ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก


เรื่องของ SA ในตอนก่อตั้งครั้งแรกๆ คือ 1921
โดย Rohm เป็น ผบ. (เป็นการรับงานสองจ๊อบ เพราะยังเป็นทหารด้วย) โดยการรวบรวมทหารจากกองทัพเสรีเยอรมันเข้ามา ไม่มีเครื่องแบบเฉพาะตัว แต่ใช้ปลอกแขนสวัสดิกะใช้แทนเครื่องหมายสังกัด
พอหลังจากกบฏโรงเบียร์ ส่วนใหญ่ก็สลายตัวไปทำมาหากินกันไปตามเรื่อง ที่เหลืออยู่ก็มีนายที่เหลวไหล ขี้เมา แถมเป็นเกย์ก็มีเยอะ (เชื่อว่าเป็นสายซี้เก่าของ Rohm ทิ้งเอาไว้)
Rohm เองก็กลับไปประจำกองทัพ ทำตัวดีๆไม่ให้มี
ปัญหาแต่ก็คงมีส่วนช่วยเหลือฮิตเล่อร์เพื่อนรักอยู่ห่างๆ
เพราะมาเต็มตัวคงไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่มีกิน

ฮิมม์เล่อร์ นั้น..เคยทำงานครั้งแรกๆในสายของพรรคนาซีทางใต้ของบาวาเรียอันเป็นหน่วยงานของ Gregor ในหน้าที่ผู้ช่วยและเลขาของ Gregor
ในสาขาของพรรคแต่ละพรรคก็ต้องเลี้ยงนักเลงทั้งกองไว้ดูแลตัวเอง มากน้อยขึ้นอยู่กับฐานของใครจะแน่นกว่าใคร เพราะบ้านเมืองอยู่ในกลียุค
เพราะหลังจากสนธิสัญญาแวร์ซายย์ที่กำหนดให้กองทัพของเยอรมันทั้งประเทศเหลือแค่แสนคน มันก็ต้องออกมาในรูปนี้

ส่วน SS นั้น ฮิตเล่อร์ตั้งมาตั้งแต่ปี 1925 ในครั้งแรกมีเพียงจำนวนสิบ เพื่อที่จะเอามาเป็นองครักษ์ติดตาม
เฉยๆ
แต่ฮิตเล่อร์ต้องการให้ดูขึงขัง อาจหาญ ลบมลทินในข่าวไม่เอาไหนของหน่วย SA
จนกระทั่ง มาถึงยุคของฮิมม์เล่อร์ เข้ามาเป็นผู้บังคับบัญชาคือ ปี 1929 ตอนนั้น SS มีเพียงจำนวน 250 นาย
ฮิมม์เล่อร์..เป็นผู้วางแผนขยายหน่วย SS และปรับนโยบายใหม่ เพราะสาเหตุจากความขัดแย้ง แย่งอำนาจกันภายในพรรค



ในภาพ คือ ฮิตเล่อร์ และ กลุ่ม SA ทั้งหมด ถ่ายเมื่อตอนที่เข้ามาในสำนักงาน Brown House ใหม่ๆ



เรื่องของฮิตเล่อร์ในช่วงปี 1929 เนี่ย..
ทันที่ที่พรรคนาซีได้เข้าไปนั่นในสภากับเขาบ้าง..ฮิตเล่อร์ได้ย้ายนิวาสถานใหม่ ดังที่เล่ามานั้น..

หลานสาว เจลิ ที่เอามาอยู่ด้วยนั่น ในทีแรกก็ว่าอยากจะให้มาเรียนด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยมิวนิค
แต่ก็ไปได้แค่เทอมเดียว เจ้าหล่อนก็ยอมแพ้เลิกลาไปซะเฉยๆ..จากนั้นก็ติดตามน้าชายไปทุกหนทุกแห่ง
เช่นดูโอเปร่า และร้านอาหารหรูๆ ซึ่งใครต่อใครก็เห้นพ้องต้องกันว่า เธอเป็นราวกับเจ้าหญิงน้อยๆของฮิตเล่อร์ทีเดียว

แม้กระทั่ง..ใครต่อใครก็รู้ดีว่า ท่านผู้นำเกลียดการเดินช้อปปิ้งแค่ไหน...แต่กับหลานสาวคนนี้ เขายอมเดินเข้าเดินออกร้านแล้วร้านเล่า อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย
ส่วน แอนเจล่า ผู้มารดา นั้นไม่มาอยู่ด้วยแต่อย่างใด เพราะเธอไม่คุ้นกับสังคมเมืองหลวง และอีกอย่างหนึ่งคือ
ลึกๆแล้ว..สัมพันธภาพระหว่างพี่สาวและน้องชายต่างมารดาคนนี้ มันไม่ค่อยเข้าท่าและลงรอยกันสักเท่าไหร่..!!

Geli 

เนื่องจาก ครั้งหนึ่งที่ฮิตเล่อร์ไปใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในเวียนนานั้น..เขาแอบขอเงินจากน้า Johanna (น้องสาวหลังค่อมคนเล็กของแอนเจล่า) ไปใช้ทีละไม่น้อย ในขณะที่ แอนเจล่าต้องมาเลี้ยงพอลล่าน้องสาวแท้ๆของฮิตเล่อร์
ด้วยเงินจากสวัสดิการคนพิการอันน้อยนิด
พอ Johanna เสียชีวิตไป ความจริงจากธนาคารก็ปรากฏว่า
เงินฝากได้ถูกสูบไปโดยฮิตเล่อร์
แอนเจล่าจึงต้องฟ้องศาลขอให้ฮิตเล่อร์สละสิทธิในเงินสวัสดิการส่วนของเขา(เดือนละ 25 Kronen) ให้กับน้องสาวที่อยู่ในความดูแลของเธอ
ซึ่งฮิตเล่อร์จนแต้มต่อหลักฐานเข้า ก็ต้องยอมโดยดี
ความกินใจในครั้งนั้น..ทำให้สองพี่น้องต้องห่างเหินไป

แต่..เจลิ คือเด็กสาวที่ตื่นเต้นต่อการมีน้าชายที่มีชื่อเสียงและ เขาสามารถทำให้เธอหลุดออกมาจากวงจร "ลูกคนใช้"มาเป็นหลานสาวท่านผู้นำพรรคการเมืองผู้โด่งดัง
ในชั่วข้ามคืน..
เจลิจึงหลงระเริงต่อความมั่งมีศรีสุข จนไม่เคยนึกเฉลียวใจว่าแววตาอันเป็นประกายระยิบระยับของน้าชายนั้น..
มันช่างแปลกประหลาด ผิดธรรมดายิ่งนัก !!






ขอย้อนไปนิด..
คือว่า..จากบ้านตากอากาศที่ Berchtesgaden ฮิตเล่อร์ได้ชวนพี่สาวต่างมารดา Angela Raubal มาอยู่นั้น..ไม่ใช่ว่ารักและผูกพันแต่ประการใด
เพียงแค่เขาต้องการหาคนที่พอไว้ใจได้ เพราะในอดีตสองพี่น้องนี้แทบไม่มองหน้ากัน..เนื่องจาก ย้อนไปสมัยที่ฮิต
เล่อร์ไปร่อนเร่อยู่ในเวียนนาดังที่เล่าว่าต้องไปเขียนรูปขาย..ในยามจนหนักๆเข้าถึงกับต้องขายเครื่องมือทำมาหากิน
แต่พอได้เพื่อนชาวยิวที่ชักชวนให้วาดรูปอีกจึงได้จดหมายไปขอเงินจากน้าสาว Johanna Polzl น้องสาวคนเล็กของแม่..ที่พิการหลังค่อมอยู่เสมอๆ..และแต่ละครั้งก็ไม่ผิดหวัง
จนต่อมา น้า Johanna ได้เสียชีวิต ฮิตเล่อร์ก็
ไปเคลมเป็นทายาทเอาเงินออกจากธนาคารมาหลายพันโครน (Kronen) โดยไม่แบ่งให้ใครและไม่ปริปากบอก
ใครแม้แต่น้องสาวพิการแท้ๆที่อยู่ในความเลี้ยงดูของแอนเจล่าผู้ยากไร้ในยามนั้น
พอแอนเจล่ารู้เข้า ถึงกับต้องฟ้องร้องเอาฮิตเล่อร์ขึ้นศาล..ในฐานะฉ้อโกงสมบัติคนตาย
แต่ไม่สามารถจะเอาเงินคืนอย่างไรได้ เพราะใช้ไปหมดแล้ว..จึงต้องบังคับได้แค่สละสิทธิในเงินสวัสดิการจากรัฐบาลในฐานะลูกกำพร้าเดือนละ 25 โครนมาให้แก่พอลล่าน้องสาว
(ที่ได้รับอยู่แล้วเดือนละ 25 โครนเท่ากัน)

หากแต่..หลานสาวที่หน้าตาสะสวย ลูกของ
แอนเจล่านี่ซิ..ที่ทำให้เขาถึงกับเอ่ยปากชวนพี่สาวและลูกทั้งสองให้มาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าเพื่อสนับสนุนในการศึกษา
แอนเจล่า..ไม่สน บอกว่าไปเหอะ ไม่ชอบชีวิตในเมืองหลวง..เอลฟรีดล์ หลานสาวคนเล็กขออยู่กับแม่
แต่..แอนเจลิกา หรือ เจลิ ผู้มีความทะเยอทะยานนั้นขอโลดแล่นตามติดน้าชายผู้แสนจะโก้เก๋ในสายตาของธอไปด้วย

เธอได้เข้าสมัครเรียนวิชาการพยาบาล ที่มหาวิทยาลัยเมืองมิวนิคในช่วงภาคฤดูร้อน
ฮิตเล่อร์ จึงไปเช่าหอพักให้อยู่เป็นส่วนสัดเพื่อกันการครหาให้ที่ Pension Klein, Koniginstrasse (นี่คือในปี 1927)

แต่พอถึงแค่ฤดูหนาว..เจลิก็ขอยกธงขาวให้กับการศึกษาเพราะเธอสนใจที่จะติดตามน้าชายไปนั่งที่โน่นที่นี่มากกว่า
ในยามนั้น ฮิตเล่อร์มักใช้ร้านกาแฟเจ้าประจำ เป็นสถานที่พบปะกับใครต่อใครเพื่อเจรจาการดำเนินงานของพรรค หรือถ้างานใหญ่ก็มักใช้ความสะดวกตามโรงเบียร์ (แปลกดีแฮะ)


จากนั้น Geli เริ่มย้ายเข้ามาอยู่ในละแวกใกล้แฟลตโทรมๆของฮิตเล่อร์คือย่าน..Thirschstrasse
และทั้งคู่เริ่มมีอาการสนิทสนมกันอย่างออกหน้าออกตา..
แต่ในฐานะ น้าชายกับหลานสาว ซึ่งไตเติ้ลนี้ เล่นเอาคนสับสนกันไปวุ่นวาย อย่างในกรณีของนายขาเดี้ยง โจเซฟ เกิบเบิ้ลส์ ที่ตอนนั้นกำลังคั่วหญิงอยู่สองคนในเมือง
เบอร์ลิน พอเดินทางมาพบกับฮิตเล่อร์ที่ได้แนะนำหลานสาวให้รู้จักเท่านั้นถึงกับกลับไปเขียนเพ้อเจ้อ..ว่า พบกับ
นางในฝันเข้าให้แล้ว..

แต่ต่อมาไม่นาน ฮิตเล่อร์ก็ได้ไปเช่าห้องชุดเก้าห้องทั้งฟลอร์ ในย่านไฮโซ ให้สมกับฐานะท่านผู้นำพรรคที่
Prinzregentenplatz ในปี 1929 นั้น
แน่นอนว่า..หลานสาวได้ย้ายมาอยู่ด้วยเป็นการถาวร มีการจ้างแม่บ้านหลายคนที่ต้องเข้ามาดูแลอยู่อย่างประจำ
อย่าง Frau Winter และ Frau Reichert
อีกทั้งแขกประจำบ้านคือ..เพื่อนสาววัยเดียวกันกับเจลิที่สนิทสนม นั่นคือ Henny ลูกสาวของ Heinrich Hoffmann ช่างภาพประจำตัวของ
ฮิตเล่อร์

และด้วยความหวือหวาของวัยสาว เจลิได้มีสัมพันธสวาทกับ Emil Maurice องค์รักษ์กึ่งเพื่อนสนิทของน้าชายนักการเมือง แต่ในขณะเดียวกันเจลิก็ยังคบกับชายมากหน้าหลายตา
ซึ่งครั้งหนึ่ง เอมิลทนดูภาพบาดตาไม่ได้ถึงกับต้องเข้าซ้อมเพื่อนชายคนหนึ่งของเจลิในขณะที่กำลังสวีทหวานแหววถึงขั้นสลบ..!!


เพราะความโฉ่งฉ่างหึงหวงนั้น ทำให้ข่าวรั่วไปถึงหูของฮิตเล่อร์เอาจนได้
แน่นอนเขาต้องสะกดความคั่งแค้นอย่าง
สุดขีดที่ หนอย..จู่ๆจะมีคนมาเจาะไข่แดงของไก่ที่เลี้ยงต้อยไว้ได้ยังไงฟะ?
เพื่อนก็เพื่อนเหอะ...ฮิตเล่อร์ถึงกับต้องลงมาแกล้งทำเป็นเข้าอกเข้าใจและตักเตือนหลานสาว

เพราะจากจดหมายของเจลิที่ส่งถึงเอมิล ใจความว่า
"น้ารู้แล้ว..ไม่ได้ห้ามปรามอะไรแต่ขอให้เก็บความสัมพันธ์ของเราไว้เป็นความลับก่อน รอไปสักสองสามปีเพราะหนังสือหนังหาก็ยังเรียนไม่จบ น้าชายน่ารักมากดีกับเราทุกอย่าง ฉันจึงไม่อยากขัดใจ นะจ๊ะ"
ลงท้ายว่า รักเธอเสมอและตลอดไป..เจลิ
...น้าชายของเจลิที่ว่านี้ คือ Uncle Alf (ฮิตเล่อร์) ดังที่เธอเรียกอย่างสนิทสนม...
แน่นอนที่ฮิตเล่อร์ใช้แผนว่าไม่ห้าม ในขณะเดียวกันเขาเริ่มสร้างความอึดอัดให้แก่เอมิล โดยการไม่จ่ายเงินเดือน
หรือถ้าจะจ่ายก็ช้ามาก จนในทีสุดเอมิลขอย้ายหน่วยงานพร้อมทั้งต้องขู่ว่าจะฟ้อง จึงได้เงินครบตามจำนวน
แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฮิตเล่อร์ยังคงทำสวีทหวาน ออกเดทกับ Winifred Wagner อยู่อย่างเสมอๆ รวมไปถึง
การทำเจ้าชู้ยักษ์กับลูกจ้างในร้านถ่ายรูปของนาย Hoffmann ที่ชื่อว่า Eva Braun สาววัยสิบเก้าย่างยี่สิบ..(คนที่มากลายเป็น"ภรรยาและเพื่อนตาย"ของเขาอย่างแท้จริงในยามบั้นปลายของชีวิต)
และจากปากคำของใครต่อใครหลายคนพอเชื่อถือได้ว่า สาวต่างๆทั้งอ่อนและแก่ที่เอ่ยนามมานั้น เป็นเพียงหน้า
ฉากของฮิตเล่อร์เท่านั้น..

Eva Braun



เพราะจากสายตาและกิริยาอาการใครต่อใครที่ใกล้ชิดก็พอรู้ได้ว่า ฮิตเล่อร์หลงรักหลานสาวตัวเองอย่างหมดใจ
เขาเคยบอกกับ Putzi ว่า..เจลิคือผู้หญิงที่เขาคิดจะแต่งงานด้วย..( I love her and could marry her......)

ฮิตเล่อร์พาเจลิไปโชว์ในงานแทบทุกที่ แม้แต่ที่งานใหญ่อย่างมหกรรมดนตรีที่เมือง Bayreuth ในฐานะหลานสาว
คนโปรด ซึ่งผู้คนเหล่าสมาชิกในพรรคเริ่ม "เอียน" แต่ก็ได้แต่นินทาลับหลังถึงสัมพันธ์ประหลาดๆของน้าหลานคู่นี้

แต่ตั้งแต่มีเจลิมาแนบข้างนี้ ฮิตเล่อร์ได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือ..ไม่โมโหโกรธาหน้าเขียวหน้าเหลืองอย่างแต่
ก่อน หรือถ้าจะมีก็ต้องไม่ใช่ต่อหน้าหลานสาว
เขาออกงานสังคม (ที่เคยไม่ชอบ) บ่อยขึ้น..และ..ไม่ปริปากบ่นว่าในเรื่องที่เจลิสรวมเสื้อผ้าราคาแพงรวมไปถึง
เสื้อขนสัตว์อันแสดงถึงความหรูหรา
ซึ่งมันเป็นข้อขัดแย้งแต่ภาพลักษณ์ของพรรคยิ่งนัก..พรรคนาซีคือพรรคตัวแทนเป็นปากเสียงของชาวประชาที่ใช้
แรงงาน หรือจัดว่าเป็นพรรคกรรมกรพรรคหนึ่ง
ซึ่งต้องรักษาภาพพจน์ให้อยู่ในสายกลางมากที่สุด
แต่..อาจเป็นเพราะความรัก จึงทำให้ฮิตเล่อร์เปลี่ยนไป

ส่วนเจลิเอง..ก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะเธอรู้ดีว่า น้าชายของเธอคนนี้คือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบันดาลให้เธอได้ จึงได้คล้อย
ตามในทุกสิ่งที่เขา "ต้องการ"
ไม่ว่า..จะทำเป็นคลั่งไคล้เสียงเพลงโอเปร่า ถึงขนาดเชื่อว่าตัวเองสามารถเป็นนักร้องได้ ฮิตเล่อร์ต้องจ้างครูพิเศษมาสอน ไม่ใช่พิเศษธรรมดา แต่พิเศษขนาดครูชั้นปรมาจารย์ที่ชื่อว่า Adolf Vogl ที่มีลูกศิษย์เป็นดาราโอเปร่าที่โด่งดังนั่นคือ Bertha Morena (นักร้องคนนี้มีเชื้อสายเป็นยิวแท้ๆ แต่ ฮิตเล่อร์ชอบเสียงของเธอมากจึงแกล้งทำเป็นไม่เชื่อ)

เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเจลิ คือ เฮเลน ภรรยาของ Putzi ที่นำความกลับมาเล่าว่า..เจลิมิได้สนใจเรียนแต่อย่างใด
ให้สมกับราคาที่ฮิตเล่อร์จ่ายถึงเดือนละ 100 มาร์ค
และที่แน่ๆคือ..เสียงของเธอนั้นมันห้าวเกินไปกว่าที่จะเป็น Wagnerian Soprano ได้ในชาตินี้..

(Wagnerian Soprano หมายถึง นักร้องหญิงโอเปร่าระดับโซปราโนที่จะต้องมีเสียงที่ทรงพลังพอที่จะร้องเพลงของวาคเนอร์ได้..วิวันดา)


มาถึงการวิเคราะห์เรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัวของฮิตเล่อร์ ว่า เขาจะจัดผู้หญิงที่จะยุ่งเกี่ยวด้วยในสองประเภท
ประเภทแรกนั่นก็คือ ระดับสี่ขึ้น
หมายถึงบรรดาแม่ม่ายทรงเครื่องที่อายุมากกว่าเขาขึ้นไปอย่างน้อยๆก็สิบปี หมายถึงอายุในวัยสี่สิบ ห้าสิบ
พวกนี้มักจะสนับสนุนเรื่องเงินๆทองๆและ สังคมที่โยงใยไปหากัน และที่สำคัญคือ มักไม่กล้าแสดงออกถึงเรื่อง "ความต้องการ" ในด้านอื่นจากเขา
นอกจากการแตะไหล่ โอบเอว จุมพิตปลายนิ้วเล็กๆน้อยๆ พร้อมทั้งคำหวานที่โปรยปราย..อย่าง..Winifred(ที่โด่งดังแล้ว) หรือบรรดาพวกไฮซ้อที่ยังไม่ดังแต่อยากดังทั้งหลาย

อีกพวกหนึ่งคือพวกคิกขุอาโนเนะ สาววัยทีน ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว..ยังไม่ประสีประสา พอหลอกให้ทำโน่นทำนี่ได้ พูดอะไรก็เชื่อไปหมด
จากปากคำของคนใกล้ชิด..ว่าฮิตเล่อร์นั้นจัดอยู่ในพวก Masochist แบบกลายๆ เพราะหลายครั้งในยามที่เหล่า
บรรดาจะยกโขยงไปเที่ยวแบบย่ำราตรี
เขามักเตือนว่า "อ้อ..จะไปเที่ยวผู้หญิงเร๊อะ อย่าลืมเอาแส้ติดไปด้วยนะ"
พูดถึงเรื่องแส้..ฮิตเล่อร์เป็นคนหนึ่งที่ต้องเอาพกติดตัวไว้เป็นประจำ ห้อยไว้ที่เอว ยามขัดใจในเรื่องอันใดก็ตาม
เขามักใช้มันฟาดลงไปบนดินบ้าง บนรองเท้าบู๊ทของตัวเองบ้าง..หรือ แค่ระดับหงุดหงิดก็มักใช้ด้ามของมันเคาะลงบนสิ่งของใกล้ตัว..

Speer เล่าไว้ว่า ฮิตเล่อร์เคยจำกัดความเรื่องผู้หญิงว่า "หล่อนต้องอ่อนหวาน น่ารัก และต้องโง่ ผู้ชายมีสิทธิที่จะฝากรอยเจ็บช้ำไว้บนร่างของเธอก็ย่อมได้ ยิ่งเป็นเดะๆอายุ 18-19 นะนายเอ๋ย มันช่างสอนง่ายราวกับปั้นขี้ผึ้ง
เชียว"
พูดอะไรก็เชื่อไปหมด เช่น เจลิ,เอวา  และ มิทซี่ เป็นต้น..

ไม่ว่าจะพาเจลิไปนั่งรถเบ๊นซ์เปิดประทุนกินลมฉุยฉาย หรือ ไปปิคนิคไกลๆ..
แม้กระทั่งไปดูหนัง..เขาตามใจเธอทุกอย่าง..ภาพยนตร์สองเรื่องที่ทั้งคู่ได้ดูแล้วมีความสุขหัวเราะกิ๊กกั๊กด้วยกัน
นั้นคือ King Kong และ Snow White and the Seven Dwarfs ของ Walt Disney
เพราะ เจลิเป็นคนเดียวที่รู้จักวิธีออดอ้อนแบบแขนโอบคอ โน้มลงมาจูจุ๊บ..อย่างไม่เคอะเขิน และเธอคนเดียวที่
สามารถทำท่าล้อเลียนแบบพร้อมทั้งหัวเราะอย่างเห็นขันแบบเปิดเผย
และ..เธอก็ไม่ใช่ว่าจะเก็บตัวอยู่กับบ้านในยามที่ฮิตเล่อร์ต้องออกเดินทางไปปราศรัยที่โน่นที่นี่ซะด้วย..
หลายต่อหลายครั้งที่หนีเที่ยว..คนที่รู้เห็นนั่นก็คือ Wilhelm Stocker หน่วย SA ที่อยู่รับหน้าที่เฝ้ายามที่บ้าน
เจลิขอร้องให้เขาปิดเรื่องไว้เป็นความลับ..ซึ่งเขาได้เห็นใจเด็กสาวจึงปิดปากเงียบ..ไม่ได้แอะให้เจ้านายได้ล่วงรู้เลยแม้แต่นิด

จนเจลิเริ่มนับเขาเข้าเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิด ถึงกับเล่า "ความนัย" ให้ฟังว่า
"คุณน้าชอบให้เธอทำอะไรแปลกๆให้ที่พึลึกกึกกือ ซึ่งบางครั้งเธออยากอ้วก..แต่ก็ไม่อยากขัดใจ"
"อ้าว ทำไมล่ะ" นายนี่ก็เกิดสงสัย
"เพราะ ถ้าฉันตามใจน้าเค้า..เค้าก็อาจไปหาคนอื่นน่ะซิ แล้วเรื่องอะไรล่ะ ที่จะให้คนอื่นมามีความสำคัญกว่าฉันเล่า?" และเธอเล่าต่อไปด้วยว่า
ในระยะหลังๆมานี่..เธอสังหรณ์ใจว่า เขาคงมีผู้หญิงอื่นอีก..
สมองเล็กๆคิดได้แค่เพียงว่า ทันทีที่เขามีคนอื่น แน่นอนว่าเธอต้องถูกเขี่ยกระเด็น
นี่คือสิ่งที่เจลิทุรนทุรายนัก !!

ภาพวาดรูปเปลือยของเจลิ...ที่วาดโดยฮิตเล่อร์ 


ไหนๆก็เล่าถึงนี่แล้ว..งั้นจะเอาเรื่องรักแรกกับ สาวน้อย Stephanie Jansten มาเล่าให้ฟังหน่อยละกัน..
นี่คือ ฮิตเล่อร์ภาค "แฟนฉัน" ค่ะ
คืองี้ ตอนนี้ในปี 1907 ที่ฮิตเล่อร์กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เพื่อนรักคนเดียวที่เขามีนั่นก็คือ
Gustl Kubizek ต่างก็พากัน
เดินเล่นในสวนสาธารณะกันตอนเย็นๆ(ในเมือง Linz, Austria}

วันหนึ่ง เขาก็เดินสวนกับ เด็กหญิงนางหนึ่งสูงเพรียว ผมรวบขึ้นเกล้าเป็นมวยที่ด้านหลัง..แต่หล่อนเดินมากับแม่
ทันใดนั้น เขาก็ชะงักกึก บีบแขนเพื่อนอย่างตื่นเต้น พร้อมกับบอกว่า..ฉันกำลังตกหลุมรักกับเธอคนนั้นอย่างจังเข้าให้แล้ว..
ว่าแล้ว..ฮิตเล่อร์ก็กลับมาเขียนโคลงกลอน เพ้อรำพึงอย่างเอาเป็นเอาตาย หนึ่งในนั้นเขาตั้งชื่อว่า Hymn to the Beloved (บทรำพันถึงสุดที่รัก)และส่งไปโดยไม่ลงชื่อว่ามาจากใคร..

Gustl เคยบอกว่า ก็เข้าไปแนะนำตัวซะเลยซิ เจ้าหล่อนจะได้รู้จักให้มันจบๆไป
ฮิตเล่อร์ตอบว่า..ไม่ละ..รักย่อมเข้าใจในรัก แค่ฉันเห็นแววตาหล่อนที่มองมาฉันก็รู้ว่าเราใจตรงกัน
กัสท์เองก็เฝ้ามองแต่ไม่เห็นว่าหล่อนจะมีวี่แววว่าสนใจเพื่อนของเขาที่ตรงไหน..
แต่ฮิตเล่อร์ก็แก้เกี้ยวว่า..
คงงอนน่ะ ผู้หญิงก็เงี้ยะ..ปั้นปึ่งไว้ก่อน

จากนั้นก็มีข่าวแว่วมาว่า สเตฟานี มีแฟนแล้วเป็นทหารหนุ่มรูปหล่อและกำลังจะหมั้นอีกต่างหาก
ท่าวววน้านนนแหละ..พ่อฮิตเล่อร์ก็ฟาดหัวฟาดหางจะเป็นจะตายเสียให้ได้
ขู่ฟ่อๆกับกัสท์ว่า..จะกระโดดแม่น้ำดานูปให้มันตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
แต่นั่นหมายถึงสเตฟานี ต้องไปกระโดดด้วย ไม่งั้นไม่ยอม !!
จากนั้นมา..ฮิตเล่อร์ก็มีแผนการแผลงๆหลายอย่าง เช่นจะพาสาวเจ้าหนีไปอยู่ด้วยกัน แต่ไปที่ไหนยังไม่รู้
ทั้งนี้ทั้งนั้น..เป็นความคิดเพ้อเจ้อแบบเด็กๆล้วนๆ
เพราะ ทั้งฮิตเล่อร์และสเตฟานี ไม่เคยได้พูดกันสักคำ !!

เรื่องของเจลิต่อนะ..ว่า เธอคนนี้ก็เหมือนดังนกในกรงทอง เพราะน้าชายได้กำหนดแทบในทุกย่างก้าว เพราะความคุมเข้มนี่แหละที่ทำให้ผู้คนเริ่มมองเขาแปลกๆ อย่างในกรณีที่หนุ่มน้อย SA คนหนึ่งที่ดันไปนอนบ้านผู้หญิง
แล้วถูกลวงไปฆ่าตายโดยพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่ง เกิบเบิ้ลส์ ได้ถือโอกาสทำวิกฤติให้เป็นโอกาสทันที โดยยกย่องคน
ตายประหนึ่งวีรบุรุษสงคราม แต่งเพลงสดุดีให้ และรอจัดงานศพให้อย่างใหญ่โตเต็มไปด้วยพิธีการที่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน
เขาได้แจ้งข่าวให้ฮิตเล่อร์เตรียมตัวไปเป็นประธาน ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ตกลง มาแน่ๆ !!

แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ฮิตเล่อร์กลับพาเจลิไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศเบอทเทสการ์เดน ที่ Obersalzerg เฉยเลย
ซึ่งทำให้เกิบเบิ้ลส์โมโหจนแทบกระอัก
อีกทั้งฝ่ายมารดาของคนตาย ก็แจ้งให้ทราบว่า ไม่ได้ดอกไม้หรือสาส์นแสดงความเสียใจจากท่านผู้นำเลยแม้แต่นิด

ส่วนเจลิ นั้นใช่ว่าจะมีความสุขเพราะได้รับความรักมากมายเสียเมื่อไหร่ เพราะ ในงานแฟนซีประจำปี ที่ใครต่อใครต่างเฝ้ารอคอยนั้น
เธอต้องใช้เวลานานกว่าจะประเล้าประโลมจนได้รับอนุญาต แต่พอมาถึงเรื่องเครื่องแต่งกาย ก็มาพบปัญหาอีก
เพราะ ใครๆเขาก็แต่งกันเต็มที่
อย่าง Henny แม่เพื่อนสาว แต่งเป็นเจ้าหญิงแขก ส่วนเจลินั้นเธอลองออกแบบชุดโดยการวาดลงในกระดาษก่อนสั่งตัด แต่ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากฮิตเล่อร์ก่อน
และทันที่ที่เขาเห็นแบบสเก็ทช์ กระดาษในมือปลิวว่อน แถมโวยว่า..
"ถ้าจะใส่ชุดพวกนี้ไปละก้อ..แก้ผ้าไม่ดีกว่าหรือ ?"
ผลคือ เจลิวิ่งขึ้นไปร้องให้ข้างบนเป็นวรรคเป็นเวร กว่าจะมาสรุปลงตัวในชุดยาวสีขาวธรรมดา กับที่คาดผมเสียบขนนกสีเงิน
ก็หมดน้ำตาไปหลายปี๊บ !ในงานนั้น ฮิตเล่อร์ส่งผู้คุมไปสองคนซึ่งได้รับคำสั่งมาว่า ต้องออกจากงานในเวลาห้าทุ่มตรง.. คือตาโย่ง Hoffmann และ ตาอ้วนเตี้ยอดีตสิบเอก Max Amann
ซึ่งหมายความว่า เจลิจะต้องเต้นรำกับนายสองคนนี้เป็นเสียส่วนใหญ่ เพราะใครเล่าจะมากล้าขอ
และในงานเช่นนี้ หนุ่มสาวมีการแลกจูบ แบบจุ๊บเป็นพิธี ซึ่ง..เจลิก็ได้แต่นั่งมองตาละห้อย
ซึ่งพอถึงเวลาห้าทุ่มตามกำหนด ชายทั้งสองพาเธอกลับทันที ซึ่งเจลิหมดความอดทน เธอกระแทกมือกระแทกเท้าอย่างไม่พอใจ

วันรุ่งขึ้นต่อมา เธอใช้สงครามเย็น นั่นคือไม่ยอมพูดยอมจากับใคร..
ฮิตเล่อร์ได้บอกกับ ฮอฟมันน์ ว่า.. เขาทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของเจลิเอง และทำไปด้วยความรัก ความรักแบบ
บริสุทธิ์ที่ไม่ได้หวังครอบครอง เพราะตัวเขาเองไม่คิดจะแต่งงานกับใครในชาตินี้..
แต่สำหรับเจลิแล้ว..เขาอยาก
ทะนุถนอมเธอให้ไปพบกับคนดีๆที่เหมาะสม

Heinrich Hoffman 

นายฮอฟมันน์ก็ต้องฟังนิยายเรื่องนี้ไปอย่างซ้ำๆซากๆ คนอย่างเขาจะไปขัดคอหรือขัดใจเจ้านายอย่างไรได้
เป็นเพราะฮิตเล่อร์ที่ให้โอกาสเขามาเป็นช่างภาพส่วนตัว และ มีเอกสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายภาพของฮิตเล่อร์แต่ผู้
เดียว ทำให้เงินทองไหลมาเทมาชนิดเป็นกอบเป็นกำ แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะมาแย้งให้โง่ว่า..
ใครๆก็รู้ว่า ฮิตเล่อร์และเจลิ มีความสัมพันธ์ฉันท์ผัวเมียมาตั้งแต่ ปี 1929 ก่อนที่จะย้ายมาที่คฤหาสน์หรูนี่ซะอีก..

ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับเซ็กซ์วิปริตเนี่ย..มาจากปากคำของนาย Otto Strasser ที่ให้กับหนังสืออเมริกันในปี 1943เป็นครั้งแรก
เพราะครั้งหนึ่ง เขาเคลมว่า เขาได้พาเจลิออกไปเดท
(ตอนทีฮิตเล่อร์ไม่อยู่) และ เจลิอดรนทนไม่ได้ต่อความอึดอัดจนต้องเล่าออกมา..
แต่อ่านไปก็ต้องพิจารณาไปด้วยว่า สองพี่น้อง Gregor และ Otto นี้อยู่พรรคเดียวกันแต่คนละขั้วกับฮิตเล่อร์ ซึ่ง
ต่อมา นาย Gregor ถูกฆ่าตายในคืนดาบยาวสังหารโหดปี 1934 ( The Night of the Long Knives )
ตัวนาย Otto ต้องหนีตายไปอยู่ที่สวิทเซอร์แลนด์อย่างหัวซุกหัวซุน ฉะนั้น เรื่องความแค้นส่วนตัวกันนั้น ต้องมีแน่
นอนอยู่แล้ว

และจากหนังสือของอเมริกันชุดเดียวกันจาก The US Office of Strategic Studies ก็ได้ข้อความเหมือนกันจาก
ปากคำของ Renate Muller ดาราหนังชื่อดังที่มีสัมพันธสวาทแบบเดี๋ยวด๋าวกับฮิตเล่อร์ในปี 1932 โดยใจความว่า
เขาและเธอพบกันตอนที่เธอไปถ่ายหนังแถวชายแดนเดนมาร์ค โดยที่ฮิตเล่อร์ได้ไปนั่งเฝ้าที่กองถ่ายทั้งวัน และ
ตอนเย็นเขาได้มาเป็นแขกในที่พักของเธอ
ซึ่งท่าทางเขากึ่งกลัวกึ่งหวาดๆยามที่อยู่ต่อหน้าหญิงที่จัดว่าสวยจัดอย่างเธอ สิ่งเดียวที่เขาทำในยามนั้นนั่นก็คือ
จับมือเธอและกุมแน่นอยู่อย่างไม่ยอมวาง
แต่บทสนทนาของเขานั้น เธอว่า..พูดจาอะไรก็ไม่รุ ไม่เห็นจารู้เรื่อง..
แต่เธอก็ได้รับของขวัญมีค่าหลายๆชิ้นเช่นเดียวกับ เจลิ และเอวา..

จนต่อมาเธอได้รับเชิญไปงานที่ทำเนียบ..
ฮิตเล่อร์ทำเป็นว่าไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่นิด จนกระทั่งทุกคนได้ลากลับหมด
เขาจึงเข้ามาชวนพูดคุยและพาเดินไปชมสถานที่ทั่วๆ
ต่อมาเขาก็ร่ายมาถึงบทบาทหน้าที่ของเกสตาโปว่าเชี่ยวชาญในเรื่องการทรมานทารุณขนาดไหน และจากนั้น
เขาก็ลงคุกเข่าโดยบอกว่า เขาคือทาสของเธอ จะตบจะตีอย่างไรก็ได้ Renate ก็ครึ้มๆเพราะคงดวดไปหลายขวด นึกสนุกขึ้นมาเลยลุกขึ้นเตะ ตบตีท่านผู้นำจนหนำใจ
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานกรีดก้องจากปากฮิตเล่อร์อย่างสุขสมใจ
หลังจากที่เมื่อทุกอย่างได้จบลง เขาจุมพิตมือเธอเบาๆด้วยท่าทางเงียบหงิมดังเช่นเคย ก่อนที่จะเรียกทหารรับใช้นำเธอไปส่งจนถึงบ้าน

เขาและเธอพบปะกับแบบลับๆบ่อยๆ จนเมื่อเธอได้ขออนุญาตไปเที่ยวอังกฤษเพื่อเป็นการพักผ่อน แต่เกสตาโปที่
ฮิตเล่อร์ได้ส่งไปติดตามข่าวเป็นสายสืบได้กลับมารายงานว่าเรเนต์ไปพบและยังติดต่อกับแฟนเก่าที่มีเชื้อสายยิว
เธอจึงได้ถูกตัดขาดและมีการกลั่นแกล้งในทุกรูปแบบ จนทำให้เธอหันมาแก้ปัญหาด้วยการใช้มอร์ฟีนเป็นเครื่องผ่อนคลาย
และ..ในที่สุด เธอก็ต้องพบกับจุดจบโดยการ(ต้อง)กระโดดลงมาจากตึกชั้น 4 โดยมี หน่วย SS หลายคนที่ยืนข้างหลัง ควบคุมการกระโดดเพื่อปลิดชีวิตในครั้งนั้น

(ข่าวออกมา..กลบเกลื่อนว่า เธอเกิดอาการคลุ้มคลั่งไปเอง !!)

ทีนี้เรื่องของเจลิ..ความมารั่ว..เพราะ ฮิตเล่อร์เองได้ส่งจดหมายไปหาเจลิในอพาร์ตเม้นท์เก่า โดยพรรณนาถึงความรักและความโหยหาในเรื่องบนเตียงแบบชนิดผิดธรรมดา
อันทำให้ผู้อ่านได้ทราบว่า คนใดคนหนึ่งต้องการเห็นความเจ็บปวดของฝ่ายคู่ขา
และข้อความนั้นๆได้กระจ่างในตัวของมันเอง..ว่า เจลิได้ประสบความสำเร็จในการเยียวยาและช่วยบำบัดการไร้สมรรถภาพทางด้านเพศสัมพันธ์ของฮิตเล่อร์ให้กลับคืนมาเป็นเกือบปรกติ
มีการวิเคราะห์ว่า..เป็นไปได้ ทั้งคู่คือ S&M แต่ ใครจะเป็น s ใครจะเป็น m นั้น..ไปเดากันเอาเอง
จดหมายฉบับนี้ ..เจลิไม่ได้รับ หากแต่ตกไปอยู่ในมือของเจ้าของตึก และต่อมาก็มาอยู่ในมือของ Dr. Rudolph ลูกชาย
และจดหมายนี้หลุดไปอยู่กับบาดหลวง
โบฮีเมียน ชื่อว่า Father Bernhard Stempfele ซึ่งบาดหลวงนี้ได้นำจด
หมายมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับฮิตเล่อร์ โดยขอตำแหน่งหน้าที่ยกระดับทางเรื่องธุรกิจวัดๆวาๆ จากอำนาจของพรรค
ซึ่งฮิตเล่อร์ได้ตกลงยินยอมโดยดี

แต่ก็เป็นในแค่ระยะแรกๆเท่านั้น ภายหลังที่เขาได้ขึ้นมานั่งบัลลังก์ครองเมือง บาดหลวงคนนี้ก็มีจุดจบเหมือนกับ
คนอื่นๆที่เคยได้ล่วงรู้ความลับของเขา นั่นคือ ตายอย่างศพไม่สวย !!
และการแบล๊คเมล์นั้นไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นครั้งเดียว ยังมีอีก..นั่นคือภาพวาดอวัยวะของสงวนของเจลิอย่างชัดเจนนั้น
(ซึ่งคาดเดาว่าใช่ เพราะภาพนู๊ดชุดเดียวกันยังหลงเหลืออยู่) ได้หลุดออกไป ซึ่งนาย Franz Xavier Schwarz ฝ่าย
การเงินของพรรคต้องตามไปซื้อเก็บกลับมา และฮิตเล่อร์สั่งไม่ให้ทำลาย เขานำมันมาเก็บไว้ที่เซฟในบราวน์ เฮ้าส์
เจลิเคยเล่าให้เพื่อนสาวฟังว่า..เธอนั้นมิใช่โชคดีอย่างที่ใครๆคิด เพราะไม่ว่าทุกสิ่งที่เธอมี และได้มานั้น ต้องแทบใช้ชีวิตเข้าแลก และสิ่งเดียวที่เธอหลุดปากออกมาเพียงว่า
" บอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก..ว่าฉันโดนถูกบังคับให้ทำอะไรลงไปบ้าง"

ฮิตเล่อร์ก็ยังคงทำตัวหวานแหววกับบรรดาหมู่สาวน้อย
อย่างกับ Henny Hoffmann เพื่อนสนิทของ
เจลิที่จัดว่าเป็นคนสวยจัดคนหนึ่ง(เพราะพ่อใช้ให้เป็นนางแบบบ่อยๆ)
ก็ยังเคยโดนฮิตเล่อร์เกี้ยวพาราสี
แต่เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ และไม่เคยเล่าให้เจลิฟัง..
และในขณะเดียวกัน ช่วงปี 1929 ฮิตเล่อร์ได้รู้จักกับเด็กสาวลูกจ้างในร้านถ่ายรูปของ Hoffmann คนหนึ่ง ชื่อว่า
Eva Braun ซึ่งเด็กสาวคนนี้ออกจะติดอกติดใจในทีท่าเจ้าชู้ไก่แจ้ของฮิตเล่อร์อยู่ไม่น้อย และที่สำคัญหล่อนเป็น
คนช่างฝัน ชอบอ่านนิยายประโลมโลกย์ราคาถูกและเชื่อทุกอย่างที่ฮิตเล่อร์นำมาเล่า..

โดยเฉพาะเรื่องที่เขาเล่าถึง การทำงานเสี่ยงตายในสมรภูมิรบที่เขาผ่านมา ถึงกับได้เหรียญกล้าหาญ หรือเรื่องแม่ที่รักและบูชาได้จากไป..ไม่ทันเห็นลูกชายคนยากคนนี้กำลังจะประสบความสำเร็จ หรือ เรื่องปฏิวัติ ที่ต้องพาตัวไปเข้าคุก
และเรื่องสรุปที่ทำให้เอวาถึงกับน้ำตาหยด..เพราะความซาบซึ้ง..นั่นคือ..ความรักชาติยิ่งชีพ ชีวิตนี้เขาคงรักใครอีกไม่ได้มากเท่า และ..คงไม่มีเวลาสำหรับชีวิตแต่งงานกับหญิงคนไหน


เอวาและเจลิ ได้เคยพบกับแบบประเภทหมางเมินตามโรงมหรสพโอเปร่าต่างๆ..
ครั้งหนึ่ง เอวาได้ใส่เสื้อที่มีขน
เฟอร์ตรงส่วนเฉพาะแขน
เจลิเอาไปทำเป็นเรื่องตลกขบขัน โดยที่บอกว่า เอวานั้นดูเหมือนกับลิงน้อยๆ และเรียกลับหลังว่า นังลิงน้อย
อันเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนตั้งแต่นั้นมา..

จนวันที่ 18 กันยายน 1931 ระหว่างอาหารกลางวันที่เขาทั้งสอง ฮิตเล่อร์และเจลิ กำลังถกเถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดง..
เรื่องที่เจลิยื่นคำขาด ว่า อยากไปเวียนนา ไปเยี่ยมญาติ
ฮิตเล่อร์ หันขวับด้วยความไม่พอใจอย่างแรง..ว่า..
ทำไมต้องไปเวียนนา..ที่นั่นมันมีอะไรดีกว่าที่นี่งั้นหรือ?
"ก็อยากไปหา น้าพอลล่า" เจลิอ้างถึงน้องสาวของน้าชาย
ฮิตเล่อร์เลื่อนจานไปอย่างไม่พอใจ และพูดออกไปตรงๆตามแบบฉบับว่า..
"จะไปหาผู้ชายละซิ ไอ้ยิวคนที่เอามาอ้างว่าเป็นครูสอนร้องเพลงน่ะเหรอ ฝันไปเหอะ ไม่ให้ไป และขอบอกไว้เดี๋ยวนี้เลยนะ ว่าเลิกคบกับไอ้หมอนี่เด็ดขาด บอกมันด้วย ว่าถ้ามันยังอยากมีชีวิตอยู่ละก้อ..อย่า..แม้แต่จะคิด"

เจลิ..หวีดร้องอย่างขัดใจ กระทืบมือกระทืบตี..ไปตามระเบียบเช่นทุกครั้ง
ฮิตเล่อร์ทำเป็นไม่สนใจ เดินลงบันได..พร้อมเดินทางไปปราศรัยที่ภาคเหนือ ฮอฟแมนได้มารออยู่ที่รถที่จอดอยู่ข้างล่าง
เจลิ..โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง ตะโกนมาจากชั้นบน
ถามว่า.."นี่จะถามครั้งสุดท้ายแล้วนะ..ว่าจะให้ไปหรือไม่ให้ไป..ว่ามา"
ฮิตเล่อร์เงยหน้า..ตะโกนตอบกลับไปว่า..
"ไม่ให้ไป..คิดอะไรได้บ้าๆ..ไปยิงตัวตายซะไป๊.. เด็กบ้า"
วลีที่ว่า ไปยิงตัวตาย นี่..ฮิตเล่อร์ชอบพูดเป็นสิ่งติดปากแบบว่าไม่มีความหมายอะไร เป็นคำพูดแบบสมัยนิยม
"You better go.. shoot yourself"

แต่สำหรับเจลิ สาวเลือดร้อน เธอถือเป็นการท้าทายอย่างยิ่ง และยิ่งในยามอารมณ์ขุ่นมัวที่ได้รับการขัดใจในสิ่งที่ขัดต่อความปรารถนา..
เธอวิ่งเข้าห้องปิดประตูเงียบ..
เช้าวันที่ 19 ต่อมา..แม่บ้านเริ่มสงสัยว่า เจลิไม่ได้ออกมาทานอาหารค่ำตั้งแต่เมื่อคืน..เช้านี้ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆ..ประตูล๊อคอีกด้วยต่างหาก
จนต้องไปตามสามีของ Frau Winter มางัดประตู และพบว่า เจลินอนคว่ำหน้าลงกับพื้นพรมข้างตัวมีปืนพกของ
ฮิตเล่อร์อยู่
หล่อนเสียชีวิตมาตั้งแต่เมื่อวาน โดยการยิงตัวเองเข้าที่หน้าอก..!!

มาถึงตอนนี้ พรรคนาซี ก็วิ่งปิดข่าวกันอย่างเคร่งเครียด ในเช้าวันเสาร์ที 19 นั้น
ทั้ง Gregor Strasser, Rudolf
Hess, Max Amann และ Franz Schwart ต่างก็มารวมตัวในสถานที่เกิดเหตุ และ หารือกันว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ ...
ในที่สุดสิ่งแรกที่ได้ตัดสินใจทำกันนั่นคือ ส่งข่าวไปยังบราวน์ เฮ้าส์ ให้กระจายข่าวว่า..หลานสาวฮิตเล่อร์ยิงตัว
ตายเพราะเกิดความเครียดในเรื่องการที่จะเป็นนักร้องโอเปร่า
แต่ในไม่กี่นาทีต่อมา นึกเอะใจขึ้นมาได้ว่า แล้วมันจะเครียดอะไรนักหนา เป็นถึงหลานฮิตเล่อร์น่ะ..
ตำรวจก็จะต้องสืบค้นข้อมูล เดี๋ยวก็จะเจอกับข้อเท็จจริงที่ว่า เจลินั้นถูกปิดกั้นอิสรภาพในการเป็นอยู่ทางสังคมจากน้าชาย
อย่างมากมาย..ทีนี้ ข่าวชู้สาวก็จะฉาวโฉ่ไปกันใหญ่
เหล่าขุนพลก็เลยเปลี่ยนใจ เปลี่ยนเนื้อหาของข่าว..โทรไปแจ้งอีกว่า เอาเป็นว่าเกิดอุบัติเหตุก็แล้วกัน แต่..มันช้าไปแล้ว..
เพราะ นาย Adolf Dresler ได้ตีพิมพ์ออกไปเป็นที่เรียบร้อย

ตำรวจก็เข้ามาสืบสวนจริงๆ เพราะนี่คือการตายแบบผิดปรกติ แม่บ้านทั้งสองคนให้การตรงกันว่า..ประตูนั้นล๊อคจากข้างใน
และ..ไม่ได้ยินเสียงปืน นอกจากเสียงวัตถุหนักๆล้มลง แต่เข้าใจว่า เจลิอาละวาดขว้างปาของตามปรกติยามที่ถูกขัดใจ

ผลของการชันสูตรศพจากหมอพรทิ..เอ๊ย ขอโทษค่ะ จาก Dr. Muller ได้บันทึกไว้ดังนี้..ว่า
“เป็นการตายด้วยเหตุวิบัติ กระสุนได้เจาะที่หน้าอกตรงเนื้อหนังด้านบนตำแหน่งของหัวใจ แต่พลาดไม่ได้ทะลุออกจากร่าง กลับไปติดอยู่ที่หลังด้านส่วนบนของสะโพกซ้าย
ส่วนใบหน้าไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้ายใดๆ นอกจากรอยเลือดคั่งเพราะการเสียชีวิต อีกทั้งปลายจมูกบิดเบี้ยว
เนื่องจากการกดทับกับพื้นเป็นเวลานับสิบๆชั่วโมง..
ซึ่งข้อความนี้ตรงกันกับเจ้าหน้าที่หญิงบรรจุศพสองคน ที่ได้บอกว่า..เธอได้สังเกตศพอย่างละเอียด เพราะทราบ
ว่าเป็นหลานสาวฮิตเล่อร์ ไม่พบร่องรอยใดๆที่อาจกล่าวว่าผิดปรกติ..
และได้บรรจุศพลงในโลงไม้ ตอนที่เคลื่อนย้ายออกไปจากแฟลต แต่ ได้เปลี่ยนมาเป็นโลงทองแดงเมื่อมาถึงสถานที่เก็บศพ
สิ่งเดียวที่ผิดปรกตินั่นคือ..การเคลื่อนย้ายศพออกไปนอกประเทศสู่ออสเตรีย ทางรถไฟนั้นได้กระทำอย่างรวดเร็ว..

Anna Winter หรือ Frau Winter ได้ให้การว่าหลังจากที่ฮิตเล่อร์ออกไปจากบ้านเพียงไม่กี่นาที เธอเห็นเจลิวิ่งเข้า
ไปค้นอะไรกุกกักในห้องของน้าชาย และวิ่งกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวปิดประตูเงียบ
ตอนกลางคืนเธอพยายามเคาะประตูเรียก เพื่อที่จะเข้าไปทำเตียงให้ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงเข้าใจว่า เจลิออกไปข้างนอก
จนกระทั่งเช้า จึงเห็นผิดสังเกต...

แม่บ้านคนอื่นๆก็ไม่ได้ยินเสียงปืนเช่นกัน..
แต่อะไรก็สกัดกั้นหนังสือพิมพ์ไม่ได้
ข่าวตีออกไปหลายกระแส รวมไปถึงข้อสันนิษฐานว่าถูกฆาตกรรมปิดปากอีก
ด้วย..
ฮิตเล่อร์..อยู่ในระหว่างการเดินทาง..เขาเพิ่งเช๊คเอ๊าท์ออกจากโรงแรม Deutsacher Hof
ที่เมือง Nuremberg
และกำลังอยู่ในระหว่างทาง..Hoffmann สังเกตเห็นรถวิ่งตามมาอย่างติดๆ..จึงชะลอดู เห็นว่าเป็นแท็กซี่จากโรงแรมที่เพิ่งออกมา
เด็กส่งสาส์นนำข่าวมาบอกว่า ให้โทรกลับไปหานาย Hess ด่วน เกิดข่าวร้าย..
ฮิตเล่อร์จึงย้อนกลับไปที่โรงแรม และ จัดการโทรศัพท์ทันที..
เสียงเขาละล่ำละลัก..ทันทีที่ได้ยินข้อความจากปลายสาย..
“โอ พระเจ้า เธอต้องไม่เป็นอะไรนะ..อย่าบอกนะว่า..ว่า..เธอ...”
แล้วเขาก็เข่าอ่อน ทรุดฮวบไปตรงนั้น ร้องไห้โฮออกมาเหมือนกับเด็กๆ...
พอได้สติ เขาบอกให้ ฮอฟมันน์ กลับเข้ามิวนิคเดี๋ยวและอย่างเร็วด่วน เพราะ เขาอยากลา
เจลิเป็นครั้งสุดท้าย !!

ขากลับ..เวลา บ่ายโมงเศษ..โชเฟ่อร์ของฮิตเล่อร์ได้เหยียบคันเร่งมิดตามคำสั่งนั้น...บนทางระหว่าง Ebenhausen และ Ingolstadt ได้ถูกให้หยุดเพื่อรับใบสั่งจากตำรวจในฐานะขับรถเร็วกว่ากำหนดเกือบเท่าตัว
นั่นคือ วันเสาร์ที่ 19 และมาถึงแฟลตเมื่อเวลาประมาณก่อนบ่ายสามโมงนิดหน่อย..
และฮอฟมันน์ได้เขาทราบมาจากแม่บ้านว่า..
เจลิบ่นให้ฟังบ่อยๆว่า ไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิด เพราะ น้าชายไม่ค่อยอยู่ดูแล ไปที่โน่นที่นี่ตลอดเวลา
วันนั้น เจลิได้เข้าไปค้นของในห้องของฮิตเล่อร์ และได้พบกับโน้ตที่เขียนว่า.
“คุณฮิตเล่อร์ที่รัก..
ขอบคุณสำหรับเย็นวันที่ฉันได้รับเชิญไปดูโอเปร่าที่แสนสนุก มันน่าประทับใจอย่างที่สุดสำหรับไมตรีจิตที่คุณได้มอบให้ ฉันจะขอจดจำไว้นานเท่านาน..และนับชั่วโมงคอย..เพื่อที่จะได้พบกับคุณอีก
ลงชื่อ..เอวา..

และนี่คือสาเหตุที่ ทั้งคู่ก็เป็นปากเป็นเสียงกัน จนเจลิยื่นคำขาดว่าจะขอกลับไปอยู่ที่ออสเตรีย(ชั่วคราว) และไม่
สมประสงค์จึงเป็นเหตุทำให้เกิดการคิดสั้น..
แต่บนโต๊ะหนังสือ มีจดหมายเขียนถึงเพื่อนในออสเตรียที่ไม่ได้ลงชื่อ ..ข้อความแสนที่จะมีความสุข ว่า เธอกำลัง
จะไปพบและจะได้ไปช้อปปิ้งกันให้สนุก..
จากข้อความนี้ พวกสื่อหนังสือพิมพ์เอาไปตีความว่า..เจลินัดพบกับผู้ชาย และ..ฮิตเล่อร์จับได้..เกิดความหึงหวง
จึงบันดาลโทสะ..สาดกระสุนใส่สู่ทรวงอกหลานสาวชู้รัก..!!

พวกบรรดาแม่บ้าน ถูกสั่งห้ามให้การกับตำรวจถึงการปรากฏตัวในตอนเช้าของพรรคพวกชาวนาซีจาก บราวน์ เฮ้าส์เด็ดขาด
เพราะกว่าเจ้าหน้าที่จะได้รับแจ้งและมาถึงแฟลตก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมง..
และผู้ที่ให้รายงาน คือ Frau Winter ที่เรียงเรียงข้อความให้ดูดีว่า..

เจลิเคยเป็นนักเรียนพยาบาลแต่สมองไม่ดีจึงเลิกเรียนกลางคัน หันไปสนใจในเรื่องการฝึกฝนร้องเพลงเพื่อที่
ต้องการจะเป็นนักร้องในวงโอเปร่า
ซึ่งเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายเพราะไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน เธอทุ่มเทกับมันมาก แม้กระทั่งต้องไป
เรียนพิเศษกับครูผู้ชำนาญในเวียนนา
แต่ฮิตเล่อร์น้าชายญาติคนเดียวของเจลินั้นไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะต้องไปอยู่คนเดียวในเวียนนา จึงเสนอให้
มารดาของเธอ แอนเจล่า ไปอยู่ด้วยเพื่อการดูแล
แต่เจลิปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างไม่ใยดี เพราะต้องการที่จะอยู่คนเดียวตามประสาเด็กสาว ฮิตเล่อร์จึงไม่ยินยอมต่อข้อเรียกร้อง
ซึ่งนี่คือสาเหตุของการขัดใจ และ เธอได้เล่าให้ฟังบ่อยๆว่า เคยไป "เข้าทรง" มา และได้รับการบอกเล่าจากวิญญาณผ่านคนทรงว่า
คนอย่างเธอต้องพบกับจุดจบแบบปัจจุบันทันด่วน (เรียกง่ายๆว่า ไม่แก่ตาย นั่นละมัง)




ฮิตเล่อร์ได้เศร้าโศกเสียใจอย่างมากมายต่อการจากไปของหลานรัก

แต่หลังจากข่าวนี้ได้แพร่หลายออกไป สื่อต่างๆเอาไปแปลกันมากมายหลายเนื้อความ จน..คนเริ่มสงสัย ว่า
ทำไมต้องห้าม..ทำไมต้องทะเลาะกัน
เสียงสะท้อนกลับนั้นเต็มไปด้วยเรื่องคาวฉาวโฉ่..และออกจะอุบาทว์จนเกินที่จะรับ เนื่องจากผู้ตายนั้นนับว่าเป็น
หลานสาวสายเลือดเดียวกันไปตั้งครึ่งตั้งค่อน
แถมกลายเป็นจุดให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามโจมตีดอาอีกด้วย
ฮิตเล่อร์จึงต้องเขียนข้อความไปยังตำรวจ พร้อมทั้งลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของพรรค..เพื่อเป็นการแก้ภาพพจน์ว่า

ข้าพเจ้าขอใช้สิทธิในมาตราที่ 11 ว่าด้วยเรื่องกฎหมายของข้อความในสิ่งตีพิมพ์ เพื่อขอการเป็นธรรมแก้ใขข้อ
ความต่อการเสียชีวิตของหลานสาวข้าพเจ้าให้ถูกต้องดังนี้

1. เรื่องที่ข้าพเจ้าและหลานสาวได้มีปากเสียงกันในวันเกิดเหตุนั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
2. เรื่องที่ข้าพเจ้าขัดขวางการเดินทางไปเวียนนาของหลานสาวของข้าพเจ้านั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
3. เรื่องที่หลานสาวของข้าพเจ้าได้พบคบค้าหรือหมั้นหมายกับชายหนุ่มในเวียนนานั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่าง
ใด
ความจริงคือ เธอเกิดความเครียดต่อการที่ต้องทดสอบเสียงต่อผู้เชี่ยวชาญ และเป็นกังวลว่าจะไม่ประสบความ
สำเร็จ
4. เรื่องที่ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาว่า ได้ผลุนผลันออกจากที่พักทันทีหลังจากที่มีการเกิดเป็นปากเสียงอย่างแรง นั้น..
ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
เพราะ ไม่มีเหตุการณ์ผิดปรกติใดๆเกิดขึ้นในครอบครัวของข้าพเจ้าตามเวลานั้นๆ

ลงชื่อ

อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์




Create Date : 09 มีนาคม 2548
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 4:49:55 น.
Counter : 3789 Pageviews.

12 comments
Prove: ปรับระดับคลื่นสมอง peaceplay
(15 มี.ค. 2567 16:21:49 น.)
พระประธานสมัยสุโขทัย : วัดไร่ขิง ผู้ชายในสายลมหนาว
(15 มี.ค. 2567 16:51:33 น.)
ไดอารี่ได้ศัพท์ Ep.21 ซื้อของขวัญหารกัน toor36
(5 มี.ค. 2567 00:02:38 น.)
Flight Attendant: The dream of many people. สมาชิกหมายเลข 8016747
(5 มี.ค. 2567 03:01:32 น.)
  


เรื่องของฮิตเล่อร์ในช่วงปี 1929 เนี่ย..
ทันที่ที่พรรคนาซีได้เข้าไปนั่นในสภากับเขาบ้าง..ฮิตเล่อร์ได้ย้ายนิวาสถานใหม่ ดังที่เล่ามานั้น..

หลานสาว เจลิ ที่เอามาอยู่ด้วยนั่น ในทีแรกก็ว่าอยากจะให้มาเรียนด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยมิวนิค
แต่ก็ไปได้แค่เทอมเดียว เจ้าหล่อนก็ยอมแพ้เลิกลาไปซะเฉยๆ..จากนั้นก็ติดตามน้าชายไปทุกหนทุกแห่ง
เช่นดูโอเปร่า และร้านอาหารหรูๆ ซึ่งใครต่อใครก็เห้นพ้องต้องกันว่า เธอเป็นราวกับเจ้าหญิงน้อยๆของฮิตเล่อร์ทีเดียว

แม้กระทั่ง..ใครต่อใครก็รู้ดีว่า ท่านผู้นำเกลียดการเดินช้อปปิ้งแค่ไหน...แต่กับหลานสาวคนนี้ เขายอมเดินเข้าเดินออกร้านแล้วร้านเล่า อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย
ส่วน แอนเจล่า ผู้มารดา นั้นไม่มาอยู่ด้วยแต่อย่างใด เพราะเธอไม่คุ้นกับสังคมเมืองหลวง และอีกอย่างหนึ่งคือ
ลึกๆแล้ว..สัมพันธภาพระหว่างพี่สาวและน้องชายต่างมารดาคนนี้ มันไม่ค่อยเข้าท่าและลงรอยกันสักเท่าไหร่..!!

เนื่องจาก ครั้งหนึ่งที่ฮิตเล่อร์ไปใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในเวียนนานั้น..เขาแอบขอเงินจากน้า Johanna (น้องสาวหลังค่อมคนเล็กของแอนเจล่า) ไปใช้ทีละไม่น้อย ในขณะที่ แอนเจล่าต้องมาเลี้ยงพอลล่าน้องสาวแท้ๆของฮิตเล่อร์
ด้วยเงินจากสวัสดิการคนพิการอันน้อยนิด
พอ Johanna เสียชีวิตไป ความจริงจากธนาคารก็ปรากฏว่า
เงินฝากได้ถูกสูบไปโดยฮิตเล่อร์
แอนเจล่าจึงต้องฟ้องศาลขอให้ฮิตเล่อร์สละสิทธิในเงินสวัสดิการส่วนของเขา(เดือนละ 25 Kronen) ให้กับน้องสาวที่อยู่ในความดูแลของเธอ
ซึ่งฮิตเล่อร์จนแต้มต่อหลักฐานเข้า ก็ต้องยอมโดยดี
ความกินใจในครั้งนั้น..ทำให้สองพี่น้องต้องห่างเหินไป

แต่..เจลิ คือเด็กสาวที่ตื่นเต้นต่อการมีน้าชายที่มีชื่อเสียงและ เขาสามารถทำให้เธอหลุดออกมาจากวงจร "ลูกคนใช้"มาเป็นหลานสาวท่านผู้นำพรรคการเมืองผู้โด่งดัง
ในชั่วข้ามคืน..
เจลิจึงหลงระเริงต่อความมั่งมีศรีสุข จนไม่เคยนึกเฉลียวใจว่าแววตาอันเป็นประกายระยิบระยับของน้าชายนั้น..
มันช่างแปลกประหลาด ผิดธรรมดายิ่งนัก !!

โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:08:27 น.
  


ขอย้อนไปนิด..เพราะพิมพ์ไว้แล้วมันหายไปง่ะ
คือว่า..จากบ้านตากอากาศที่ Berchtesgaden ฮิตเล่อร์ได้ชวนพี่สาวต่างมารดา Angela Raubal มาอยู่นั้น..ไม่ใช่ว่ารักและผูกพันแต่ประการใด
เพียงแค่เขาต้องการหาคนที่พอไว้ใจได้ เพราะในอดีตสองพี่น้องนี้แทบไม่มองหน้ากัน..เนื่องจาก ย้อนไปสมัยที่ฮิต
เล่อร์ไปร่อนเร่อยู่ในเวียนนาดังที่เล่าว่าต้องไปเขียนรูปขาย..ในยามจนหนักๆเข้าถึงกับต้องขายเครื่องมือทำมาหากิน
แต่พอได้เพื่อนชาวยิวที่ชักชวนให้วาดรูปอีกจึงได้จดหมายไปขอเงินจากน้าสาว Johanna Polzl น้องสาวคนเล็กของแม่..ที่พิการหลังค่อมอยู่เสมอๆ..และแต่ละครั้งก็ไม่ผิดหวัง
จนต่อมา น้า Johanna ได้เสียชีวิต ฮิตเล่อร์ก็
ไปเคลมเป็นทายาทเอาเงินออกจากธนาคารมาหลายพันโครน (Kronen) โดยไม่แบ่งให้ใครและไม่ปริปากบอก
ใครแม้แต่น้องสาวพิการแท้ๆที่อยู่ในความเลี้ยงดูของแอนเจล่าผู้ยากไร้ในยามนั้น
พอแอนเจล่ารู้เข้า ถึงกับต้องฟ้องร้องเอาฮิตเล่อร์ขึ้นศาล..ในฐานะฉ้อโกงสมบัติคนตาย
แต่ไม่สามารถจะเอาเงินคืนอย่างไรได้ เพราะใช้ไปหมดแล้ว..จึงต้องบังคับได้แค่สละสิทธิในเงินสวัสดิการจากรัฐบาลในฐานะลูกกำพร้าเดือนละ 25 โครนมาให้แก่พอลล่าน้องสาว
(ที่ได้รับอยู่แล้วเดือนละ 25 โครนเท่ากัน)

หากแต่..หลานสาวที่หน้าตาสะสวย ลูกของ
แอนเจล่านี่ซิ..ที่ทำให้เขาถึงกับเอ่ยปากชวนพี่สาวและลูกทั้งสองให้มาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าเพื่อสนับสนุนในการศึกษา
แอนเจล่า..ไม่สน บอกว่าไปเหอะ ไม่ชอบชีวิตในเมืองหลวง..เอลฟรีดล์ หลานสาวคนเล็กขออยู่กับแม่
แต่..แอนเจลิกา หรือ เจลิ ผู้มีความทะเยอทะยานนั้นขอโลดแล่นตามติดน้าชายผู้แสนจะโก้เก๋ในสายตาของธอไปด้วย

เธอได้เข้าสมัครเรียนวิชาการพยาบาล ที่มหาวิทยาลัยเมืองมิวนิคในช่วงภาคฤดูร้อน
ฮิตเล่อร์ จึงไปเช่าหอพักให้อยู่เป็นส่วนสัดเพื่อกันการครหาให้ที่ Pension Klein, Koniginstrasse (นี่คือในปี 1927)

แต่พอถึงแค่ฤดูหนาว..เจลิก็ขอยกธงขาวให้กับการศึกษาเพราะเธอสนใจที่จะติดตามน้าชายไปนั่งที่โน่นที่นี่มากกว่า
ในยามนั้น ฮิตเล่อร์มักใช้ร้านกาแฟเจ้าประจำ เป็นสถานที่พบปะกับใครต่อใครเพื่อเจรจาการดำเนินงานของพรรค หรือถ้างานใหญ่ก็มักใช้ความสะดวกตามโรงเบียร์ (แปลกดีแฮะ)

จากนั้น Geli เริ่มย้ายเข้ามาอยู่ในละแวกใกล้แฟลตโทรมๆของฮิตเล่อร์คือย่าน..Thirschstrasse
และทั้งคู่เริ่มมีอาการสนิทสนมกันอย่างออกหน้าออกตา..
แต่ในฐานะ น้าชายกับหลานสาว ซึ่งไตเติ้ลนี้ เล่นเอาคนสับสนกันไปวุ่นวาย อย่างในกรณีของนายขาเดี้ยง โจเซฟ เกิบเบิ้ลส์ ที่ตอนนั้นกำลังคั่วหญิงอยู่สองคนในเมือง
เบอร์ลิน พอเดินทางมาพบกับฮิตเล่อร์ที่ได้แนะนำหลานสาวให้รู้จักเท่านั้นถึงกับกลับไปเขียนเพ้อเจ้อ..ว่า พบกับ
นางในฝันเข้าให้แล้ว..

แต่ต่อมาไม่นาน ฮิตเล่อร์ก็ได้ไปเช่าห้องชุดเก้าห้องทั้งฟลอร์ ในย่านไฮโซ ให้สมกับฐานะท่านผู้นำพรรคที่
Prinzregentenplatz ในปี 1929 นั้น
แน่นอนว่า..หลานสาวได้ย้ายมาอยู่ด้วยเป็นการถาวร มีการจ้างแม่บ้านหลายคนที่ต้องเข้ามาดูแลอยู่อย่างประจำ
อย่าง Frau Winter และ Frau Reichert
อีกทั้งแขกประจำบ้านคือ..เพื่อนสาววัยเดียวกันกับเจลิที่สนิทสนม นั่นคือ Henny ลูกสาวของ Heinrich Hoffmann ช่างภาพประจำตัวของ
ฮิตเล่อร์

และด้วยความหวือหวาของวัยสาว เจลิได้มีสัมพันธสวาทกับ Emil Maurice องค์รักษ์กึ่งเพื่อนสนิทของน้าชายนักการเมือง แต่ในขณะเดียวกันเจลิก็ยังคบกับชายมากหน้าหลายตา
ซึ่งครั้งหนึ่ง เอมิลทนดูภาพบาดตาไม่ได้ถึงกับต้องเข้าซ้อมเพื่อนชายคนหนึ่งของเจลิในขณะที่กำลังสวีทหวานแหววถึงขั้นสลบ..!!

โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:14:59 น.
  


เพราะความโฉ่งฉ่างหึงหวงนั้น ทำให้ข่าวรั่วไปถึงหูของฮิตเล่อร์เอาจนได้
แน่นอนเขาต้องสะกดความคั่งแค้นอย่าง
สุดขีดที่ หนอย..จู่ๆจะมีคนมาเจาะไข่แดงของไก่ที่เลี้ยงต้อยไว้ได้ยังไงฟะ?
เพื่อนก็เพื่อนเหอะ...ฮิตเล่อร์ถึงกับต้องลงมาแกล้งทำเป็นเข้าอกเข้าใจและตักเตือนหลานสาว เพราะจากจดหมายของเจลิที่ส่งถึง เอมิล ใจความว่า
"น้ารู้แล้ว..ไม่ได้ห้ามปรามอะไรแต่ขอให้เก็บความสัมพันธ์ของเราไว้เป็นความลับก่อน รอไปสักสองสามปีเพราะหนังสือหนังหาก็ยังเรียนไม่จบ น้าชายน่ารักมากดีกับเราทุกอย่าง ฉันจึงไม่อยากขัดใจ นะจ๊ะ"
ลงท้ายว่า รักเธอเสมอและตลอดไป..เจลิ
(น้าชายของเจลิที่ว่านี้ คือ Uncle Alf ดังที่เธอเรียกอย่างสนิทสนม)
แน่นอนที่ฮิตเล่อร์ใช้แผนว่าไม่ห้าม ในขณะเดียวกันเขาเริ่มสร้างความอึดอัดให้แก่เอมิล โดยการไม่จ่ายเงินเดือน
หรือถ้าจะจ่ายก็ช้ามาก จนในทีสุดเอมิลขอย้ายหน่วยงานพร้อมทั้งต้องขู่ว่าจะฟ้อง จึงได้เงินครบตามจำนวน
แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฮิตเล่อร์ยังคงทำ
สวีทหวาน ออกเดทกับ Winifred Wagner อยู่อย่างเสมอๆ รวมไปถึง
การทำเจ้าชู้ยักษ์กับลูกจ้างในร้านถ่ายรูปของนาย Hoffmann ที่ชื่อว่า Eva Braun สาววัยสิบเก้าย่างยี่สิบ..(คนที่มากลายเป็น"เพื่อนตาย"ของเขาอย่างแท้จริงในยามบั้นปลายของชีวิต)
และจากปากคำของใครต่อใครหลายคนพอเชื่อถือได้ว่า สาวต่างๆทั้งอ่อนและแก่ที่เอ่ยนามมานั้น เป็นเพียงหน้า
ฉากของฮิตเล่อร์เท่านั้น..

เพราะจากสายตาและกิริยาอาการใครต่อใครที่ใกล้ชิดก็พอรู้ได้ว่า ฮิตเล่อร์หลงรักหลานสาวตัวเองอย่างหมดใจ
เขาเคยบอกกับ Putzi ว่า..เจลิคือผู้หญิงที่เขาคิดจะแต่งงานด้วย..( I love her and could marry her......)

ฮิตเล่อร์พาเจลิไปโชว์ในงานแทบทุกที่ แม้แต่ที่งานใหญ่อย่างมหกรรมดนตรีที่เมือง Bayreuth ในฐานะหลานสาว
คนโปรด ซึ่งผู้คนเหล่าสมาชิกในพรรคเริ่ม "เอียน" แต่ก็ได้แต่นินทาลับหลังถึงสัมพันธ์ประหลาดๆของน้าหลานคู่นี้

แต่ตั้งแต่มีเจลิมาแนบข้างนี้ ฮิตเล่อร์ได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือ..ไม่โมโหโกรธาหน้าเขียวหน้าเหลืองอย่างแต่
ก่อน หรือถ้าจะมีก็ต้องไม่ใช่ต่อหน้าหลานสาว
เขาออกงานสังคม (ที่เคยไม่ชอบ) บ่อยขึ้น..และ..ไม่ปริปากบ่นว่าในเรื่องที่เจลิสรวมเสื้อผ้าราคาแพงรวมไปถึง
เสื้อขนสัตว์อันแสดงถึงความหรูหรา
ซึ่งมันเป็นข้อขัดแย้งแต่ภาพลักษณ์ของพรรคยิ่งนัก..พรรคนาซีคือพรรคตัวแทนเป็นปากเสียงของชาวประชาที่ใช้
แรงงาน หรือจัดว่าเป็นพรรคกรรมกรพรรคหนึ่ง
ซึ่งต้องรักษาภาพพจน์ให้อยู่ในสายกลางมากที่สุด
แต่..อาจเป็นเพราะความรัก จึงทำให้ฮิตเล่อร์เปลี่ยนไป

ส่วนเจลิเอง..ก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะเธอรู้ดีว่า น้าชายของเธอคนนี้คือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบันดาลให้เธอได้ จึงได้คล้อย
ตามในทุกสิ่งที่เขา "ต้องการ"
ไม่ว่า..จะทำเป็นคลั่งไคล้เสียงเพลงโอเปร่า ถึงขนาดเชื่อว่าตัวเองสามารถเป็นนักร้องได้ ฮิตเล่อร์ต้องจ้างครูพิเศษมาสอน ไม่ใช่พิเศษธรรมดา แต่พิเศษขนาดครูอ้วน เอ๊ย..ชั้นปรมาจารย์ที่ชื่อว่า Adolf Vogl ที่มีลูกศิษย์เป็นดาราโอเปร่าที่โด่งดังนั่นคือ Bertha Morena (นักร้องคนนี้มีเชื้อสายเป็นยิวแท้ๆ แต่ ฮิตเล่อร์ชอบเสียงของเธอมากจึงแกล้งทำเป็นไม่เชื่อ)

เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเจลิ คือ เฮเลน ภรรยาของ Putzi ที่นำความกลับมาเล่าว่า..เจลิมิได้สนใจเรียนแต่อย่างใด
ให้สมกับราคาที่ฮิตเล่อร์จ่ายถึงเดือนละ 100 มาร์ค
และที่แน่ๆคือ..เสียงของเธอนั้นมันห้าวเกินไปกว่าที่จะเป็น Wagnerian soprano ได้ในชาตินี้..


โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:18:35 น.
  


มาถึงการวิเคราะห์เรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัวของฮิตเล่อร์ ว่า เขาจะจัดผู้หญิงที่จะยุ่งเกี่ยวด้วยในสองประเภท
ประเภทแรกนั่นก็คือ ระดับสี่ขึ้น
หมายถึงบรรดาแม่ม่ายทรงเครื่องที่อายุมากกว่าเขาขึ้นไปอย่างน้อยๆก็สิบปี หมายถึงอายุในวัยสี่สิบ ห้าสิบ
พวกนี้มักจะสนับสนุนเรื่องเงินๆทองๆและ สังคมที่โยงใยไปหากัน และที่สำคัญคือ มักไม่กล้าแสดงออกถึงเรื่อง "ความต้องการ" ในด้านอื่นจากเขา
นอกจากการแตะไหล่ โอบเอว จุมพิตปลายนิ้วเล็กๆน้อยๆ พร้อมทั้งคำหวานที่โปรยปราย..อย่าง..Winifred(ที่โด่งดังแล้ว) หรือบรรดาพวกไฮซ้อที่ยังไม่ดังแต่อยากดังทั้งหลาย

อีกพวกหนึ่งคือพวกคิกขุอาโนเนะ สาววัยทีน ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว..ยังไม่ประสีประสา พอหลอกให้ทำโน่นทำนี่ได้ พูดอะไรก็เชื่อไปหมด
จากปากคำของคนใกล้ชิด..ว่าฮิตเล่อร์นั้นจัดอยู่ในพวก Masochist แบบกลายๆ เพราะหลายครั้งในยามที่เหล่า
บรรดาจะยกโขยงไปเที่ยวแบบย่ำราตรี
เขามักเตือนว่า "อ้อ..จะไปเที่ยวผู้หญิงเร๊อะ อย่าลืมเอาแส้ติดไปด้วยนะ"
พูดถึงเรื่องแส้..ฮิตเล่อร์เป็นคนหนึ่งที่ต้องเอาพกติดตัวไว้เป็นประจำ ห้อยไว้ที่เอว ยามขัดใจในเรื่องอันใดก็ตาม
เขามักใช้มันฟาดลงไปบนดินบ้าง บนรองเท้าบู๊ทของตัวเองบ้าง..หรือ แค่ระดับหงุดหงิดก็มักใช้ด้ามของมันเคาะลงบนสิ่งของใกล้ตัว..

Speer เล่าไว้ว่า ฮิตเล่อร์เคยจำกัดความเรื่องผู้หญิงว่า "หล่อนต้องอ่อนหวาน น่ารัก และต้องโง่ ผู้ชายมีสิทธิที่จะฝากรอยเจ็บช้ำไว้บนร่างของเธอก็ย่อมได้ ยิ่งเป็นเดะๆอายุ 18-19 นะนายเอ๋ย มันช่างสอนง่ายราวกับปั้นขี้ผึ้ง
เชียว"
พูดอะไรก็เชื่อไปหมด เช่น เจลิ และ เอวา..
มิทซี่ เป็นต้น..

ไม่ว่าจะพาเจลิไปนั่งรถเบ๊นซ์เปิดประทุนกินลมฉุยฉาย หรือ ไปปิคนิคไกลๆ..
แม้กระทั่งไปดูหนัง..เขาตามใจเธอทุกอย่าง..ภาพยนตร์สองเรื่องที่ทั้งคู่ได้ดูแล้วมีความสุขหัวเราะกิ๊กกั๊กด้วยกัน
นั้นคือ King Kong และ Snow White and the Seven Dwarfs ของ Walt Disney
เพราะ เจลิเป็นคนเดียวที่รู้จักวิธีออดอ้อนแบบแขนโอบคอ โน้มลงมาจูจุ๊บ..อย่างไม่เคอะเขิน และเธอคนเดียวที่
สามารถทำท่าล้อเลียนแบบพร้อมทั้งหัวเราะอย่างเห็นขันแบบเปิดเผย
และ..เธอก็ไม่ใช่ว่าจะเก็บตัวอยู่กับบ้านในยามที่ฮิตเล่อร์ต้องออกเดินทางไปปราศรัยที่โน่นที่นี่ซะด้วย..
หลายต่อหลายครั้งที่หนีเที่ยว..คนที่รู้เห็นนั่นก็คือ Wilhelm Stocker หน่วย SA ที่อยู่รับหน้าที่เฝ้ายามที่บ้าน
เจลิขอร้องให้เขาปิดเรื่องไว้เป็นความลับ..ซึ่งเขาได้เห็นใจเด็กสาวจึงปิดปากเงียบ..ไม่ได้แอะให้เจ้านายได้ล่วงรู้เลยแม้แต่นิด

จนเจลิเริ่มนับเขาเข้าเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิด ถึงกับเล่า "ความนัย" ให้ฟังว่า
"คุณน้าชอบให้เธอทำอะไรแปลกๆให้ที่พึลึกกึกกือ ซึ่งบางครั้งเธออยากอ้วก..แต่ก็ไม่อยากขัดใจ"
"อ้าว ทำไมล่ะ" นายนี่ก็เกิดสงสัย
"เพราะ ถ้าฉันตามใจน้าเค้า..เค้าก็อาจไปหาคนอื่นน่ะซิ แล้วเรื่องอะไรล่ะ ที่จะให้คนอื่นมามีความสำคัญกว่าฉันเล่า?" และเธอเล่าต่อไปด้วยว่า
ในระยะหลังๆมานี่..เธอสังหรณ์ใจว่า เขาคงมีผู้หญิงอื่นอีก..
สมองเล็กๆคิดได้แค่เพียงว่า ทันทีที่เขามีคนอื่น แน่นอนว่าเธอต้องถูกเขี่ยกระเด็น
นี่คือสิ่งที่เจลิทุรนทุรายนัก !!

โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:22:39 น.
  


ไหนๆก็เล่าถึงนี่แล้ว..งั้นจะเอาเรื่องรักแรกกับ สาวน้อย Stephanie Jansten มาเล่าให้ฟังหน่อยละกัน..
นี่คือ ฮิตเล่อร์ภาค "แฟนฉัน" ค่ะ
คืองี้ ตอนนี้ในปี 1907 ที่ฮิตเล่อร์กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เพื่อนรักคนเดียวที่เขามีนั่นก็คือ
Gustl Kubizek ต่างก็พากัน
เดินเล่นในสวนสาธารณะกันตอนเย็นๆ(ในเมือง Linz, Austria}

วันหนึ่ง เขาก็เดินสวนกับ เด็กหญิงนางหนึ่งสูงเพรียว ผมรวบขึ้นเกล้าเป็นมวยที่ด้านหลัง..แต่หล่อนเดินมากับแม่
ทันใดนั้น เขาก็ชะงักกึก บีบแขนเพื่อนอย่างตื่นเต้น พร้อมกับบอกว่า..ฉันกำลังตกหลุมรักกับเธอคนนั้นอย่างจังเข้าให้แล้ว..
ว่าแล้ว..ฮิตเล่อร์ก็กลับมาเขียนโคลงกลอน เพ้อรำพึงอย่างเอาเป็นเอาตาย หนึ่งในนั้นเขาตั้งชื่อว่า Hymn to the Beloved (บทรำพันถึงสุดที่รัก)และส่งไปโดยไม่ลงชื่อว่ามาจากใคร..

Gustl เคยบอกว่า ก็เข้าไปแนะนำตัวซะเลยซิ เจ้าหล่อนจะได้รู้จักให้มันจบๆไป
ฮิตเล่อร์ตอบว่า..ไม่ละ..รักย่อมเข้าใจในรัก แค่ฉันเห็นแววตาหล่อนที่มองมาฉันก็รู้ว่าเราใจตรงกัน
กัสท์เองก็เฝ้ามองแต่ไม่เห็นว่าหล่อนจะมีวี่แววว่าสนใจเพื่อนของเขาที่ตรงไหน..
แต่ฮิตเล่อร์ก็แก้เกี้ยวว่า..
คงงอนน่ะ ผู้หญิงก็เงี้ยะ..ปั้นปึ่งไว้ก่อน

จากนั้นก็มีข่าวแว่วมาว่า สเตฟานี มีแฟนแล้วเป็นทหารหนุ่มรูปหล่อและกำลังจะหมั้นอีกต่างหาก
ท่าวววน้านนนแหละ..พ่อฮิตเล่อร์ก็ฟาดหัวฟาดหางจะเป็นจะตายเสียให้ได้
ขู่ฟ่อๆกับกัสท์ว่า..จะกระโดดแม่น้ำดานูปให้มันตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
แต่นั่นหมายถึงสเตฟานี ต้องไปกระโดดด้วย ไม่งั้นไม่ยอม !!
จากนั้นมา..ฮิตเล่อร์ก็มีแผนการแผลงๆหลายอย่าง เช่นจะพาสาวเจ้าหนีไปอยู่ด้วยกัน แต่ไปที่ไหนยังไม่รู้
ทั้งนี้ทั้งนั้น..เป็นความคิดเพ้อเจ้อแบบเด็กๆล้วนๆ
เพราะ ทั้งฮิตเล่อร์และสเตฟานี ไม่เคยได้พูดกันสักคำ !!

เรื่องของเจลิต่อนะ..ว่า เธอคนนี้ก็เหมือนดังนกในกรงทอง เพราะน้าชายได้กำหนดแทบในทุกย่างก้าว เพราะความคุมเข้มนี่แหละที่ทำให้ผู้คนเริ่มมองเขาแปลกๆ อย่างในกรณีที่หนุ่มน้อย SA คนหนึ่งที่ดันไปนอนบ้านผู้หญิง
แล้วถูกลวงไปฆ่าตายโดยพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่ง เกิบเบิ้ลส์ ได้ถือโอกาสทำวิกฤติให้เป็นโอกาสทันที โดยยกย่องคน
ตายประหนึ่งวีรบุรุษสงคราม แต่งเพลงสดุดีให้ และรอจัดงานศพให้อย่างใหญ่โตเต็มไปด้วยพิธีการที่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน
เขาได้แจ้งข่าวให้ฮิตเล่อร์เตรียมตัวไปเป็นประธาน ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ตกลง มาแน่ๆ !!

แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ฮิตเล่อร์กลับพาเจลิไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศเบอทเทสการ์เดน ที่ Obersalzerg เฉยเลย
ซึ่งทำให้เกิบเบิ้ลส์โมโหจนแทบกระอัก
อีกทั้งฝ่ายมารดาของคนตาย ก็แจ้งให้ทราบว่า ไม่ได้ดอกไม้หรือสาส์นแสดงความเสียใจจากท่านผู้นำเลยแม้แต่นิด

ส่วนเจลิ นั้นใช่ว่าจะมีความสุขเพราะได้รับความรักมากมายเสียเมื่อไหร่ เพราะ ในงานแฟนซีประจำปี ที่ใครต่อใครต่างเฝ้ารอคอยนั้น
เธอต้องใช้เวลานานกว่าจะประเล้าประโลมจนได้รับอนุญาต แต่พอมาถึงเรื่องเครื่องแต่งกาย ก็มาพบปัญหาอีก
เพราะ ใครๆเขาก็แต่งกันเต็มที่
อย่าง Henny แม่เพื่อนสาว แต่งเป็นเจ้าหญิงแขก ส่วนเจลินั้นเธอลองออกแบบชุดโดยการวาดลงในกระดาษก่อนสั่งตัด แต่ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากฮิตเล่อร์ก่อน
และทันที่ที่เขาเห็นแบบสเก็ทช์ กระดาษในมือปลิวว่อน แถมโวยว่า..
"ถ้าจะใส่ชุดพวกนี้ไปละก้อ..แก้ผ้าไม่ดีกว่าหรือ ?"
ผลคือ เจลิวิ่งขึ้นไปร้องให้ข้างบนเป็นวรรคเป็นเวร กว่าจะมาสรุปลงตัวในชุดยาวสีขาวธรรมดา กับที่คาดผมเสียบขนนกสีเงิน
ก็หมดน้ำตาไปหลายปี๊บ !!
โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:29:24 น.
  



ในงานนั้น ฮิตเล่อร์ส่งผู้คุมไปสองคนซึ่งได้รับคำสั่งมาว่า ต้องออกจากงานในเวลาห้าทุ่มตรง.. คือตาโย่ง Hoffmann และ ตาอ้วนเตี้ยอดีตสิบเอก Max Amann
ซึ่งหมายความว่า เจลิจะต้องเต้นรำกับนายสองคนนี้เป็นเสียส่วนใหญ่ เพราะใครเล่าจะมากล้าขอ
และในงานเช่นนี้ หนุ่มสาวมีการแลกจูบ แบบจุ๊บเป็นพิธี ซึ่ง..เจลิก็ได้แต่นั่งมองตาละห้อย
ซึ่งพอถึงเวลาห้าทุ่มตามกำหนด ชายทั้งสองพาเธอกลับทันที ซึ่งเจลิหมดความอดทน เธอกระแทกมือกระแทกเท้าอย่างไม่พอใจ

วันรุ่งขึ้นต่อมา เธอใช้สงครามเย็น นั่นคือไม่ยอมพูดยอมจากับใคร..
ฮิตเล่อร์ได้บอกกับ ฮอฟมันน์ ว่า.. เขาทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของเจลิเอง และทำไปด้วยความรัก ความรักแบบ
บริสุทธิ์ที่ไม่ได้หวังครอบครอง เพราะตัวเขาเองไม่คิดจะแต่งงานกับใครในชาตินี้..
แต่สำหรับเจลิแล้ว..เขาอยาก
ทะนุถนอมเธอให้ไปพบกับคนดีๆที่เหมาะสม

นายฮอฟมันน์ก็ต้องฟังนิยายเรื่องนี้ไปอย่างซ้ำๆซากๆ คนอย่างเขาจะไปขัดคอหรือขัดใจเจ้านายอย่างไรได้
เป็นเพราะฮิตเล่อร์ที่ให้โอกาสเขามาเป็นช่างภาพส่วนตัว และ มีเอกสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายภาพของฮิตเล่อร์แต่ผู้
เดียว ทำให้เงินทองไหลมาเทมาชนิดเป็นกอบเป็นกำ แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะมาแย้งให้โง่ว่า..
ใครๆก็รู้ว่า ฮิตเล่อร์และเจลิ มีความสัมพันธ์ฉันท์ผัวเมียมาตั้งแต่ ปี 1929 ก่อนที่จะย้ายมาที่คฤหาสน์หรูนี่ซะอีก..

ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับเซ็กซ์วิปริตเนี่ย..มาจากปากคำของนาย Otto Strasser ที่ให้กับหนังสืออเมริกันในปี 1943เป็นครั้งแรก
เพราะครั้งหนึ่ง เขาเคลมว่า เขาได้พาเจลิออกไปเดท
(ตอนทีฮิตเล่อร์ไม่อยู่) และ เจลิอดรนทนไม่ได้ต่อความอึดอัดจนต้องเล่าออกมา..
แต่อ่านไปก็ต้องพิจารณาไปด้วยว่า สองพี่น้อง Gregor และ Otto นี้อยู่พรรคเดียวกันแต่คนละขั้วกับฮิตเล่อร์ ซึ่ง
ต่อมา นาย Gregor ถูกฆ่าตายในคืนดาบยาวสังหารโหดปี 1934 ( The Night of the Long Knives )
ตัวนาย Otto ต้องหนีตายไปอยู่ที่สวิทเซอร์แลนด์อย่างหัวซุกหัวซุน ฉะนั้น เรื่องความแค้นส่วนตัวกันนั้น ต้องมีแน่
นอนอยู่แล้ว

และจากหนังสือของอเมริกันชุดเดียวกันจาก The US Office of Strategic Studies ก็ได้ข้อความเหมือนกันจาก
ปากคำของ Renate Muller ดาราหนังชื่อดังที่มีสัมพันธสวาทแบบเดี๋ยวด๋าวกับฮิตเล่อร์ในปี 1932 โดยใจความว่า
เขาและเธอพบกันตอนที่เธอไปถ่ายหนังแถวชายแดนเดนมาร์ค โดยที่ฮิตเล่อร์ได้ไปนั่งเฝ้าที่กองถ่ายทั้งวัน และ
ตอนเย็นเขาได้มาเป็นแขกในที่พักของเธอ
ซึ่งท่าทางเขากึ่งกลัวกึ่งหวาดๆยามที่อยู่ต่อหน้าหญิงที่จัดว่าสวยจัดอย่างเธอ สิ่งเดียวที่เขาทำในยามนั้นนั่นก็คือ
จับมือเธอและกุมแน่นอยู่อย่างไม่ยอมวาง
แต่บทสนทนาของเขานั้น เธอว่า..พูดจาอะไรก็ไม่รุ ไม่เห็นจารู้เรื่อง..
แต่เธอก็ได้รับของขวัญมีค่าหลายๆชิ้นเช่นเดียวกับ เจลิ และเอวา..

จนต่อมาเธอได้รับเชิญไปงานที่ทำเนียบ..
ฮิตเล่อร์ทำเป็นว่าไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่นิด จนกระทั่งทุกคนได้ลากลับหมด
เขาจึงเข้ามาชวนพูดคุยและพาเดินไปชมสถานที่ทั่วๆ
ต่อมาเขาก็ร่ายมาถึงบทบาทหน้าที่ของเกสตาโปว่าเชี่ยวชาญในเรื่องการทรมานทารุณขนาดไหน และจากนั้น
เขาก็ลงคุกเข่าโดยบอกว่า เขาคือทาสของเธอ จะตบจะตีอย่างไรก็ได้ Renate ก็ครึ้มๆเพราะคงดวดไปหลายขวด นึกสนุกขึ้นมาเลยลุกขึ้นเตะ ตบตีท่านผู้นำจนหนำใจ
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานกรีดก้องจากปากฮิตเล่อร์อย่างสุขสมใจ
หลังจากที่เมื่อทุกอย่างได้จบลง เขาจุมพิตมือเธอเบาๆด้วยท่าทางเงียบหงิมดังเช่นเคย ก่อนที่จะเรียกทหารรับใช้นำเธอไปส่งจนถึงบ้าน

เขาและเธอพบปะกับแบบลับๆบ่อยๆ จนเมื่อเธอได้ขออนุญาตไปเที่ยวอังกฤษเพื่อเป็นการพักผ่อน แต่เกสตาโปที่
ฮิตเล่อร์ได้ส่งไปติดตามข่าวเป็นสายสืบได้กลับมารายงานว่าเรเนต์ไปพบและยังติดต่อกับแฟนเก่าที่มีเชื้อสายยิว
เธอจึงได้ถูกตัดขาดและมีการกลั่นแกล้งในทุกรูปแบบ จนทำให้เธอหันมาแก้ปัญหาด้วยการใช้มอร์ฟีนเป็นเครื่องผ่อนคลาย
และ..ในที่สุด เธอก็ต้องพบกับจุดจบโดยการ(ต้อง)กระโดดลงมาจากตึกชั้น 4 โดยมี หน่วย SS หลายคนที่ยืนข้างหลัง ควบคุมการกระโดดเพื่อปลิดชีวิตในครั้งนั้น

(ข่าวออกมา..กลบเกลื่อนว่า เธอเกิดอาการคลุ้มคลั่งไปเอง !!)




โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:35:15 น.
  


ทีนี้เรื่องของเจลิ..ความมารั่ว..เพราะ ฮิตเล่อร์เองได้ส่งจดหมายไปหาเจลิในอพาร์ตเม้นท์เก่า โดยพรรณนาถึงความรักและความโหยหาในเรื่องบนเตียงแบบชนิดผิดธรรมดา
อันทำให้ผู้อ่านได้ทราบว่า คนใดคนหนึ่งต้องการเห็นความเจ็บปวดของฝ่ายคู่ขา
และข้อความนั้นๆได้กระจ่างในตัวของมันเอง..ว่า เจลิได้ประสบความสำเร็จในการเยียวยาและช่วยบำบัดการไร้สมรรถภาพทางด้านเพศสัมพันธ์ของฮิตเล่อร์ให้กลับคืนมาเป็นเกือบปรกติ
มีการวิเคราะห์ว่า..เป็นไปได้ ทั้งคู่คือ S&M แต่ ใครจะเป็น s ใครจะเป็น m นั้น..ไปเดากันเอาเอง
จดหมายฉบับนี้ ..เจลิไม่ได้รับ หากแต่ตกไปอยู่ในมือของเจ้าของตึก และต่อมาก็มาอยู่ในมือของ Dr. Rudolph ลูกชาย
และจดหมายนี้หลุดไปอยู่กับบาดหลวง
โบฮีเมียน ชื่อว่า Father Bernhard Stempfele ซึ่งบาดหลวงนี้ได้นำจด
หมายมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับฮิตเล่อร์ โดยขอตำแหน่งหน้าที่ยกระดับทางเรื่องธุรกิจวัดๆวาๆ จากอำนาจของพรรค
ซึ่งฮิตเล่อร์ได้ตกลงยินยอมโดยดี

แต่ก็เป็นในแค่ระยะแรกๆเท่านั้น ภายหลังที่เขาได้ขึ้นมานั่งบัลลังก์ครองเมือง บาดหลวงคนนี้ก็มีจุดจบเหมือนกับ
คนอื่นๆที่เคยได้ล่วงรู้ความลับของเขา นั่นคือ ตายอย่างศพไม่สวย !!
และการแบล๊คเมล์นั้นไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นครั้งเดียว ยังมีอีก..นั่นคือภาพวาดอวัยวะของสงวนของเจลิอย่างชัดเจนนั้น
(ซึ่งคาดเดาว่าใช่ เพราะภาพนู๊ดชุดเดียวกันยังหลงเหลืออยู่) ได้หลุดออกไป ซึ่งนาย Franz Xavier Schwarz ฝ่าย
การเงินของพรรคต้องตามไปซื้อเก็บกลับมา และฮิตเล่อร์สั่งไม่ให้ทำลาย เขานำมันมาเก็บไว้ที่เซฟในบราวน์ เฮ้าส์
เจลิเคยเล่าให้เพื่อนสาวฟังว่า..เธอนั้นมิใช่โชคดีอย่างที่ใครๆคิด เพราะไม่ว่าทุกสิ่งที่เธอมี และได้มานั้น ต้องแทบใช้ชีวิตเข้าแลก และสิ่งเดียวที่เธอหลุดปากออกมาเพียงว่า
" You'd never believe the things he makes me do."

ฮิตเล่อร์ก็ยังคงทำตัวหวานแหววกับบรรดาหมู่สาวน้อย
อย่างกับ Henny Hoffmann เพื่อนสนิทของ
เจลิที่จัดว่าเป็นคนสวยจัดคนหนึ่ง(เพราะพ่อใช้ให้เป็นนางแบบบ่อยๆ)
ก็ยังเคยโดนฮิตเล่อร์เกี้ยวพาราสี
แต่เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ และไม่เคยเล่าให้เจลิฟัง..
และในขณะเดียวกัน ช่วงปี 1929 ฮิตเล่อร์ได้รู้จักกับเด็กสาวลูกจ้างในร้านถ่ายรูปของ Hoffmann คนหนึ่ง ชื่อว่า
Eva Braun ซึ่งเด็กสาวคนนี้ออกจะติดอกติดใจในทีท่าเจ้าชู้ไก่แจ้ของฮิตเล่อร์อยู่ไม่น้อย และที่สำคัญหล่อนเป็น
คนช่างฝัน ชอบอ่านนิยายประโลมโลกย์ราคาถูกและเชื่อทุกอย่างที่ฮิตเล่อร์นำมาเล่า..

โดยเฉพาะเรื่องที่เขาเล่าถึง การทำงานเสี่ยงตายในสมรภูมิรบที่เขาผ่านมา ถึงกับได้เหรียญกล้าหาญ หรือเรื่องแม่ที่รักและบูชาได้จากไป..
ไม่ทันเห็นลูกชายคนยากคนนี้กำลังจะประสบความสำเร็จ หรือ เรื่องปฏิวัติ ที่ต้องพาตัวไปเข้าคุก
และเรื่องสรุปที่ทำให้เอวาถึงกับน้ำตาหยด..เพราะความซาบซึ้ง..นั่นคือ..ความรักชาติยิ่งชีพ ชีวิตนี้เขาคงรักใครอีกไม่ได้มากเท่า และ..คงไม่มีเวลาสำหรับชีวิตแต่งงานกับหญิงคนไหน

โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:39:59 น.
  


เอวาและเจลิ ได้เคยพบกับแบบประเภทหมางเมินตามโรงมหรสพโอเปร่าต่างๆ..
ครั้งหนึ่ง เอวาได้ใส่เสื้อที่มีขน
เฟอร์ตรงส่วนเฉพาะแขน
เจลิเอาไปทำเป็นเรื่องตลกขบขัน โดยที่บอกว่า เอวานั้นดูเหมือนกับลิงน้อยๆ และเรียกลับหลังว่า นังลิงน้อย
อันเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนตั้งแต่นั้นมา..

จนวันที่ 18 กันยายน 1931 ระหว่างอาหารกลางวันที่เขาทั้งสอง ฮิตเล่อร์และเจลิ กำลังถกเถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดง..
เรื่องที่เจลิยื่นคำขาด ว่า อยากไปเวียนนา ไปเยี่ยมญาติ
ฮิตเล่อร์ หันขวับด้วยความไม่พอใจอย่างแรง..ว่า..
ทำไมต้องไปเวียนนา..ที่นั่นมันมีอะไรดีกว่าที่นี่งั้นหรือ?
"ก็อยากไปหา น้าพอลล่า" เจลิอ้างถึงน้องสาวของน้าชาย
ฮิตเล่อร์เลื่อนจานไปอย่างไม่พอใจ และพูดออกไปตรงๆตามแบบฉบับว่า..
"จะไปหาผู้ชายละซิ ไอ้ยิวคนที่เอามาอ้างว่าเป็นครูสอนร้องเพลงน่ะเหรอ ฝันไปเหอะ ไม่ให้ไป และขอบอกไว้เดี๋ยวนี้เลยนะ ว่าเลิกคบกับไอ้หมอนี่เด็ดขาด บอกมันด้วย ว่าถ้ามันยังอยากมีชีวิตอยู่ละก้อ..อย่า..แม้แต่จะคิด"

เจลิ..หวีดร้องอย่างขัดใจ กระทืบมือกระทืบตี..ไปตามระเบียบเช่นทุกครั้ง
ฮิตเล่อร์ทำเป็นไม่สนใจ เดินลงบันได..พร้อมเดินทางไปปราศรัยที่ภาคเหนือ ฮอฟแมนได้มารออยู่ที่รถที่จอดอยู่ข้างล่าง
เจลิ..โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง ตะโกนมาจากชั้นบน
ถามว่า.."นี่จะถามครั้งสุดท้ายแล้วนะ..ว่าจะให้ไปหรือไม่ให้ไป..ว่ามา"
ฮิตเล่อร์เงยหน้า..ตะโกนตอบกลับไปว่า..
"ไม่ให้ไป..คิดอะไรได้บ้าๆ..ไปยิงตัวตายซะไป๊.. เด็กบ้า"
วลีที่ว่า ไปยิงตัวตาย นี่..ฮิตเล่อร์ชอบพูดเป็นสิ่งติดปากแบบว่าไม่มีความหมายอะไร เป็นคำพูดแบบสมัยนิยม
"You better go.. shoot yourself"

แต่สำหรับเจลิ สาวเลือดร้อน เธอถือเป็นการท้าทายอย่างยิ่ง และยิ่งในยามอารมณ์ขุ่นมัวที่ได้รับการขัดใจในสิ่งที่ขัดต่อความปรารถนา..
เธอวิ่งเข้าห้องปิดประตูเงียบ..
เช้าวันที่ 19 ต่อมา..แม่บ้านเริ่มสงสัยว่า เจลิไม่ได้ออกมาทานอาหารค่ำตั้งแต่เมื่อคืน..เช้านี้ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆ..ประตูล๊อคอีกด้วยต่างหาก
จนต้องไปตามสามีของ Frau Winter มางัดประตู และพบว่า เจลินอนคว่ำหน้าลงกับพื้นพรมข้างตัวมีปืนพกของ
ฮิตเล่อร์อยู่
หล่อนเสียชีวิตมาตั้งแต่เมื่อวาน โดยการยิงตัวเองเข้าที่หน้าอก..!!

มาถึงตอนนี้ พรรคนาซี ก็วิ่งปิดข่าวกันอย่างเคร่งเครียด ในเช้าวันเสาร์ที 19 นั้น
ทั้ง Gregor Strasser, Rudolf
Hess, Max Amann และ Franz Schwart ต่างก็มารวมตัวในสถานที่เกิดเหตุ และ หารือกันว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ ...
ในที่สุดสิ่งแรกที่ได้ตัดสินใจทำกันนั่นคือ ส่งข่าวไปยังบราวน์ เฮ้าส์ ให้กระจายข่าวว่า..หลานสาวฮิตเล่อร์ยิงตัว
ตายเพราะเกิดความเครียดในเรื่องการที่จะเป็นนักร้องโอเปร่า
แต่ในไม่กี่นาทีต่อมา นึกเอะใจขึ้นมาได้ว่า แล้วมันจะเครียดอะไรนักหนา เป็นถึงหลานฮิตเล่อร์น่ะ..
ตำรวจก็จะต้องสืบค้นข้อมูล เดี๋ยวก็จะเจอกับข้อเท็จจริงที่ว่า เจลินั้นถูกปิดกั้นอิสรภาพในการเป็นอยู่ทางสังคมจากน้าชาย
อย่างมากมาย..ทีนี้ ข่าวชู้สาวก็จะฉาวโฉ่ไปกันใหญ่
เหล่าขุนพลก็เลยเปลี่ยนใจ เปลี่ยนเนื้อหาของข่าว..โทรไปแจ้งอีกว่า เอาเป็นว่าเกิดอุบัติเหตุก็แล้วกัน แต่..มันช้าไปแล้ว..
เพราะ นาย Adolf Dresler ได้ตีพิมพ์ออกไปเป็นที่เรียบร้อย


โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:44:28 น.
  


ตำรวจก็เข้ามาสืบสวนจริงๆ เพราะนี่คือการตายแบบผิดปรกติ แม่บ้านทั้งสองคนให้การตรงกันว่า..ประตูนั้นล๊อคจากข้างใน
และ..ไม่ได้ยินเสียงปืน นอกจากเสียงวัตถุหนักๆล้มลง แต่เข้าใจว่า เจลิอาละวาดขว้างปาของตามปรกติยามที่ถูกขัดใจ

ผลของการชันสูตรศพจากหมอพรทิ..เอ๊ย ขอโทษค่ะ จาก Dr. Muller ได้บันทึกไว้ดังนี้..ว่า
“เป็นการตายด้วยเหตุวิบัติ กระสุนได้เจาะที่หน้าอกตรงเนื้อหนังด้านบนตำแหน่งของหัวใจ แต่พลาดไม่ได้ทะลุออกจากร่าง กลับไปติดอยู่ที่หลังด้านส่วนบนของสะโพกซ้าย
ส่วนใบหน้าไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้ายใดๆ นอกจากรอยเลือดคั่งเพราะการเสียชีวิต อีกทั้งปลายจมูกบิดเบี้ยว
เนื่องจากการกดทับกับพื้นเป็นเวลานับสิบๆชั่วโมง..
ซึ่งข้อความนี้ตรงกันกับเจ้าหน้าที่หญิงบรรจุศพสองคน ที่ได้บอกว่า..เธอได้สังเกตศพอย่างละเอียด เพราะทราบ
ว่าเป็นหลานสาวฮิตเล่อร์ ไม่พบร่องรอยใดๆที่อาจกล่าวว่าผิดปรกติ..
และได้บรรจุศพลงในโลงไม้ ตอนที่เคลื่อนย้ายออกไปจากแฟลต แต่ ได้เปลี่ยนมาเป็นโลงทองแดงเมื่อมาถึงสถานที่เก็บศพ
สิ่งเดียวที่ผิดปรกตินั่นคือ..การเคลื่อนย้ายศพออกไปนอกประเทศสู่ออสเตรีย ทางรถไฟนั้นได้กระทำอย่างรวดเร็ว..

Anna Winter หรือ Frau Winter ได้ให้การว่าหลังจากที่ฮิตเล่อร์ออกไปจากบ้านเพียงไม่กี่นาที เธอเห็นเจลิวิ่งเข้า
ไปค้นอะไรกุกกักในห้องของน้าชาย และวิ่งกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวปิดประตูเงียบ
ตอนกลางคืนเธอพยายามเคาะประตูเรียก เพื่อที่จะเข้าไปทำเตียงให้ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงเข้าใจว่า เจลิออกไปข้างนอก
จนกระทั่งเช้า จึงเห็นผิดสังเกต...

แม่บ้านคนอื่นๆก็ไม่ได้ยินเสียงปืนเช่นกัน..
แต่อะไรก็สกัดกั้นหนังสือพิมพ์ไม่ได้
ข่าวตีออกไปหลายกระแส รวมไปถึงข้อสันนิษฐานว่าถูกฆาตกรรมปิดปากอีก
ด้วย..
ฮิตเล่อร์..อยู่ในระหว่างการเดินทาง..เขาเพิ่งเช๊คเอ๊าท์ออกจากโรงแรม Deutsacher Hof
ที่เมือง Nuremberg
และกำลังอยู่ในระหว่างทาง..Hoffmann สังเกตเห็นรถวิ่งตามมาอย่างติดๆ..จึงชะลอดู เห็นว่าเป็นแท็กซี่จากโรงแรมที่เพิ่งออกมา
เด็กส่งสาส์นนำข่าวมาบอกว่า ให้โทรกลับไปหานาย Hess ด่วน เกิดข่าวร้าย..
ฮิตเล่อร์จึงย้อนกลับไปที่โรงแรม และ จัดการโทรศัพท์ทันที..
เสียงเขาละล่ำละลัก..ทันทีที่ได้ยินข้อความจากปลายสาย..
“โอ พระเจ้า เธอต้องไม่เป็นอะไรนะ..อย่าบอกนะว่า..ว่า..เธอ...”
แล้วเขาก็เข่าอ่อน ทรุดฮวบไปตรงนั้น ร้องไห้โฮออกมาเหมือนกับเด็กๆ...
พอได้สติ เขาบอกให้ ฮอฟมันน์ กลับเข้ามิวนิคเดี๋ยวและอย่างเร็วด่วน เพราะ เขาอยากลา
เจลิเป็นครั้งสุดท้าย !!

ขากลับ..เวลา บ่ายโมงเศษ..โชเฟ่อร์ของฮิตเล่อร์ได้เหยียบคันเร่งมิดตามคำสั่งนั้น...บนทางระหว่าง Ebenhausen และ Ingolstadt ได้ถูกให้หยุดเพื่อรับใบสั่งจากตำรวจในฐานะขับรถเร็วกว่ากำหนดเกือบเท่าตัว
นั่นคือ วันเสาร์ที่ 19 และมาถึงแฟลตเมื่อเวลาประมาณก่อนบ่ายสามโมงนิดหน่อย..
และฮอฟมันน์ได้เขาทราบมาจากแม่บ้านว่า..
เจลิบ่นให้ฟังบ่อยๆว่า ไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิด เพราะ น้าชายไม่ค่อยอยู่ดูแล ไปที่โน่นที่นี่ตลอดเวลา
วันนั้น เจลิได้เข้าไปค้นของในห้องของฮิตเล่อร์ และได้พบกับโน้ตที่เขียนว่า.
“คุณฮิตเล่อร์ที่รัก..
ขอบคุณสำหรับเย็นวันที่ฉันได้รับเชิญไปดูโอเปร่าที่แสนสนุก มันน่าประทับใจอย่างที่สุดสำหรับไมตรีจิตที่คุณได้มอบให้ ฉันจะขอจดจำไว้นานเท่านาน..และนับชั่วโมงคอย..เพื่อที่จะได้พบกับคุณอีก
ลงชื่อ..เอวา..

และนี่คือสาเหตุที่ ทั้งคู่ก็เป็นปากเป็นเสียงกัน จนเจลิยื่นคำขาดว่าจะขอกลับไปอยู่ที่ออสเตรีย(ชั่วคราว) และไม่
สมประสงค์จึงเป็นเหตุทำให้เกิดการคิดสั้น..
แต่บนโต๊ะหนังสือ มีจดหมายเขียนถึงเพื่อนในออสเตรียที่ไม่ได้ลงชื่อ ..ข้อความแสนที่จะมีความสุข ว่า เธอกำลัง
จะไปพบและจะได้ไปช้อปปิ้งกันให้สนุก..
จากข้อความนี้ พวกสื่อหนังสือพิมพ์เอาไปตีความว่า..เจลินัดพบกับผู้ชาย และ..ฮิตเล่อร์จับได้..เกิดความหึงหวง
จึงบันดาลโทสะ..สาดกระสุนใส่สู่ทรวงอกหลานสาวชู้รัก..!!

พวกบรรดาแม่บ้าน ถูกสั่งห้ามให้การกับตำรวจถึงการปรากฏตัวในตอนเช้าของพรรคพวกชาวนาซีจาก บราวน์ เฮ้าส์เด็ดขาด
เพราะกว่าเจ้าหน้าที่จะได้รับแจ้งและมาถึงแฟลตก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมง..
และผู้ที่ให้รายงาน คือ Frau Winter ที่เรียงเรียงข้อความให้ดูดีว่า..

เจลิเคยเป็นนักเรียนพยาบาลแต่สมองไม่ดีจึงเลิกเรียนกลางคัน หันไปสนใจในเรื่องการฝึกฝนร้องเพลงเพื่อที่
ต้องการจะเป็นนักร้องในวงโอเปร่า
ซึ่งเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายเพราะไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน เธอทุ่มเทกับมันมาก แม้กระทั่งต้องไป
เรียนพิเศษกับครูผู้ชำนาญในเวียนนา
แต่ฮิตเล่อร์น้าชายญาติคนเดียวของเจลินั้นไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะต้องไปอยู่คนเดียวในเวียนนา จึงเสนอให้
มารดาของเธอ แอนเจล่า ไปอยู่ด้วยเพื่อการดูแล
แต่เจลิปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างไม่ใยดี เพราะต้องการที่จะอยู่คนเดียวตามประสาเด็กสาว ฮิตเล่อร์จึงไม่ยินยอมต่อข้อเรียกร้อง
ซึ่งนี่คือสาเหตุของการขัดใจ และ เธอได้เล่าให้ฟังบ่อยๆว่า เคยไป "เข้าทรง" มา และได้รับการบอกเล่าจากวิญญาณผ่านคนทรงว่า
คนอย่างเธอต้องพบกับจุดจบแบบปัจจุบันทันด่วน (เรียกง่ายๆว่า ไม่แก่ตาย นั่นละมัง)
โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:50:07 น.
  


ฮิตเล่อร์ได้เศร้าโศกเสียใจอย่างมากมายต่อการจากไปของหลานรัก

แต่หลังจากข่าวนี้ได้แพร่หลายออกไป สื่อต่างๆเอาไปแปลกันมากมายหลายเนื้อความ จน..คนเริ่มสงสัย ว่า
ทำไมต้องห้าม..ทำไมต้องทะเลาะกัน
เสียงสะท้อนกลับนั้นเต็มไปด้วยเรื่องคาวฉาวโฉ่..และออกจะอุบาทว์จนเกินที่จะรับ เนื่องจากผู้ตายนั้นนับว่าเป็น
หลานสาวสายเลือดเดียวกันไปตั้งครึ่งตั้งค่อน
แถมกลายเป็นจุดให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามโจมตีดอาอีกด้วย
ฮิตเล่อร์จึงต้องเขียนข้อความไปยังตำรวจ พร้อมทั้งลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของพรรค..เพื่อเป็นการแก้ภาพพจน์ว่า

ข้าพเจ้าขอใช้สิทธิในมาตราที่ 11 ว่าด้วยเรื่องกฎหมายของข้อความในสิ่งตีพิมพ์ เพื่อขอการเป็นธรรมแก้ใขข้อ
ความต่อการเสียชีวิตของหลานสาวข้าพเจ้าให้ถูกต้องดังนี้

1. เรื่องที่ข้าพเจ้าและหลานสาวได้มีปากเสียงกันในวันเกิดเหตุนั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
2. เรื่องที่ข้าพเจ้าขัดขวางการเดินทางไปเวียนนาของหลานสาวของข้าพเจ้านั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
3. เรื่องที่หลานสาวของข้าพเจ้าได้พบคบค้าหรือหมั้นหมายกับชายหนุ่มในเวียนนานั้น..ไม่เป็นความจริงแต่อย่าง
ใด
ความจริงคือ เธอเกิดความเครียดต่อการที่ต้องทดสอบเสียงต่อผู้เชี่ยวชาญ และเป็นกังวลว่าจะไม่ประสบความ
สำเร็จ
4. เรื่องที่ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาว่า ได้ผลุนผลันออกจากที่พักทันทีหลังจากที่มีการเกิดเป็นปากเสียงอย่างแรง นั้น..
ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
เพราะ ไม่มีเหตุการณ์ผิดปรกติใดๆเกิดขึ้นในครอบครัวของข้าพเจ้าตามเวลานั้นๆ

ลงชื่อ

อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์
โดย: WIWANDA วันที่: 9 มีนาคม 2548 เวลา:23:54:20 น.
  
มารอตอนต่อไปคร้าบ คุณป้าวิ :)
โดย: นายFee วันที่: 12 มีนาคม 2548 เวลา:21:33:33 น.
  
เอ้า จบซะแล้ว
กะลังสนุกๆ เลย
มาเร็วๆน๊า
โดย: คุณชายต่อ IP: 222.123.250.146 วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:18:49:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]

บทความทั้งหมด