กรมบัญชีกลางพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมค่ารักษาพยาบาลที่กระฉูดเป็นเท่าตัวหลังมีระบบเบิกตรง และยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี กระทั่งล่าสุดมากกว่า 70,000 ล้านบาท
ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินั้นมีการศึกษาพบว่าส่วนหนึ่งมาจากการจ่ายยามากเกินจำเป็นและมากกว่าที่ใช้จริง
การใช้ยาเกินจำเป็นไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่องบประมาณแผ่นดินที่ใช้อย่างฟุ่มเฟือยเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อคนไข้อย่างมากคือ ยิ่งยามากยิ่งมีโอกาสได้รับผลจากปฏิกิริยาระหว่างยา เสี่ยงมากขึ้นที่จะแพ้ยา เสี่ยงมากขึ้นที่จะได้รับผลข้างเคียงของยา ทำให้เกิดอาการไม่สบายได้ทุกระบบ แพทย์ก็ให้ยาเพิ่มเข้าไปเพื่อรักษาอาการไม่สบายนั้น กลายเป็นว่าคนไข้ยิ่งต้องกินยามากขึ้น มูลค่ายาก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เป็นวงจรที่ไม่มีวันจบสิ้น
มูลค่ายาที่เพิ่มขึ้นมาจากการเบิกยาง่าย ได้ยาเร็ว เบิกแบบไม่จำกัด ประกอบกับรูรั่วของระบบบริการที่ทำให้จ่ายยาแพงๆ ซ้ำซ้อนทั้งในแผนกเดียวกัน และต่างแผนก มูลค่าที่คนไข้ได้ยาไปมากกว่าที่ใช้จริงทั้งระบบแต่ละปีมากถึงประมาณ 500 ล้านบาท หรืออาจมากกว่านั้น ยาเหลือใช้มีตัวอย่างให้เห็นในทุกโรงพยาบาล และยังไม่เคยมีใครคิดมูลค่ายาเหลือใช้ออกมาเป็นตัวเงินจริงๆ
ผู้เขียนขอรวบรวมปัญหาที่พบเจอและข้อเสนอเพื่อแก้ไขเป็นข้อๆ ดังนี้
1. กรมบัญชีกลางขาดกลไกควบคุมกำกับที่เข้มแข็ง ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.). และสำนักงานประกันสังคมมีระบบควบคุมกำกับที่ชัดเจนก็ยังมีปัญหาแต่น้อยกว่า กรมบัญชีกลางอาจต้องขอความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิของราชวิทยาลัยต่างๆ ให้ช่วยด้านวิชาการอย่างจริงจัง เหมือนที่เคยพยายามทำในยากลุ่มข้อเข่าอักเสบที่มูลค่าการใช้สูงมากในกลุ่มข้าราชการ และความพยายามควบคุมการใช้ยานอกบัญชีที่สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง เคยมีการพูดถึงการรวมกองทุนเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมกำกับ แต่ไม่มีใครยอมใครและกลัวเสียสิทธิที่เคยได้
2. กระทรวงสาธารณสุขยังไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยา แม้กรมบัญชีกลางจะได้พยายามประสานระดับนโยบายมากว่า ๒ ปี ทั้งได้ให้งบประมาณสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขศึกษาเรื่องการใช้ยาและทำข้อเสนอที่ชัดเจนเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาออกมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นการตอบรับอย่างแข็งขันจากกระทรวงสาธารณสุข นักวิชาการ ทั้งหลายที่ทำงานหนักเรื่องนี้ก็ยังคงทำงานหนักต่อไป และยังไม่เห็นผล
3. ปัญหาคุณภาพยา แพทย์ที่เป็นผู้ใช้ยา กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่เป็นองค์กรรับรองยาที่จำหน่ายในประเทศ เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด โรงพยาบาลส่วนมากจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายด้านยา โดยมีนโยบายซื้อยาเข้าโรงพยาบาลคือ ยาตัวไหนที่มีการผลิตในประเทศ(ราคาถูกกว่า)แล้วจะเปลี่ยนเข้ามาแทนยาต้นตำรับ (ที่ราคาสูงกว่า) เพื่อลดต้นทุน แต่ปัญหาก็คือ ยาที่ผลิตในประเทศหลายๆ ตัวมีคุณภาพที่แพทย์ไม่ยอมรับ ยาผลิตในประเทศที่ผลิตจากหลายบริษัท ราคาแตกต่างกัน คุณภาพต่างกัน เวลาที่โรงพยาบาลซื้อถูกบังคับด้วยระเบียบพัสดุให้ซื้อยาราคาต่ำสุด ของถูกที่ดีมีจริง แต่ที่ถูกมากๆ แล้วดีด้วยนี่ก็ยังเป็นหัวข้อถกเถียงโดยเฉพาะยากลุ่มยาปฏิชีวนะตัวที่จำเป็นสำหรับการช่วยชีวิตคนไข้ แพทย์ผู้ใช้ยามีประสบการณ์ตรงกับคนไข้ย่อมรู้ดีแต่ไม่มีทางเลือก ยิ่งคนไข้ยิ่งหมดโอกาสเลือก จำเลยตัวจริงจึงกลับไปที่ อย.ผู้ให้การรับรองและอนุญาตให้วางขาย
ปัญหาคุณภาพยาทำให้เกิดปัญหาการใช้ยาเกินจำเป็นคือ เมื่อยาราคาถูกใช้รักษาไม่ได้ผล แพทย์จะเลือกใช้ยาตัวอื่นในกลุ่มใกล้เคียงกันที่เป็นยาต้นตำรับแต่อยู่ในบัญชี (ถ้ามีให้เลือก) ค่ายาก็พุ่งขึ้นไปได้ โดยเฉพาะคนไข้สิทธิข้าราชการที่ใช้ยานอกบัญชีได้ง่ายกว่า แม้แพทย์บางคนมีความประสงค์จะใช้ยาผลิตในประเทศที่มีคุณภาพเชื่อถือได้แทน แต่ยาตัวนั้นราคาสูงกว่าราคากลางที่ถูกกำหนดในระเบียบพัสดุที่โรงพยาบาล(ต้องจำใจ)ซื้อ จึงเท่ากับถูกบังคับให้ใช้ยาตัวอื่นที่อาจราคาสูงขึ้นเพื่อผลการรักษาที่หมอมั่นใจ ปัญหาคุณภาพยาเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบผลประโยชน์หลายฝ่าย แต่คนปฏิบัติงานต้องการความมั่นใจในผลการใช้กับคนไข้มากกว่าสิ่งอื่น
4. พฤติกรรมคนไข้ ทุกวันนี้คนไข้ถูกตามใจด้วยนโยบายประชานิยมจนเกิดเป็นพฤติกรรมใช้ยาเกินจำเป็นจนยากจะแก้ไข คนไข้ทุกสิทธิเดินเข้าห้องตรวจแล้วบอกหมอว่า ขอยาตัวนั้นตัวนี้ ขอเจาะเลือด ขอเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ขอนอนโรงพยาบาล ฯลฯ บ้างเอาตัวอย่างยามาขอให้หมอสั่งให้ ขอยาไปเยอะๆ เผื่อคนที่บ้าน ขอไปเก็บไว้เผื่อเป็นหวัด เผื่อปวดท้อง ฯลฯ แทนที่จะเล่าอาการเจ็บป่วยแล้วให้หมอสั่งยาเหมือนแต่ก่อน เพราะการที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ไม่รู้คุณค่าของยาที่ได้ไป
พยาบาลหน่วยเยี่ยมบ้านของทุกโรงพยาบาลยืนยันความจริงได้จากยาที่คนไข้เอาไปกองเหลือที่บ้านเป็นถุงเป็นถัง แพทย์จำนวนหนึ่งตามใจคนไข้ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน แม้จะมีแพทย์ส่วนหนึ่งยึดมั่นในการจ่ายยาที่จำเป็นและมีข้อบ่งใช้ แต่คนไข้ที่ถูกตามใจมานานพอใจที่จะเลือกไปพบแพทย์ที่จ่ายยาง่ายๆ มากกว่า เพราะเรายังไม่มีระบบควบคุมกำกับที่เข้มแข็งในระดับโรงพยาบาล และยังไม่มีการให้ความรู้เรื่องโทษของใช้ยาเกินจำเป็นแก่คนไข้
4. การจ่ายยาเกินจำเป็นของแพทย์ ถ้ามีระบบการควบคุมกำกับที่เข้มแข็งและเอาจริงในระดับโรงพยาบาล ผู้บริหารจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาได้ไม่ยาก เพราะข้อมูลการใช้ยามีพร้อมอยู่ในมือ บางโรงพยาบาลการส่งสัญญาณการควบคุมกำกับไปที่แพทย์เป้าหมายที่ใช้ยาเกินจำเป็นเพียงไม่กี่คน ก็สามารถลดการใช้ยาเกินจำเป็นลงได้
5. พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ มีความพยายามจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ที่จะพัฒนาระบบ IT เพื่อให้ข้อมูลการจ่ายยาเชื่อมต่อกันทั่วประเทศ เป็นการป้องกันการเวียนเบิกยาไปขาย หรือเบิกยาซ้ำกันหลายๆ ที่ แต่ขณะที่ยังไม่มีความคืบหน้า โรงพยาบาลสามารถพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ หรือพัฒนาระบบตรวจสอบที่แข็งขัน ตรวจสอบการจ่ายยาเกินจำนวนวัน จ่ายยาซ้ำตัวเดียวกันหลายๆ แผนก การเบิกจ่ายยาที่ไม่ตรงกับโรคหรือไม่มีข้อบ่งใช้ การมารับยาก่อนถึงวันนัด เป็นต้น
6. การควบคุมการจ่ายยาที่ไม่มีข้อบ่งใช้ แม้กรมบัญชีกลางจะส่งแพทย์ลงไปตรวจสอบหลักฐานการจ่ายยาของแพทย์จากเวชระเบียน และเรียกเงินคืนกรณีที่แพทย์จ่ายยาโดยไม่มีข้อบ่งใช้ แต่เชื่อว่า การตรวจสอบทำได้น้อยกว่าความเป็นจริง กรมบัญชีกลางไม่สามารถส่งคนลงไปตรวจสอบเวชระเบียนคนไข้นอกแผนกอายุรกรรมที่มีปริมาณเกือบครึ่งของคนไข้นอกทั้งหมด แต่ใช้ยาคิดเป็นมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 70 ของทั้งหมด
การใช้ยาเกินจำเป็นอยู่ในคนไข้กลุ่มนี้ กรมบัญชีกลางทำไม่ไหวในระยะยาว เพราะการตรวจสอบต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา วิธีที่ดีกว่าคือการที่โรงพยาบาลสร้างระบบควบคุมกำกับขึ้นเองโดยมีเหตุผลทางวิชาการรองรับ กรมบัญชีกลางสร้างกลไกสุ่มตรวจสอบเป็นระยะในฐานะผู้จ่ายเงิน
7. การใช้สิทธิเบิกตรงได้ไม่จำกัดโรงพยาบาล คนไข้สิทธิข้าราชการสามารถไปขึ้นทะเบียนเบิกตรงได้มากแห่งตามที่ต้องการ ทำให้การไปหาหมอแต่ละที่ไม่ต้องสำรองจ่าย การไม่สำรองจ่ายทำให้คนไข้ไม่เห็นคุณค่า ตัวอย่างที่พบกันเป็นปกติคือ ป่วยด้วยโรคเดียวกันก็จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลหลายๆ ที่ตามที่ได้ยินมาว่าที่ไหนดี ผลคือ การตรวจพิเศษซ้ำๆ การตรวจแลปซ้ำๆ ไปหาหมอแต่ละที่ก็ทำการเริ่มต้นตรวจใหม่ทุกที่ เพราะหมอแต่ละที่ไม่มีข้อมูลที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยรักษา การได้ยาซ้ำๆ เช่นยาตัวเดียวกันแต่คนละบริษัทหน้าตาก็ไม่เหมือนกัน คนไข้กินโดยไม่รู้ เกิดปัญหาจากยาตามมาก็ไปหาหมออีกโรงพยาบาล ก็เริ่มกระบวนการตรวจวินิจฉัยกันใหม่อีกรอบ
การไปหาหมอหลายๆ ที่เป็นภาระงบประมาณที่ยังไม่มีตัวเลข แต่น่าจะสูงมาก การไปตรวจโดยไม่ต้องสำรองจ่ายก่อให้เกิดปัญหาทั้งในด้านการใช้งบประมาณเกินจำเป็น และเป็นปัญหาสำหรับการรักษาที่มีคุณภาพสำหรับแพทย์ นี่ตัวอย่างที่พบเห็นเป็นปกติที่คนไข้มาหาเราพร้อมกับบอกว่า หมอตรวจใหม่เลยก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก
คนไข้สิทธิบัตรทองและสิทธิประกันสังคมสามารรถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า และการรักษาก็ไม่สิ้นเปลืองซ้ำซ้อนเพราะทั้งสองสิทธิสามารถเลือกโรงพยาบาลได้ที่เดียว ตรงนี้เป็นรูรั่วขนาดใหญ่ที่สำคัญ
ในภาพรวมของประเทศ ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ไม่เฉพาะกลุ่มสิทธิข้าราชการเท่านั้น มากกว่าร้อยละ 40 ของงบประมาณด้านสุขภาพถูกจ่ายเป็นค่ายา ประเทศที่พัฒนาแล้วค่าใช้จ่ายด้านยาอยู่ที่ร้อยละ 10-20 เท่านั้น จึงไม่แปลกที่นักวิชาการจะออกมาร้องเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าว่า คนไทยบ้ากินยามากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ค่าใช้จ่ายที่เกินจำเป็นนี้เป็นแค่ผลสุดท้ายของปัญหาที่สะสมมาเรื่อยๆ จนเกิดเป็นภาระงบประมาณ ไม่เพียงแต่ภาระงบประมาณจากส่วนของสวัสดิการข้าราชการที่กรมบัญชีกลางถือเงินอยู่เท่านั้น หากแต่กองทุนหลักประกันสุขภาพการใช้ยาเกินจำเป็นและพฤติกรรมฟุ่มเฟือยของการใช้บริการก็สร้างภาระงบประมาณให้แก่โรงพยาบาลมิใช่น้อย หากแต่โรงพยาบาลอยู่ในภาวะจำยอมขาดทุนเรื่อยมา เพราะ สปสช.บริหารแบบตัดยอดเงินต่อหัวประชากรมาให้โดยไม่สนใจภาวะขาดทุนของโรงพยาบาล จึงจำเป็นต้องได้รับการใส่ใจและแก้ไขอย่างจริงจัง
ล่าสุดกรมบัญชีกลางคิดจะผลักภาระไปให้บริษัทประกัน โดยตัดเงิน 60,000 ล้านบาทต่อปีให้บริษัทประกันบริหารจัดการ เพราะเชื่อว่าสามารถจัดการได้ดีกว่า เท่ากับเป็นการเตะเนื้อเข้าปากสุนัข เพราะแน่นอนว่าบริษัทที่ทำธุรกิจย่อมควบคุมเข้มงวดเพราะส่วนต่างที่เหลือคือกำไรเข้ากระเป๋า ถามว่าเรามีความจำเป็นแค่ไหน ในเมื่อกรมบัญชีกลางยังมิได้ทำอะไรด้วยตัวเองเลย?
............................
ปล. เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจครับ ..ไม่ว่าจะเปลี่ยนแบบไหน แต่ สวัสดิการราชการ ก็ต้องปรับลด ควบคุมให้ไได้ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ก็เหมือนกัน
เรื่องเหล่านี้ มีเค้าลางมาตั้งแต่ ๑๐ปีที่แล้ว ไม่ใช้พึ่งมาคิดกันตอนนี้นะครับ .. ข้าราชการทั้งหลายเตรียมตัวกันบ้างหรือยัง???
พ.ศ.2552 ...กรมบัญชีกลางคุมเข้มเบิกจ่ายยา ขรก. ไม่ทำตามเกณฑ์ เรียกเงินคืนคลัง //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=12-12-2016&group=29&gblog=1
พ.ศ.2552
คลังตั้งทีมรื้อค่ารักษา ข้าราชการ 7 หมื่นล. ... คลังหน้ามืด!ค่ารักษาขรก. พุ่ง1.5แสนล. //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=08-12-2009&group=29&gblog=2
พ.ศ.2552
สรุปอภิปราย มาตรฐานการกำหนดค่าใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ใน สวัสดิการการ ของ ข้าราชการ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=26-02-2010&group=29&gblog=3
พ.ศ.2552
เสนอเลือกเบิกจ่ายยาให้ข้าราชการบางกลุ่ม ??? .... ข้าราชการ ก็เตรียมตัวไว้บ้าง //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=18-05-2009&group=29&gblog=4
พ.ศ.2553
คลังเปิดทางให้ ข้าราชการนอนรักษาร.พ.เอกชนได้ ..... (ดูเหมือนดี แต่มันจะดีจริงหรือ ???) //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=03-09-2010&group=29&gblog=5
พ.ศ.2554
ขรก.จ๊ากแน่ คลังเลิกจ่าย ยานอก9กลุ่ม (ไทยโพสต์) ....นำกระทู้มาลงไว้เป็นข้อมูล //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-01-2011&group=29&gblog=6
พ.ศ. 2555
จ่ายยาต้นแบบให้ข้าราชการ (เบิกได้)แต่หมออาจต้องจ่ายเงินตัวเองให้ DSI.. //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=22-07-2012&group=29&gblog=8
พ.ศ.2556 ...คลังรุกอีกคุมเข้ม"ป่วยนอก"ขรก.วางแนวให้"เหมาจ่าย"เผยเจอข้อมูลส่อทุจริตเวียนรับยารพ.600ครั้ง/ปี //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-11-2012&group=29&gblog=7
พ.ศ.2557
ปัญหายาข้าราชการ....ประเด็นที่ยังไม่มีใครพูดถึง ... โดยนาวาอากาศโท นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=25-10-2012&group=29&gblog=9
พ.ศ.2559
กรมบัญชีกลาง เตะหมูเข้าปากหมา?ตัดงบ 60,000 ล้าน ให้ บ.ประกันบริหารค่ารักษา ขรก. //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=29-09-2016&group=29&gblog=10
พ.ศ.2560
ขบวนการใช้สิทธิขรก.โกงยา สวมสิทธิ-ยิงยา-ช็อปปิ้งยา ปี59 ใช้บริการกว่า 27.8 ล้านครั้ง //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=14-08-2017&group=29&gblog=11
https://www.hfocus.org/content/2016/12/13199
Mon, 2016-12-26 12:56 -- hfocus
หมอเทียมค้านให้ บ.ประกันคุมเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ขรก. เชื่อไม่ดีกว่าระบบปัจจุบัน แนะให้เร่งคุมค่ารักษาผูู้ป่วยนอกที่เป็นปัญหาอยู่ รวมทั้งเชือดพวกทุจริตเวียนเทียนเบิกยาไปขาย
นพ.เทียม อังสาชน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนามาตรฐานระบบข้อมูลสุขภาพไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับความพยายามเปลี่ยนระบบการเบิกค่าจ่ายค่ารักษาสวัสดิการข้าราชการ มาให้บริษัทประกันดูแล ตามที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ เพราะไม่เชื่อว่า เอกชนหรือบริษัทประกันจะทำได้ดีกว่าระบบปัจจุบัน
ทั้งนี้ การให้บริษัทประกันมาดูแล เคยทำมาแล้วจาก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ที่ใช้งบประมาณกว่า 8 พันล้านบาท ปรากฎว่า เอกชนมีค่าบริหารจัดการค่อนข้างสูง ประมาณ 30-40% ถ้าเป็นอย่างนี้ หมายความว่า หากรัฐบาลยกเงิน 7 หมื่นล้านบาทจากงบประมาณที่ใช้เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการไปให้บริษัทประกัน รัฐบาลก็ต้องเตรียมเงินอีก 30-40% สำหรับการบริหารจัดการให้กับบริษัทประกัน และที่บอกว่า บริษัทประกันจะไม่เอากำไร ก็เป็นไปไม่ได้
ถ้าบริษัทประกันเอาเค้กก้อนนี้ไปแล้ว จะไม่แบ่งไปกินกันหรือ ถ้าแชร์ไป 30% เงินที่มารักษาข้าราชการก็ลดลง ตรงนี้เชื่อว่า จะกระทบต่อสวัสดิการของข้าราชการแน่นอนเพราะข้อมูลจาก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ก็เห็นชัดเจนว่า สร้างเงื่อนไขในการเบิกจ่ายเยอะแยะ เช่น ต้องมีการแจ้งความ ทำให้ข้าราชการเบิกยากขึ้น นพ.เทียม กล่าว
นพ.เทียม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นว่าบริษัทประกันจะมีเทคโนโลยีอะไรที่จะมาควบคุมค่าใช้จ่าย ยกเว้นจะคุมวงเงินการเบิกของข้าราชการ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทประกันจะใจดี ทำการกุศลให้ เชื่อว่าสุดท้ายข้าราชการก็ต้องมาร่วมจ่ายด้วย
นพ.เทียม กล่าวว่า ความจริงวงเงิน 6-7 หมื่นล้านบาทกับค่าเบิกจ่ายรักษาพยาบาลของข้าราชการ ในจำนวนนี้ไม่ถึง 30% เป็นค่ารักษาผูู้ป่วยในซึ่งไม่เป็นปัญหา ในส่วนของผู้ป่วยใน ถ้าดูข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่า การเบิกจ่ายส่วนนี้กรมบัญชีกลางสามารถคุมอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางพยายามออกมาตรการควบคุม ซึ่งอยู่ที่นโยบายของรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะการคุมค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่ต้องเป็นปลายปิดได้ เพราะปัจจุบันระบบเบิกจ่ายผู้ป่วยนอกยังเป็นลักษณะ Free for Service หมายถึง โรงพยาบาลเรียกมาเท่าไร ก็จ่ายไปตามนั้น สุดท้ายเชื่อว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องมีการควบคุม คงจะเบิกอย่างนี้ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องอาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการพัฒนา รวมทั้งการเตรียมสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลต่างๆ ที่ต้องใช้เวลา และรัฐบาลต้องยอมลงทุนที่จะสร้างหน่วยที่มาพัฒนา รวมถึงมาตรฐานระบบข้อมูลด้วย
นพ.เทียม กล่าวว่า ปัญหาหนึ่งที่กระทรวงการคลังออกมาระบุ คือ มีการทุจริตจากการเวียนเทียนเบิกจ่ายยา เอายาไปขาย หรือเบิกยาซ้ำซ้อน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ยากและไม่ต้องเปลี่ยนให้บริษัทประกันทำ กระทรวงการคลังต้องแก้ปัญหาด้วยการเชือดข้าราชการที่ทุจริตก็จบแล้ว เพราะมีข้อมูลหมดว่า ใครเบิกจ่ายเกินเท่าไร แต่เชื่อว่า มีข้าราชการไม่มากที่ร่วมทุจริต และก็มีการฟ้องร้องอยู่ อยู่ที่รัฐบาลจะมีนโยบายแก้ปัญหาเหล่านี้ชัดเจนแค่ไหน ข้าราชการเองก็ต้องมีส่วนช่วยรัฐบาลเพื่อควบคุมเบิกจ่ายค่ารักษาด้วย
โดย: หมอหมู 20 มกราคม 2560 20:54:52 น.
Sat, 2017-02-18 22:56 -- hfocus
https://www.hfocus.org/content/2017/02/13464
หลังจากโยนหินถามทางมาเป็นระยะๆ เรื่องการปฏิรูประบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ในที่สุด ก็มีข่าวออกมาว่า คลังลั่น เริ่มใช้ปีหน้า เปลี่ยนให้บริษัทประกันบริหารค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ยันไม่กระทบสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว (โพสต์ทูเดย์ หน้า A1จันทร์ 26 ก.ย. 59) โดยเหตุผลสำคัญก็เพื่อจำกัดเพดานวงเงินก้อนนี้ไว้ที่ 6 หมื่นล้าน หลังจากพบว่าค่าใช้จ่ายรายการนี้บานปลายถึง 6.46 หมื่นล้านบาท เมื่อนับถึงเดือนสิงหาคม 2559 และคาดว่าถึงสิ้นปีจะทะลุถึง 6.8 หมื่นล้านบาท
ตามข่าว นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ให้เหตุผลว่า การให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารค่ารักษาพยาบาลข้าราชการแทนกรมบัญชีกลาง เพื่อให้การใช้งบประมาณในส่วนนี้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพราะบริษัทประกันสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลได้จริง
ในข่าวยังระบุว่า พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอยากให้สังคมเปิดใจกว้าง ร่วมกันพิจารณาถึงข้อดีข้อเสีย มากกว่าจะวิพากษ์วิจารณ์ หลายประเทศก็ใช้ระบบนี้เข้ามาดูแลสวัสดิการข้าราชการ ทำให้เกิดความโปร่งใส ป้องกันการใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อน การเวียนใช้สิทธิ์ หรือการเบิกยาเกินควร
ข่าวนี้ อยากให้ข้าราชการและครอบครัวตัดเก็บไว้ เพราะอาจต้องใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องต่อศาลในอนาคต เนื่องจากที่อธิบดีกรมบัญชีกลาง ยันไม่กระทบสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว นั้น ผิดแน่นอน กระทบแน่นอน กระทบรุนแรงด้วย และที่อ้างว่าจะทำให้ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ก็จะกลับตรงกันข้าม
ขอให้ดูกรณี พ.ร.บ.ผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เป็นตัวอย่างรูปธรรมชัดๆ ในประเทศไทยเอง ไม่ต้องไปดูจากต่างประเทศ ซึ่งมีสถานการณ์และบริบทแตกต่างจากประเทศไทยหลายแง่หลายมุม
พ.ร.บ. ดังกล่าวบังคับเก็บเบี้ยประกันภัยจากรถของเอกชนทุกคันในประเทศไทย แต่ให้บริษัทประกันภัยเอกชนเป็นผู้เข้ามาบริหารค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ ผลปรากฏว่า บริษัทเอกชนฟาดกำไรไปมากมาย จาก ค่าบริหารจัดการ โดยอาจสูงถึงราว 45% ทำให้เกิดผู้เดือดร้อนถึง 3 กลุ่ม คือ
1) ประชาชนที่บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองอย่างสูงแค่ตามเพดานวงเงินเท่านั้น ที่เกินจากนั้นถ้าไม่มีประกันเสริมก็ต้องจ่ายเอง หรือเรียกร้องเอาจากคู่กรณีหรือจากสิทธิอื่น
2) บริษัทประกันมีการกำหนดเงื่อนไขการจ่าย สร้างความยุ่งยากในการเบิกจ่าย ทำให้หลายกรณีโรงพยาบาลต้องเรียกเก็บจากกองทุนอื่น ได้แก่ สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ประกันสังคม บัตรทอง หรืออื่นๆ
3) ส่วนที่ ผ่าน เงื่อนไขต่างๆ โรงพยาบาลจะต้องมีภาระและความยุ่งยากในการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกันซึ่ง เขี้ยว เป็นส่วนมาก
ลองเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ เช่น ประกันสังคมซึ่งเรียกเก็บจากผู้ประกันตนเพียง 1.5% ของค่าจ้างโดยมีเพดานกำกับไว้ บวกเงินสมทบจากนายจ้างและรัฐบาล ประกันสังคมนำเงินส่วนนี้มาใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล 0.8% จาก 1.5% ซึ่งสมทบจาก 3 ฝ่าย แต่เพราะบริหารโดยรัฐ (สำนักงานประกันสังคม) และโดยระบบเหมาจ่าย ซึ่งสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้เงินส่วนนี้ยังเหลืออยู่ราวแสนล้านบาท ทั้งๆ ที่รัฐบาลขาดจ่ายสมทบตามวงเงินในบางช่วงบางปี และการบริหารของประกันสังคมยังมีประสิทธิภาพไม่ดีนัก ขณะที่กำไรตาม พ.ร.บ.ผู้ประสบภัยจากรถเข้ากระเป๋าบริษัทประกันภัยไปทั้งหมด
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บริหารเงินแสนกว่าล้านบาทต่อปี มีรายจ่ายเพื่อการบริหารต่ำกว่า 1% แต่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมรายจ่าย รายจ่ายต่อหัวต่ำกว่าสวัสดิการข้าราชการกว่า 4 เท่า
สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการปีนี้ 6.8 หมื่นล้านบาท กรมบัญชีกลางซึ่งรับผิดชอบงานนี้ลงทุนด้านบริหารจัดการน้อยมาก หรือความจริงแล้วไม่มีค่าบริหาร เนื่องจากใช้ข้าราชการของกรมบัญชีกลางซึ่งเงินเดือนค่าจ้างอยู่ในระบบปกติของ กรมฯ อยู่แล้ว มีเฉพาะค่าจัดจ้างหน่วยงานอื่นเพื่อบริหารการจ่ายกรณีผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยในบางส่วน เงินแทบทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์ค่อนข้างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แก่ 2 กลุ่ม คือ (1) ข้าราชการและครอบครัว (2) โรงพยาบาลผู้ให้บริการ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลแทบทั้งสิ้น นอกจากกรณีฉุกเฉินสามารถเข้า รพ.เอกชนได้ ถ้าให้บริษัทประกันเข้ามาบริหาร แน่นอนว่า ค่าบริหารจัดการ จะต้องสูงขึ้นลิบลิ่ว อาจสูงพอๆ กับกรณี พ.ร.บ. ผู้ประสบภัยจากรถซึ่งอาจสูงถึง 45% เม็ดเงินที่จะเหลือเป็น สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว จะเหลือเท่าไรกัน
ที่อธิบดีกรมบัญชีกลางบอกว่าประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้น จึงตรงกันข้ามแน่นอน
ผู้ที่จะเดือดร้อนอย่างแน่นอนคือข้าราชการและครอบครัวที่มีสิทธิ และโรงพยาบาลผู้ให้บริการ เพราะเงิน 6.8 หมื่นล้านจะถูกตัดเป็นค่าบริหารจัดการของบริษัทประกันจำนวนมากมาย
แน่นอนว่า ค่าบริหารจัดการ จะแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ค่าบริหารจัดการ จริงๆ กับ กำไร ซึ่งปรัชญาของธุรกิจคือ กำไรสูงสุด และค่าบริหารจัดการส่วนสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ซึ่งยิ่งใช้มากเท่าไร ก็จะทำให้เกิดความขลุกขลักในการเบิกจ่ายมากเท่านั้น เกิดความเดือดร้อนแก่ทั้งข้าราชการที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน และโรงพยาบาลภาครัฐจะประสบปัญหาได้รับเงินลดลงมากและล่าช้า โดยเฉพาะในกรณีเบิกตรง
กรมบัญชีกลางคงหวังว่าจะ ลอยตัว จากปัญหากระทบกระทั่งได้ เพราะเปลี่ยนให้ข้าราชการและครอบครัว และโรงพยาบาลไปเป็น คู่กรณี กับบริษัทประกันแทน
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ เมื่อยอดเงินทั้งหมดถูกบีบจาก 6.8 หมื่นล้านบาท ลงเหลือเพียง 6 หมื่นล้าน และจาก 6 หมื่นล้าน ถูกตัดให้บริษัทประกันเป็น ค่าบริหารจัดการ อีกก้อนใหญ่ เงินอาจจะเหลือแค่ไม่เกิน 4 หมื่นล้านที่เป็น สวัสดิการรักษาพยาบาล ให้ข้าราชการและครอบครัวจริงๆ เงินที่เหลือจากการถูกบีบ ถูกตัด ถูกแบ่ง ไม่พอใช้แน่นอน ผู้ที่จะต้องรับกรรม คือ ข้าราชการและครอบครัวซึ่งจะต้องร่วมจ่าย(Copay) อีกมากมายอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นโรงพยาบาลก็จะต้องแบกรับภาระขาดทุนอย่างมโหฬาร ข้าราชการบำนาญจะได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากการเจ็บป่วยมากกว่า ถี่กว่า และแทบทั้งหมดไม่มีรายได้ประจำอื่นนอกจากเงินบำนาญ
นอกจากนี้ โรงพยาบาลเอกชนอาจจะมา ขี่กระแส ขอมีส่วนแบ่งตลาดจากโรงพยาบาลภาครัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องจับตาดูให้ดี
ที่อธิบดีกรมบัญชีกลาง ยันไม่กระทบสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชและครอบครัว จึงเป็นเท็จแน่ๆ
ที่โฆษกรัฐบาลบอกว่าท่านนายกฯ อยากให้สังคมเปิดใจกว้าง ร่วมกันพิจารณาข้อดีข้อเสียนั้น ต้องเริ่มต้นที่ราชการเจ้าของเรื่องต้องเปิดใจกว้างก่อน เพราะที่ผ่านมา เรื่องนี้ทำกันในวงแคบๆ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ กระทบกับระบบและผู้คนจำนวนมาก จึงต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างเพียงพอ และเปิดให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจและมีประสบการณ์ มาช่วยกันคิดช่วยกันทำ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางจะหาทางออกที่ดีได้ ถ้าใช้วิธีลับๆ ล่อๆ อย่างที่แล้วมา
กรมบัญชีกลางมีหน้าที่ต้องจัดประชาพิจารณ์ รับฟังความคิดเห็นโดยเฉพาะจากข้าราชการประจำ และข้าราชการบำนาญซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญที่สุด และสถานพยาบาลของรัฐซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียรองลงมา
คำถามใหญ่ง่ายๆ ในเรื่องนี้ คือ
(1) บริษัทประกันจะคิดค่าบริหารจัดการเท่าไร วิธีการจ่ายโรงพยาบาลจะเป็นรูปแบบใด อัตราเท่าไร ใช้เวลาในการตรวจสอบกี่วัน ก่อนจะจ่ายเงินให้โรงพยาบาล
(2) ข้าราชการและครอบครัวจะต้องร่วมจ่ายมากน้อยเพียงไร และอย่างไร
และ (3) เงินจะหายไปจากระบบโรงพยาบาลภาครัฐ ทั่วประเทศเท่าไร จะกระทบสภาพคล่องหรือทำให้โรงพยาบาลของรัฐขาดทุนมากน้อยแค่ไหน ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ หรือได้ไม่ดี งานปฏิรูป แบบเตะหมูเข้าปากหมา ครั้งนี้ จะเป็นการปฏิรูปลงเหวอย่างแน่นอน
ผู้เขียน : นพ.วิชัย โชควิวัฒน
โดย: หมอหมู 20 กุมภาพันธ์ 2560 16:07:21 น.
https://www.hfocus.org/content/2017/02/13445
Thu, 2017-02-16 12:47 -- hfocus
สมาคมประกันวินาศภัยไทยจ่อนัดถก 20 กว่าบริษัทหาข้อสรุปสัดส่วนรับประกันค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ พร้อมต่อรองภาครัฐยกเว้นภาษีแวต-จ่ายเงินสมทบให้กับ คปภ.
นายอานนท์ วังวสุ
นสพ.สยามรัฐรายงานเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 ว่า นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรับประกันค่ารักษาพยาบาลข้าราชการว่า ขณะนี้มีบริษัทยื่นความจำนงสนใจร่วมโครงการนี้มากว่า 20 บริษัท ซึ่งก็มีการเสนอสัดส่วนรับประกันมารายละ 3%, 5% หรือ10% ซึ่งคงจะต้องประชุมร่วมกันภายในบริษัทที่สนใจอีกทีเพื่อบริหารจัดการแบ่งสัดส่วนรับประกันให้เหมาะสม โดยอาจต้องส่งรายชื่อกว่า 20 บริษัทนี้ให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อพิจารณาความเสี่ยงในสัดส่วนที่เสนอรับประกันมาเมื่อเทียบกับฐานะเงินกองทุนว่า มีขีดความสามารถรับประกันขนาดไหนอีกที
ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องไม่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต รวมถึงต้องยกเว้นเงินสมทบที่ปกติแล้ว คปภ.จะเรียกเก็บจากเบี้ยประกันที่ธุรกิจรับเข้ามาเพื่อนำไปสมทบหล่อเลี้ยงองค์กร คปภ.ด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้วรัฐบาลต้องเป็นผู้จ่ายทั้งภาษีแวตและเงินสมทบจุดนี้ ซึ่งธุรกิจต้องมาบวกตัวเลขค่าใช้จ่ายจุดนี้เข้าไปอีกจะทำให้ต้นทุนโครงการนี้สูงขึ้น
นายอานนท์ กล่าวต่อว่า ต้องถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งกรมบัญชีกลางมีการดำเนินการใน 2 เรื่องในขณะนี้ตามโมเดลที่สมาคมฯได้เคยเสนอแนวทางให้ไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้มีบัตรประจำตัวข้าราชการเพื่อจะได้ติดตามได้ว่า มีข้าราชการคนใดเข้าไปรักษาอย่างไร มีค่ารักษาเท่าไหร่ รวมถึงการให้มีรายงานไปยังเจ้าตัวและหน่วยงานต้นสังกัด รวมไปถึงการจะขยายขอบเขตของระบบคนไข้ในที่จะเป็นระบบเหมาจ่ายแบบเหมาโรค (DRG) ให้สามารถเข้ารักษาเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลเอกชนที่กรมบัญชีกลางเปิดให้เข้าร่วมได้เพิ่มเติม จากเดิมกำหนดให้เฉพาะกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้นจึงจะเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลเอกชนได้ ทำให้ข้าราชการได้เข้าถึงการรักษาได้สะดวกขึ้น
โดยจากจุดนี้เชื่อว่า น่าจะเป็นตัวแปรให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นมาสำหรับตัวเลขปีงบประมาณเดือน ก.ย.60 เพราะจุดนี้ทำให้โครงสร้างค่ารักษาพยาบาลน่าจะเปลี่ยนเพราะแทนที่ข้าราชการต้องรอคิวเข้าเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลรัฐเป็น 6 เดือน ต่อไปไม่ต้องรอนานขนาดนั้น อาจจะรอคิวเพียงแค่ 1-2 เดือนเท่านั้น ซึ่งยังไม่รู้ว่า ค่ารักษาพยาบาลปีงบประมาณ 2560 จะเป็น 7.6 หมื่นล้าน หรือเป็น 7 หมื่นล้านบาทยังไม่ทราบ แต่ภาคธุรกิจจะใช้ตัวเลขปิดหีบปี 2560 มาเป็นฐานในการรับประกันในปีงบประมาณ2561 ต่อไป โดยสมาคมฯ จะมีนักคณิตศาสตร์ และมีนักวิชาการมาคำนวณหรือวิเคราะห์เป้าหมายและทิศทางอนาคตโครงการนี้ต่อไปได้ถูกต้องและแม่นยำ
"โครงการนี้ต้องขอยืนยันว่า ธุรกิจประกันภัยเราเข้มแข็งแล้ว เราต้องการมาตอบแทนชาติบ้านเมือง ถ้ามีกำไรในปีแรก เราจะลดเบี้ยประกันลง เพราะเวลานี้ปัญหาคือ 70% เป็นคนไข้นอก และเป็นค่ายาเกือบ 70% ซึ่งมีการใช้ยานอกบัญชีส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งไม่รู้ว่า ทุกวันนี้ภาครัฐจ่ายออกไปนอกประเทศเท่าไหร่ และที่สำคัญจากรายงานล่าสุดของอาจารย์นิด้าระบุออกมาชัดเจนว่ากรมบัญชีกลางมีการตรวจสอบเรื่องค่ารักษาพยาบาลข้าราชการเพียง 0.02% แต่ระบบประกันมีการตรวจสอบเรื่องนี้ถึงร้อยละ 25% สะท้อนให้เห็นว่าประกันภัยน่าจะบริหารจัดการจุดนี้ได้ดีกว่าเพราะต้องอย่าลืมกรมบัญชีกลางมีงบประมาณและบุคลากรไม่เพียงพอ"
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560
โดย: หมอหมู 21 กุมภาพันธ์ 2560 22:21:39 น.
Tue, 2017-02-28 14:37 -- hfocus
เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง นสพ.โพสต์ทูเดย์
https://www.hfocus.org/content/2017/02/13524
กระทรวงการคลังยังไม่ลดละความพยายามที่จะว่าจ้างบริษัทประกันเข้ามาบริหารจัดการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ แม้ว่าจะมีแรงต้านจากข้าราชการ บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก จนต้องพับแผนนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ล่าสุด สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมายืนยันว่าแผนการจ้างบริษัทประกันมาบริหารจัดการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการยังมีการศึกษาต่อ ยังไม่ได้พับแผนใส่ลิ้นชักไม่เดินหน้าต่อไปอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ ตอนนี้ได้รวบรวมข้อเสนอจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย หลังจากตกผลึกข้อมูลต่างๆ แล้ว ก็จะมีการเดินหน้าทำประชาพิจารณ์เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
สอดคล้องกับ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ที่ออกมาระบุเช่นกันว่า ยังทำอยู่เรื่องการให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารควบคุมค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ตอนนี้หลายฝ่ายไม่เข้าใจก็ต้องทำให้เข้าใจตรงกันเสียก่อน และเมื่อพร้อมกันทุกฝ่ายก็จะดำเนินการต่อ เพราะต้องยอมรับว่าการรักษาพยาบาลข้าราชการมีช่องรั่วไหลอยู่ไม่น้อย ทำให้เป็นภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น จากปีละ 6 หมื่นล้านบาท เป็นปีละ 7 หมื่นล้านบาท
ขณะที่กรมบัญชีกลางก็เดินหน้าทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ประจำตัวข้าราชการ เพื่อใช้เป็นบัตรประจำตัวยื่นเมื่อเข้าการรักษา ก็ถือเป็นมาตรการขัดตาทัพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเก็บข้อมูลการรักษาของข้าราชการ เพราะปัจจุบันไม่มีการเก็บข้อมูล โดยข้อมูลการรักษาจะอยู่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น
อภิศักดิ์ ได้ระบุว่า มาตรการของกรมบัญชีกลาง คงสามารถแก้ปัญหาการรั่วไหลการรักษาพยาบาลข้าราชการได้ระดับหนึ่งเท่านั้น โดยเป้าหมายของการดำเนินการคือการสร้างฐานข้อมูลการรักษาข้าราชการเป็นรายบุคคล และการสร้างฐานข้อมูลรวมของการรักษาพยาบาลข้าราชการ เพื่อใช้ทำนโยบายและจัดสรรงบประมาณในอนาคต
จากการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นว่า รัฐบาลยังเดินหน้าให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ เพียงแค่ตอนนี้พักรบ เพื่อไม่ให้เป็นแรงต้านจะสะเทือนการทำงานของรัฐบาล ที่มีเรื่องหนักทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองให้คอยแก้จนไม่มีเวลาหายใจอยู่แล้ว เรื่องรักษาพยาบาลข้าราชการยังถือเป็นปัญหาที่รอได้ แต่ระหว่างนี้ก็เตรียมข้อมูลเพื่อแจ้งให้สาธารณชนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ
หากพิเคราะห์ดูจะเห็นว่ารัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง มั่นใจว่าการให้เอกชนเข้ามาบริหารค่ารักษาพยาบาลข้าราชการนั้น จะทำให้งบประมาณไม่เพิ่มขึ้นจากการรั่วไหลที่ไม่จำเป็น โดยที่สิทธิการรักษาพยาบาลของข้าราชการยังอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คนที่เบิกค่ารักษาถูกต้องไม่ได้รับผลกระทบ แต่คนที่หาผลประโยชน์ เช่น เวียนเทียนรับยาไปขายต่อ เป็นต้น พวกนี้จะทำไม่ได้อีกต่อไป
บริษัทประกันเคยเสนอการบริหารให้กระทรวงการคลังรับฟังว่า การบริการรักษาข้าราชการจะดีกว่าเดิม โดยบริษัทประกันจะไปตั้งห้องรับรองในโรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง มีน้ำชากาแฟรับรอง เมื่อข้าราชการมารักษาก็มาที่ห้อง และเจ้าหน้าที่จะช่วยประสานงานการรักษาอีกทีหนึ่ง
แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นข้อเสนอหนึ่งเล็กๆ แต่ทว่าโดนใจกระทรวงการคลังอย่างมาก เพราะการคุมค่ารักษาพยาบาลข้าราชการตั้งแต่ต้นทางจะช่วยปิดการรั่วไหลได้อย่างมาก และการทำเช่นนั้นได้ก็ต้องให้บริษัทประกันเข้ามาบริหาร เพราะมีบุคลากรและระบบพร้อมที่จะดำเนินการ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังมองต่อไปว่าให้บริษัทประกันบริหารคุมต้นทาง ระหว่างทาง ขณะที่ระบบบัตรประจำตัวรักษาพยาบาลของข้าราชการคุมปลายทาง เพราะข้อมูลการรักษาทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในระบบทั้งหมด และกำลังมีการพัฒนาระบบให้มีการเตือนว่ามีการรักษาพยาบาลที่ผิดปกติ เช่น การจ่ายยาจำนวนมากๆ ซ้ำๆ กันหลายโรงพยาบาล ข้าราชการคนนั้นก็จะถูกจับตาเป็นพิเศษ และหากตรวจว่ามีการทุจริตก็จะถูกดำเนินการเอาผิดได้รวดเร็วกว่าปัจจุบัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็จะน้อยกว่า
เมื่อดูภาระงบประมาณค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ปีงบประมาณ 2558 อยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท และปีงบประมาณ 2559 อยู่ที่ 7.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถอยหลังไปไกลกว่านั้น ปี 2545 อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท ผ่านมาประมาณ 15 ปี ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า
ข้อมูลที่สำคัญกว่านั้นคือ ภาระงบกว่า 7 หมื่นล้านบาท ล่าสุดเป็นค่าผู้ป่วยนอกถึงปีละ 4 หมื่นล้านบาท มากกว่าครึ่งหนึ่งของค่ารักษาทั้งหมด ในจำนวนนี้ 80% เป็นค่ายา หรือคิดเป็นเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นยานอกบัญชีหลักที่มีราคาแพง ซึ่งกระทรวงการคลังคิดว่ามีการเบิกจ่ายยาส่วนนี้มีส่วนเกินรั่วไหลไม่จำเป็นอยู่หลายพันล้านบาท การให้บริษัทเอกชนมาบริหารก็จะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้มาก
อย่างไรก็ตาม การให้บริษัทเอกชนเข้ามาบริหาร ก็อาจจะมีปัญหาทำให้การเข้าถึงการรักษาของข้าราชการเป็นไปได้ยากขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นแรงต้านรุนแรง ทำให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการนี้ได้ไม่ยั่งยืน และอาจต้องถอยหลังกลับมาใช้ระบบเดิม ทำให้การแก้ปัญหาย่ำอยู่กับที่
นอกจากนี้ ยังมีแรงต้านจากบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มบริษัทขายยาข้ามชาติที่มีผลประโยชน์เดิมพันมหาศาล รวมถึงการอธิบายให้ข้าราชการเข้าใจว่าการทำประกันนี้เป็นกระทรวงการคลังจ้างบริษัทประกันมาบริหารดูแล ไม่ได้ให้ข้าราชการไปทำประกันกับบริษัทเอกชน ทั้งหมดยังเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม การจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาบริหารค่ารักษาพยาบาลข้าราชการคงหนีไม่พ้น จากภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการแก้ปัญหาโดยวิธีการแบบเดิมๆ ที่ทำอยู่และทำมานานยังไม่ได้ผล การทดลองวิธีการใหม่ๆ ที่ประเมินว่าได้ผลดีมากกว่าเสีย จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยากอย่างมาก ก็ได้แค่ยื้อให้เกิดขึ้นได้ช้าที่สุดเท่านั้น
ผู้เขียน : เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง นสพ.โพสต์ทูเดย์
ขอบคุณที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560
โดย: หมอหมู 28 กุมภาพันธ์ 2560 23:12:47 น.
https://www.hfocus.org/content/2017/03/13530
Wed, 2017-03-01 22:13 -- hfocus
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ยินดีให้ภาครัฐทยอยแบ่งจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพข้าราชการเป็นงวด ๆ ได้ หากเห็นว่าเงินที่ต้องจ่ายสูงเกินไป สำหรับวงเงินเบี้ยประกันอยู่ระหว่างการรอข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปภายในเดือน พ.ค.นี้
นสพ.เดลินิวส์ : นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาคมฯ ได้สรุปผลศึกษา และเงื่อนไขการจัดทำโครงการประกันภัยค่ารักษาพยาบาลแก่ข้าราชการ แทนการใช้ระบบสวัสดิการของภาครัฐให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว โดยแนวทางการรับชำระเบี้ยประกันสมาคมฯ ยินดีให้ภาครัฐทยอยแบ่งจ่ายเบี้ยเป็นงวด ๆ ได้ หากเห็นว่าเงินที่ต้องจ่ายสูงเกินไป สำหรับวงเงินเบี้ยประกันอยู่ระหว่างการรอข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปภายในเดือน พ.ค.นี้
"ที่ผ่านมางบรักษาพยาบาลข้าราชการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปีงบประมาณ 57 อยู่ที่ 62,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 66,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 58 และทะลุขึ้นไปถึง 71,000 บาทในปีงบประมาณ 59 โดยพบว่าค่าใช้จ่ายค่ายามีสัดส่วนสูง 70% และอีก 30% เป็นค่าหมอ ค่าบริการ ค่าอวัยวะเทียม ฯลฯ ซึ่งในปี 60 หากงบประมาณยังเพิ่มขึ้นอีก ก็จำเป็นต้องนำแนวโน้มรายจ่ายของรัฐที่เพิ่มขึ้นมาใช้คำนวณ ร่วมกับฐานงบประมาณที่ใช้ในปีล่าสุดด้วย"
นายอานนท์ กล่าวต่อว่า สมาคมฯ ยังได้เสนอแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ และลดการรั่วไหลของรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ โดยจะเน้นการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยนอกจะมีการจับตาเป็นพิเศษ เพราะมีสัดส่วนมากถึง 70% ของผู้ป่วยทั้งหมด ที่สำคัญผู้ป่วยนอกเหล่านี้ยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยาเกือบ 70% ซึ่งส่วนมากเป็นการใช้ยานอกบัญชีราคาแพงที่นำเข้าจากต่างประเทศด้วย ซึ่งจะต้องเข้าไปตรวจสอบว่ามีความจำเป็นในการใช้มากน้อยแค่ไหน หรือมีความปกติอะไรบ้าง เพราะปัจจุบันงบค่ารักษาข้าราชการแต่ละปีใช้ไปกับการจ่ายค่ายาสูงมาก ขณะที่ผู้ป่วยในส่วนใหญ่ไม่น่ามีปัญหาเพราะเป็นโรคที่เห็นได้ชัดเจน และเป็นโรคที่มีการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ที่พบว่าที่ผ่านมากรมบัญชีกลางมีการตรวจสอบการจ่ายค่ารักษาเพียง 0.02% จากจำนวนการขอเบิกจ่ายเฉลี่ย 22 ล้านครั้งต่อปี ซึ่งถือว่ามีการตรวจสอบไม่เยอะเนื่องจากกรมบัญชีกลางมีข้อจำกัดในด้านงบประมาณและบุคลากรตรวจสอบ ขณะที่บริษัทประกันภัยมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญมากกว่า โดยค่าเฉลี่ยการตรวจสอบการเคลมสูงถึง 25% ของจำนวนที่ขอเคลมเข้ามาทั้งหมด
"เอกชนจะใช้จุดแข็งในเรื่องการตรวจสอบเพื่อช่วยให้เกิดความถูกต้อง โดยเฉพาะการดูแลกระบวนการจ่ายเคลมผู้ป่วยนอก รวมถึงดูความเสี่ยงในการบริหารค่ารักษาพยาบาลจากอายุของข้าราชการ เพราะตามสถิติคนที่อายุมากจะเข้ารับการรักษาบ่อย และค่ายาจะปรับขึ้นทุกปี ตลอดจนจะจัดทำข้อมูลประวัติการเคลม หรือการเบิกยา กรณีผู้ป่วยนอกที่ยังไม่ค่อยชัดเจน จนทำให้เกิดจุดอ่อนก่อให้เกิดการทุจริต"
ด้านนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้ตอบรับสมาคมประกันวินาศภัย เพื่อเข้าร่วมโครงการประกันภัยค่ารักษาพยาบาลแก่ข้าราชการแทนการใช้ระบบสวัสดิการของภาครัฐแล้ว โดยมองว่าเป็นโครงการที่ดีที่จะช่วยให้รัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ข้าราชการได้รับความสะดวกในการรักษาพยาบาลไม่แตกต่างจากเดิม
สำหรับสัดส่วนการเข้าไปรับประกันในโครงการ ขณะนี้ยังไม่ได้สรุป เพราะต้องรอดูการเข้าร่วมของบริษัทประกันภัยแห่งอื่นด้วย ซึ่งหากมีผู้สนใจไม่มาก ทิพยประกันภัยก็พร้อมเข้าไปรับประกันในส่วนที่ขาดให้ครบ
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560
โดย: หมอหมู 2 มีนาคม 2560 20:44:28 น.
https://www.hfocus.org/content/2017/04/13765
Wed, 2017-04-12 18:07 -- hfocus
นสพ.ประชาชาติธุรกิจ : "อภิศักดิ์" ไฟเขียวกรมบัญชีกลางเปิดประมูลทำระบบ "บัตรค่ารักษาพยาบาล" กลุ่มข้าราชการและคนในครอบครัวกว่า 5 ล้านใบ คาดใช้งบฯ 50-60 ล้านบาท เร่งร่างทีโออาร์เชิญสถาบันผู้ออกบัตรเครดิตร่วมประมูลช่วง 1-2 เดือนนี้ อธิบดีกรมบัญชีกลางย้ำสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลคงเดิม
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ
นสพ.ประชาชาติธุรกิจ : นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้สรุปแนวทางเบื้องต้นในการทำบัตรค่ารักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เห็นชอบแล้ว หลังจากนี้ จะเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนระเบียบพัสดุ ที่จะต้องจัดทำร่างขอบเขตงาน (ทีโออาร์) และประกาศเชิญชวนให้ผู้ประกอบการที่เป็นสถาบันผู้ออก "บัตรเครดิต" เข้ามาร่วมประมูลทำระบบบัตรภายใน 1-2 เดือนนี้
โดยได้ตั้งเป้าหมายมีจำนวนข้าราชการและครอบครัวรวมกว่า 5 ล้านรายที่จะได้รับบัตรรักษาพยาบาลคนละ 1 ใบ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มนำไปรูดใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 2561 หรือตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป
"ตอนนี้ได้คอนเซ็ปต์แล้ว ผู้มีสิทธิคือข้าราชการกับคนในครอบครัว สามารถนำบัตรนี้ไปใช้เวลาที่ต้องการใช้สิทธิคือ ไปหาหมอที่โรงพยาบาล โดยสิทธิต่าง ๆ ที่เคยได้รับอยู่จะยังคงเหมือนเดิม เคยเบิกอะไรได้ก็ได้เหมือนเดิม ส่วนตัวบัตรนี้จะใช้คอนเซ็ปต์บัตรเครดิต คือตัวบัตรจะมีวงเงิน แต่ไม่ได้จ่ายเงินไปก่อน รัฐจะจ่ายให้ภายหลังที่มีการใช้บัตรและตรวจสอบสิทธิเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรัฐก็พัฒนาระบบงานหลังบ้าน เพื่อให้สามารถตรวจสอบการใช้สิทธิของข้าราชการและคนในครอบครัวได้" นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ การนำบัตรค่ารักษาพยาบาลมาใช้จะเป็นการสร้างระบบตรวจสอบการเบิกค่ารักษาพยาบาล เพื่อไม่ให้มีการรั่วไหล เพราะเมื่อผู้ถือบัตรนี้นำไปใช้ในการรักษาพยาบาล ระบบจะมีการตรวจสอบสิทธิได้ทันที และจะมีการดูดข้อมูลของผู้ใช้บัตรนั้น เพื่อมาตรวจสอบที่ระบบงานหลังบ้านของรัฐ ซึ่งก็จะเห็นการเคลื่อนไหวการใช้สิทธิแล้วมีการชาร์จค่ารักษา ก็จะถูกตรวจสอบทันที อย่างน้อยจะเห็นว่าทำไมไปหาหมอบ่อย ทำไมมีการเบิกยาตัวนี้ผิดปกติ
นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าวว่า รูปแบบบัตรรักษาพยาบาลจะเป็นบัตรแบบแถบแม่เหล็ก ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งาน อีกทั้งต้นทุนออกบัตรไม่สูง ซึ่งประเมินเบื้องต้นราคาบัตรไม่ถึง 10 บาทต่อใบ ดังนั้นรัฐจะใช้งบประมาณราว 50-60 ล้านบาท โดยสามารถขอตั้งงบฯกลางในปีงบประมาณ 2560 นี้ สำหรับใช้ดำเนินการได้
สำหรับเครื่องรูดรับบัตรค่ารักษาพยาบาล รัฐจะใช้เครื่องอีดีซีที่กำลังเดินหน้าติดตั้งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจกว่า 18,000 เครื่อง ตามโครงการ National e-Payment ซึ่งกำหนดติดตั้งเครื่องแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 2560 นี้ แต่เครื่องอีดีซีที่จะใช้กับบัตรค่ารักษาพยาบาลนี้ จะต้องมีการลงโปรแกรมให้รองรับข้อมูลการรักษาพยาบาลด้วย ซึ่งระยะแรกจะติดตั้งตาม โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่มี อยู่กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ
ขอบคุณที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 - 16 เม.ย. 2560
โดย: หมอหมู 18 เมษายน 2560 13:28:35 น.
งบรักษา ขรก.ปี 60 พุ่ง 7.3 หมื่นล้าน บัญชีกลางยัน ไม่จำเป็นต้องให้บริษัทเอกชนมาบริหาร
Sat, 2017-10-07 11:23 -- hfocus
https://www.hfocus.org/content/2017/10/14658
กรมบัญชีกลางเผย งบรักษาข้าราชการปี 60 พุ่งสูง 7.3 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 2.6 พันล้าน ระบุผู้ใช้สิทธิมีอายุยืนขึ้น ส่งผลการใช้สิทธิเพิ่มสูงขึ้น แม้มีทุจริตอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เพิ่มจนเป็นภาระ พร้อมยืนยันไม่มีความจำเป็นต้องให้บริษัทประกันเข้ามาบริหาร
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2560 นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในโอกาศครบรอบ 127 ปีกรมบัญชีกลาง ซึ่งวันที่ 7 ตุลาคมของทุกปี ถือเป็นวันคล้ายวันสถาปนากรมบัญชีกลาง โดยมีตอนหนึ่งระบุถึงการดูแลเรื่องสุขภาพของข้าราชการ ผู้รับบำนาญ และบุคคลในครอบครัว ว่า ที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้ปรับเพิ่มอัตราค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และปรับเพิ่มการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีฉุกเฉินไม่รุนแรง (สีเขียว) หรือเป็นกรณีที่ไม่เข้าเกณฑ์ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือฉุกเฉินเร่งด่วน ทำให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลประจำปีงบประมาณ 2560 มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น 73,658.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,642.46 ล้านบาท (เบิกจ่ายปี 2559 จำนวน 71,016.40 ล้านบาท)
ด้าน นสพ.เดลินิว์ฉบับวันที่ 7 ตุลาคม 2560 รายงานว่า อธิบดีกรมบัญชีกลางได้ระบุต่อว่า นอกจากนี้ยังพบว่ามีข้าราชการรับบำนาญและผู้ได้ใช้สิทธิมีอายุยืนขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มกับการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ส่งผลให้มีปริมาณข้าราชการเข้าใช้สิทธิรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นด้วย ส่วนการฉ้อฉลต่าง ๆ ของข้าราชการยังมีการทำทุจริตอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดภาระงบประมาณค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น
"การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นถือว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง ที่กรมบัญชีกลางได้มีการปรับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ ให้ข้าราชการได้ใช้เยอะ คุณภาพดีขึ้น รวมถึงจำนวนการใช้สิทธิรักษาพยาบาลก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย" นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นางสาวสุทธิรัตน์ ยืนยันว่าแม้ค่าเบิกจ่ายการรักษาพยาบาลจะปรับสูงขึ้น แต่กรมบัญชีกลางไม่มีความจำเป็นจะต้องเปิดให้บริษัทประกันภัยเข้ามารับบริหารจัดการรักษาพยาบาลข้าราชการให้ เพราะขณะนี้กรมบัญชีกลางกำลังมีการพัฒนาระบบการดูแลรักษาพยาบาลเพิ่มเติมอยู่ อีกทั้งเมื่อปลายปีงบประมาณที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางเพิ่งได้ว่าจ้างให้สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ช่วยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ เพื่อใช้เป็นข้อมูลยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องให้บริษัทประกันเข้ามาช่วยรัฐบริหารโดยให้รัฐจ่ายค่าเบี้ยประกัน
โดย: หมอหมู 7 ตุลาคม 2560 14:06:48 น.