--- ดู ห นั ง แ ล้ ว ย้ อ น ดู ตั ว เ อ ง --- เมื่อวานไล่ดูละครย้อนหลังสองเรื่องคือ ใบไม้ที่ปลิดปลิวกับกลิ่นกาสะลอง หลังจากจบกลิ่นกาสะลอง มีคลิปต่อจากละครเป็นหนังไทยเรื่อง นาคปรก ไม่ได้คิดมาก่อนหรือตั้งใจว่าจะดูหนังเรื่องนี้ ไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่ดูรายชื่อนักแสดง มีเรย์ แมคโดนัล เต้ ปิติศักดิ์ เต๋า สมชาย และทราย เจริญปุระ ฯลฯ แค่สี่คนนี้ก็ทำให้เราอยากดูหนังไทยเรื่องนี้แล้ว นึกไม่ออกหรอกว่าหนังจะเสนอแนวไหน มีพระนาคปรกก็ต้องเป็นหนังเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ไม่รู้จะเหมือนคนทรงเจ้า หรือเรื่องงูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระ ของคุณวิมล ไทรนิ่มนวลหรือเปล่า แต่คิดว่า ถ้าผ่านเซ็นเซอร์มาได้ ความแรงของหนังน่าจะลดดีกรีลง หรือไม่ก็สื่อแนวทางคำสั่งสอนดีงามและของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจริงและทันสมัยอยู่เสมอ ดูไปเรื่อย ๆ ก็น่าสนใจดี เนื้อหาคร่าว ๆ คือ สามโจร ปอ(เต้ ปิติศักดิ์) ป่าน(เต๋า สมชาย) และสิงห์(เรย์ แมคโดนัล) ปล้นเงินมา ปออุ้มกระเป๋าเงินหนีตำรวจมาทางวัดป่าล้อมและบังเอิญทำถุงเงินตกลงไปในหลุมลูกนิมิตร เขาหนีรอดจากการจับกุมครั้งนี้ไปได้ แล้วสามโจรก็กลับมาที่วัดป่าล้อมเพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แต่ปอบอกว่า วัดก่อสร้างพระนาคปรกทับหลุมลูกนิมิตรที่ทำถุงเงินหล่นลงไปนั่นแล้ว ต้องหาวิธีเข้ามาในวัดและขุดเองสามโจรก็เอาปืนจ่อหัวหลวงตาให้โกนผมให้ ขอนุ่งเหลืองห่มเหลืองในวัดนี้ชั่วคราว ได้ของที่ต้องการแล้วจะไป ปรากฏว่า ป่านกับสิงห์บวชเพียงสองคน ปอไม่เอาด้วย เพราะคิดว่าการใช้ชีวิตในผ้าเหลืองคงลำบาก ถึงแม้จะไม่จริง โจรอย่างปอรู้สึกกระดากใจว่างั้นเถอะ ตัวร้ายสุดที่เราเห็นมาตลอดเรื่องจนจบคือ สิงห์ อย่างเหี้ยม ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อยู่ใกล้ความดี คนดีก็ใช่ว่าจะดีไปด้วยได้ เพื่อเงิน เขาทำได้ทุกอย่าง หน้ามืดตามัว ยิงคนเป็นผักเป็นปลา ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ใครพูดไม่เข้าหูก็ยิงทิ้งได้ ไม่สำนึกคุณงามความดีอะไรทั้งนั้น ขณะห่มเหลืองอยู่ก็ยังกิน สูบ ใช้ชีวิตเหมือนปกติ ไม่ทำกิจของสงฆ์เหมือนป่าน รอเวลาเพื่อขุดเอาเงินแล้วจะรีบไปหนังแนวนี้หนีไม่พ้นอุปมาอุปมัยเรื่องบัวสี่เหล่า ก็มีบัวใต้ตมอย่างสิงห์ อีกทั้งในเครื่องแบบสีกากีและผ้าเหลือง... บัวใต้น้ำอย่างปอกับป่าน แต่ป่านยังติดอยู่กับกิเลสคือเงิน ด้วยความที่สงสารแม่ อยากได้เงินเพื่อพาแม่ไปรักษา เปลี่ยนตา แม่ที่ตาบอดของปอกับป่านนั้นอยู่บ้านตามลำพัง ได้แต่หวังจะให้ลูกกลับบ้าน อยากเกาะชายผ้าเหลืองของลูกขึ้นสวรรค์ ช่วงชุลมุลขุดหาเงินกันในโบสถ์ ตำรวจโจรก็มาถึงพอดี กลายเป็นว่า ตำรวจโจรสมคบคิดกับสามโจรให้ไปปล้นเงินแล้วมาแบ่งกันคนละครึ่ง ข้อตกลงประสาโจรค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้น แต่ขุดหาเงินเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ต่างระแวง สงสัยกันเอง ทะเลาะกันเอง หลวงตาก็ดันสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจมาแต่แรก สิงห์ยิงใครต่อใครตายไปหลายคนก่อนจะถูกตำรวจยิงตายทีหลัง คนที่รอดคือ หลวงตาและปอ ปอนั้นดูมีแววจะเป็นบัวพ้นน้ำได้ รู้สึกผิดชอบชั่วดีกว่าคนอื่น แต่คนที่ห่มผ้าเหลืองอย่างหลวงตาต่างหากสะท้อนอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่าง (ตรงนี้สินะที่น่าจะถูกแบน )คำว่าปล้นผ้าเหลืองในคราวแรก เชิงรูปธรรมก็น่าจะเป็นตอนที่สามโจรเอาปืนจี้ให้หลวงตาบวชให้ กับโจรปล้นผ้าเหลืองก็อาจจะเป็นหลวงตาที่รู้ดีรู้ชั่วแต่ก็เป็นแค่คำสั่งสอนที่พรั่งพรูออกจากปาก สอนใครต่อใครแต่ไม่ใช่ตัวเอง รู้ธรรมแต่ไม่ทำ คำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าไม่ถึงใจ ห่มเหลืองแต่กิเลสหนา เรามาบิงโกตอนที่ตำรวจโจรถามหลวงตาว่า โบสถ์นี่ไม่สร้างเสร็จเร็วไปหน่อยหรือ เอาล่ะ คงพอเห็นภาพนะคะว่า หนังอยากสื่ออะไร โดยส่วนตัว ชอบค่ะ ฉากสวย นักแสดงเล่นดี มีอะไรให้แตกประเด็นได้เยอะ ว่ากันไปตามประสบการณ์ของแต่ละคนนะคะ เราดูรู้เรื่องก็ดีใจแล้ว หนังไม่ได้แรงอะไร อาจจะกระทบวงการพระสงฆ์และตำรวจซึ่งว่าตามจริงก็น่าจะเห็น ๆ กันอยู่ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่ประเด็นศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แตะต้องไม่ได้ ตีแผ่ในทางลบก็ไม่ดี คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ให้เฝ้าดูตัวเอง เปลี่ยนตัวเอง อย่าตำหนิผู้อื่น บางสนทนาในหนัง ที่น่าสนใจก็มี เช่น ชีวิตของการเป็นพระก็เหมือนกับคนที่พายเรือทวนกระแสน้ำ ถ้าไม่อาจต้านแรงน้ำได้ ก็คงต้องปล่อยให้ไหลไป .... การทำดีทวนกระแสชั่วนี่ยากจนถอดใจหรือไงนะ ?? จะเหมือนการคอร์รัปชั่นในทุกสถาบันการเมือง การศึกษา ทุกวงการ ทุกหนทุกแห่งที่เราได้ยินมาหรือเปล่าแต่ไม่ว่าวงการไหนก็มีดีเลวปะปนกันอยู่ พระก็คน มีด้านมืดที่ยังข้ามไม่พ้นก็เยอะ ยิ่งบริจาคทรัพย์สิน เงินทองเป็นจำนวนมาก บางทีก็ข้ามกิเลสตัวนี้ไปได้ยาก อยากได้ อยากมี อยากรวย อยากสบาย ไม่มีที่สิ้นสุด มึงเอากูเอา กินตามน้ำกันไปเรื่อย ๆ จนเป็นกิจปกติ เราไม่ได้กล่าวร้ายพระหรือหาบาปใส่ตัวนะ แต่ก็พูดทั่ว ๆ ไป เนื้อหาหลักของหนังเรื่องนาคปรกน่าจะอยู่ตรงนี้ค่ะว่า พุทธศาสนาถือว่าเงินเป็นดั่งอสรพิษ ทรัพย์สินเงินทองใช่สาระสำคัญของความสุข ขอเพียงรู้จักคำว่าพอ ชีวิตของเราก็จะไม่ร้อนรนด้วยกิเลสตัณหา ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่หยุดเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ ความสุขไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเลย แท้จริงแล้วอยู่ที่ใจ นี่คือธรรมะที่พระพุทธศาสนาสอน ดังนั้นไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ ก็ขอให้เกิดเป็นมนุษย์ในพระพุทธศาสนา มีโอกาสได้ฟังธรรมอันประเสริฐภายใต้ร่มกาสาวพัตรตลอดไป ใครทำดีอยู่แล้วก็ทำดีต่อไปค่ะ ดูหนังแล้วก็ดูตัว ดี ๆ ชั่ว ๆ ก็มี เสียแต่ยังไม่เคยปล้นแบงก์เท่านั้นเอง ^^ขอบคุณค่ะ ภูพเยีย24 กรกฎาคม 2562 Create Date :25 กรกฎาคม 2562 Last Update :25 กรกฎาคม 2562 8:47:41 น. Counter : 891 Pageviews. Comments :0 twitter google Comment * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก