัน อีกทั้งจะต้องอธิบายและนำเสนอผลงานที่บอร์ดแสดงผลงานตามกำหนดการที่ได้รับ และสามารถเก็บโปสเตอร์ได้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 หลังเวลา 17.00 น.ฟรี!!!

พพ.จัดเยี่ยมชมเทคโนโลยีฯ
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ขอเชิญผู้ประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรม สถาปนิก วิศวกร ช่างเทคนิค ครูอาจารย์ และประชาชนที่สนใจ เข้าร่วมกิจกรรมเยี่ยมชมศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ภายในอาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี ซึ่งเปิดรับ 17 รุ่น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้พบกับเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคบ้านอยู่อาศัย ภาคอาคารธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม รวม 54 เทคโนโลยี ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีเน้นการแสดงตัวอย่างเพื่อนำไปใช้งานจริง สามารถทดสอบการทำงานของอุปกรณ์และเครื่องจักร ในรูปแบบของอินเตอร์แอคทีฟและมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆ ที่ทันสมัย โดยทางศูนย์จะได้จัดวิทยากรเพื่อให้ความรู้ พร้อมบริการอาหารว่างและอาหารกลางวันสำหรับทุกท่านฟรี สำรองที่ โทร.0-2628-7781 ต่อ 103 หรือ 08-3883-0123

10 อันดับข่าวเด่น ประจำปี 2550
อันดับ 1 พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คงไม่มีปีไหนที่จะมีพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกมาเตือนสติแก่คนไทยมากเท่ากับปี 2550 ที่กำลังผ่านไป เพราะทั้งวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่รุมเร้าประเทศชาติและประชาชนเป็นสาเหตุ สามเดือนแห่งการบริหารงานของรัฐบาลขิงแก่ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน ผ่านพ้นไป บ้านเมืองยังคงวุ่นวายด้วยม็อบเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ลาออก และเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และช่วงต้นปี 2550 นี้เองเป็นจุดเริ่มต้นแห่งพระราชดำรัส
24 พฤษภาคม 2550 นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นำคณะตุลาการศาลปกครองเข้าเฝ้าทูลเกล้าฯถวายเสื้อครุยตุลาการศาลปกครอง เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ทรงมีพระราชดำรัสว่า ต้องตีความ ต้องตัดสินคดี 'พรรคการเมือง' ให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองพัง และให้ข้าราชการตุลาการ 'กล้าหาญ-ซื่อสัตย์' ร่วมมือช่วยบ้านเมืองไม่ให้ล่มจม
9 มิถุนายน 2550 ทรงมีพระราชดำรัสในพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ถึงจริยธรรม 4 ข้อ คือให้ทุกคนคิด-พูด-ทำด้วยความเมตตา มุ่งดีต่อกัน 2.ช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และประเทศชาติ 3.ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา โดยเสมอกัน 4.นำความคิดเห็นของตนให้ถูกต้องเที่ยงตรงอยู่ในเหตุในผล เพื่อประเทศชาติไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไป
29 สิงหาคม 2550 ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยที่ปฏิบัติราชการอยู่ในต่างประเทศ ทรงแนะว่า เมืองไทยเจริญมานานแล้ว มีภาษาไทยเป็นของตัวเอง อย่าเห่อตามฝรั่ง ลืมภาษาไทย
2 ธันวาคม 2550 ทรงมีพระราชดำรัส ว่าบ้านเมืองขณะนี้ไม่น่าไว้วางใจ หากต้องการให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป จะต้องมีความสามัคคีปรองดองกัน ซื่อสัตย์สุจริต เพราะเป็นสิ่งสำคัญ แม้ในวงการเมือง
4 ธันวาคม 2550 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา รับสั่งให้ทหาร พลเรือน ต้องมีความสามัคคี และทรงแนะให้ใช้น้ำมันอย่างประหยัดและพัฒนาไบโอดีเซลไม่ให้เสียเปรียบต่างชาติ
17 ธันวาคม 2550 พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม-ศาลทหาร ทรงย้ำบ้านเมืองต้องมีความยุติธรรม ปฏิบัติตัวตามใจชอบไม่ได้ ทำอะไรตรงไปตรงมา ไม่อคติ ไม่เอาเปรียบคนอื่น จะได้ไม่ต้องประหัตประหารกัน
'นับเป็นการทรงชี้ขุมทรัพย์แก่ผู้คนในประเทศนี้ตลอดปี 2550'
อันดับ 2 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จฯ กรมหลวงนราธิวาสฯ ทรงพระประชวร
ข่าวที่สร้างความตระหนกแก่พสกนิกรในปี 2550 เป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2550 เมื่อมีแถลงการณ์สำนักพระราชวัง ประกาศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเข้ารักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช เนื่องจากทรงมีพระอาการพระวรกายด้านขวาอ่อนแรง ซึ่งผลการตรวจพบผิวพระสมองด้านซ้ายขาดเลือดเล็กน้อย แพทย์ประจำพระองค์จึงขอพระราชทานให้ประทับที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายพระโอสถรักษา และสังเกตพระอาการ เมื่อประชาชนทุกหมู่เหล่าทราบข่าว ต่างสวมเสื้อเหลือง และเดินทางไปลงนามถวายพระพร รอเฝ้าพระอาการที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลราวๆ 24 วัน มีพระอาการดีขึ้นอย่างมาก จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับวังสวนจิตรลดา โดยทรงฉลองพระองค์สีชมพู ที่กลายมาเป็นกระแสแฟชั่นฮิตในเวลาต่อมา ขณะเดียวกัน ก็มีประกาศสำนักพระราชวัง วันที่ 15 มิถุนายน ว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการประชวรเนื้อสมองด้านซ้ายตาย ต้องเข้าประทับรักษาพระองค์ ที่โรงพยาบาลศิริราชเช่นเดียวกัน และจนกระทั่งบัดนี้ รวมเวลาที่ทรงเข้าโรงพยาบาลรักษาพระอาการ เป็นเวลาเกือบ 7 เดือน'
อันดับ 3 ล้างบางตระกูล 'ชินวัตร' อวสาน ชินคอร์ป
หลังการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รัฐบาล 'คมช.เข้ามาบริหารประเทศ และได้แต่งตั้งให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ขณะเดียวกัน คมช.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาตรวจสอบการกระทำทุจริตในรัฐบาล 'ทักษิณ' หลายเรื่อง อาทิ การขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์ รวมมูลค่ากว่า 73,000 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีให้รัฐแม้แต่บาทเดียว การออกหวยบนดิน และการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น การตรวจสอบของ คตส.นำไปสู่การอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งหมด และครอบครัว พร้อมเครือญาติ ส่งผลให้อิทธิพลทางการเมือง และอำนาจทางการเงินของตระกูลชินวัตร หยุดชะงักโดยสิ้นเชิง และขณะนี้คดีหลายคดี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทาง คตส.จะนำสู่ขบวนการทางศาลต่อไป ล่าสุด อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด เตรียมจับกุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี และภริยา หากเดินทางกลับเข้าประเทศไทย ตามหมายจับในคดีเลี่ยงภาษีในการซื้อขายหุ้น และคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก'

อันดับ 4 กว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ 2550
หลังการทำรัฐประหารและเข้ามาบริหารประเทศของ 'คมช.' โดยการแต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เสียงของบรรดาผู้ปฏิเสธเผด็จการเริ่มดังขึ้น มีการแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน และความขัดแย้งเริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ต้องเร่งมือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาให้เสร็จที่สุด เพื่อให้มีการเลือกตั้งและให้ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงของประชาชนนั้น ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ราบรื่นนัก มีเหตุการณ์ประท้วงต่างและก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นเป็นระยะๆ อาทิ การวมตัวของ 'ม็อบพีทีวี' ที่มี 'วีระ มุกสิกพงศ์' เป็นแกนนำ รวมพลปราศรัยที่สนามหลวงเพื่อขับไล่ คมช. และกล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จนทำให้ขยายวงกว้างออกไปเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ หรือ นปก. เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทหาร จนไปถึงขับไล่ พล.อ.เปรมถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร กระทั่งนำไปสู่การต่อสู้กัน ทำให้มีประชาชนบาดเจ็บและแกนนำ นปก. หลายคนถูกจับกุม
หมดจากม็อบ นปก.แล้ว ก็มี 'ม็อบพระ'ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่การเรียกร้องก็ไร้ผล
ต่อมาคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีมติเสนอให้สภาร่างรัฐธรรมนูญพิจารณา โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้ใช้ระยะเวลาในการพิจารณาตามระยะเวลาที่กำหนด จนในที่สุด รัฐธรรมนูญ 2550 ก็คลอดออกมา นับเป็นฉบับที่ 36 ของประเทศ มุ่งแก้ปัญหาของรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ใช้ช่องว่างในการผูกขาดอำนาจรัฐ และใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งอุดช่องโหว่ความล้มเหลวของระบบการตรวจสอบ จากนั้นให้มีการลงประชามติรับร่าง ในวันที่ 17 สิงหาคม 2550 มีประชาชนออกเสียงเห็นชอบ 14,727,306 คน หรือ 56.69% และไม่เห็นชอบ 10,747,441 คน หรือ 41.37%
แม้ว่าประเทศไทยจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาอย่างสมบูรณ์ เพื่อจัดให้มีการเลือกในวันที่ 23 ธันวาคม แต่ยังไม่วายถูกแกนนำพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคใหม่สืบทอดต่อจากไทยรักไทย ทำหนังสือล้อเลียนว่าเป็น 'รัด-ทำ-มะ-นวย ฉบับหัวคูณ''
อันดับ 5 เครื่องบินวันทูโกชนที่ภูเก็ต ตาย 89 ศพ มากสุดแห่งปี
เหตุการณ์เศร้าสลดที่คนไทยคาดไม่ถึง เป็นเหตุการณ์อุบัติเหตุเครื่องบินโลว์คอสต์ของสายการบิน วันทูโก เที่ยวบิน OG 269 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2550 ขณะที่แลนดิ้งลงสู่รันเวย์อยู่นั้น เกิดลื่นไถลออกนอกรันเวย์ ชนกับไหล่เขาและเกิดไฟลุกไหม้ เป็นเหตุให้ผู้โดยสาร กัปตัน และลูกเรือทั้งคนไทยและต่างชาติ เสียชีวิตถึง 89 ศพ บาดเจ็บ 41 ราย
หนึ่งในผู้เสียชีวิต มี พิทยา ว่องวัน เอฟ-4 จากรายการอะคาเดมี แฟนเทเชีย รวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นสจ๊วตฝึกหัดของสายการบินวันทูโก ที่เพิ่งสอบเข้าได้ไม่นาน ส่วนสาเหตุเบื้องต้น กรมการขนส่งทางอากาศ ตรวจสอบพบว่าเกิดจากเหตุลมตีกลับ หรือที่เรียกว่า 'วินเชียร์' ซึ่งมีความรุนแรงมากจนไม่สามารถบังคับเครื่องบินได้ ทำให้ไถลออกนอกรันเวย์ ทางสายการบินวันทูโก ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้เสียชีวิตรายละ 1 แสนบาท และบริษัทประกันภัยของวันทูโก คือบริษัท เพน ลอยด์ ต้องจ่ายให้อีกรายละ 4.5 ล้านบาท'
อันดับ 6 อวสานพรรคไทยรักไทย
เรื่องเริ่มขึ้นจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ หอบหลักฐานร้องเรียน กกต. ก่อนหน้าวันเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ไม่ถึงเดือน ว่าพรรคไทยรักไทย ปลอมแปลงเอกสารผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง จากนั้น กกต.ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด และมีการส่งต่อยังศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้มีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทย วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 'คดียุบพรรค' ก็ต้องอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติให้ยุบพรรคไทยรักไทย ฐานเป็นภัยต่อความมั่นคงและปรปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งให้ตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 111 คน ห้ามลงเล่นการเมือง และช่วยปราศรัยหาเสียงเป็นเวลา 5 ปี
อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายเนวิน ชิดชอบ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายพินิจ จารุสมบัติ ฯลฯ เมื่อไทยรักไทยถูกยุบ แกนนำ 111 คน และสมาชิกก็แพแตก ต่างออกไปตั้งกลุ่ม ตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง วันที่ 23 ธันวาคม 2550 พรรคไทยรักไทย กลายสภาพไปเป็น พรรคพลังประชาชน และดึงเอา นายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นหัวหน้าพรรค แต่นโยบายที่นำออกไปเดินสายหาเสียงยังคงยึดแนวของพรรคไทยรักไทยเดิม อีกทั้งยังชู พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา ทำให้พรรคพลังประชาชนในความรู้สึกของชาวบ้าน ก็คือพรรคไทยรักไทยเดิมของ พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผลการเลือกตั้งที่ออกมา พรรคพลังประชาชนกำชัยชนะ ได้ 232 ที่นั่ง
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ 165 ที่นั่ง พรรคชาติไทย 37 ที่นั่ง พรรคเพื่อแผ่นดิน 25 ที่นั่ง พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 9 ที่นั่ง พรรคมัชฌิมาธิปไตย 7 ที่นั่ง และพรรคประชาราช 5 ที่นั่ง'

อันดับ 7 คดี ปตท.สะเทือนตลาดหุ้น
ใครๆ ก็รู้ว่า บริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นบริษัทใหญ่อันดับ 1 ในตลาดหุ้น เมื่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นฟ้องบริษัทยักษ์เช่นนี้จึงไม่ใช่ธรรมดาสืบเนื่องมาจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดย นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และเครือข่ายได้ยื่นฟ้อง ครม.ต่อศาลปกครองสูงสุด ในกรณีการยกเลิกและแปรรูป กฟผ.เนื่องจากเห็นว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นผลให้ศาลมีคำพิพากษาให้ยุติการนำ กฟผ.เข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น เมื่อสามารถยุติการแปรรูป กฟผ.ได้สำเร็จ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงหันมาดูการแปรรูป ปตท. ตามมาอีกคดี โดยอ้างว่าเป็นการรักษาสาธารณสมบัติและทรัพย์สินของชาติอย่างต่อเนื่อง โดยยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ขอให้มีคำพิพากษายกเลิกและเพิกถอนพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนไขเวลาการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544 เนื่องจากมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า การตรา พ.ร.ฎ.ทั้งสองฉบับเป็นการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 อันนำไปสู่การผูกขาดธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติโดยบริษัทเอกชน ซ้ำยังขาดกลไกการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนในฐานะผู้บริโภคโดยรวม
นอกจากนี้ พ.ร.ฎ.ทั้งสองฉบับ ยังมีผลทำให้ 'รัฐ' ต้องสูญเสียอำนาจการควบคุมและต่อรองในกิจการของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไปอย่างถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้เกิดการผูกขาดโดยองค์กรเอกชนในรูปแบบบริษัทมหาชน รวมทั้งเป็นการกระทำที่มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นการกระทำ ที่นายกรัฐมนตรีและคณะกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้บุคคลบางกลุ่มและพวกพ้องได้รับประโยชน์จากสมบัติของแผ่นดิน ทางศาลปกครองสูงสุดจึงได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2550 สรุปว่า ไม่เพิกถอนกฎหมายแปรรูป ปตท.ทั้ง 2 ฉบับ เนื่องจากเกรงจะเกิดผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน
ทั้งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อตลาดทุนรวมถึงตลาดเงิน และอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายตามมาอีกนานัปการ จึงพิพากษาให้ ปตท.มีสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ต่อไป ไม่ต้องถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ให้ ปตท.โอนท่อก๊าซธรรมชาติ-ท่อน้ำมัน และอุปกรณ์ ให้กับกระทรวงการคลังเช่นเดียวกับการโอนที่ดินที่เวนคืนมาเพื่อวางท่อฯ จำนวน 106 แปลง 32 ไร่ ที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จไปยังกระทรวงการคลัง ซึ่งถือเป็นการแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐ ออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ผลคือ ทำให้ราคาหุ้น ปตท.หายไป 40-50 บาทต่อหุ้น
อันดับ 8 จตุคามฟีเวอร์
เริ่มฮิตติดอันดับของขลังศักดิ์สิทธิ์ เมื่อ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตตำรวจมือปราบชื่อดัง และอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 8 นครศรีธรรมราช เสียชีวิต ในวันฌาปนกิจ ขุนพันธ์ฯ มีการแจกจตุคามฯรูปเหมือนขุนพันธ์ฯ ซึ่งช่วงนั้นเริ่มมีเสียงโจษขานถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของจตุคามฯ คือป้องกันอุบัติเหตุทางรถยนต์ โจรปล้นบ้านเจ้าของบ้านถูกยิงแต่ไม่เป็นอะไร และสร้างความร่ำรวยให้แก่ผู้ห้อยจตุคามฯ ฯลฯ ชื่อเสียงของจตุคามฯกระฉ่อนขึ้นเรื่อยๆ มีการแย่งกันจองจตุคามฯที่หลายวัดจัดสร้างขึ้น กระทั่งเกิดการเหยียบกันตาย เป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์
วัดเกือบทั้งประเทศหันมาจัดสร้าง 'จตุคามฯ' แทนพระเครื่อง จากราคาไม่กี่ร้อยบาทกลายเป็นหลักล้านในชั่วไม่กี่เดือน จนเป็นกระแสฟีเวอร์ จตุคามฯรุ่นดังๆ เช่น สุริยัน-จันทรา รุ่นราชันดำ รุ่นบูรณเจดีย์ราย รุ่นฟ้าสะท้านแผ่นดินสะเทือน รุ่นโคตรเศรษฐี รุ่นท่านพ่อคล้ายวัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง ราคาซื้อ-ขาย เป็นหลักล้าน ทำให้มีเงินสะพัดถึง 20,000 ล้านบาท กระแสจตุคามฯยังสร้างชื่อเสียงให้กับพระที่ปลุกเสก คือพระใบฎีกาปรานพ ฐิตคันโธ หรือ 'หลวงหนุ่ย' ต้องเดินสายรับงานปลุกเสกกว่า 500 รุ่น
เมื่อระดมสร้างกันขึ้นไม่เว้นแต่ละวัด จึงทำให้ในที่สุดจตุคามฯล้นตลาด จากนั้นไม่นานกระแสก็ลดลงถึงขั้นพ่อค้าขาดทุนกันจำนวนมาก และลดกระแสความนิยมลงในที่สุด
อันดับ 9 วินาศกรรมกลางกรุงเหตุร้ายที่ไม่คาดฝัน
อบอวลด้วยบรรยากาศการเฉลิมฉลองมีความสุขในวันที่ 31 ธันวาคม 2549 กันอยู่ดีๆ ชาวกรุงเทพฯก็ต้องตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองวันเดียว 9 จุด ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บหลายสิบ!! คนร้ายเลือกก่อเหตุหลายจุดในเวลาราว 18.00 น. ของวันสิ้นปี มีระเบิดซุกในถังขยะติดกับป้ายรถเมล์ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แรงระเบิดทำให้ผู้ยืนคอยรถเมล์บาดเจ็บราว 20 คน จำนวนนั้นมีนายสงกรานต์ กาญจนะ อายุ 36 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
จุดที่สองเกิดระเบิดขึ้นที่หน้าร้านขายแผ่นซีดี ติดกับศาลเจ้าพ่อเสือ เขตคลองเตย มีผู้บาดเจ็บประมาณ 10 คน และมีผู้เสียชีวิต 1 คน คือนายสุวิชัย นาคเอี่ยม อายุ 61 ปี
จุดที่สาม เกิดเหตุที่ป้อมตำรวจแยกสะพานควาย มีผู้บาดเจ็บ 2 คน ส่วนตัวป้อมเสียหายไม่มากนัก จุดที่สี่ เป็นป้อมตำรวจปากซอยสุขุมวิท 62 เขตพระโขนง มีรถเสียหาย 2 คัน ส่วนจุดที่ห้า เป็นป้อมตำรวจสี่แยกแคราย อ.เมือง จ.นนทบุรี มีตำรวจบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นาย
ยังไม่หมด...จุดที่หก เกิดระเบิดที่ลานจอดรถจักรยานยนต์ ด้านหลังศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ เขตสวนหลวง จุดที่เจ็ด คือหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์ รัชโยธิน แต่พนักงานทำความสะอาดเห็นเข้าเสียก่อน จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เกือบเที่ยงคืนก็เกิดระเบิดขึ้นเป็นจุดที่แปด ที่ท่าเทียบเรือประตูน้ำ เชิงสะพานเฉลิมโลก ตรงข้ามห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แรงระเบิดทำให้มีชาวต่างชาติที่อยู่บริเวณนั้นได้รับบาดเจ็บ 3 ราย
ไม่กี่อึดใจคนกรุงก็ต้องขวัญผวาอีกครั้ง เมื่อเกิดระเบิดขึ้นเป็นจุดที่เก้า ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าห้างเกษร พลาซ่า ตรงข้ามห้างเซ็นทรัล เวิลด์ มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย หลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลง ว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นคล้ายกับที่ขบวนการไออาร์เอสร้างขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้ และขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และช่วยกันแจ้งเบาะแส ทางกรุงเทพมหานครก็ผวาภัยถังขยะ เร่งเปลี่ยนถังขยะทั่วกรุงให้เป็นถังโปร่ง และลดจำนวนถังขยะลง ทำให้ถังขยะกลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที
ด้านตำรวจก็ตั้งคณะทำงานสืบสวนหาตัวคนร้ายอย่างทันควัน มีการมุ่งประเด็นหลายอย่าง ที่สำคัญคือ เรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง และการก่อเหตุของผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้
แม้จะมีการเรียกตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน แต่จนถึงวันนี้ที่จะก้าวเข้าสู่ปี 2551 ตำรวจก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
'เหตุนี้เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ต้องถูกเด้งจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ'
อันดับ 10 สะเทือนขวัญภาคใต้จ่อยิงหัวทีละคนรวม 8 ศพ
เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดภาคใต้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาถึงปี 2550 เป็นการลงมือป่วนสถานการณ์ ส่งท้ายเทศกาลตรุษจีน โดยก่อเหตุวางระเบิดถึง 40 จุดในวันเดียว เวลาเดียวกัน ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และสงขลา โดยเริ่มลงมือระเบิดหม้อแปลงไฟฟ้าใน จ.ปัตตานี ก่อนอันดับแรก ทำให้ไฟฟ้าดับทั่วเมือง ก่อนปูพรมลงมือปฏิบัติการวางระเบิดตามจุดต่างๆใน 3 จังหวัดดังกล่าว
ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ผู้ก่อความไม่สงบเป็นวัยรุ่นใช้ผ้าขาวโพกหัว ตระเวนลอบเผาบ้าน-โรงเรียน ลอบถล่มทหาร-ตำรวจ เผาศาลาที่พักผู้โดยสาร ขณะเดียวกัน ใช้อาวุธปืนสงครามซุ่มยิงทหารชุดลาดตระเวนในพื้นที่ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี จากเหตุการณ์ทั้งหมดมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บหลายสิบราย ทั้งนี้ เชื่อกันว่าคนร้ายไม่เจตนาให้มีผู้เสียชีวิต แต่ต้องการป่วนสถานการณ์เท่านั้น
ต่อจากนั้นไม่ถึงเดือน เกิดเหตุอีกครั้งที่สะเทือนขวัญผู้คน วันที่ 14 มีนาคม 2550 ผู้ก่อความไม่สงบภาคใต้ ใช้ปืนจ่อยิงหัวผู้โดยสารรถตู้สายเบตง-หาดใหญ่ ของ หจก.เบตงทัวร์ (2001) โดยจ่อยิงหัวทีละคน รวม 8 ศพ เหตุเกิดบนถนนบ้านอุเบง หมู่ 4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า คนร้ายล้มต้นไม้ขวางถนน เพื่อให้รถตู้หยุด จากนั้นคนร้ายประมาณ 10 คน แต่งกายชุดพรางสีเขียว ใช้ปืนยิงใส่รถ กระสุนถูกตัวรถและยางรถแตก ทำให้รถเสียหลักไปกระแทกกับต้นไม้ข้างทาง คนร้ายกรูเข้าไประดมยิง พร้อมตะโกนเสียงดังลั่นว่า 'ยิงให้หมดทั้งรถ' ก่อนที่คนร้ายจะจ่อยิงผู้โดยสารในรถจนเสียชีวิต 8 ศพ แยกเป็นผู้ชาย 3 ศพ ผู้หญิง 5 ศพ
จนถึงบัดนี้ยังไม่สามารถจับคนร้ายที่ก่อเหตุอุกฉกรรจ์เช่นนี้ได้

'5 อันดับ' กิจกรรมเพื่อสังคมสุดฮอต
หากมองเฉพาะมิติการแสดงความ รับผิดชอบต่อสังคมภายนอก ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม ในปี 2550 ประเด็นทางสังคมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน 5 ลำดับแรก ได้แก่
1.ในหลวงครองราชย์ครบ 80 ปี เป็นประเด็นที่ฮอตฮิตมากที่สุดสำหรับคนไทยปีนี้ก็ว่าได้ เพราะนอกจากรัฐบาลจะประกาศให้การเฉลิมฉลองนี้เป็นวาระแห่งชาติโดยสนับสนุนงบประมาณ 400 ล้านบาทสำหรับการจัดกิจกรรมในหน่วยงานของรัฐบาลแล้ว ภาคธุรกิจเองก็ได้แปรเปลี่ยนความจงรักภักดีออกมาในรูปของโครงการเพื่อสังคม กว่า 200 โครงการ อาทิ บริษัท IRPC และธนาคารทหารไทยที่ใจตรงกันร่วมฉลองโดยจัดงานบรรพชาและอุปสมบทหมู่พระสงฆ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในขณะที่บริษัทสื่อโฆษณากลางแจ้งอย่าง 'MACO' ก็นำพนักงานร่วมบริจาคโลหิตกับโครงการ 'ทำดีเพื่อพ่อ' ด้านผู้ให้บริการเกมออนไลน์ชื่อดังอย่างเอเชียซอฟท์ ก็ผุดโครงการ Gamers Love Dad โดยการรณรงค์ให้เกมเมอร์ซื้อไอเท็มเสื้อเหลืองใน 7 เกมยอดนิยมพร้อมนำรายได้ทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง รวมถึงโครงการ 'เด็กไทยรวมใจอ่านถวายในหลวง 80 พรรษา' ของนานมีบุ๊คส์ ที่มุ่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เด็กๆ และชวนเด็กไทยทำความดีถวายในหลวงด้วยการอ่านหนังสือ
2.ลดโลกร้อนและสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นตามติดมาไม่แพ้กัน เพราะเป็นกระแสของทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยที่มีการสำรวจพบว่าตื่นตัวกับกระแสนี้มากที่สุดในโลก ส่งผลให้ภายใน 1 ปี ทั้งภาครัฐ เอกชน ใช้เงินไปแล้วกว่าพันล้านบาทในการเปิดแคมเปญรับโลกร้อน อย่างแบรนด์ โตชิบาที่ออกมาประกาศว่าในปี 2550 นี้ สินค้า 150 รายการใหม่ ภายใต้แบรนด์โตชิบา จะเป็น 'นวัตกรรมสีเขียว เพื่อโลกสีขาว' ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จัดโครงการ 'กรีน ฟอร์เวิร์ด' บอกต่อไอเดียง่ายๆ ช่วยคลายโลกร้อน เพื่อลดภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงอยู่ในปัจจุบันและปลุกจิตสำนึกสังคมไทย และได้จัดพิมพ์หนังสือคู่มือช่วยลดภาวะโลกร้อนภายใต้ความร่วมมือจากมูลนิธิโลก สีเขียว เพื่อแนะเทคนิคลดโลกร้อนได้ด้วยตนเอง รวมถึงพัฒนาเว็บไซต์ www.plus.co.th/ greenforward ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการสื่อสารของผู้ที่มีเจตนารมณ์เดียวกัน ด้านบริษัทฟิลิป มอริส ก็ออกให้ความรู้กับชุมชนเรื่องการใช้สารเคมี ในจังหวัดภาคเหนือและอีสาน
3.การศึกษาเพื่อเด็กและเยาวชน ก็เป็นประเด็นที่ใช้ได้ตลอดกาลสำหรับเมืองไทยที่ยังมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เห็นได้จากความต่อเนื่องใน 'โครงการปลูกปัญญา.. ปลูกความรู้สู่อนาคต' ที่กลุ่มบริษัททรูดำเนินการมากว่า 17 ปี โดยเน้นการพัฒนาด้านการศึกษาและการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพให้เด็ก เยาวชน และคนไทยทั่วประเทศมีโอกาสเข้าถึงแหล่งสาระความรู้ทันสมัยอย่างทัดเทียม ในขณะที่บรีสก็มีโครงการจัดสร้าง 'ลานเล่นบรีส เพิ่มพลังเรียนรู้' เพื่อโอกาสให้เด็กไทยได้เล่น ได้เลอะ และได้เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ และ 'โครงการกระดานดำกับกระทิงแดง' ที่เครื่องดื่มกระทิงแดงดำเนินต่อเนื่องมาแล้ว 5 ปี เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่นักเรียน ผ่านการสนับสนุนโครงการค่ายอาสาพัฒนาของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ
4.สาธารณสุขและผู้ประสบภัย ก็ยังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเช่นกันและชัดเจนขึ้นหลังจากเหตุการณ์สึนามิ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งกองทุน 'สึนามิ รีคัฟเวอรี่ ฟันด์' ของบริษัทหลักทรัพย์เอ็มเอฟซีที่เข้าไปช่วยธุรกิจโรงแรมบริเวณจังหวัดที่ประสบภัย หรือโครงการ Fund Raising Day 'รวมน้ำใจ NSTDA ซับน้ำตาชาวใต้' ของ สวทช. จัดกิจกรรมเพื่อหาเงินทุนช่วยเหลือโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ก็มีกิจกรรมเชิญชวนลูกค้ามาร่วมโครงการ 'Good Coffee Day' เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชาวไร่กาแฟไทยกับสตาร์บัคส์ ผ่านการร่วมบริจาคเงินสมทบทุนสร้างสถานพยาบาลให้กับชุมชนชาวไร่กาแฟ ส่วนบริษัท ดัชมิลล์ จำกัด มีโครงการ 'คนไทยใส่ใจลำไส้' พร้อมกับมอบเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้
5.ผู้ด้อยโอกาสและผู้พิการ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ภาคธุรกิจไม่ได้มองข้าม แม้จะไม่มากนักเมื่อเทียบกับใน 4 อันดับแรก อย่างโครงการ 'World Journey of Smiles' ของแอมเวย์ที่ทำการผ่าตัดรักษาเด็กที่มีอาการปากแหว่งเพดานโหว่ ใน 25 ประเทศ โดยเมื่อกลางปีสามารถคืนรอยยิ้มให้เด็กได้แล้วมากกว่า 100 คน ด้านยูนิลีเวอร์ทำโครงการ 'สร้างพ่อครัว สร้างอาชีพ' ให้โอกาสเยาวชนใน สถานพินิจฯ จำนวน 10 คนเข้ารับการฝึกทักษะการประกอบอาหารกับเชฟมือหนึ่งในครัว ยูนิลีเวอร์ ช่วยเยาวชนกลับคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ ส่วนธุรกิจอาหารสุนัข 'เพดดิกรี' ร่วมกับมูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการขยายความสุขให้เพื่อนสุนัขตัวน้อยด้วยการหาทุนจัดหาบ้านใหม่ให้สุนัขจรจัด โดยจัดซื้อที่ดินสำหรับจัดตั้งที่ทำการมูลนิธิแห่งใหม่
กำหนดการสัมมนาเรื่อง เปิดโลกการบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นสูง
กำหนดการสัมมนา
เรื่อง เปิดโลกการบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นสูง
จัดโดย
สำนักส่งเสริมเครือข่ายวิสาหกิจคอมพิวเตอร์ (CCP)
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2551 เวลา 13.00 – 16.30 น.
ณ ห้อง Theater อุทยานวิทยาศาสตร์ ประเทศไทย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
13.00 - 13.30 น. ลงทะเบียน
13.30 – 14.30 น. บรรยายเรื่อง 'ปรับเปลี่ยนกระบวนการในองค์กรสู่ความมั่งคั่งได้อย่างไร'
IT Infrastructure Library (ITIL) the key to managing IT services
14.30 – 15.15 น. บรรยายเรื่อง 'บริหารโครงการอย่างมืออาชีพ '
Project Management Professional (PMP)
15.15 – 15.30 น. พักรับประทานอาหารว่าง
15.30 – 16.30 น. บรรยายเรื่อง 'สร้างมาตรฐานสากลการจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ด้วย ISO/IEC 17799:2005 และ ISO 27001:2005'
16.30 น. ปิดการสัมมนา
บรรยายโดย : อาจารย์วิสุทธิ์ สุวรรณสุขโรชน์
Senior Instructor

บรรยาย นัดพิเศษสุดเรื่อง 'กลยุทธ์ในการบริหารชีวิตและธุรกิจ'
เชิญฟังบรรยาย นัดพิเศษสุดเรื่อง 'กลยุทธ์ในการบริหารชีวิตและธุรกิจ' โดย 2 ผู้บริหารระดับสูงของประเทศ 'ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ และ 'ทวี บุตรสุนทร' ประธานกรรมการ ธนาคารไทยธนาคาร ในวันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2551 เวลา 14.00-16.30 น. ที่ชั้น 11 อาคารซีพี ทาวเวอร์ ถ.สีลม จัดโดย Executive Go Club ผู้สนใจเข้าฟังฟรี สำรองที่นั่งได้ที่ คุณสุจารี หงส์จินดาพงศ์ 02-677-9035 (จำนวนจำกัด)

2007 TOP GADGETS ของเล่นสุดเจ๋งแห่งปี 2007 โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ pairat@matichon.co.th
เป็นธรรมเนียมยามสิ้นปีที่ต้องมองย้อนกลับไปในช่วง 365 วันที่ผ่านมา หาอะไรที่เป็น 'ที่สุด' มาเล่าสู่กันฟัง ผมเลือกที่จะนำเสนอ 'แกดเจ็ทส์' หรือที่บางคนเรียกว่า 'ของเล่นไฮ-เทค' ที่เป็นที่สุดในหมวดหมู่ของตัวเองในปีนี้ เพราะหมวดหมู่สินค้าไอทีเหล่านี้ไม่เพียงครองตลาดในช่วงปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังจะเป็นแนวโน้มสำคัญสำหรับวงการไอทีในปีหน้าอีกด้วย หลายอย่างเพิ่งเปิดตัวออกมาและยังไม่เห็นกันในตลาดเมืองไทย บางอย่างคุ้นหูคุ้นตา หลายคนคงได้ลองใช้ไปบ้างแล้ว ลองดูนะครับว่า ที่เลือกมานี่เจ๋งจริงหรือเปล่า
1. ทีวี โอแอลอีดี ของโซนี่
'โอแอลอีดี' พูดถึงกันมานานนับแล้วก็หลายปี แต่จนแล้วจนรอดยังไม่มีใครผลิตออกสู่ตลาดได้สักราย กระทั่ง 'โซนี่' นำทีวีต้นแบบที่ใช้จอชนิดนี้เป็นเครื่องแรกของโลกออกมาอวดโฉมเมื่อมกราคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะเริ่มการผลิตในเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนตุลาคม และปล่อยของจริงออกวางจำหน่ายในเดือนธันวาคม แล้วก็ไม่สร้างความผิดหวังให้แฟนๆ ทั้งหลาย 'โอแอลอีดี ทีวี' เป็นจอชนิดใหม่ ย่อมาจากคำว่า 'ออร์แกนิค ไลท์ อีมิทติ้ง ไดโอด' ทีวีเครื่องแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีนี้ของโซนี่ หน้าจอแค่ 11 นิ้ว ตัวจอบางเฉียบแค่ 3 มิลลิเมตร แต่ประสิทธิภาพเหนือกว่าทั้งแอลซีดีและพีดีพี (พลาสมา) ทั้งในเรื่องของมุมมอง ที่มองภาพได้คมชัดในมุมกว้างกว่า เวลาการตอบสนองสูงเร็วกว่า และให้ค่าความคมชัดกับสีสันที่ดี สดใสกว่ามาก อายุการใช้งานอยู่ที่ 30,000 ชั่วโมง (ถ้าดูวันละ 8 ชั่วโมง ก็ใช้งานได้นานถึง 10 ปี) ถือเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกในรอบหลายปีของโซนี่ ที่ทำให้ใครต่อใครร้อง 'ว้าว' ได้เต็มปากเต็มคำ ราคาจำหน่ายที่ตั้งไว้เมื่อวางขายตอนแรกทำเอานักวิจารณ์สะอึกเหมือนกัน เพราะตั้งไว้ที่ 200,000 เยน หรือราว 59,500 บาท แต่เชื่อไหมครับว่า มันขายหมดในพริบตา!
2. เอสเอส อาร์เอ็กซ์ 1 จากโตชิบา
โตชิบาวางจำหน่ายโน้ตบุ๊กตัวนี้ทั้งในชื่อ เอสเอส อาร์เอ็กซ์ 1 ในบางตลาด และโพรทีเฌ่ อาร์ 500 ในอีกบางแห่ง ดูผิวเผินแล้วไม่น่าจะมีอะไรพิเศษมากมาย แต่เอาเข้าจริงมันได้รับการยอมรับว่าเป็นโน้ตบุ๊กที่เบาและบางมากที่สุดเท่าที่มีอยู่จนถึงสิ้นปี มันหนักแค่ 768 กรัม จอ 12.1 นิ้ว ใช้คอร์ 2 ดูโอ้ ของอินเทลสปีด 1.06 GHz มีไวไฟมาตรฐานใหม่สุด 802.11n กับดิสก์แบบใหม่ เอสเอสดี (โซลิด สเตท ดิสก์) ขนาด 64 GB ที่ว่ากันว่าจะมาแทนฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ ธรรมดาๆ ในอนาคตอันใกล้
3. คาสิโอ 'ยูทิวบ์'
ความตกลงระหว่างคาสิโอกับยูทิวบ์ในปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นหนึ่งใน 'ดีล' เชิงการตลาดที่ชาญฉลาดที่สุดของปีที่ผ่านมา ที่ทำให้คาสิโอสามารถส่งกล้องดิจิตอล เอ็กซิลิม-เอาส 880 และ อีเอ็กซ์-แซด 77 ทำตลาดกับสาวกยูทิวบ์ได้เพียงลำพังตลอดทั้งปี กล้องพิเศษทั้ง 2 ตัวที่ว่านี้มีโหมดการทำงานที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายวิดีโอคลิป เพื่ออัพโหลดสู่เว็บไซต์ชื่อดังได้แสนง่าย ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง ได้รับความนิยมจนถึงกับต้องใส่ยูทิวบ์ โหมดไว้ในรุ่นอื่นๆ ด้วยในเวลาต่อมา ดีลเอ็กซ์คลูซีฟหนนี้หมดลงในตอนสิ้นปี เชื่อว่าปีหน้าหลายๆ ยี่ห้อคงนำมาใช้ทำการตลาดตามมา
4. คอนเซ็ปต์ พีซี ของเอ็นอีซี
ผมเคยได้ยินใครต่อใครพูดถึงการ 'หลอมรวม' กันระหว่างพีซีกับทีวีมานานครับ แต่ดูเหมือนมีเพียงเอ็นอีซี เจ้าเดียวที่ทำได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด เจ้าคอนเซ็ปต์ พีซีที่ว่านี้ยังไม่ได้ผลิตออกมาในเชิงพาณิชย์ แต่แนวคิดน่าสนใจเหลือเกิน เจ้า LUI (น่าจะออกเสียงว่า ลูอิ หรือลูอี้ เนอะ) เป็นพีซี ใช้โอเอส วิสต้า ของวินโดวส์ แต่มีอะไรอยู่ในตัวมากมาย มันสามารถทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ประจำบ้านได้ มีทีวี จูนเนอร์ อยู่ภายใน 2 ตัว ทำให้เราสามารถดูทีวีได้ 1 ช่อง แถมยังเลือกบันทึกได้อีก 1 ช่องในเวลาเดียวกัน มีเทคโนโลยี ดีแอลเอ็นเอ (ดิจิตอล ลีฟวิ่ง เน็ตเวิร์ก อไลแอนซ์) ที่ทำให้การเชื่อมต่อกับรายการโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณสดหรือที่บันทึกเอาไว้ สามารถส่งต่อไปยังเครื่องพีซีที่มีดีแอลเอ็นเอเครื่องอื่นๆ ในบ้านได้ผ่าน อีเธอร์เน็ต และจะมี 'บลู เรย์ ดิสก์ ไรเตอร์' มาให้เพื่อให้ก็อบปี้รายการลงดิสก์ได้แบบสะใจ เป็นต้น กำหนดวางตลาดในญี่ปุ่นไม่เกินครึ่งแรกของปีหน้าครับ
5. แคมคอร์เดอร์ บลูเรย์ ของฮิตาชิ
แคมคอร์เดอร์ เจ้าแรกที่ใช้สื่อบันทึกเป็น บลู เรย์ ดิสก์ ในปีที่ผ่านมาคือเจ้าดีแซด-บีดี 70 ของฮิตาชิ ที่ต่อมาปล่อยตัว ดีแซด-บีดี 7 เอช ซึ่งเพิ่มฮาร์ดดิสก์ขนาด 30 GB เข้าไปด้วย การใช้บลู เรย์ ดิสก์ ทำให้สามารถบันทึกภาพในระบบฟุลเอชดีได้ราว 1 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นตัวที่มีฮาร์ดดิสก์อยู่ด้วยก็สามารถเพิ่มเป็น 4 ชั่วโมงได้ แถมยังถ่ายภาพนิ่งขนาด 4.3 ล้านพิกเซล ได้อีกต่างหาก
6. นิสสัน ไพโว 2
คอนเซ็ปต์ คาร์ ของนิสสันคันนี้ สร้างชื่อฮือฮาไว้มากในงานโตเกียว มอเตอร์ โชว์ ใช้ระบบไฟฟ้า หลังคาหมุนได้ 360 องศา ส่วนล้อบิดได้รอบตัวทำให้ 'เข้าซอง' ได้ง่ายดายอย่างยิ่ง เพราะเอาข้างเข้าจอดได้ ภายในมี 'ไพโว-คุง' หุ่นยนต์ฝังตัวอยู่ในแผงหน้าปัดที่มี 'วอยซ์ รีค็อกนิชั่น' ที่ทำให้ผู้ขับสอบถามเส้นทางไปยังสถานที่เป้าหมายหรือลานจอดที่ใกล้ที่สุดได้ นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีจดจำใบหน้าได้ เพื่อกำหนดเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยการจดจำใบหน้าของคนขับ ตรวจสอบวี่แววของความเหนื่อยล้าของผู้ขับ เพื่อบอกให้พักได้ถ้าหากจำเป็น แถมยังเป็น 'เพื่อน' ของคนขับได้ตลอดทาง แต่กว่าไพโว 2 จะออกมาขายได้ก็คงต้องรอจนถึงปี 2015 โน่นแนะครับ
7. 'ราขุ-ราขุ' มือถือของเอ็นทีที-โดโคโม
ฟูจิตสึออกแบบ 'ราขุ-ราขุ เบสิค โฟน' ให้เอ็นทีที-โดโคโม แบบตั้งใจจะเลี่ยงให้พ้นปุ่มและฟังก์ชั่นสารพัดที่สร้างความงงงวยให้กับผู้ใช้ในโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่เวลานี้ ปุ่มของ 'ราขุ-ราขุ' รวมทั้งตัวอักษรบนจอ มีขนาดใหญ่กว่าปกติทั่วไป และมีปุ่มลัด 'สปีด-ไดอัล' ให้ถึง 3 ปุ่ม ภายในยังมีฟังชั่น 'สโลว์ วอยซ์' ที่ทำงานได้ดีเยี่ยม ชะลอสปีดของคำพูดของคู่สนทนา (ชดเชยด้วยการลดช่องว่างระหว่างคำลง) ส่วน 'เคลียร์ วอยซ์' ก็เป็นฟังก์ชั่นที่จะทำหน้าที่เพิ่มความแจ่มชัดและปรับระดับริง โทนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมโดยอัตโนมัติ
8. 'TPEG' โฟน จากซัมซุง
เอสพีเอช-บี 5800 เป็นโทรศัพท์มือถือที่สามารถรับและอัพเดตข้อมูลการจราจรผ่านระบบใหม่ที่เรียกว่า ทีพีอีจี (ทรานสปอร์ต โปรโตคอล เอ็กซเปิร์ต กรุ๊ป) ระบบนี้พัฒนาขึ้นในยุโรปและเกาหลีใต้นำมาใช้เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากข้อมูลการจราจรแล้วมันยังรับสัญญาณทีวีผ่านดาวเทียมได้อีกด้วย
9. เอชดี-แคมคอร์เดอร์ ที่เล็กที่สุดในโลก
คือเจ้า เอชดีซี-เอสดี 7 ของพานาโซนิคครับ (52 คูณ 110 คูณ 87 มม.) หนักแค่ 350 กรัม ใช้เซ็นเซอร์แบบซีซีดี (ชาร์จ คัพเพิ่ล ดีไวซ์) 3 ตัว บันทึกภาพ MPEG4 แบบฟุลเอชดี ได้นานถึง 60 นาที ความลับที่ทำให้มันเล็กลงได้ขนาดนี้ก็คือ การใช้สื่อบันทึกเป็นเอสดี การ์ด นั่นเองครับ
10. วอล์กแมน ทีวี
ตัวสุดท้ายที่จะพูดถึงมาจากค่ายโซนี่เหมือนกันครับ ว่ากันว่า วิดีโอ วอล์กแมน จากโซนี่ (เอ็นดับบลิว-เอ 916 ถึง 919) 3 ตัวนี้คือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของไอพอด ที่สำคัญก็คือ ปีที่ผ่านมา โซนี่พัฒนาให้มันสามารถรับสัญญาณทีวีในระบบ 'วันเซ็ก-ทีวี' ได้ ซึ่งไอพอดไม่มี แถมหน้าจอยังขยายใหญ่ขึ้นเป็น 2.4 นิ้ว
ปีหน้าคงแข่งขันกันดูดเงินในกระเป๋าเรากันยกใหญ่ละครับ


H O M E
Create Date :01 กุมภาพันธ์ 2551 Last Update :22 กรกฎาคม 2551 23:12:35 น. Counter : Pageviews. Comments :107