พ.ศ.2552
คลังตั้งทีมรื้อค่ารักษา ข้าราชการ 7 หมื่นล. ... คลังหน้ามืด! ค่ารักษาขรก. พุ่ง1.5แสนล.
คลังตั้งทีมรื้อค่ารักษา ข้าราชการ 7 หมื่นล
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552
//www.posttoday.com/news.php?id=79661กรมบัญชีกลาง ตั้งที่ปรึกษาคุมค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ พบใช้ยาแพงเวอร์ ผงะโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยต้นตอ
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กรมบัญชีกลางตั้งคณะที่ปรึกษา ให้ คำแนะนำกรมบัญชีกลางในการดูแล การเบิกจ่ายค่ารักษาของข้าราชการให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะคำแนะนำการใช้ยาในการรักษาพยาบาล
ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าต้นทุนงบประมาณหมวดนี้สูงมาก
เนื่องจากข้าราชการมีการเบิกจ่ายยาแพง ใช้ยาที่ผลิตจากเมืองนอก รวมถึงการใช้ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นในการรักษาสำหรับคณะที่ปรึกษาจะประกอบด้วยบุคคลภายนอกที่ทรงคุณวุฒิด้านการ แพทย์และรักษาพยาบาล เช่น แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านยา และนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะให้ความเห็นทางวิชาได้ดีมากกว่ากรมบัญชีกลาง และเมื่อได้คำปรึกษาที่ได้ข้อสรุปแล้ว ทางกรมบัญชีกลางก็จะทำหนังสือไปถึงโรงพยาบาลต่างๆ
ให้ใช้ยาในการรักษาโรคต่างๆ ว่าไม่ให้ใช้ยาแพงที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน โดยให้ไปใช้ยาในบัญชีหลักมากขึ้นกรมบัญชีกลางมีอำนาจที่จะสั่งการให้โรงพยาบาลใช้ยาอะไรก็ได้ เพราะเราเป็นคนจ่ายเงิน แต่เพื่อให้เหมาะสมก็ต้องมีการตั้งที่ปรึกษามาให้คำแนะนำการใช้ยาที่ไม่จำ เป็นต้องเป็นยาราคาแพง หรือยานอกเสมอไป เพื่อให้เกิดการประหยัดการ ใช้งบประมาณ โดยที่ไม่กระทบกับการรักษาและคุณภาพชีวิตของข้าราชการ นายพงษ์ภาณุ กล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลปีงบประมาณ 2552 ที่ผ่านมา มีการเบิกจ่ายวงเงินถึง 7 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้ 80% เป็นการจ่ายให้กับข้าราชการที่ไปรักษาเป็นผู้ป่วยนอก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่ายาที่ใช้รักษา ที่เหลืออีก 20% เป็นข้าราชการที่เป็นผู้ป่วยใน
นอกจากนี้ ยังพบว่าโรงพยาบาลประมาณ 34 แห่ง ที่เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เบิกค่ารักษาพยาบาล เป็นสัดส่วนถึง 90% ของวงเงินทั้งหมด จากการเข้าไปตรวจสอบเบื้องต้น ก็พบตามสมมติฐานที่กรมบัญชีกลางตั้งไว้ คือ มีการใช้ยาแพง ยาผลิตจากต่างประเทศ ไม่ใช้ยาบัญชีหลัก และก็มีการจ่ายยาจำนวนมาก ทำให้ต้องมีควบคุมการใช้ยาอย่างจริงจัง
กรมบัญชีกลางประเมินว่า หากไม่เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ จะทำให้ในปีงบประมาณ 2553 มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 1.05 แสนล้านบาท ซึ่งงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอ ต้องใช้เงินคงคลังเป็นภาระของประเทศ โดยนอกจากการดูแลการใช้ยาให้เหมาะสมแล้ว กรมบัญชีกลางต้องออกกฎหมายแก้ไขพระราชกฤษฎีกาค่ารักษาพยาบาลในปี 2523 ควบคุมค่าใช้จ่าย เช่น การแก้ไขให้ข้าราชการเบิกจ่ายในการบำรุงดูแลรักษาสุขภาพ เพื่อไม่ต้อง ใช้เงินรักษาพยาบาลจำนวนมากเมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บในยามชรา โดยจะเสนอครม. เร็วๆ นี้
แถม อีกข่าว ....
คลังหน้ามืด! ค่ารักษาขรก. พุ่ง1.5แสนล. วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
//www.posttoday.com/news.php?id=77292โพสต์ทูเดย์ งบรักษาข้าราชการพุ่งแสนล้านบาท เร่งแก้กฎหมายให้ข้าราชการดูแลสุขภาพ
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า การเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการในปัจจุบันสูงมาก ทำให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในปี 2552 จะสูงถึง 7.05 หมื่นล้านบาท และในปี 2553 จะสูงถึง 1.05 แสนล้านบาท พอถึงปี 2563 จะเพิ่มเป็น 1.56 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ปริมาณที่สูงขึ้นทุกปี ทำให้กระทรวงการคลังต้องออกกฎหมายแก้ไขพระราชกฤษฎีกาค่ารักษาพยาบาลในปี 2523 รวมถึงกำหนดมาตรการต่างๆ ควบคุมค่าใช้จ่ายให้เกิดความเหมาะสม เช่น การแก้ไขให้ข้าราชการเบิกจ่ายในการบำรุงดูแลรักษาสุขภาพเพื่อไม่ต้องใช้เงิน รักษาพยาบาลจำนวนมากเมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บในยามชรา โดยจะเสนอครม. ในเร็วๆ นี้
วิธีแก้ไขปัญหาของกรมบัญชีกลาง คือ ขอความร่วมมือให้ข้าราชการหันมาใช้บัญชียาหลักแห่งชาติ และ
ในอนาคตจะกำหนดเกณฑ์เงื่อนไขการเบิกยา และให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพมากขึ้น อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
นายพงษ์ภาณุ กล่าวด้วยว่า หลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ก็จะออกหลักเกณฑ์เพื่อจูงใจให้ข้าราชการหันมาทำ ประกันสุขภาพเพิ่ม โดยหลักๆ จะเพิ่มสิทธิการรักษาพยาบาลให้ กับครอบครัวข้าราชการ ให้สิทธิข้าราชการเบิกหรือรับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนได้ ให้ข้าราชการเบิกสิทธิค่ารักษาพยาบาลได้ 2 ทาง คือ ทั้งประกัน และเบิกจากรัฐบาล
ปล. บางคนอาจสงสัยว่า ผมนำข่าวมาลงเพราะผมเสียประโยชน์ .. ก็เลยแจ้งไว้ก่อนว่า ผมลาออกจากราชการแล้ว .. จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการ ( ตอนนี้ ใช้บัตรทอง ..ฟรีทุกอย่าง
)
พ.ศ.2552 ...กรมบัญชีกลางคุมเข้มเบิกจ่ายยา ขรก. ไม่ทำตามเกณฑ์ เรียกเงินคืนคลัง //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=12-12-2016&group=29&gblog=1
พ.ศ.2552
คลังตั้งทีมรื้อค่ารักษา ข้าราชการ 7 หมื่นล. ... คลังหน้ามืด!ค่ารักษาขรก. พุ่ง1.5แสนล. //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=08-12-2009&group=29&gblog=2
พ.ศ.2552
สรุปอภิปราย มาตรฐานการกำหนดค่าใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ใน สวัสดิการการ ของ ข้าราชการ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=26-02-2010&group=29&gblog=3
พ.ศ.2552
เสนอเลือกเบิกจ่ายยาให้ข้าราชการบางกลุ่ม ??? .... ข้าราชการ ก็เตรียมตัวไว้บ้าง //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=18-05-2009&group=29&gblog=4
พ.ศ.2553
คลังเปิดทางให้ ข้าราชการนอนรักษาร.พ.เอกชนได้ ..... (ดูเหมือนดี แต่มันจะดีจริงหรือ ???) //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=03-09-2010&group=29&gblog=5
พ.ศ.2554
ขรก.จ๊ากแน่ คลังเลิกจ่าย ยานอก9กลุ่ม (ไทยโพสต์) ....นำกระทู้มาลงไว้เป็นข้อมูล //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-01-2011&group=29&gblog=6
พ.ศ. 2555
จ่ายยาต้นแบบให้ข้าราชการ (เบิกได้)แต่หมออาจต้องจ่ายเงินตัวเองให้ DSI.. //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=22-07-2012&group=29&gblog=8
พ.ศ.2556 ...คลังรุกอีกคุมเข้ม"ป่วยนอก"ขรก.วางแนวให้"เหมาจ่าย"เผยเจอข้อมูลส่อทุจริตเวียนรับยารพ.600ครั้ง/ปี //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-11-2012&group=29&gblog=7
พ.ศ.2557
ปัญหายาข้าราชการ....ประเด็นที่ยังไม่มีใครพูดถึง ... โดยนาวาอากาศโท นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=25-10-2012&group=29&gblog=9
พ.ศ.2559
กรมบัญชีกลาง เตะหมูเข้าปากหมา?ตัดงบ 60,000 ล้าน ให้ บ.ประกันบริหารค่ารักษา ขรก. //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=29-09-2016&group=29&gblog=10
พ.ศ.2560
ขบวนการใช้สิทธิขรก.โกงยา สวมสิทธิ-ยิงยา-ช็อปปิ้งยา ปี59 ใช้บริการกว่า 27.8 ล้านครั้ง //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=14-08-2017&group=29&gblog=11
โดย: NuHring 8 ธันวาคม 2552 19:18:53 น.
รักษาฟรี คนไข้ล้นโรงพยาบาล ผมเคยเขียนกระทู้ลงห้องสวนลุมหลายครั้ง (แม้แต่อเมริกาที่เขารวยกว่าเรายังมีปัญหาเลย)
ทางหนึ่งเกิดจากรัฐจัดสรรค่าใช้จ่ายรายหัวให้ไม่พอ ทางรพ.ก็เลยต้องช่วยตัวเองโดยชาร์ทจากผู้ป่วยที่เบิกได้ไปถัวกับบัตรทอง
ถ้าจะแก้ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ อยู่กับรัฐว่าจะทบทวนโครงการนี้
อย่างไร ไม่งั้นโครงกวรไทยเข้มแข็งกู้เป็นล้านล้านบาทก็ไม่พอครับ
โดย: ข้าราชการบำนาญสาธารณสุข (Ni.Somsak ) 9 ธันวาคม 2552 6:02:44 น.
จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผ่านอธิบดีกรมบัญชีกลาง
31 มค. 2553
เรื่อง สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัว
เรียน รมช.กระทรวงการคลังผ่าน อธิบดีกรมบัญชีกลาง
สิ่งที่ส่งมาด้วย
1.ขู่ตัดงบรักษาพยาบาล
วันเสาร์ ที่ 23 มกราคม 2553 เวลา 7:58 น
//www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=562&contentID=44429
2.จดหมายเปิดผนึกถึงนายสมภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง
3.จดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
4.บทความเรื่อง ถึงเวลาต้องปฏิรูประบบบริการด้านสุขภาพ
5.กระทรวงสาธารณสุขควรพัฒนาอย่างไรรับปีใหม่ 2553
เรียน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผ่านอธิบดีกรมบัญชีกลาง
จากสิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 1 นั้น นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลังบอกว่าจะตัดงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการข้าราชการลงประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท เนื่องจาก อธิบดีกรมบัญชีกลางพบว่าค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัวสูงมาก รวมทั้งมีการทุจริต เบิกยาไปขายและได้ลงโทษปรับมากมายนับเป็นเงินหลายล้านบาทตามรายละเอียดในสิ่งที่ส่งมาด้วย 1.นั้น
ดิฉันเป็นข้าราชการบำนาญ ที่ใช้สิทธิในการรักษาจากสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งบัดนี้พบว่ากรมบัญชีกลางได้ยกเลิกยาหลายรายการไม่ให้ข้าราชการเบิกได้ ในขณะที่ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมก็ถูกจำกัดสิทธิในการรักษาและการได้รับยาบางอย่างเช่นเดียวกัน
แต่ประชาชน 47 ล้านคนที่ได้รับการบริการทางการแพทย์ในระบบหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง/ 30 บาท) ไม่ต้องจ่ายเงินของตนเองแต่อย่างใดทั้งสิ้น กลับได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างเต็มที่แบบไม่มีขอบเขตจำกัด ( no limitation of medical treatment and medicine) ทั้งยา เวชภัณฑ์ กระบวนการรักษาทุกชนิดรวมทั้ง อุปกรณ์การแพทย์
ส่วนสาเหตุที่ค่ารักษาพยาบาลในระบบสวัสดิการข้าราชการเพิ่มขึ้นมากนั้น เกิดจากงบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่โรงพยาบาลนั้น เป็นงบขาดดุล คือ ไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบริการทางการแพทย์แก่ประชาชนบัตรทองได้
โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข จึงต้องหาเงินมาชดเชยงบประมาณที่ขาดดุลในโครงการ 30 บาทนี้ โดยการ “เพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์” มากกว่าเดิมตั้งแต่ 30-100 เปอร์เซ็นต์(บางอย่างก็มากกว่า 100%) เพื่อที่โรงพยาบาลจะสามารถเก็บเงินค่าบริการต่างๆเหล่านี้ จากประชาชนในกลุ่มผู้ประกันตน ผู้จ่ายเงินเองและผู้ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือผู้มีประกันสุขภาพเอกชน
ฉะนั้น โรงพยาบาลของราชการจึงทำตัวเหมือนโรบินฮู้ด คือถ่ายเทเงินจากกระเป๋าหนึ่ง(กรมบัญชีกลางหรือประกันสังคม) มาช่วย “เติมเต็ม” อีกกระเป๋าหนึ่ง คืองบเหมาจ่ายรายหัวในระบบ 30 บาท
ทั้งนี้งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในระบบ 30 บาท ในปีพ.ศ. 2552นั้น จ่าย 2,202 บาทต่อคนต่อปี โดยงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวนี้ยังมีส่วนเงินเดือนของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย และงบประมาณนี้ตกถึงโรงพยาบาลราชการแค่ 700 กว่าบาทต่อคนต่อปี(1) (เนื่องจากถูกหักออกเป็นเงินเดือนและอื่นๆจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ---สปสช) ในขณะที่กลุ่มประชาชนในระบบ 30 บาทก็มีทั้งเด็กและคนชรา ซึ่งมีการเจ็บป่วยมากกว่ากลุ่มผู้ประกันตน ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มสาว ทำให้ในระบบ 30 บาท มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก จึงเป็นเหตุให้งบประมาณค่ารักษารายหัวในระบบ 30 บาทไม่สมดุลกับต้นทุนจริงที่โรงพยาบาลต้องใช้ในการรักษาพยาบาลประชาชนในระบบ 30 บาท
แต่ในส่วนงบประมาณเหมาจ่ารายหัวของผู้ประกันตนก็จ่ายให้โรงพยาบาลเต็มจำนวน 1,900 บาทต่อคนต่อปี และประชาชนที่ใช้สิทธิประกันสังคมนี้ก็เป็นผู้อยู่ในวัยหนุ่มสาว จึงไม่ป่วยบ่อย และขอบเขตการบริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตนก็มีจำกัดกว่าในระบบบัตรทอง จึงทำให้เงินเหมาจ่ายรายหัวของผู้ประกันตนสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบริการทางการแพทย์ และมีกำไรอีกด้วย
จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า โรงพยาบาลเอกชนจะเข้าร่วมโครงการประกันสังคม มากกว่าโครงการบัตรทอง (ทั้งๆที่สปสช.ก็จะจ่ายเงินค่าหัวในระบบบัตรทองให้โรงพยาบาลเอกชนเต็มจำนวน ไม่หักเงินเดือนออกเหมือนโรงพยาบาลของราชการ) ถึงกระนั้นโรงพยาบาลเอกชนหลายๆแห่ง ก็ไม่อยากจะรับรักษาประชาชนบัตรทอง แสดงว่าอะไร ท่านก็คงจะบอกได้ว่า ก็เนื่องจากสปสช.จ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่คุ้มกับต้นทุนที่โรงพยาบาลต้องจ่ายในการรักษาผู้ป่วยนั่นเอง
ฉะนั้นการที่ รมช,คลังคือนพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์กล่าวว่าข้าราชการใช้งบประมาณในการรักษาแพงไป มีการคอรับชัน เบิกยาไปขายหลายล้าน ในขณะที่งบประมาณใช้ไป 60,000 ล้านบาทนั้น ถือว่าการคอรับชันไม่ถึง 0.00001 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าต่ำมากๆ แต่ท่านรัฐมนตรีกลับจะมาลงโทษข้าราชการที่สุจริต ไม่ให้ใช้สิทธิในความเป็นข้าราชการที่เสียสละทำงานเงินเดือนน้อยเพื่อรับใช้ประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง
ในฐานะที่กระทรวงการคลังต้องดูแลงบประมาณที่ได้มาจากภาษีประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ดิฉันขอให้ท่านไปสอบถามกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลในระบบ 30 บาทดูว่าปัญหาการเงินไม่พอใช้มันเกิดจากอะไร และเหตุใดค่ารักษาจึงแพงมากในระบบสวัสดิการข้าราชการ เพื่อจะได้รับทราบ “ความจริง” ในเรื่องงบประมาณค่ารักษาพยาบาลใน 3 ระบบดังกล่าว และ แก้ปัญหาที่ “รากเหง้าของปัญหาอย่างแท้จริง” คืองบประมาณในระบบ 30 บาทไม่สมดุลกับต้นทุนรายจ่ายจริงดังรายละเอียดที่ได้นำเรียนมาแต่ต้น
นั่นคือเกิดความ”บิดเบี้ยว” ในการคิดค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลของราชการ ทำให้เห็นเป็นความผิดของข้าราชการว่าใช้เงินค่ารักษาพยาบาลมากเกินไป แต่ที่จริงนั้นเกิดจากสปสช.ให้เงินไม่คุ้มต้นทุนในการรักษาประชาชนบัตรทอง และโรงพยาบาลขึ้นราคาค่ารักษาโดยเก็บเอาจากสวัสดิการข้าราชการ
อนึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนก่อนคือนายสมภพ สุสังกร์กาญจน์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่พยายามจะตัดงบประมาณสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ดิฉันได้เคยเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านเหล่านั้น เพื่ออธิบายถึงสาเหตุความเป็นมาของค่ารักษาของข้าราชการว่าทำไมจึงสูงขึ้นดังกล่าวแล้ว ซึ่งดิฉันขอส่งจดหมาย 2 ฉบับดังกล่าวนั้น (สิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 2 และ3)มาให้ท่านพิจารณาพร้อมจดหมายนี้ด้วย
นอกจากนั้นสาเหตุที่ยามีราคาแพงยังเนื่องจากวงการแพทย์สามารถผลิตยารักษาโรคร้ายแรงอื่นๆ ทำให้อาการทุเลาลง แต่บางโรคก็ไม่หายขาด และยาเหล่านี้เป็นยาใหม่จึงมีราคาสูง สามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยได้มากขึ้นกว่าเดิม ผู้ป่วยไม่ตาย จึงกลายเป็นโรคเรื้อรัง ทำให้ต้องการการรักษาอย่างยาวนาน โดยที่ผู้ป่วยก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอายุยืนยาวขึ้น แต่ต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่อง เช่น ยารักษาโรคมะเร็งต่างๆ รักษาโรคเอดส์ หัวใจ เบาหวาน อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์มีราคาสูงขึ้น
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณค่ารักษาพยาบาลใน 3 ระบบให้เหมาะสม ตามข้อเสนอแนะในสิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 4 และ 5
ขอแสดงความนับถือ
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ข้าราชการบำนาญ กระทรวงสาธารณสุข
เอกสารอ้างอิง
1.//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lif01121052&am p;sectionid=0132&day=2009-10-12
ปล.
ผมได้รับจดหมายเปิดผนึกนี้ คิดว่าน่าจะนำมาเผยแผ่ เป็นข้อมูลอีกส่วนหนึ่ง ... สำหรับข้าราชการ ที่อาจต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ...
โดย: หมอหมู 31 มกราคม 2553 19:28:58 น.
สรุปอภิปราย “มาตรฐานการกำหนดค่าใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ ใน สวัสดิการการ ของ ข้าราชการ”
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-02-2010&group=7&gblog=52
คลังตั้งทีมรื้อค่ารักษา ข้าราชการ 7 หมื่นล. ... คลังหน้ามืด! ค่ารักษาขรก. พุ่ง1.5แสนล.
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-12-2009&group=7&gblog=43
“ความจริง” ที่เกี่ยวกับระบบการบริการด้านสุขภาพของประเทศไทย .. พญ. เชิดชู
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-11-2009&group=7&gblog=39
อึ้ง! วิจัยเผยคนไทยใช้ยาเกินจำเป็น 500ล.ต่อปี .... ( จริง ๆ น่าจะมากกว่านั้นเยอะ )
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2009&group=7&gblog=27
เสนอเลือกเบิกจ่ายยาให้ข้าราชการบางกลุ่ม ??? .... ข้าราชการ ก็เตรียมตัวไว้บ้าง
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=18-05-2009&group=7&gblog=26
หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หลักการดีแต่ต้องรีบ“ปฏิรูปวิธีดำเนินการ” ... พญ. เชิดชู
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=14-04-2009&group=7&gblog=23
โดย: หมอหมู 28 กุมภาพันธ์ 2553 11:02:58 น.
ป.ป.ท.สอบโกงค่ายาหลวง หลังยอดเบิกพุ่ง 3 เท่า พบทุจริต 4 รูปแบบ "หมอ-เภสัช" เอี่ยวด้วย มีทั้งเบิกยามากเกินจำเป็น ปลอมเวชระเบียน คาดไว้ใช้ในคลีนิคส่วนตัว หรือหวังค่าคอมมิสชั่นจากบริษัทยา
นายภิญโญ ทองชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจิตภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผย
เมื่อ วันที่ 17 เมษายนว่า ภายหลัง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พบความผิดปกติในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบราชการ ที่พุ่งสูงจากปีละกว่า 20,000 ล้านบาท เป็น 60,000 ล้านบาท และประสานมายัง ป.ป.ท.เพื่อให้เข้าไปตรวจสอบ โดยกรมบัญชีกลางอนุญาตให้ ป.ป.ท.เข้าไปดู หรือใช้ฐานข้อมูลการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล พบว่ามีบุคลากรในโรงพยาบาล (รพ.) จำนวนมากมีพฤติกรรรมส่อไปในทางทุจริต โดย ป.ป.ท.ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในหลายโรงพยาบาล จึงพบลักษณะการโกงเงิน หลอกลวงเพื่อนำไปเป็นสวัสดิการให้บุคลากรในโรงพยาบาล ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงระบบรักษาพยาบาลเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้รายได้ของโรงพยาบาลลดลงมาก จึงต้องหาวิธีการจัดสรรผลประโยชน์ให้เหมือนเดิม
นายภิญโญกล่าว ว่า การทุจริตครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.บุคลากรในโรงพยาบาล ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการ แพทย์ เภสัชกร ฯลฯ กระทำความผิด โดยผู้อำนวยการ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและบริหารโรงพยาบาลทั้งหมด แสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบค่าคอมมิสชั่น โดยฮั้วกับบริษัทยา เพื่อจัดซื้อยาให้มากที่สุดจนเกินความจำเป็น จากการไปตรวจสอบพบว่า มีแพทย์บางโรงพยาบาลได้สั่งยานอกบัญชียาหลัก หรือไม่ก็สั่งยาที่ไม่ได้ใช้แล้ว โดยใช้วิธีการอ้างชื่อผู้ป่วยและมีการจ่ายยาถี่ยิบ แพทย์บางคนถึงขนาดสั่งยาที่เป็นคนละโรคกัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้ป่วยจะทราบด้วยหรือไม่
เลขาธิการ ป.ป.ท.กล่าวอีกว่า รูปแบบ 2. คือมีการสรุปโรคที่ไม่เป็นไปตามแนวทางมาตรฐานการให้รหัสโรค ซึ่งโดยปกติทุกโรงพยาบาลต้องมีการลงทะเบียนรหัสโรคไว้แล้วแต่อาการ แต่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงรหัสโรค เพื่อให้โรคดูรุนแรงขึ้น เพราะเป็นประโยชน์ต่อการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากกรมบัญชีกลาง นอกจากนี้ ยังตรวจพบว่ามีการเพิ่มเติมข้อมูลเข้าไปด้วย เช่น การจ่ายยา 100 เม็ด ก็เพิ่มเป็น 1,000 เม็ด เป็นต้น ซึ่ง ป.ป.ท.กำลังติดตามขบวนการนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเชื่อว่าน่าจะมีการนำยาไปขายตามร้านขายยาหน้าโรงพยาบาลหรือแหล่งใกล้ เคียง โดยมีข้อสังเกตว่าร้านขายยาหลายแห่งตามหน้าโรงพยาบาลมีราคาถูกกว่าในท้อง ตลาด
นายภิญโญ กล่าวต่อว่า 3.เชื่อว่าผู้ขายยาให้โรงพยาบาล สมคบคิดกับบุคลากรบางส่วนในการนำยาออกไปขาย โดย ป.ป.ท.พบว่า มีแพทย์บางคนที่เปิดคลีนิคได้สั่งยาจากโรงพยาบาลบางประเภทถี่ยิบ ด้วยการปลอมแปลงระบบเวชระเบียน โดยที่คนไข้ไม่ได้มารักษาพยาบาลจริง เพราะผู้ทุจริตย่ามใจว่า กรมบัญชีกลางไม่สามารถตรวจสอบไปที่คนไข้ได้ 4.กลุ่มบริษัทยาซึ่งเป็นตัวการสำคัญของขบวนการโกงเงินหลวงครั้งนี้ เพราะต่างต้องการขายยาให้ได้ไปปริมาณมาก จึงแข่งขันกันเสนอค่าคอมมิสชั่นให้บุคลากรในโรงพยาบาล นอกจากเรื่องเงินแล้ว ยังมีการติดสินบนให้คนเหล่านี้เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ โดยมักอ้างการดูงาน ถือว่าข้าราชการเหล่านี้รับผลประโยชน์โดยมิชอบ
"หมอ บางรายสั่งยาให้ตัวเองถึง 7-8 ครั้ง เป็นยาตัวเดียวกัน บางทีก็ใช้ชื่อภรรยา เมื่อเราตามไปดูพบว่าเขาเปิดคลีนิคอยู่ด้วย หมอบางคนสมคบกับบริษัทยาโกงเงินหลวง การที่เขาพยายามสั่งยาดีให้คนป่วยถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและควรสนับสนุน แต่เราพบว่ามีจำนวนมากที่สั่งยาเกินความจำเป็น" เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวและว่า ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา กรมบัญชีกลางได้เปลี่ยนแปลงระบบการเบิกจ่าย จากที่เคยให้ข้าราชการสำรองจ่ายไปก่อนแล้วนำใบเสร็จมาเบิก เป็นระบบจ่ายตรงไปยังโรงพยาบาล ทำให้มีการใช้เงินพุ่งสูงจนผิดปกติมาก ซึ่งกรมบัญชีกลางทราบว่ามีการทุจริต เพียงแต่ไม่รู้จะเข้าไปตรวจสอบอย่างไร จึงได้ลงนามความร่วมมือกับ ป.ป.ท.เพื่อวางแผนดำเนินคดีกับบุคลที่ทุจริตเหล่านี้ หลังจากตรวจสอบจนเสร็จสิ้นก็ต้องมีการดำเนินคดีต่อไป ถ้าเป็นข้าราชการระดับต่ำกว่าผู้อำนวยการลงมา ป.ป.ท.สามารถดำเนินการได้เลย แต่หากระดับผู้อำนวยการ จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป
//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1271509197&grpid=&catid=01
ปล. มีข่าวแบบนี้อีกแล้ว ... มาหลายรอบ น่าจะจัดการให้เด็ดขาดไปเลยครับ ..
มีหลักฐาน ก็ ไล่ออก ฟ้องแพ่ง ฟ้องอาญา .. แล้วก็ลงข่าวให้คนอื่นรับรู้ไว้เป็นเยี่ยงอย่าง จะได้ไม่กล้าทำอีก ..
ผม อาจมองในแง่ร้าย .. ว่า อาจมีอะไรแอบแฝง ... ประโคมข่าวบ่อย ๆ เพื่อจะปรับเปลี่ยนระบบสวัสดิการของข้าราชการมากกว่า นะสิครับ
โดย: หมอหมู 19 เมษายน 2553 16:17:24 น.
คลังจับทุจริตยา ขรก.เพิ่มเติม 11 ราย เบิกยาพุ่งจากปีละ 5 หมื่น เป็น 5 แสน
https://www.hfocus.org/content/2016/06/12319
Fri, 2016-06-24 11:59 -- hfocus
กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตรวจพบข้าราชการและบุคคลในครอบครัว 11 ราย มีพฤติกรรมเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่อทุจริต เบิกค่ายาสูงกว่าปีก่อนๆ เช่น ปี 56 เบิกค่ายา 5 หมื่นบาท ปี 57 เบิกค่ายาพุ่งขึ้นเป็นกว่า 5 แสนบาท สั่งระงับสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษา ตั้งแต่ 1 พ.ค. 59 พร้อมดำเนินคดีอาญา
นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงของข้าราชการและบุคคลในครอบครัว พบว่า ข้าราชการและครอบครัว จำนวน 11 ราย มีพฤติกรรมการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลส่อไปในทางทุจริต ขณะนี้ได้ดำเนินการระงับสิทธิเบิกจ่ายตรงทั้ง 11 รายแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2559
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า สำหรับพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ สมัครขอใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงไว้หลายโรงพยาบาล และตระเวนไปใช้บริการเพื่อขอรับยาด้วยโรคเดียวกัน ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น นาง ก มารดาของข้าราชการ ได้สมัครจ่ายตรงไว้ 5 โรงพยาบาล เมื่อไปโรงพยาบาลแต่ละแห่งจะขอรับยากลุ่มความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง โดยแจ้งต่อแพทย์ผู้รักษาว่า ขาดยาบ้าง ต้องไปต่างจังหวัดบ้าง เป็นต้น ซึ่งจะพบข้อมูลการเบิกจ่ายผิดปกติไปจากเดิม เช่น เบิกค่ายาสูงกว่าในปีก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด จากเดิมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เบิกจ่ายค่ายา จำนวน 58,981 บาท แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 เบิกจ่ายค่ายา 527,893 บาท
ขณะนี้มีหลักฐานเพียงพอที่จะสามารถดำเนินการคดีอาญาได้จำนวน 2 ราย จากทั้งหมด 11 ราย ซึ่งกรมบัญชีกลางจะแจ้งให้โรงพยาบาลฯ ในฐานะผู้เสียหายร่วม ไปร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวด้วยกัน ส่วนอีก 9 ราย ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารหลักฐาน
นายมนัส กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้กรมบัญชีกลางได้ดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิดในลักษณะนี้ไปแล้วจำนวน 8 ราย ศาลมีคำพิพากษาจำนวน 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจำนวน 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการและพนักงานสอบสวน 4 ราย และเสียชีวิตจำนวน 2 ราย
"การดำเนินการในเรื่องนี้ ได้เน้นย้ำว่า แม้ว่าการใช้สิทธิที่ส่อไปในทางทุจริตจะมีจำนวนไม่มาก แต่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของระบบสวัสดิการข้าราชการ จึงต้องดำเนินการให้เด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคนที่ใช้สิทธิโดยสุจริต" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
.............
ปล. หลังจากเงียบหายไปหลายปี .. มีผู้ต้องหา ๑๐ คดี
โดย: หมอหมู 4 ตุลาคม 2559 22:45:47 น.
17 กันยายน 2559 06:03 น. โดย ผู้จัดการรายวัน
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลายวันก่อน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยนายประจักษ์ บุญยัง รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน มีหนังสือด่วนถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดหาและควบคุมการใช้ยาของบุคลากรทางแพทย์ ในสังกัดของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.)กระทรวงมหาดไทย
ข้อความในหนังสือระบุว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดหาและควบคุมการใชยาของบุคลการทางแพทย์ ในโรงพยาบาลหลายแห่ง ในด้านการใช้ยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆของโรงพยาบาลที่ไม่ถูกต้อง เช่น
การรับเงินสวัสดิการใต้โต๊ะ การล็อกสเปกยา การใช้ยาไม่สมเหตุผล หรือเกินความจำเป็น เป็นต้น
สตง.เห็นว่ากรณีนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลสูงเกินควร การบริโภคยาที่ไม่สมเหตุผล ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของผู้ป่วย และปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจก่อให้เกิดการทุจริต หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ง.ยังระบุในหนังสือว่า เพื่อให้การจัดหาและควบคุมการใช้ยาของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส สมเหตุสมผล และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายภาครัฐ จึงมีข้อเสนอแนะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งการ และติดตามให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย ควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบให้ ผู้บริหารโรงพยาบาลและสถานพยาบาลที่อยู่ในการกำกับดูแลทุกแห่ง ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่องเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยาของประเทศไทย พ.ศ.2559และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เกณฑ์จริยธรรมฯ เน้นว่าผู้สั่งใช้ยา ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการคัดเลือกจัดซื้อ จัดหาและใช้ยา โดยยึดประโยชน์ของผู้ป่วยและส่วนรวมเป็นสำคัญ ส่วนสถานพยาบาล สถานศึกษา สถานบริการเภสัชกรรม หรือหน่วยงาน พึงกำหนดแนวปฏิบัติตามเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยาเป็นลายลักษณ์อักษร และกำกับดูแลบุคลากรปฏิบัติตามกรอบจริยธรรม และพึงจัดให้มีระบบรองรับในการรับการสนับสนุนใดๆ จากบริษัทยา ให้เป็นไปอย่างเปิดเผยทุกคนในองค์กรรับรู้ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ต่อมานายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ทำหนังสือถึง ผู้ว่ากรุงเทพมหานครอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกแห่ง เพื่อดำเนินการและรายงานให้มหาดไทยรับทราบทุกๆ 6 เดือน เพื่อรายงานให้ สตง.รับทราบต่อไป
ประเด็นข้างต้นนี้ สตง. ยังส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจ้งให้ปลัดกระทรวงสาธาณสุข ตรวจสอบไปยังโรงพยาบาลในสังกัดด้วย โดยกำหนดต้องรายงานทุกๆ 6 เดือนเช่นกัน
ทีนี้มาดูสถานการณ์ของเรื่องนี้ ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) มี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ศูนย์บริการสาธารณสุข ศูนย์แพทย์แผนไทย สถานบริการสาธารณสุขชุมชน ศูนย์สุขภาพชุมชน เทศบาลตำบล เทศบาลเมืองคลินิกชุมชน สถานีอนามัย ศูนย์การแพทย์และฟื้นฟู คลินิกอุ่นไอรัก ฯลฯ ส่วน เมืองพัทยา มีสำนักการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเมืองพัทยาอยู่ในกำกับ รวม 351 แห่งทั่วประเทศ
ขณะที่ กทม.มีหน่วยงานขึ้นตรงกับ สำนักอนามัยประกอบด้วย สำนักงานเลขานุการ กองควบคุมโรคติดต่อกองทันตสาธารณสุข กองควบคุมโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ สำนักงานพัฒนาระบบสาธารณสุข สำนักงานป้องกันและบำบัดการติดยาเสพติด สำนักงานสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม กองเภสัชกรรม สำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักงานชันสูตรสาธารณสุข กองสร้างเสริมสุขภาพ กองสุขาภิบาลอาหาร กองการพยาบาลสาธารณสุข และมี ศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัยกรุงเทพมหานครจำนวน 68 แห่ง
ส่วนกระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เมฆธนปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ส่งหนังสือถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) 76 แห่ง เพื่อกำชับผู้บริหารโรงพยาบาลทุกแห่ง มีมาตรการควบคุมกำกับดูแล และตรวจสอบให้มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์จริยธรรมในการปฏิบัติงาน หากพบว่ามีการปฏิบัติงานมิชอบ ที่อาจทุจริต ต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
กระทรวงสาธารณสุขยังเดินหน้านโยบายการใช้ยาสมเหตุผล โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดดำเนินการนโยบายดังกล่าว ซึ่งจะมีเกณฑ์ในการใช้ยาสมเหตุผล ลดปัญหาการใช้ยาที่ไม่จำเป็น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาดื้อยาอีกด้วย
ย้อนกลับไปดูว่าทำไม สตง. ถึงต้องมีหนังสือแจ้ง ทั้งกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เดิมทีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เคยตรวจสอบพบว่า มีการเบิกจ่ายยามากเกินความจำเป็นในลักษณะของ การชอปปิงยาดังนั้นการที่ สตง. ส่งหนังสือมาก็เกรงว่า บุคลากรทางการแพทย์อาจทำผิดเกณฑ์จริยธรรมในการส่งเสริมการขาย โดยอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาครัฐได้
เชื่อว่าทั้ง 2 กระทรวงจะได้กำชับให้โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขในสังกัดจัดทำรายงานผลการปฏิบัติเรื่องเกณฑ์จริยธรรม เรื่องจากจัดซื้อจัดหา และแนวทางปฏิบัติเรื่องการเปิดเผยข้อมูล เพื่อรวบรวมผู้บริหารต่อไป
กรณีของการชอปปิงยาหรือ การรับเงินสวัสดิการใต้โต๊ะ การล็อกสเปกยา การใช้ยาไม่สมเหตุผลหรือเกินความจำเป็น ที่สตง.ระบุข้างต้น หากข้อดูข้อมูลในอดีตเมื่อปี 2554 ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ กรมบัญชีกลาง เปิดเผยถึงการตรวจสอบการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว
จากข้อมูลของกรมบัญชีกลาง พบว่าปัจจัยที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นมีที่มาจาก 1. กลุ่มข้าราชการสูงอายุเพิ่มมากขึ้น 2. ราคายาสูงขึ้น 3. ยาที่เป็นต้นแบบมีราคาสูงขึ้น 4. มีปัญหาโรงเรื้อรังสูง และ 5. ทุจริต
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในระบบสาธารณสุขระหว่างกรมบัญชีกลางกับดีเอสไอ พบความผิดปกติดังนี้ 1. หลักฐานทางการเงินที่โรงพยาบาลขอเบิกกรมบัญชีกลางไม่ตรงกับข้อมูลค่ารักษาที่ส่งเบิกในระบบจ่ายตรง 2. ลายมือชื่อแพทย์ในเวชระเบียน ไม่ตรงกับลายมือชื่อแพทย์ในใบสั่งยา 3. ตามหลักฐานเวชระเบียนพบว่ามีข้อมูลเข้ารับการรักษา จำนวน 6 ครั้ง แต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจริงเพียง 2 ครั้ง 4. การสั่งจ่ายยาเพื่อการรักษาไม่สัมพันธ์กับอาการป่วยของผู้ป่วย แพทย์สั่งจ่ายยาให้กับญาติผู้ป่วยที่ไม่มีสิทธิสวัสดิการ 5. มีการสั่งจ่ายยาในปริมาณมากเกินกว่าที่ผู้ป่วยจะใช้ได้หมด
สำหรับรูปแบบการทำผิดแยกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. การสวมสิทธิ์ ผู้ป่วยหรือไม่มีอาการป่วย ซึ่งไม่มีสิทธิ์ตามสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัวเข้าสวมสิทธิ์รักษาพยาบาลของบุคคลที่มีสิทธิ์ ซึ่งดีเอสไออยู่ระหว่างการสอบสวนเพื่อหาตัวบุคคลที่สวมสิทธิ์ผู้อื่น
2. การยิงยา พบว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายยา มีการสั่งจ่ายยาที่ไม่จำเป็นและเหมาะสมสัมพันธ์กับอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย หรือจ่ายยาในลักษณะสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น เน้นการจ่ายยานอกบัญชีหลัก ซึ่งมีราคาแพง โดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทผู้ผลิตยา หรือตัวแทนจำหน่ายยาในลักษณะของผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินตอบแทน ของกำนัล คอมมิชชั่น ตั๋วเครื่องบินให้เดินทางไปต่างประเทศ
กรณีนี้ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก และจากการตรวจสอบของดีเอสไอ พบบุคคลากรทางการแพทย์ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการปฏิบัติหน้าที่ ในลักษณะยิงยา จำนวนหลายครั้งเกินปกติ จากบริษัทยาที่มียอดการสั่งจ่ายสูง โดยพบว่าแพทย์ผู้นั้นได้รับผลประโยชน์จากบริษัทยาโดยได้รับสิทธิในการเดินทางไปต่างประเทศ กรณีนี้ ดีเอสไอได้ส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการ
3. การชอปปิ้งยา คือ ผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัวจะเบิกค่ารักษาพยาบาล ในลักษณะเดินสายขอตรวจรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆในช่วงวันเดียวกัน หรือระยะเวลาใกล้เคียงกัน และมักเดินทางไปพบแพทย์เกินกำหนดนัด เป็นเหตุให้ได้รับยาจำนวนมากยิ่งขึ้น มีการดำเนินการลักษณะเป็นขบวนการ มีความเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วย บุคคลากรทางการแพทย์ ร้านขายยา บริษัทยา โดยปริมาณยาที่ได้รับไปหากบริโภคยาที่ได้รับไปทั้งหมด จะมีผลให้เป็นอันตรายแก่ร่างกายมากกว่าจะมีผลในการรักษาพยาบาล และมีการนำไปจำหน่ายในร้านขายยา หรือส่งมอบให้บุคคลอื่นต่อ โดยดีเอสไอ กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอเป็นคดีพิเศษเนื่องจากไม่ใช่คดีเกี่ยวเนื่องกับการลักลอบนำยาแก้หวัดสูตรผสมซูโอเอเฟรดีน ออกจากระบบ
ตอนนั้นกรมบัญชีกลางให้ข้อมูลว่า จากการแก้ไขปัญหาดังกล่าวทำให้สถิติค่ารักษาพยาบาลสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ในปี 2554 ลดลงจากเดิม 62,200 ล้านบาท เป็น 61,500 ล้านบาท มีการเข้มงวดว่า หากพบข้าราชการมีพฤติกรรมชอปปิงยา จะถูกเรียกเงินคืน ลงโทษทางวินัย และดำเนินคดีอาญา ส่วนบุคคลในครอบครัวจะถูกเรียกเงินคืน ดำเนินคดีอาญา และถอนสิทธิการรักษาพยาบาล
ครั้งนั้น กระทรวงการคลังได้ออกหนังสือเวียนถึงผู้ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลให้ทราบว่าหากมีการกระทำความผิดจะถูกเพิกถอนสิทธิรักษาให้กลับไปใช้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแทน รวมถึงออกระเบียบใหม่กำหนดให้ผู้ป่วยรักษาพยาบาล 1 โรงพยาบาล ต่อ 1 โรค โดยอยู่ระหว่างรอการทำระบบของโรงพยาบาล
กระทรวงการคลัง ยังได้เสนอ นายกรัฐมนตรี(ขณะนั้น) เพื่อให้มีการกำหนดรหัสยา ให้ยาชนิดเดียวกันใช้รหัสเดียวกันในทุกโรงพยาบาล เพื่อความสะดวกในการควบคุมและสั่งจ่ายยา และสามารถนำมาประเมินให้เห็นภาพสถิติการใช้ยาทั้งระบบได้
ผ่านมา 5 ปี วันนี้ สตง.ยังได้รับการร้องเรียนว่า ยังมีการชอปปิงยา รับเงินสวัสดิการใต้โต๊ะล็อกสเปกยา ในวงการสาธารณสุขเหมือนเดิม
โดย: หมอหมู 4 ตุลาคม 2559 22:49:54 น.
17 กันยายน 2559 06:03 น. โดย ผู้จัดการรายวัน
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลายวันก่อน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยนายประจักษ์ บุญยัง รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน มีหนังสือด่วนถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดหาและควบคุมการใช้ยาของบุคลากรทางแพทย์ ในสังกัดของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.)กระทรวงมหาดไทย
ข้อความในหนังสือระบุว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี%
โดย: หมอหมู 4 ตุลาคม 2559 22:50:23 น.