ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง


มาดูประวัติเขานะคะ...ฮิตเล่อร์เกิดเมื่อ คศ. 1889 ที่ออสเตรีย และเป็นเด็กชนบทธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง ที่โตมาในครอบครัวที่พ่อมีเมียเรียงกันสามชุด..
แม่ของเขาเป็นเมียคนสุดท้อง(แถมยังมีศักดิ์เป็นหลานสาวของพ่ออีกด้วย..เรื่องนี้มีการซ้ำรอยประวัติศาสตร์เสียด้วย จะเล่าในตอนต่อๆไป)

เมียคนแรกของ อลอวส์(Alois) พ่อของเขานั้น คือ เอวา มาเรีย ผู้หญิงที่มีอายุแก่กว่าถึงสิบสี่ปี เสียงลือเล่าอ้าง
ว่า เพราะเธอมีฐานะดีกว่า ไม่มีลูกเต้าด้วยกันแต่อย่างใด แต่ อลอวส์ แอบมีอีหนูเอ๊าะแอบไว้ ชื่อว่า ฟรานเซสกา
ภายหลังก็เอามาอยู่ด้วยในบ้าน ขณะที่เมียหลวง เอวา มาเรีย เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ
ฟรานเซสกา มีลูกกับอลอวส์ สองคน ชายหนึ่ง ชื่อ อลอวส์จูเนียร์ หญิงหนึ่ง ชื่อ
แอนเจลา

ขณะเดียวกัน บ้านที่มีทั้งคนป่วยและเด็กอ่อน ค่อนข้างยุ่งเหยิงน่าดู อลอวส์จึงไปตามหลานสาวอายุ 16 ปี ที่ชื่อ
Klara Polzl แม่ของเธอนามสกุลเดิมก่อนแต่งงานคือ Hieder  ( Hieder คือนามสกุลต้นฉบับของแท้..ที่กลายมาเป็น  Hitler ในทีหลัง)
มาอยู่ด้วยในบ้านในฐานะกึ่งเด็กรับใช้
แต่ทำไปทำมา คลาร่า ก็กลายเป็นเมียของอลอวส์ไปอีกคนแบบแอบๆ มามีโอกาสเปิดเผยเพราะ ฟรานเซสกาชิง
ตาย ไปเสียก่อน..
(ความจริงตามกฏของสำนักวาติกันจะไม่ยอมให้คนทั้งสองแต่งงานกันในทีแรกเพราะว่าเป็นวงศ์เครือญาติ หากแต่ต้องจำยอม
เพราะ คลาร่าท้องลูกคนแรกซะแล้ว)

คลาร่ากับอลอวส์ก็ได้แต่งงานกัน มีลูกด้วยกันถึง 6 คน แต่สามคนแรก ชิงตายจากไปราวกับใบไม้ร่วงตั้งแต่วัยเยาว์
เหลือคนที่ 4 ที่ เป็นเด็กชายท่าทางขี้โรคชื่อว่า อดอล์ฟ และ คนที่ 5 เอดมันด์ เสียชีวิตตอนอายุ หกขวบ คนสุดท้ายเป็นหญิงที่สมองไม่ค่อยสมประกอบ ชื่อว่า พอลล่า

นี่คือเหตุผลที่คลาร่าประคบประหงมลูกชายขี้โรคของเธอนัก ถึงกับเข้าขั้นเลี้ยงดูชนิดแนบอก ว่ากันว่า
ฮิตเล่อร์มาหย่านมตอนที่เกือบจะเข้าโรงเรียนแล้ว..
และ สัมพันธภาพระหว่างเขาและพ่อนั้น...จัดว่าห่างเหิน เพราะ ในวัยเด็กเขาได้เห็นแม่ตัวเองต้องทำงานหนักเพื่อคนอื่นมาตลอด
อีกทั้ง ยามที่อลอวส์เกิดขัดอกขัดใจขึ้นมา ทุบตีเขาและแม่ออกบ่อยๆ

ครอบครัว ของเขาโยกย้ายไปโน่นนี่บ่อยๆเพราะหน้าที่การงานในฐานะข้าราชการของอลอวส์ แต่ หลังจากรีไทร์ได้ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต ในปี 1903
และ ในปลายปีเดียวกันนั้น แอนเจล่าพี่สาวต่างมารดาได้ออกเรือน..แต่งงานกับ Leo Raubal

ภาพงานแต่งงานของแอนเจล่า

ยามที่กำพร้าพ่อนั้น..ฮิตเล่อร์เพิ่ง อยู่ชั้นมัธยม..
คลาร่าจึงตามใจลูกชายสุดที่รักได้เต็มที่ เช่นยอมส่งเขาไปเรียนโรงเรียนดีๆไกลบ้านโดยที่ต้องไปเช่าหอพักอยู่ และ ไม่เสียดมเสียดายค่าเรียนเปียนโนตามที่ลูกร้องขอ..

ตอนนั้น ฮิตเล่อร์เริ่มโตขึ้นมาแบบมีพรสวรรค์ในการวาดรูปเหนือเด็กอื่นใดและความใฝ่ ฝันอยากเป็นจิตรกร จุดมุ่งหมายของเขาคือ
กรุงเวียนนา ..อันเป็นแหล่งที่เปรียบเสมือนสำนักตักศิลา..แต่ต้องชะลอแผนการไปเพราะ..
ในปี 1907 คลาร่าต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งที่ทรวงอก แต่เมื่อพออาการดีขึ้น..จึงอนุญาตให้ ฮิตเล่อร์ได้เดินทาง
ไปตามหาความ ฝันที่กรุงเวียนนาตามที่ใจปรารถนา
แต่..เขากลับสอบไม่ผ่าน กล่าวคือ เอนท์ไม่ติดนั่นแหละ..
ด้วยสาเหตุจากคณาจารย์แทงข้อความลงมาว่า งานของเขาที่ส่งเข้ามา..มันเป็นการวาดแบบสถาปัตยกรรมจนเกินไปกว่าคำว่า "วิจิตรศิลป"

และเสนอแนะว่า ฮิตเล่อร์ควรไปเรียนในด้านนี้มากกว่า แต่..ปัญหามันมีว่า การเรียนสถาปัตยกรรมในออสเตรีย
นั้น นักเรียนต้องมีใบประกาศนียบัตรจากโรงเรียนช่างศิลปมาก่อน
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ไม่ต้องการเสียเวลาตรงนั้น..
แต่เขาไม่มีเวลาคิดอะไรได้นานนัก เพราะไม่กี่เดือนต่อมา คลาร่า แม่ของเขาก็เสียชีวิต..
ปัญหาที่ ตามมานั้นก็คือ ใครเล่าจะเลี้ยงดู พอลล่า น้องสาวที่ไม่ค่อยสมประกอบของเขา
ในที่สุด แอนเจล่า พี่สาวต่างมารดาที่เพิ่งแต่งงานไป ก็รับไปเป็นภาระเลี้ยงดู ทั้งๆที่เขาก็จนแสนจน สามีเป็นเพียง
ข้าราชการชั้นผู้น้อย  ทั้งสองมีลูกเป็นของตัวเอง คือ Angelika {Geli} และ Elfriede แต่ ในยามนั้น รัฐบาลได้ให้เงินแต่ ลูกกำพร้าทั้งสอง
ของคลาร่า คนละ 25 Kronen ต่อเดือน ซึ่งเทียบแล้วช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน
ฮิตเล่อร์ก็รับส่วนของตัวอย่างหน้าตาเฉย..ไม่ได้เสนอสมทบให้กับแอนเจล่าผู้มีน้ำใจดูแลน้องสาวแต่อย่างใด
พร้อมทั้งโผผินบินหนีกลับไปเผชิญโชคที่เวียนนาราวกับนกน้อยๆ ที่แสวงหารังใหม่ ชีวิตใหม่


ที่เวียนนา เขาใช้ชีวิตแบบคุ้มค่าทุกนาที โดยไม่ต้องดูทีวีสีช่องสาม.. ยามที่ยังพอมีเงิน เขาก็อยู่อย่างหรูหรา ดู
ละครโอเปร่าได้ทุกวัน  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยามที่เงินหมด เขาเกือบเป็นขอทาน ถังแตกเสียจนต้องจำนำเสื้อโค๊ต ยอมเข้าไปอยู่ในโรงทานเพื่อ
คนอนาถา
ที่นั่น..เขารู้จักกับชีวิตแบบใหม่ เพื่อนใหม่ และในฐานะที่เขามีฝีมือในการวาดรูป เพื่อนรักชาวยิวของเขาคนหนึ่ง
รับเป็นตัวแทนเอามันไปเร่ขาย ส่วนแบ่ง ห้าสิบห้าสิบ.. ซึ่งเขามีรายได้จากตรงนี้จนพอลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง

ฮิตเล่อร์ใน ยามเด็กจนถึงรุ่นหนุ่มนั้น..ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นปรปักษ์กับยิวสักเท่าใดนัก เพื่อนๆของเขาหลายคนก็เป็นยิว อีกทั้งหมอที่รักษาแม่เขา (Dr. Bloch) ก็เป็นยิวขนานแท้
เขาหนีการเกณฑ์ทหารของออสเตรียในปี 1911-12 โดยการหลบไปอยู่ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันซะเฉยๆงั้นแหละ..

และนึกหรือว่าจะรอด..ปรากฏว่า ในปี 1913 สันติบาลของออสเตรียตามมาลากคอถึงบ้าน และนำตัวกลับไปยังประเทศออสเตรีย
ที่เมือง Linz อันเป็นหน่วยบังคับการที่ใกล้ชายแดนที่สุด ฮิตเล่อร์อ้างว่า ตัวเองมีกำลังหาที่เรียน(ศิลป)
แต่..หลังจากที่เข้ารับการตรวจสุขภาพ เขาไม่ผ่าน เพราะ สภาพร่างกายที่ผ่ายผอมเกินกว่าจะคอนอาวุธได้ไหว เป็นอันว่ารอดตะรางไป..

ในปีต่อมา เขาเข้าไปเป็นอาสาสมัครทหารกองเกินในหน่วยกองทัพเยอรมัน
(มณฑลบาวาเรีย) ในหน่วยจู่โจมซะด้วย
ตอนนี้แหละ..ที่เขาได้แสดงความกล้าหาญแบบบ้าบิ่น ในฐานะทหารสื่อสาร (วิ่งส่งข้อความในแนวรบ) แบบเสี่ยง
ตายอย่างชนิดเฉียด ฉิวหลายครั้งหลายครา ทั้งโดนระเบิดแก๊สจนตาเกือบบอดไปข้างนึง ต้องนอนโรงพยาบาลนานนับเดือน

เล่ากันว่า...ครั้งหนึ่งในสนามรบ.. เขากับเพื่อนๆกำลังอยู่ระหว่างพัก ทุกคนคว้ากล่องอาหารขึ้นมาตักใส่ปาก เขารู้สึกว่ามี
เสียงมากระซิบให้เขาลุกขึ้นไปจากที่นั่น..
หลังจากที่เดินจากมาไม่กี่ก้าว..ระเบิดจากฝ่ายตรงข้ามหย่อนลงมากลา
งวงพอดี
ผลคือ เพื่อนๆคอมราดของเขา ตายเรียบ..!!

จากวีรกรรมอันกล้าหาญ หลายต่อหลายครั้งของเขานั้น..เขาได้รับเหรียญกล้าหาญ ระกับ Iron Cross ชั้นหนึ่ง
และ ชั้นสอง มาเป็นเกียรติประวัติ
และไอ้เหรียญสองอันนี้ เอง ..ที่ทำให้เขา"เกิด"ขึ้นมาในวงการทันที..
เขาเริ่มมุ่งมั่นที่จะเอา ดีทางด้าน "การเมือง"
เพราะการแพ้สงครามผสมความกดดันแกมรีดนาทาเร้นของผู้ชนะศึกในสนธิสัญญาแวซายย์

เขาเข้ามาในพรรคนาซีอย่างไรน่ะหรือ..คำตอบคือ..
เพราะต่อมาในปี 1919 เขาอาศัยความดังจากสมรภูมิรบผลักดันตัวเองเข้าไปรับการอบรมวิธีการปราศรัย เข้าทำนองปฏิบัติการจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยมิวนิค
และเพียงไม่ กี่เดือนเขาก็ได้รับเลือกเข้ามาเป็นโฆษกของพรรค German Worker’s Party ที่มาเปลี่ยนเป็นพรรคนาซีในทีหลัง

นั่นคือ..ในปีต่อมา 1920 พรรคได้เปลี่ยนชื่อแบบเต็มยศว่า National Sozialistische Deutsche Arbeiter Partei (NSDAP)
ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียว..ในการที่ก้าวเข้ามา เป็นหัวหน้าพรรค อย่างเต็มภาคภูมิ..ในปี 1921


ตอนนี้ ฮิตเล่อร์นำพรรคพวกคอมราดร่วมตายในสนามรบมาค้ำบัลลังก์มากมายหลายคน อย่าง Max Amann และ Ernst Rohm
หรือสมญาว่า นักฆ่าหน้าบาก..
คนนี้ แหละ..ที่ทำให้วงการทหารหาญนาซีสั่นสะเทือน เพราะเธอยอมรับมาอย่างโต้งๆว่า เธอเป็นเกย์
และไม่อายที่จะไปไหนมาไหนโดยมีทหารหล่อๆแห่แหนตามเป็นฝูง ชนิดล้อมหน้าล้อมหลัง และเขาเป็นหนึ่งในไม่
กี่คนที่สามารถใช้สรรพนาม "Du" กับฮิตเล่อร์

Max Amann

เรื่องนี้ถ้าเล่าแบบสาวลึกละก้อ..สนุกทีเดียวเจียว..!!

Ernst Rohm

*** หมายเหตุ...ข้อมูลที่นำมาเล่านี้..จากหนังสือหลายเล่มและที่สมบูรณ์ที่สุด คือ ของ John Toland เพราะเขาค่อน
ข้างจะศึกษาจากต้นตอคือผู้เกี่ยวข้องที่มีชีวิตอยู่หลายคน และมาเรียบเรียงแบบเป็นกลางที่สุด..คือ มีทั้งส่วนดี
และส่วนร้ายในตัว บุคคลเป็นรายๆไป
อ้อ..ต้องอ่าน The Last European War ของ John Lukacs มาเป็นเหตุผลในการที่จะเข้าใจเรื่องราวด้วย
แต่ถ้าในเหตุการณ์ เฉพาะ แบบเจาะเป็นจุดๆไป ของ Max Gallo (The night of long knives) หรือ ของ Ronald Hayman (Hitler&Geli) อ้อ..Larry Collins & Dominique La Pierre ( Is Paris burning ?) ก็ดีค่ะ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ขอย้อนกลับไปขยายรายละเอียด..ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นศิลปินเร่ร่อนก่อนนะคะ


ตอนนั้น หลังจากที่ไม่ต้องถูกเกณฑ์เข้ากองทัพออสเตรียแล้ว
แต่ไม่ใช่หมายความว่า..เขาจะหลุดจากพันธะของทหารกองหนุนเสียเมื่อไหร่ ยังอาจถูกเรียกได้ทุกเมื่อ
อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจของเขาก็แสนแร้นแค้น เนื่องจาก ค่าของเงินมาร์คตกต่ำ รูปก็ขายไม่ออก..
วันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งๆนอนๆเอาน้ำลูบท้องอยู่ในห้องเช่าเล็กๆนั่น
เขาได้ยิน เสียงผู้คนคึกคักส่งเสียงด้วยความโกรธแค้นดังมาจากถนนด้านล่าง จึงชะโงกหน้าออกไป..
ได้ยินว่า..Archduke Franz Ferdinand มกุฎราชกุมารของออสเตรียพร้อมทั้งพระมเหสี Sophie(กำลังทรงครรภ์)
ถูกลอบ ปลงพระชนม์ขณะเยือน Sarajevo โดยชาวเซอร์เบียน
ที่ชื่อว่า.. Gavrilo Princip ในวันที่ 28 มิถุนายน 1914

ข่าวว่า...ก่อนหน้าที่จะไปสู่หอประชุมที่ต้อน รับ รถยนตร์พระที่นั่งถูกขว้างด้วยระเบิดน้อยหน่ามาทักทายก่อน แต่โชคดีที่
หลบทัน ถึงกับออกอาการกริ้ว ตรัสว่า..
"What is the good of your speeches? I come to Sarajevo on a visit, and I get bombs thrown
at me. It is outrageous!"

และหลังจากนั้นก็รีบเสด็จกลับโดยเปลี่ยนเส้นทางใหม่ให้ย่นระยะเข้า คราวนี้ เข้าทางของ นาย Gavrilo คอยดักยิงอยู่ ตรงเส้น
ทางพอดี..
กระสุนนัดแรก ส่งไปยังพระมเหสี..สิ้นพระชนม์ในทันที
และนัดต่อมา สู่พระอุระของมกุฎราชกุมาร ก่อนที่จะเสด็จสวรรคต
ทรงตรัสเรียกว่า Sophie เป็นพระดำรัสสุดท้าย..

ข่าวใหญ่ข่าวนี้ ทำเอาผืนแผ่นดินของออสเตรีย จรด เยอรมันลุกเป็นไฟ ประชาชนต่างโกรธแค้นพร้อมที่จะทำ
สงครามอย่างในเร็ววัน  รวมไปถึงฮิต เล่อร์ด้วย..
เขาถึงกับเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเอง
ส่งไปยัง พระเจ้า Ludwig III ขอเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมด้วยกับกองทัพบาวาเรียของพระองค์
และ ความประสงค์ของเขาก็ได้รับการตอบสนองภายในไม่กี่วันต่อมา
ในการเข้า รายงานตัวต่อศูนย์กองทัพจู่โจมอาสาสมัคร..
ด้วยเหตุผลสองประการ..คือ
หนึ่ง..นับ จากต่อไปนี้ เขาไม่ต้องห่วงเรื่องสถานะของปากและท้อง
อีกทั้งที่ซุกหัวนอน
สอง..ถ้าไม่เข้ากับกองทัพที่นี่ เขาก็ต้องถูกเรียกกลับไปรับใช้หน่วยทหารกองหนุนของออสเตรียอยู่ดี..ถ้าจะให้ เขา
เลือก เขาย่อมเห็นว่ากองทัพของเยอรมันดีกว่า
ถึงแม้ว่า ในยามนั้น บาวาเรีย เป็นเอกเทศก็จริง แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเยอรมัน (มารวมตัวในทีหลัง
ในไม่กี่ปี ต่อมา คือ 1918)

เมื่อมาคุยถึงเรื่องราชวงศ์ Hapsburg แล้วละก้อ ขอต่อหน่อยเถอะ
พูดถึง Archduke Franz Ferdinand และพระชายานี้แล้ว ประวัติรักของเขาทั้งสองนั่นสะท้านลือโลกในปี 1900's ทีเดียวเจียว..
กล่าวคือ ตัวมกุฎราชกุมารนั้น ความจริงแล้วอยู่อันดับที่สาม แต่เนื่องจาก อันดับหนึ่ง คือ Crown Prince Rudolf
ยิงตัวตายพร้อมกับนางสนมสุดเลิฟ เพราะความคับแค้นใจหลายๆเรื่อง เช่นว่า
ขาดความอบอุ่น..และ ถูกกั๊กอำนาจในทุกทาง..
อันดับสอง ตกลงมาที่พ่อของพระองค์เอง..หากแต่ สวรรคตไปซะก่อน ก็เลยหล่นมาลงที่พระองค์เป็นอันดับสาม..

วันดีคืนดี..พระองค์เสด็จไ ดูตัวว่าที่เจ้าสาว..แต่ให้เผอิญไปติดใจนางพระกำนัลเข้าแทน คือ Countess Sophia von Chotkowa คนนี้แหละ..
ถึงขนาดขอแต่งงาน  เล่นเอา Emperor Franz Josef พระปิตุลาถึงกับกริ้ว..
ไม่ยอมรับรู้ในพิธีครั้งนี้ เพราะหญิงนางนี้ไม่มียศศักดิ์คู่ควรแต่อย่างใด..
แต่เมื่อองค์มกุฎฯยัง ดื้อดึง ก็ต้องมีการแจ้งข้อเสนอหลายข้อ
เช่น..เหล่าโอรสและธิดาใดที่จะเกิดมา (ถ้ามี) จะไม่มีสิทธิใดๆในราชบัลลังก์
จะต้องตกไปเป็นของรัชทายาทจากสายอื่น..
Sofie จะไม่ได้รับสิทธิใดๆในราชวงศ์ รวมไปถึงการให้การต้อนรับการปรากฏตัวในงานพระราชพิธีต่างๆต้องไม่ใช่ระดับเดียวกับพระสวามี..เช่น..ต้องนั่งไปในรถคนละคัน

ซึ่งข้อเสนอทุกข้อนั้น Archduke Franz Ferdinand ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ..
เพราะ ความรักสุดหัวใจ..จนกระทั่งมาพบจุดจบดังที่เล่ามานี่แหละ


(แต่พอเสด็จซาราโฮโว..พระองค์ก็เลยถือโอกาสที่ออกมานอกประเทศจึงให้พระชายาขึ้นมาประทับบนรถพระที่นั่งคันเดียวกัน..และมาถึงจุดจบดังกล่าว..)

ภาพ..การเสด็จซาราเฮโว..ก่อนเกิดเหตุในชั่วโมงต่อมาภาพ  มือปืนแห่งประวัติศาสตร์  Gavrilo Princip

เผื่อจะสงสัยว่า..ทำไมองค์มกุฎจึงต้องเสด็จ Sarajevo เมืองหลวงของ Bosnia ด้วย..

คำ ตอบคือ จำเป็นค่ะ ในฐานะของตำแหน่งที่ต้องไปปรากฏตัวให้ประเทศราชในอาณาจักร Austria-Hungary รู้จักว่าต่อไป ไผจะเป็นไผ..
และอีกอย่างหนึ่ง ไปในงานพิธีครบรอบ Battle of Kosovo

ทีนี้มาถึงการขัดแย้งอันเป็น เหตุที่ต้องเกิดโศกนาฎกรรมนี้นะ..
ชาวเซอร์เบียน เป็นชนชาติที่น่าสงสารมาก น่าสงสารที่สุด ตลอดกาลนานมานั้น( จัดว่าเป็นพวก Slav จะอ่าน สล๊าฟ หรือ สเลฟ มันก็แปลว่า"ทาส"เหมือนกันนั่นแหละ)
ถูก ย่ำยีบีฑาจากสงครามแย่งดินแดนรอบด้าน บ้านเมืองถูกผลัดมือกันปกครองระหว่าง
ซาร์ ของรัสเซีย หรือไม่ก็เหล่าบรรดาสุลต่านแห่งออตโตมาน..ประชาชนที่ส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรมไม่ เคยอยู่เย็นเป็นสุข
แต่ก็ร่ำร้องนักที่จะมีเอกราชเพื่อปกครองตัวเอง
หากเนื่องจาก ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ ความสามารถอื่นใดนอกจากทำไร่ทำนา จึงต้องยอมตกเป็นเบี้ยล่างเขาอยู่ตลอดเวลา

เช่น..มักถูกรัสเซียหลอก ใช้เป็นกันชน ยามที่มีศึกสงครามมาประชิดตัว..พอชนะแล้ว..ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ไม่มาดูแลทะนุบำรุง
หรือ พวกออตโตมาน ก็เฉกเช่นเดียวกัน..
และไอ้การ ฆ่าตัดตอนของสมัยนั้น นับว่าเป็นเรื่องเกิดขึ้นอย่างมากมายในยุโรปของยุคนั้น จนเกือบกลายเป็น
แฟชั่น ของการที่ใครสักคนคิดที่จะปลดแอก
ตามสถิตินะคะ..ระหว่างปี 1893-1913 มีการสังหารผู้นำระดับประเทศถึง 41 รายนี่คือ เฉพาะในยุโรป

ว่าด้วยเรื่อง ของเซอร์เบียนก่อนละกัน..เมื่อครั้งก่อนหน้าของ การปลงพระชนม์ครั้งนี้ เกือบสิบปีได้มัง.. ก็มีเรื่องมาเล่า
ขยายค่ะ

คือในปี 1903 พวกเขาได้มีอิสระในการปกครองกันเอง โดยระบอบพระมหากษัตริย์เป็นประมุข..
พระ เจ้า Milan แห่งราชวงศ์ Obrenovic ได้ยกพระโอรสคือ พระเจ้า Alexander ขึ้นมาครองราชแทน โดยที่พระองค์ทรงเสด็จไปพักผ่อนในต่างประเทศ อย่าง
มอน ติ คาร์โลตามประสาคนมีกะตัง
ส่วนพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ก็เกิดไปหลงรักหญิงสามัญชน แถมเป็นแม่ม่ายต่างหาก ถึงกับยกย่องขึ้นมาเป็น
พระ ราชินี..ชื่อว่า Draga (ในตระกูล Mashin}
หล่อนมีอายุ 36 ปี ซึ่งแก่กว่าพระสวามีถึงสิบปีเต็มๆ..

จากนั้นมา พระราชินีดรากา ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองอย่างเต็มตัว โดยเข้าแทรกแซงมันไป
เสีย ทุกเรื่อง ยกพี่น้องของตัวเองให้เข้ามาควบคุมในตำแหน่งสำคัญๆทางการเมืองและการทหาร ทั้งหมด
(เอ..ฟังดู แล้วมันคุ้นๆนะ)
ประชาชนเดือดร้อนไปทุก หย่อมหญ้า..
ส่วนพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ฟังเสียงใคร นอกจากจะพยายามโปรโมทพระราชินีให้เป็นที่ยอมรับอย่างเอาจริงเอาจัง
โดย การตั้งเปลี่ยนชื่อ สถานที่สำคัญๆต่าง เช่นโรงเรียน โรงพยาบาล ให้เป็นชื่อของพระนางทั้งหมด

ต่อมา พระราชินีเริ่มเล่นเกมส์แบบหนักข้อขึ้น ถึงขนาดจะเอาน้องชายตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในรัชทายาทผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์
ประชาชน เริ่มเดินขบวน ประท้วง ในเดือนเมษายน ที่เมือง Belgrade
ตำรวจถูกสั่งการ ให้กระทำขั้นเด็ดขาด ต่อผู้ที่ขัดขืน อันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของนักศึกษาหลายร้อยศพ
(เอ..คุ้นๆอีก เหมือนกันอีกแล้ว)

กลุ่มผู้ประท้วงที่ถูกจับมานับร้อยๆนั้นปรากฏว่า.. มีทหารเข้ามาร่วมขบวนการด้วยหลายนาย..
เพราะย้อนไปในปี 1901 นายทหารกลุ่มหนึ่งเริ่มพบกันอย่างลับๆ เพื่อวางนโยบายในการปลงพระชนม์ของทั้งคู่
เริ่มจากการใช้ยาพิษ..โดยการ ที่ส่งคนเข้าไปหัดเรียนการทำอาหารให้เก่งกาจ จนได้เข้าไปทำงานในโรงแรมชั้น
หนึ่ง คือ The Grand Hotel ของ
Belgrade จนกระทั่งไม่กี่เดือนต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ชื่อเสียงโด่งดังจนถูกเรียกตัวให้เข้าไปทำอาหารถวายใน พระราชวัง
เข้าล๊อค..เขาละซิ..!!


วันหนึ่งโอกาสเหมาะก็มาถึง..เขาจัดการผสมยาพิษให้เข้ากับอาหารตามแผนที่ เตรียมมา
แต่..ไม่รอดพ้นสายตาของหัวหน้ากุ๊กไปได้
เขาถูกสอบสวนทันที..ผลคือ เขาถูกยิงทิ้งชนิดที่ไม่ต้องรอคำสารภาพ
มาถึงตอนนี้ พระเจ้า Alexander เริ่มรู้พระองค์แล้วว่า ในไหเกลือของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยหนอน
จึงรีบประกาศยกน้องเมีย Nicolai Bunevitch ขึ้นมาเป็นรัชทายาททันที

และ นี่คือ ฟางเส้นสุดท้าย ที่ทหารสุดแสนจะทนต่อไปได้..
ทหาร 28 นายบุกเข้าไปในพระราชวัง..ที่เหลือล้อมอยู่วงนอก จัดการเก็บอาวุธของเหล่ามหาดเล็กจนหมดสิ้น.
แล้วพังประตูเข้าสู่พระราช ฐานชั้นในด้วยขวานในทีแรก ...แต่ สักพักคงฟันจนเหนื่อย เลยวางระเบิดมันซะให้รู้แล้วรู้รอด

เสียงระเบิดปลุกให้บุคคลที่เป็นเป้าหมายทั้งสองรู้ตัวได้ทันทีว่าได้เกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว..จึงพากันไปซ่อนในช่องลับ ด้วยความหวาดกลัว
เหล่าทหาร 28 นาย..เดินค้นหาจนทั่วพระราชวัง..ไม่พบ
จึงเรียกหัวหน้าทหารมหาดเล็กมา เค้นเอาความจริง ว่า ช่องลับนั้นอยู่ที่ไหน?
Gen. Lazar Petrovitch ค่อยชี้ไปทางหลังห้องสรง..ซึ่งมีประตูกลไปสู่ห้องเล็กๆด้านหลัง
และทัน ที่ที่เปิดออก.. พระเจ้า Alexander และ พระราชินี ต่างอยู่ในสภาพที่อยู่ในชุดนอน ท่าทางหวาดวิตกจนตัวสั่นงันงก

เหล่านายทหาร..จัดการเชือดไก่ให้ King ดู โดยการหันไปยิง Gen. Lazar Petrovitch หัวหน้ามหาดเล็กดับดิ้นไป
ต่อหน้าต่อตาเป็นการขอบอกขอบใจ
พระเจ้า Alexander และ พระราชินี ต่างร้องขอชีวิตอย่างน่าสงสาร แต่ ไร้ผลโดยสิ้นเชิง..
ทั้งคู่ถูกทำการทารุณกรรมอย่างเหี้ยมโหด จากคน 28 คน ก่อนที่จะโยนศพทิ้งลงมาจากชั้นดาดฟ้าของพระราชวัง..
ขบวนการยังไม่หยุด แค่นั้น..เหล่าครอบครัวของ พระราชินี Draga ถูกฆ่าเรียงตัวไปจนสิ้นซาก..

จาก นั้นมา..ทุกอย่างก็กลับเข้ามาสู่ความเป็นเซอร์เบี้ยนแบบเดิมๆอีก นั่นคือ
ยาม หน้าร้อนก็ไปต่อตีกับรัสเซียมั่ง..กันสมองฝ่อ
ยามหน้าหนาวก็กลับเข้ามา กัดกันเองในหมู่..
(แหม..แล้วก้อไม่รู้เป็นไงกันซิ..ชอบแนะให้มาเล่า เรื่องยี่เกๆนี่บ่อยจัง)

มาคุยต่อกันถึงเรื่องเหรียญกล้าหาญของฮิตเล่อร์ที่ได้มาก่อนนะคะ..เพราะหลายคน อาจสงสัย เดี๋ยวจะนึกว่าได้กันมาง่ายๆ

หลังจากเข้ารับเครื่องแต่งกายชุดทหาร
(ที่แสนอัตคัต เพราะหมวกเหล็กไม่มีแจกให้ ทหารอาสาได้รับแต่หมวกผ้า
ใบอาบน้ำมันแบบที่ใช้ในสงครามปี 1812-13แทน)
ทั้งหมดได้เข้ารับการฝึกอบรมอย่างหนัก
ในช่วงระยะเวลาอันสั้น และถูกส่งออกไปแนวหน้าที่ใกล้กับเมือง Ypres ชายแดนเบลเยี่ยม

กองร้อยย่อยๆของเขานี้ ถ้าจะว่าไปก็เปรียบกับการรวมใจกันทำสงคราม เพราะทหารทุกคนต่างกระตือรือร้น
อยากจะออกไปต่อตีด้วยกันทั้งนั้น
อาจเป็นเพราะกระแสการปลุกใจที่กระหึ่มไปทั่วเยอรมัน และการวมตัวได้เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของคนในชนชาติ
แม้แต่ฮิตเล่อร์ เองที่เขียนใน Mein Kampf ก็บอกไว้ว่า ไปรบน่ะไม่กลัวเลยแม้แต่นิด จะกลัวก็กลัวว่าสงครามจะเลิกก่อนได้รบต่างหาก
ทั้งที่กองร้อยของเขานำ โดย พันโท Fritz Weideman ที่ห่างจากการสู้รบภาคสนามมานาน
แต่กอง ร้อยอื่นๆก็เช่นกันที่นำโดย นายทหารจากกองหนุน กองเกินที่กองทัพเรียกเข้ามา
ทหาร ในอาณัติทุกคนต่างรอสัญญาณการสั่งออกรบอย่างใจจดใจจ่อ

ทันทีที่ได้ รับมอบหมายให้ปฏิบัติการออกไปลาดตระเวณ แล้วกลับมาส่งข่าว เพราะตอนนั้นการสื่อสารยังใช้วิธีโบราณคือวิ่งส่งสาสน์ไปมา..ระหว่างหลุมเพลาะในแนวรบ..
ฮิตเล่อร์และพวกต้อง วิ่งหลบทั้งกระสุนและเศษไม้ที่เกิดจากการยิงระเบิดไปตามแนวป่า
แบบถ้ารอดก็นับ ว่าผีคุ้ม..แต่ นับว่าผีคุ้มจริงๆเพราะพวกที่มาด้วยเสียชีวิตเกือบหมด ส่วนเขานั้นเพียงแต่มีรอยไหม้ที่แขนเสื้อเท่านั้นเอง..
กว่าจะพาตัวไปถึง ใกล้กับเหตุการณ์ได้ก็หลังจากที่ต้องวิ่งกลับไปมาถึงห้าครั้ง..

การสู้รบกับอังกฤษและเบลเยี่ยมเป็นอย่างดุเดือดถึง 11 วัน นายพลผู้บัญชาการรบตายในสนาม พันเอกรอง ผบ.บาดเจ็บ
ฮิตเล่อร์อยู่ในหน่วยสื่อสารและส่งข่าว สามารถจัดการเรียกพยาบาลสนามมาลากกลับไปยังหน่วยได้อย่างกล้าหาญ
เพียงใน เดือน พฤศจิกายน ในหน่วยของเขา เสียนายทหารไป สามสิบกว่านาย และ เสียพลทหารอาสาไป ร่วมเจ็ดร้อย
เท่ากับอัตราที่เหลือคือ หนึ่งในห้า..

ใ วันหนึ่ง ฮิตเล่อร์และเพื่อนพลทหารอีกคนหนึ่ง ได้รับคำสั่งให้พา ผบ.กองร้อยคนใหม่ คือ พันเอก Engelhardt
ออกลาดตระเวณ ใกล้กับแนวรบข้าศึก และ ทันทีที่เกิดเสียงห่ากระสุนดังขึ้นมา เขาและเพื่อน กระโดดผลักนาย
ให้ล้มนอนลงในคูสนามเพลาะอย่างว่องไวเกินคาด ผบ.กองร้อย ถึงกับจับมือขอบคุณทหารอาสาสองคนอย่างประทับใจ และจะทำเรื่องเสนอขอเหรียญตราให้ เมื่อ
กลับไปถึงหน่วย

แต่..วันนั้นเอง..วันที่เล่าว่า อยู่ๆเขาลุกขึ้นเดินไปจากเต้นท์นั่นแหละ..ระเบิดลงกลางวงพอดี ทุกคนเสียชีวิตรวมไป
ถึง ผบ. Engelhardt ด้วย..

ในที่สุด เยอรมันต้องถอนกำลังออกมาจาก แนวรบ Ypres กลับมาฟื้นฟูพักผ่อน(เพราะใกล้เทศกาลสิ้นปี ใครๆ
มันก็ต้องพักกันมั่งละ จะมายิงกันอยู่ได้ไง)ที่เขตเมือง Messines
และที่นั่น ฮิตเล่อรมีเวลาวาดรูป
เพราะมีเครื่องมืออุปกรณ์ติดตัวมาด้วย..เขาใช้เวลา วาดภาพจากเหตุการณ์ในสนามต่างๆเก็บไว้เตือนความทรงจำ
และภาพเหล่านั้น ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในบรรดาผองเพื่อนรวมไปถึงเจ้านาย เพราะในบรรยากาศเครียดๆระหว่าง
สงคราม ภาพการ์ตูนขำๆของเขาต่างเรียก เสียงหัวเราะได้อย่างเฮฮา

สิบเอก Max Amann เป็นคนหนึ่งที่พาฮิตเล่อร์ไปรู้จักกับใครต่อใครในระดับอื่นๆ
ฮิตเล่อร์ เป็นพลทหารเพียงคนเดียวที่ไม่เคยได้รับจดหมายหรือพัสดุจากบ้าน..
แม้ กระทั่งในวันคริสต์มาส เพื่อนๆต่างก็พยายามที่จะแบ่งๆของของตัวมาให้ แต่เขาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ
คนอย่างเขาเป็นที่รู้กันว่า ไม่เคยรับของของใครถ้าไม่สามารถจะตอบแทนให้ได้
แม้เมื่อ เจ้านาย พันโท Fritz Weideman พยายามยัดเยียดเงินจำนวน 10 มาร์ค ให้เป็นสินน้ำใจ..
เขาปฏิเสธแบบไม่มีเยื่อใย แถมยังมีท่าทีไม่พอใจหน่อยๆเอาซะด้วยภาพ

ภาพวาดด้วยฝีมือของฮิตเล่อร์ในยามสงครามที่พูดถึงค่ะ





Create Date : 03 มีนาคม 2548
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 4:12:29 น.
Counter : 4381 Pageviews.

20 comments
ไม่อยากบอก ไม่อยากบอกกับคุณ 不想说 不想跟你说 toor36
(10 ก.ค. 2567 00:27:19 น.)
บนรถเมล์ 公交车上 toor36
(30 มิ.ย. 2567 21:27:54 น.)
SAT Math คืออะไร พร้อมเทคนิคสอบได้คะแนนสูงเกิน 6.5+ สมาชิกหมายเลข 8005657
(20 มิ.ย. 2567 01:41:14 น.)
Singular or Plural nouns Stricky-rice
(20 มิ.ย. 2567 11:50:42 น.)
  


ข่าวการมาเยือนของมกุฎราชกุมารนั้น..สร้างความยินดีให้กับพวกเขายิ่งนัก..แผนการได้ถูกวางขึ้นอย่าง
ระมัดระวัง..
ในขบวนการทั้งสิ้นมี 7 คน..ทุกคนถูกวางตัวในประจำจุด
มือระเบิด..ทำการพลาด และไม่ทันได้มีโอกาสยิงตัวตาย ถูกจับตัวได้ก่อน
มาสำเร็จผลตรงเด็กหนุ่มจากชนบทที่ชื่อ Gavrilo พอดี..
หลังจากการสังหาร เขาถูกจับตัวได้ ถูกซ้อมทารุณก่อนที่จะถูกส่งตัวขึ้นศาล และไม่ได้รับโทษประหารชีวิตเนื่อง
จากอายุต่ำกว่า 20 ปี
ตามกฎหมายของ ออสเตรีย
แต่..เขาก็ตายในคุกในสองปีต่อมา..ด้วยสาเหตุที่แทงลงมาว่าเป็นวัณโรค
จะว่าไปแล้ว..กระสุนสองนัดนั่นก็นับว่าได้ผล..เพราะมันเป็นเหตุให้ราชวงศ์ฮัฟบวร์คหมดลงแค่นั้นจากการแพ้
สงคราม
และ..เซอร์เบีย ได้กลายมาเป็น ยูโกสลาเวีย..ในปัจจุบัน
แต่ก็ยังหาความสงบสุขยังไม่ได้ในทุกวันนี้ (จากเหตุการณ์ในปี 1999)


อ้อ..เรื่องการกีดกัน ถือพระยศพระศักดิ์ของราชวงศ์ฮัฟบวร์คนี่นะ กับคนตายก็ไม่ละไม่เว้น ในงานพระศพของ
Archduke Franz Ferdinand
หีบโลงศพของ Sofie ก็ยังต้องตั้งต่ำกว่าถึง 18 ฟุต และ ไม่ได้เลิศหรูอลังการอะไรมากมาย..


โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:11:09 น.
  


เอาเป็นว่า..ถ้าจะคุยเรื่องสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ในยามนั้น เรียกว่า The Great War)
ละก้อคงต้องแยกไปอีก
กระทู้นึง พร้อมทั้งเชิญคุณสื่อศิลปมาคุยเรื่อง The Trench Warfare จะดีกว่า
(เด็กรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกมส์อาจจะตกใจ)
แต่อยากให้ทราบว่า ในแนวรบชายแดนเบลเยี่ยมนั้น สาหัสสากรรจ์นัก
ชีวิตของทหารในสนามรบต้องกินอยู่อย่าง
ลำบากในแนวคู
ยามหน้าฝน คูนั้น..มันกลายเป็นคลองที่เต็มไปด้วยโคลนแฉะๆ และพวกเขาต้องสู้รบยาวนานถึงกว่าสามปี..
สงครามในครั้งนั้น ได้สร้างวีรบุรุษให้กับเยอรมันหลายคน
เช่น..Paul von Hindenburg (ต่อมาเป็น
ประธานาธิบดี)
และ Erich Ludendorff (ต่อมาเป็นรัฐมนตรี)

ส่วนฮิตเล่อร์นั้น..เขาได้เพื่อนรักจากแนวรบมาอีกหนึ่งราย..นั่นคือ สุนัขพันธ์เทอเรียกระเซอะกระเซิงหลงทางมา
ที่น่าจะเป็นของทหารอังกฤษ เพราะ มันไม่สามารถรับคำสั่งในภาษาเยอรมันได้.. เรียกว่าพูดกันไม่รู้เรื่องนั่นแหละ..
เขาตั้งชื่อมันว่า Fuchsl ที่แปลได้ว่าเจ้าหมาจิ้งจอกน้อย ที่เขาพามันติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง และเจ้าฟุชเชิล นี่
ก็ฉลาดเหลือใจ

จนกระทั่ง..เมื่อถึงคราวที่เขาได้พักรบชั่วขณะ หน่วยของเขาถูกส่งไปยังแคว้นอัลสาซเพื่อการพักผ่อน เขาต้องพบกับความสูญเสีย
ที่จัดว่าครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต คือ ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนขบวนในไม่กี่นาที เจ้าฟุชเชิล ดันหายไปอย่างไม่ร่องรอย
หมดหวังในการที่จะตามหา เพราะ รถไฟกำลังเคลื่อนตัวออก
เขารู้ทันทีว่า..โดนเข้าแล้ว..เพราะก่อนหน้านี้ นายสถานีคนหนึ่ง เกิดติดใจในตัวมันถึงขนาดเอ่ยปากขอซื้อเจ้าหมานี่
แต่เขาได้ตอบไปอย่างไม่ใยดีว่า เท่าไหร่ก็ไม่ขาย..
และ..บัดนี้..เขาได้สูญเสียมันไปอย่างไร้ร่องรอย เพราะ เพื่อนร่วมชาติแท้ๆ..
ขณะที่เขายังไม่หายเศร้าโศกเสียใจ เรียกว่า น้ำตายังไม่ทันแห้ง เป้ใส่สัมภาระประจำตัวก็ถูก"สอย"หายไปด้วย
ในนั้นมีสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา คือ ภาพวาดหลายๆภาพจากสมรภูมิ กับอุปกรณ์การวาดเขียน..
นี่ก็จาก..เพื่อนร่วมอาชีพทหารด้วยกัน...แท้ๆ

โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:13:54 น.
  



สามปีกว่าๆของสงครามหฤโหดได้ผ่านไป..ส่งผลให้ประชาชนอดยากปากแห้งอย่างชนิดที่ต้องกินหมากินแมวกันแล้ว
เพราะ เรือรบอังกฤษปิดอ่าวสนิท..
สงครามที่เยอรมันทำท่าว่าจะชนะในทีแรกพลิกผันไปอย่างคว่ำไม่เป็นท่า
เพราะ สหรัฐอเมริกาที่นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ ดันกระโดดมาร่วมวงด้วย
เพราะ สาเหตุจาก ทอร์ปิโดที่เยอรมันยิง
ออกไปจากเรือดำน้ำ U-Boat โดนเรือเดินสมุทรโดยสาร Lusitania จมทะเลลงไปคนตายหลายร้อย และ 128 คน
ในนั้นเป็นอเมริกัน
เท่านี้ก็สร้างความเดือดดาลให้กับชาวอเมริกันไปถ้วนหน้า...
มิหนำซ้ำต่อมา หน่วยข่าวกรองยังจับโทรเลขจากเยอรมันถึงเม๊กซิโกด้วย ถึงแผนการที่จะให้ความสนับสนุนกองทัพเม๊กซิโกบุกเข้าทำสงครามกับเมกา โดย
เยอรมันจะให้การหนุนหลังอย่างเต็มกำลัง
และความอดยากของประชาชนนี้ นำมาให้เกิดการประท้วงหยุดงาน.. ก่อการจลาจลไปทั่วในเมืองและมณฑลต่างๆของเยอรมัน...

อันส่งผลที่มาของการวางอาวุธ แพ้สงคราม..
ซึ่งในตอนนั้น ฮิตเล่อร์เพิ่งได้รับเหรียญกล้าหาญสู้ศึกชั้นหนึ่งมาได้แค่สี่วันเอง..และขณะที่กำลังอยู่ในสนามรบที่ยิงกันระงมนั้น
ในวันที่ 14 ตุลาคม..1919 เขาโดนระเบิดแก๊ส(มัสตาร์ด) จนต้องไปนอนโรงพยาบาล เพราะเกือบเสียตาไปข้างหนึ่ง..
แต่ได้กลับมาเป็นปรกติ
เพื่อที่จะเห็นความพ่ายแพ้ของเยอรมันในสงครามครั้งนี้ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน..
โดยการเซ็นสัญญาวางอาวุธของจักรพรรดิ Kaiser
(เพื่อนๆในฝ่ายกองร้อยของเขาเล่าว่า.. ฝ่ายพวกเขากำลังอยู่ในทีรุกในแนวสมรภูมิที่ Ameins ผู้บัญชาการ Erich
Ludendorff ได้ส่งหน่วยข่าวไปห้ามทัพแบบจวนเจียน..บอกให้รู้ว่า.." ถอย..ถอย..เลิกรบได้แล้วว้อย..สงครามเลิกแล้ว..เราแพ้ว่ะ" (อะไรทำนองนั้นละนะ)

ฮิตเล่อร์กลับมาที่มิวนิค และสองวันต่อมาเข้ารายงานตัวในค่ายที่ Turken Strasse ทันที่ที่เขาเห็นเหล่าทหารเกณฑ์ใหม่ๆนั้น
เขารู้สึกขยะแขยงคนพวกนี้อย่างเปรียบเป็นคำพูดไม่ได้ เพราะ คนพวกนี้ไม่เคยออกไปเห็นสนามรบ ไม่เคยถูกส่ง
ออกไปในแนวหน้า..แต่มีท่าทางยะโสโอหัง..ไม่มีวินัย
ไม่เคยผ่านการฝึกฝนแบบทหารใดๆ
แต่บังอาจมาสู่รู้..มาพูดจาเทียบเท่า ตีเสมอกับเหล่าทหารหน่วยกล้าตายเยี่ยงเขา..ซึ่งว่าไปแล้ว ฮิตเล่อร์มีสิทธิที่จะคิดเช่นนั้น
เพราะร่วมสี่ปีที่เขาไปกล้าตาย เสี่ยงตาย มันได้ย้อมให้เขามีจิตใจและความนึกคิดเยี่ยงทหารอย่างแท้จริง..

คนพวกนี้ส่วนใหญ่อาสาเข้ามาภายใต้นโยบายการจัดองค์กรทหารอาสา เพื่อที่จะได้รับการกินฟรี อยู่ฟรี นอนฟรี..
แต่ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะเข้ามาช่วยงานบ้านเมืองเลยแม้แต่นิด
สนธิสัญญาของผู้แพ้ศึกอย่างเยอรมันยังไม่ได้มีการแถลงใดๆ เพราะ กำลังอยู่ในระหว่างการแบ่งเค๊กของฝ่ายสัมพันธมิตร..
แต่ที่ต้องกระทำทันทีนั่นคือ การปลดปล่อยนักโทษสงครามอื่นๆบัดเดี๋ยวนั้น..
แต่นักโทษสงครามของเยอรมัน ต้องรอไปก่อน รอไปจนกว่าจะเซ็นสัญญาให้เป็นที่เรียบร้อย
ความอดยากหิวโหย..ก็ยังคงแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ จนแทบไม่สามารถเรียกทหารจากแนวหน้าตามชายแดนให้กลับคืน
เข้ามาได้ภายในเวลากำหนดคือ 31 วัน

และ..นี่คือ สิ่งที่คนอย่างฮิตเล่อร์ไม่มีวันลืม..นั่นก็คือ
ขณะนั้น กองทัพดาวแดงของรัสเซีย..และ
สมาพันธ์นิยมซ้ายต่างได้เข้ามาบทบาทมากมายในเยอรมัน..
ขณะที่ กองทัพเยอรมันได้เดินแถวกลับเข้ามานั้น ไม่มีดอกไม้ใดโปรยปรายให้กับทหารผู้หาญกล้าเหล่านั้น หากแต่
พวกเขาเดินภายใต้ปากประบอกปืนจ่อระวังตรงมาจาก หลังคา ระเบียงอาคาร โดยทหารคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย
(ก่อนที่สงครามจะรู้แพ้รู้ชนะ..รัสเซียขอถอนตัวไปก่อน เพราะมีการสงครามกลางเมือง..ปฏิวัติโค่นบัลลังก์พระเจ้าซาร์ จนกลายมาเป็นระบอบคอมมิวนิสต์)

ทหารเยอรมันถูกถุยน้ำลายรด ถูกก้อนหินขว้างปา ถูกกระชากเครื่องหมายประจำหมู่เหล่าออกไปจากอกเสื้อ
ประชาชนก็ไม่สนใจในภาพที่แสน{^_^}เหล่านั้น..เพราะพวกเขาอดยากเสียจน..หันหลังให้กับการรักชาติ ไปนานแล้ว..

คอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาคุกคามในการเป็นอยู่ของประชาชนมากขึ้น..ใครก็ตามที่ใส่สวมสีขาวแดงดำ(อันเป็นสีประจำชาติในตอนนั้น) เป็นต้องโดนทำร้าย ทุบตี ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก




โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:20:19 น.
  



ฮิตเล่อร์เองก็เช่นกัน เพียงอาทิตย์เดียวที่กลับสู่กรมทหาร เขาก็ต้องแต่งชุดของทหารแดง..ด้วยความขมขื่น..
เขาและ Schmidt เพื่อนรักจากแนวหน้าทนอยู่ดูต่อไปไม่ได้ ขออาสาออกไปทำงานในค่ายกักกันเชลยศึกรัสเซีย
ที่ชายแดนออสเตรีย คือ เมือง Traunstein
ที่นั่น..ฮิตเล่อร์มีเวลาอ่านข่าวสารบ้านเมืองย้อนหลังในช่วงปีที่เขาหายไปในแนวหน้า..
และ..เขาได้พบว่า..ยิว..ยิว ทั้งนั้นที่ก่อการวุ่นวายจนบ้านเมืองล่มสลาย..

ในมณฑล Bavaria ที่ฮิตเลอร์รักอย่างสุดใจ(จะเล่าให้ฟังทีหลังถึงความรักที่ว่านี่) ได้เกิดการจลาจล ล้มบัลลังก์
ของพระเจ้า Ludwig III โดยยิวที่ชื่อว่า
Kurt Eisner และหลังจากที่มีการเลือกตั้ง ผลคือพรรคใฝ่ซ้ายของเขานั้น ได้เสียงเพียงแต่ 2.5% ในการโหวต แต่
นาย Kurt กลับทำเฉย..ไม่ยอมรับรู้ แถมยังไม่ยอมทำเรื่องเอานักโทษสงครามกลับคืนสู่เหย้าซะอีก..สร้าง
ความแค้นเคืองให้กับผู้คนโดยถ้วนหน้า..
จนผู้คนถึงกับออกมาตะโกน พร้อมวางใบปลิวกันเกลื่อนว่า.."Bavaria for the Bavarians"
หนังสือพิมพ์ทำเป็นการ์ตูนอ่อยเป็นภาพยิวหน้าตาคล้ายๆ นาย Kurt ถูกยิงล้มคว่ำ..
ซึ่ง..สัมฤทธิ์ผล..วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1919 นาย Kurt ถูกยิงตายจริงๆ..โดยชาวออสเตรียนหัวใจบาวาเรียน(อย่างเดียวกับฮิตเล่อร์)
ชื่อว่า Count Anton von Arco-Valley ผู้ซึ่งเป็นทหารกล้าที่กลับมาจากแนวหน้า(ก็เหมือนฮิตเล่อร์ อีกนั่นแหละ)
แถมแม่ของ Anton นี้ เป็นยิวซะด้วย
ตอนนั้น.บรรดานักศึกษาและชาวบ้านใครต่อใครก็ยกย่อง..ท่านเคาน์คนนี้ เปรียบประหนึ่งวีรบุรุษ (ติดคุกแค่สี่ปีเอง)

แต่..ตอนที่นาย Kurt ถูกยิงน่ะ..เขาเพิ่งกลับจากสภาเพื่อยื่นจดหมายลาออกไปหมาดๆ..
แต่การตายของ นาย Kurt หาใช่ว่าทุกอย่างจะสงบลงไม่..เพราะ พรรคพวกยิวของเขายังครองเมือง นั่งสภากัน
หน้าสลอน
พวกเขาสั่งให้มีการปิดโรงเรียน ผู้คนถูกจับไปเป็นตัวประกัน สถานที่ต่างๆเช่น ธนาคาร ร้านค้า โรงแรม ถูกเข้ายึดครอง
โรงพิมพ์ของฝ่ายขวา.. ถูกพังทลายอย่างไม่มีชิ้นดี..
โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:22:28 น.
  


หลังจากที่ Eisner ตายไปก็ตายไปแต่ตัว แต่สถาบันยังคงอยู่ เพราะเพียงสามอาทิตย์ต่อมา..
การบริหารก็ตกอยู่ในมือของชาวยิวโซเชียลลิสต์สองคน
(Toller & Landauer regime) ชื่อว่า Ernst Toller อายุเพียง 26 ปี และ Gustav Landauer อาชีพเดิมคือนัก
วิจารณ์ละคร และเขาพยายามอย่างยิ่งที่เดินตามรอยโซเวียตในทุกย่างก้าว ถึงกับจะเปลี่ยนชื่อรัฐเป็น Bavaria
Soviet Republic นโยบายคือ การทำความฝันของกรรมกรให้เป็นความจริง มหาวิทยาลัยและโรงเรียนปิดไปก่อน
จนกว่าจะได้รับหลักสูตรจากโซเวียต
และไม่มีการมอบประกาศนียบัตรหรือปริญญาใดๆ หนังสือประวัติศาสตร์ต่างๆต้องโละทิ้งเพราะคนเขียนคือพวกชนชั้นสูง
วัดวาอารามต้องปิดตัวไป..
แถมดันแต่งตั้งรัฐมนตรีต่างประเทศที่เคยมีประวัติเสียสติมาแล้ว..คราวนี้มาแรง..
นาย Franz Lipp ถึงกับ
ประกาศสงครามกับ Switzerland
ในข้อหาที่ว่า "ขอยืมหัวรถจักร 60 เครื่องแล้วมันไม่ให้ง่ะ"

ส่วนในเบอร์ลิน..การเมืองได้ยุ่งเหยิงอย่างที่สุด ในรัฐบาลแบ่งออกเป็นหลายก๊ก หลายฝ่าย มีทั้ง..สังคมนิยมแบบขวาจัด
แบบกลางขวากลางซ้าย..ซ้ายแบบชมพูๆจนดีกรีไปถึงแดงจัด..ผู้นำคือ Friendrich Ebert (ลูกชายของช่างเย็บเสื้อ และรับทำอานม้า อันเป็นธุรกิจของครอบครัว)
Ebert พยายามรักษาสภาพกลางๆไว้ให้อย่างมั่นคงที่สุด ในขณะที่ความร้อนระอุของฝ่ายแดงได้เริ่มแรงกล้าขึ้นอย่างทุกทีๆ..

ฝ่ายซ้ายนำโดยยิวสองคนชายหญิง..ชายคือ Karl Liebknecht หญิงคือ Rosa Luxemberg หรือสมญาว่า แม่กุหลาบแดงเดือด (Red Rose หรือ Bloody Rose) สองคนนี่ส้องสุมผู้คนนับแสนคนที่จะล้มล้างรัฐบาลเพื่อ
เปลี่ยนให้เป็นคอมมิวนิสต์ให้ได้ โดยมีการจลาจลชนิดถึงขั้นนองเลือด..และจวนเจียนที่จะสำเร็จผลเสียด้วย..

หากแต่พวกคณะที่รักชาติ อดีตทหารหาญที่เพิ่งกลับกันมาจากแนวหน้า ได้รวมตัวกันสำเร็จเป็นกองทัพย่อยๆ
เรียกว่า Free Corps เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด เสียเลือดเนื้อล้มตายไปกันมากมาย..ในเดือนมกราคม 1919
การสู้รบได้ผลัดกันแพ้ชนะ ไปจนถึงวันที่ 13 มกรา..
Karl และ Rosa ถูกจับตัวได้..
ถูกซ้อมซะอ่วมไปสองวัน ก่อนที่จะถูกยิงกบาลแบบเผาขนไปทั้งสองคน..ศพแม่แดงเดือดถูกโยนทิ้งในลำคู..
ส่วน Karl นั้น..ทิ้งเป็นที่เป็นทาง คือ ในป่าช้า...
เป็นอันว่า..พวกสปาตาลิสต์ ได้จบบทบาทลงในเบอร์ลิน..แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า..
พวกที่ฝักใฝ่ในลัทธินี้จะหายไปจากพื้นดินเสียเมื่อไหร่..รัฐบาลไม่สามารถใช้กำลังตำรวจเข้าควบคุมทั้งหมดได้
จึงต้องออกประกาศเรียกร้องผู้คนเข้าร่วมขบวนการอาสาช่วยเป็นหูเป็นตา ในการกวาดล้างให้สิ้นซาก
เชิญไปสมัครได้ ที่ Buaer Cafe กับ..Potsdam Beer Garden (อ้าว..เรื่องจริงๆนะ)

โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:25:33 น.
  


กองทัพ Free Corps ได้จากเบอร์ลินหลังจากที่ทำการกู้เมืองสำเร็จ..เพียงสองอาทิตย์เอง..เอาอีกแล้ว ก่อการปฏิวัติอีกแล้ว
คราวนี้คือ..พวกยิวแดงโดยการหนับหนุนของรัสเซีย{Lenin และ Trotsky}..จัดการก่อการจราจลชิงเมืองอีกครั้ง..
เพราะคิดเอาเองว่า เคยทำสำเร็จที่ Petrograd กับ Moscow มาแล้ว..ที่เบอร์ลินจะง่ายดังปอกกล้วยเข้าปากเช่น
กัน ทั้งๆที่ประชาชนมีส่วนร่วมด้วยแค่ 5%
งานนี้ทำให้รากหญ้าของฝ่ายนิยมซ้ายในเมืองต่างๆเกิดลุกฮือขึ้นมาอีก Saxony ถูกยึดครอง..ต่อมาก็ Dresden ตามด้วยเมืองต่างๆ

กองทัพ Free Corps สามหมื่นคน ถูกเรียกกลับมาใช้งานโดยด่วน..คราวนี้..มีการประกาศกฎอัยการศึกใครขัดขืน ยิงทันที
การนองเลือดครั้งนี้ ฝ่ายก่อการตายเป็นเบือ บาดเจ็บนับพัน
เบอร์ลินถูกกู้กลับคืนขึ้นมาได้ หากแต่อีกหลายเมืองยังอยู่ในความครอบคลุมของพวกคอมมิวนิสต์

หลังจากที่ค่ายกักกันนักโทษรัสเซียได้ปิดตัวลง..ฮิตเล่อร์และชมิดท์ เพื่อนรัก ก็กลับคืนสู่มิวนิค..กลับเข้ามารับจ๊อบต่อไป
งานครั้งนี้คือ การเก็บรวบรวมยุทโธปกรณ์สงครามที่เรี่ยราดตามที่โน่นที่นี่ให้กลับคืนเข้าที่..หนึ่งในงานนั้น คือ
การเก็บ ซ่อมแซม หน้ากากแก๊สพิษ แยกของดีของเสีย..ซึ่งเขานั่งพิจารณาหน้ากากเหล่านั้นด้วยจินตนาการของความแค้น
เขาจำได้ดีถึงพิษสงของความทรมานจากแก๊สพิษที่เคยได้รับ..และ(คงมั้ง)ตั้งใจว่า.. สักวันหนึ่งเถอะ..ดาบนี้จะคืนสนอง
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ชมิดช์ ก็ลาออกจากกองทัพไปทำงานรับจ้างส่วนตัว..
ฮิตเล่อร์ก็นับวันรอวันที่จะรับการ
ปลดประจำการ

ในไม่กี่วันต่อมา..เขาก็ได้รับข่าวว่า..ฮังการี ได้ถูกยึดครองไปเรียบร้อยแล้วโดยพรรคคอมมิวนิสต์ที่ได้รับการ
สนับสนุนจากรัสเซีย หัวหน้ากลุ่ม นั่นคือ
Bela Kun ซึ่งกอร์ปด้วยคณะตรวจการจากโซเวียต 32 คน 25 คนในนั้น
เป็นยิวที่มีอำนาจในหลายๆ สาขาวิชาชีพ คณะนี้ได้เรียกร้อง ยุยงให้เหล่านานาประเทศในยุโรป..ลุกฮือร่วมกัน
การปฏิวัติเปลี่ยนปกครองเสียใหม่
หนังสือลอนดอนไทม์ เรียกชนกลุ่มนี้ว่า.."Jewish Mafia"

ความสำเร็จของ Bela Kun ในฮังการี นับว่าได้รับความชมชื่นจากกลุ่มแดงด้วยกันอย่างมากมาย และพวกเขา
หวังว่าคงทำได้สำเร็จในเยอรมันเช่นกัน..

โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:28:38 น.
  




ความคิดเห็นที่ 65

สวัสดีครับคุณ WIWANDA...ผมตามอ่านมาตลอด..เลยต้องขอโผล่มาทักทาย..ให้กำลังใจและขอบคุณเป็น
ระยะๆ...สนุกดีครับ...แต่ด้วยความที่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ค่อนข้างอ่อนแอ..อ่านแล้วสงสัยหลายอย่างขอ
อนุญาตถามคำถามครับ
1. เรื่องการปกครองครับแสดงว่าในขณะนั้นออสเตรีย+ฮังการี+เยอรมัน ในขณะนั้นเป็นอาณาจักรเดียวกันภาย
ไต้พระเจ้า Ludwig III แห่งราชวงศ์ฮัฟบวร์ค ใช่ไหมครับ ?
2. ชาวเยอรมันขณะนั้นยอมรับการปกครองของออสเตรีย+ฮังการี หรือไม่...หรือถึอว่าเป็นพวกเดียวกัน...แต่ถ้า
เป็นพวกเดียวกันทำไมแบ่งชื่อประเทศครับ ?
3. ตามคห. 37.....เซอร์เบียปกครองตนเองแต่ยังคงเป็นประเทศราชของอาณาจักรออสเตรีย+ฮังการี ใช่ไหนครับ
?
4. หลังสิ้นพระเจ้า Alexander และ พระราชินีแล้ว...ทางเซอร์เบียมีใครปกครองต่อครับ...น่าจะมี...แต่ผู้ปกครอง
ใหม่ก็ไม่อยากขึ้นกับอาณาจักรออสเตรีย+ฮังการี ต่อไปอีกใช่ไหมครับ ? หรือถูกรวบไปขึ้นตรงเลยไม่ให้ปกครอง
ตนเองอีก ?
5. Kurt Eisner ล้มบัลลังก์ของพระเจ้า Ludwig III อย่างไรครับ ?เช่น...ด้วยมวลชนหรือกำลังทหารจากภายนอก
หรือทหารจากภายในเอง.....และพระเจ้า Ludwig III หลังถูกล้มแล้วเป็นอย่างไรต่อ ?
6. การปกครองช่วงหลังล้มบัลลังก์เป็นอย่างไรต่อครับเช่น...เยอรมันยังขึ้นกับออสเตรีย+ฮังการีหรือแยกออก
มาปกครอง....ปกครองแบบไหนเช่นรัฐสภาหรือคณะบุคคล....และแบ่งออกเป็นรัฐต่างๆหรือครับ ?
7. ตอน bloody rose ก่อการและพวก Free Cops ออกมาสู้นั้น...รัฐบาลไม่มีทหารเป็นของตน..หรือทั้งรัฐบาล
และทหารเองก็แบ่งพวกสู้กัน ?
8. ถ้ารัสเซียอยากให้เยอรมันเป็นคอมฯ ทำไมไม่ส่งทหารเข้าไปจัดการ ?
9. พวก free cops นั้นยังชีพอย่างไรครับ...รับอาหาร&อาวุธเอาจากใคร ?
ถามหลายข้อเลยครับเพราะอ่านแล้วงงเล็กน้อย......ขอบคุณมากครับ....


จากคุณ : Dominion - [ 14 ม.ค. 47 11:40:53 A:202.80.225.69 X: ]



โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:30:14 น.
  




โอ้โห..คุณ Dominion ที่รักขา.
ต้องขอแนะนำให้กลับไปอ่านประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 10
มาแล้วละค่ะ เพราะไม่งั้นคุณจะต้องงงมากกว่านี้..
ในยุโรป..หลายๆประเทศนั้นเป็นญาติกันหมด จากการอภิเษกสมรส
แม้กระทั่ง..ในยามสุดท้ายนี่ พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียก็เป็นพระญาติกับพระเจ้าไกเซอร์ (มีการขอความช่วยเหลือกันในตอนแรกๆด้วย)

ออสเตรีย..เยอรมัน..เคยเป็นทวิภาคีกันอย่างแน่นแฟ้น แบบบ้านพี่เมืองน้อง.. ชนิดที่ว่า ลองใครมาแหยม จะช่วย
กันสุดฤทธิ์ มีการลงเป็นลายลักษณ์อักษรในปี 1879
(ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ บางทีก็เป็นไตรภาคีเพราะ อิตาลีมั่ง รัสเซียมั่ง
มาแจมด้วย แล้วแต่การขัดแย้ง
เกิดขึ้นเมื่อใด)
ต้องดูแผนที่ประกอบไปด้วยนะคะ ว่า ชายแดนของเขานั้นเป็นใครบ้าง
ราชวงศ์ฮัฟบวร์กครองราชมาตั้งแต่
ศตวรรษที่ 13 มีการอภิเษกโยงใยไล่ไปหมด อิตาลี สเปน รัสเซีย
จนดูเหมือนกับ วงของใยแมงมุม
หลักๆแล้วเขาแบ่งกันเป็นสามราชวงศ์ คนละแคว้นกันไป..ต่างคนต่างปกครองโดยกษัตริย์ของตัวเอง
นั่นคือ.. Luxemburg (in Bohemia), Wittelsbach (in Bavaria), and Habsburg (in Austria).
ยังมีแคว้นเล็กแคว้นน้อยอีกมากมาย

ตอนที่เล่านั้น..Sarajevo ยังเป็นเมืองอยู่ในขัณฑสีมา คือ
Bosnia-Herzegovina(ภายใต้การปกครองของ Austro-Hungarian empire ตลอดไป..หลังจากสนธิสัญญากรุงเบอร์ลิน 1878เพราะพวกเติร์กแพ้สงครามกับรัสเซีย)

ปัญหาที่ตามมานั่นก็คือเรื่องเชื้อชาติและศาสนาที่แบ่งแยกออกเป็นสามกลุ่ม คือ Croats{Roman Catholic},
Ethnic Serbs{Serb-Orthodox}, Muslim

พวก Serbs เลยถูกแยกกันออกไปเพราะการแบ่งเขตด้วยแม่น้ำและหมดสิทธิในการเคลมที่ดินที่เคยครองอยู่
เรื่องของ เซอร์เบีย ไปอ่านเองเอาที่นี่ค่ะ
//www.archives.org.yu/istorijae.htm
เล่าม่ะหวายง่ะ ต้องไปหาอ่านเอาตามทรอปิคนะคะ..

ลองตามอ่านดูนะคะ เพราะกระทู้นี้อาจจะยาวพอๆกับของคุณสื่อศิลป เพราะตอนนี้ฮิตเล่อร์ยังไปไม่ถึงไหนเลย
ที่ต้องเล่าถึงสงครามกลางเมืองในเยอรมัน เพราะว่า นี่คือสาเหตุหลักๆที่ฮิตเล่อร์เกลียดยิว เและทุกอย่างที่เขาทำ
ลงไปนั้น คือการแก้แค้นให้กับเพื่อนร่วมประเทศทั้งนั้น (ในวิธีของเขา)

ในกรณีของ Karl และ Rosa นั้น ทั้งคู่เป็นผู้มีการศึกษาสูงระดับมหาวิทยาลัย(ในสมัยนั้นไม่ใช่ขี้ขี้) และซ้ายจัดตกขอบ
มีกลุ่มชาวยิวรัสเซียหนุนหลังอยู่..เพราะในข่าวแจ้งไว้ว่า กองทัพย่อยๆของเขานั้น มีปืนกลไม่ต่ำกว่าสองพันกระบอก ไม่นับปืนใหญ่อื่นๆ
และผลที่ได้รับจากความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของ Rosa แม้แต่หล่อนจะถูกสำเร็จโทษไปแล้ว..แต่ ในปีเลือกตั้งต่อ
มาเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ที่ผู้หญิงสามารถลงคะแนนโหวตเลือกตั้งได้ !!

ส่วน Kurt Eisner นั้น..เขามาสวมรอยได้เพราะว่า Right thing at the right time
เพราะตอนนั้น..ราชวงศ์ฮัฟบวร์กถึงแก่กาลเสื่อม เนื่องมาจาก King Ludwig II ที่ได้รับฉายาว่า " The Mad King
" และ คนนี้แหละ มีอิทธิพลกับฮิตเล่อร์มากที่สุด.."
(แหม..ต้องเล่าเรื่องยี่เกๆอีกแล้วซิเนี่ย)


โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:34:12 น.
  


นาย Kurt Eisner
นายนี่เป็นยิวระดับปัญญาชน เคยเป็นบรรณาธิการ เขียนบทความการเมืองจนต้องพาตัวเข้าไปเขียนในคุกมาแล้ว..
พอออกมาก็พอดีกับบ้านเมืองกำลังยุ่งเหยิง จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกคอเดียวกัน ก่อการปฏิวัติ
พระเจ้า Ludwig III และพระราชวงศ์ต้องหนีไปลี้ภัยอยู่ที่มิวนิค ในปี 1918 และหลังจากที่ได้ลงพระนามสละราช
สมบัติแล้วก็เสด็จไปลี้ภัยในฮังการีจนสวรรคต ปี1921

ทีนี้มาดูถึงสาเหตุที่นาย Kurt ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้อย่างง่ายดาย เพราะ
หนึ่งคือสาเหตุที่ประชาชนเบื่อความอดยาก และสอง คือ เซ็งกับการใช่จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยของ พระเจ้า Ludwig ที่สอง..

เคยพูดเกริ่นๆแล้วถึงเรื่อง"อิทธิพล"ของกษัตริย์ในราชวงศ์ฮัฟบวร์กองค์นี้ที่มีต่อฮิตเล่อร์อย่างมากมายมหาศาลที่
ไม่มีใครเคยเอามาตีแผ่
คงถึงเวลาซะทีละมัง..

พระเจ้า Ludwig ประสูติเมื่อ 25 สิงหาคม 1845 เป็นพระโอรสองค์โตของพระเจ้า แมกซิมิเลียน ที่สองกับพระราชินี แมรี่
ในยามเด็ก พระองค์ได้รับการเลี้ยงดูแบบที่มีวินัยเคร่งครัด
ทั้งที่โรงเรียนและที่พระราชวัง..
ยามเดียวที่จะได้มีเวลาเพลิดเพลิน นั่นก็คือ การแปรพระราชฐานไปยังปราสาทอื่นๆที่เหมาะแก่ฤดูกาล..และที่
พระองค์ทรงโปรดที่สุดนั่นก็คือ ปราสาท Hohenschwangau ที่ตั้งอยู่ที่ชายแดนเขตของ Tyrolean Alps และอยู่
ติดกับทะเลสาบอันงดงาม สมดังชื่อ
ที่ความหมายว่า ปราสาทแห่งพญาหงส์

ครั้นเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 13 ก็ทรงได้รับคำบอกเล่าว่า
จะมีการแสดงโอเปร่าครั้งยิ่งใหญ่ โดย Richard Wagner ผู้สร้างและนักประพันธ์เพลงในเทพนิยายพื้นบ้านเรื่อง
Lohengrin (อัศวินหงส์) ซึ่งเพียงพระองค์ได้ดูแผ่นโน๊ตเพลงทั้งหมดในละครพระองค์ก็เกิดความหลงไหลขึ้นมาอย่างประหลาด
ถึงกับทรงท่องจำได้ในทุกวรรค ทุกบรรทัด ของโน๊ตเพลงแห่งละครโอเปร่าชุดนี้..
( อาจเป็นอิทธิพลของการ ตกแต่งในปราสาทแห่งนี้ก็เป็นได้ ที่ภาพวาดเน้นแต่เรื่องหงส์ล้วนๆ)


โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:37:31 น.
  



พระองค์ทรงหลงไหลได้ปลื้มกับเพลงของ Wagner ไปหมดในทุกเพลง และในบทละครทุกเรื่อง..
เพิ่งจะได้มีโอกาสได้สัมผัสกับ Wagner ตัวเป็นๆก็เมื่อปี 1861 เดือน กุมภาพันธ์ เป็นครั้งแรก
ซึ่งแน่นอน ต้องเข้าข่าย กรี๊ดสลบ..
และ..ทรงรับตำแหน่ง"พระบิดายก"ให้กับวงออเคสตราของ Wagner อย่างเต็มพระทัย เพราะ ในปี 1863
ทันทีที่นายวาคเนอร์ เขียนข้อความทีเล่นทีจริงว่า ในละครเรื่องใหม่ของเขาที่ตั้งใจจะทำนั้น
คือ..Ring circle ต้องใช้ทุนมหาศาล...ไม่มีสามัญชนคนไหนมีความสามารถร๊อก..นอกจากเจ้าชายเท่านั้นแหละ
ถึงจะทำได้..

ทายซิ..ว่าเจ้าชายที่ไหนเอ่ย..มาลงทุนให้จนสำเร็จ?

เมื่อมีพระชนมายุได้ 18 (1864) ก็ได้ครองราชต่อเพราะการสวรรคตของพระเจ้าแม๊กซิมิเลียน คราวนี้แหละ..
พระองค์ถึงกับส่งคนไปตามตัว วาคเนอร์ที่กำลังหนีหนี้อย่างหัวซุกหัวซุนอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ เอามาอุปการะให้ได้ดี
เลี้ยงดูชนิดที่ว่า..
สิบพ่อค้า ไม่เท่า หนึ่งราชาเลี้ยง..
ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ใหญ่โตราวปราสาทราชวัง..เงินทอง และ โรงละครชั้นเลิศ..พระองค์จัดหาให้หมด..
เล่นเอาเหล่าบรรดาข้าราชบริพารถึงกับหนาวๆร้อนๆ เพราะ เกรงว่า
วาคเนอร์จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องการเมืองการปกครอง เพราะ ยามนั้น ไม่ว่านายคนนี้จะเพ็ดทูลอะไร ก็ทรงเชื่อ
ไปหมด..วาคเนอร์อายุก็ตกไป 52 แล้วตอนนั้นน่ะ ไม่ใช่เด็กๆอายุ 18 อย่างพระเจ้าแผ่นดิน

และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ หลายต่อหลายคนไม่ชอบหน้า
นายวาคเนอร์คนนี้จะด้วยความอิจฉาหรือด้วยท่าทางยะโสโอหังถือตัวว่าเป็นคนสำคัญก็อาจเป็นได้
ต่อมาหลังจากที่ครองราชย์ได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุของสงครามเจ็ดอาทิตย์ ระหว่าง ปรัสเซีย(ที่มีแคว้นต่างๆรวมตัวกัน) กับ ออสเตรีย
เนื่องจาก บาวาเรีย นั้นอยู่ใกล้และสนิทชิดเชื้อกับออสเตรียมากกว่า
จึงต้องร่วมทำสงครามกับปรัสเซียด้วย..
คราวนี้ วาคเนอร์ต้องระเห็จออกไปจากบาวาเรีย เพราะถ้าอยู่ต่อไป
อาจมีอันตรายได้ โดยไปอย่างเศรษฐี
ไปเสวยสุขที่ ลูเซิน สวิตเซอร์แลนด์

เจ็ดอาทิตย์ของสงครามที่ ออสเตรียพ่ายแพ้ต่อปรัสเซีย นั่นหมายถึง
บาวาเรีย ต้องสูญเสียความเป็นเอกราชส่วนหนึ่งให้กับปรัสเซียไปด้วย
ต่อมาในปี 1867 ถึงคราวที่ต้องเลือกคู่ให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที
ไม่มีใครเหมาะสมไปว่า เจ้าหญิงโซฟี พระญาติใกล้ชิด
พระเจ้าลุดวิค ไม่ได้มีพระทัยสนิทเสน่หาด้วยเลยแม้แต่นิด เลื่อนการหมั้นออกไปเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่ทั้งสองพูดกันรู้
เรื่องนั่นก็คือ
ความฝักใฝ่ หลงในละครของวาคเนอร์ ถึงกับเรียกกันและกันว่า
Elsa และ Heinrich (ชื่อของตัวนางเอก พระเอกในเรื่อง Lohengrin)
พระองค์ทรงเลื่อนการหมั้นซะจนเจ้าหญิงทนความอับอายไม่ไหว
ประกาศถอนหมั้นซะเอง..
ซึ่งสร้างความโล่งอกให้กับพระเจ้าลุดวิคอย่างมากมาย
ถึงกับทรงจ.ม.ไปหา วาคเนอร์ ว่า
"Oh,if only I could be carried on a magic carpet to you....at dear peaceful Tribschen even for an hour
or two. What I would give to be able to do that !"

อย่าหาว่ากาแดะเลยนะ เพราะ ประโยคเด็ดๆอย่างนี้ แปลเป็นไทย
แล้วมันไม่แซ่บ..

โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:41:13 น.
  



เผื่อมีคนข้องใจ..

เห็นเรียกๆว่า ปรัสเซียมั่ง เยอรมันมั่งนั้น
เพราะ ก่อนบิสมาร์คจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรี(ประมาณนั้น) เยอรมันถูกเรียกว่า ปรัสเซียค่ะ ตามเชื้อชาติ
เดิมๆของชาวปรัสเซียคือพวกที่กระจายกันอยู่ เป็นพวกโปล์มั่ง สลาวิคมั่ง..ลิทเธอเนียมั่ง..(ก็ชายแดนของรัสเซียนั่นแหละ)

จนศตวรรษที่ 11 ได้ถูกกลุ่มนักรบบ้านป่าหรือเป็นที่ขึ้นชื่อว่า Teutonic Knights ได้รวบรวมคนเหล่านี้เข้าด้วยกัน
จนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ให้มานับถือศาสนาเดียวกัน คือ คริสเตียนได้สำเร็จ..เรียกว่า ปรัสเซีย (คงมาจาก โปแลนด์ + รัสเซีย เพราะนี่คือที่มาของเชื้อชาติ)
หลังจากนั้นก็มีสงครามศาสนาเข้ามาเกี่ยว เปลี่ยนไปมา จนกลายมาเป็นโปแตสแทนต์ ถึงกับต้องแบ่งปรัสเซีย
ออกเป็นตะวันตก ตะวันออก..
จนมาถึง บิสมาร์ค ที่สามารถจับรวมเข้าด้วยกัน ให้มาเป็นเยอรมัน หลังจากที่ชนะสงคราม Franco-Prussian
(สงครามกับฝรั่งเศส) ในปี 1871 ค่ะ

ที่ถามว่า..
ตอน bloody rose ก่อการและพวก Free Cops ออกมาสู้นั้น...รัฐบาลไม่มีทหารเป็นของตน..หรือทั้งรัฐบาลและ
ทหารเองก็แบ่งพวกสู้กัน ?

คำตอบคือ คุณต้องกลับไปดูสถานะการณ์ว่า ตอนนั้นคือช่วงของปี 1918-1919 เยอรมันกำลังทำสงครามอย่าง
หนักกับมหาอำนาจ ขอให้คุณคิดดูก็แล้วกันว่า พวกเขาเข้มแข็งขนาดไหน สี่ปีเชียวนะคะ กว่าจะล้มเขาได้..รัสเซียเองยังต้องขอถอยไปตั้งหลักใหม่ ถ้าไม่ได้อเมริกามาช่วย รับรองว่า เยอรมันชนะแน่
เขาแพ้เพราะ(ฮิตเล่อร์ว่า) เกิดจากการก่อกบฏภายในขณะที่ประเทศกำลังต้องการความสามัคคี จากพวกยิวที่ยุยงปั่นป่วนชนชั้นกรรมกรด้วยลัทธิใหม่ จากยิวที่เข้ามาทำมาหากินอยู่ในประเทศจนร่ำรวย
เปรียบได้ว่า..พวกเขารบอยู่ที่นอกบ้าน ในบ้านถูกคนเข้ามาวางเพลิง.
อย่างที่ แม่กุหลาบแดงเดือดกับคาร์ลชู้รัก ได้ทำอยู่

โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:45:42 น.
  



และที่ถามว่า..
ถ้ารัสเซียอยากให้เยอรมันเป็นคอมฯ ทำไมไม่ส่งทหารเข้าไปจัดการ ?

9. พวก free cops นั้นยังชีพอย่างไรครับ...รับอาหาร&อาวุธเอาจากใคร ?

ตอบ..รัสเซียเองก็เพิ่งเปลี่ยนการปกครองไปหมาดๆค่ะ จากกษัตริย์มาเป็นกรรมกร ทำให้พวกชนชั้นแรงงานส่วนใหญ่
ฮึกเหิมถึงกับคิดจะเข้ายึดครองในประเทศอื่นๆในยุโรปด้วยลัทธิ (อย่างที่เล่ามาในฮังการี)
ยังไม่ได้มีกองทหารเป็นเรื่องเป็นราว มีแต่กลุ่มแทรกแซงที่
เข้าไปสร้างความเดือดร้อนที่นั่นที่นี่ อย่าง Bela Kun

พวกนักรบ Free Corps คือพวกทหารผ่านศึกที่รัฐบาลเรียกกลับมาจากแนวหน้า ที่เข้ามารวมตัวกันไม่ยอมให้
บ้านเมืองตกในมือของคอมมิวนิสต์ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและรัฐบาลฝ่ายขวา{right wing}
ดังเหตุการณ์ครั้งที่ยิ่งใหญ่ในมิวนิค..คอมมิวนิสต์ในการนำของ Levine เข้ายึดครองอย่างเด็ดขาด..
นักรบ FC เก้าพันคน นัดรวมตัวกันที่ Nuremberg เพื่อเคลื่อนทัพเข้าสู่มิวนิค และ เพียงสิบไมล์ก่อนถึง..คือเมือง
Dachau (อ่านว่า ดักเฮา) เกิดการปะทะกันขึ้น..
กองทัพคอมภายใต้การนำของ Ernst Tollerชนะ..
นักรบ Free Corps ตายเรียบ..ไม่เหลือ
นี่คือเหตุการณ์ที่น่าสลดใจ..ซึ่งฮิตเล่อร์จำไว้อย่างละเอียดละออ..เขาจึงเลือก Nuremberg เป็นศูนย์กลางการประชุมต่างๆ..และ..เลือก..Dachau เป็น..สถานีนรกแก่ศัตรู(หมายถึง Concentration camp แบบจงใจ)


โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:48:13 น.
  



พระจ้าลุดวิคที่สองช่างมีกรรมเสียจริงๆ เพราะ หลังจากที่ต้องแพ้สงครามเจ็ดอาทิตย์มาหมาดๆ
ก็เกิดสงคราม Franco-Prussia ขึ้นมาอีก คราวนี้คือ ปรัสเซียกับฝรั่งเศส ซึ่งกองทัพบาวาเรียต้องถูกเกณฑ์ไปร่วมกับปรัสเซีย
(เพราะอำนาจทางการทหารได้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชนะในสงครามคราวที่แล้ว)
ในระหว่างนั้น แทนที่พระองค์จะสนใจในเรื่องการบริหารบ้านเมือง
กลับหลบลี้หนีไปอยู่ตามเขตชายแดนเทือกเขา
และ..ถลุงเงินในท้องพระคลังอย่างสะใจ โดยสร้างปราสาทขึ้นมาอีก
สามหลังพร้อมๆกัน ตามความฝันที่มี..
หมดเงินไปกว่า 31 ล้านมาร์คเอง..
หลังนี้ชื่อ Neuschwanstein
เป็นปราสาทที่นาย วอลส์ ดิสนีย์ ขอลอกเลียนไปเป็นปราสาทเจ้าหญิงนิทรา ในดิสนีย์แลนด์ไงล่ะ

จนในที่สุด ปรัสเซียก็ชนะสงครามกับฝรั่งเศส บิสมาร์คก็ขอร้องแกมบังคับให้พระองค์รวมอาณาจักร์บาวาเรียเข้า
กับ German Empire ภายใต้การบริหารของรัฐบาลบิสมาร์ค โดยมีพระเจ้า
Wilhelm II {Kaiser} เป็นประมุข ซึ่ง..พระองค์ก็เซ็นยินยอมแบบไม่เกี่ยงงอน เพราะ ไม่มีอะไรเหลือสำหรับพระองค์อีกแล้ว..

วาคเนอร์ก็มาตายจากไปในปี 1883 ซึ่งนำมาซึ่งความโศกเศร้ากับพระองค์อย่างที่สุด
แต่เนื่องจากพระองค์ทรงคลั่งไคล้อยู่สามสิ่ง..นั่นคือ การสร้างปราสาท,
ดนตรีของริชาร์ด วาคเนอร์, การละคร
จนรัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ โดยส่งแพทย์ทางจิตมาควบคุมพระองค์ และ..
วันที่ 13 มิถุนายน 1886 มีผู้พบพระศพของพระเจ้าลุดวิค กับแพทย์ผู้ควบคุมจมน้ำตายในทะเลสาบ Starnberg
โดยยังเป็นปริศนาดำมืดอยู่ว่า เป็นการ:-) หรือ การลอบสังหารกันแน่..


โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:51:46 น.
  


เดี๋ยวจะว่ามาเล่าเรื่องเจ้าๆทำไม..เพราะว่า..ถ้าจะดูให้ลึกๆจริงๆแล้ว ฮิตเล่อร์ ได้รับอิทธิพลจากพระเจ้าลุดวิคที่สองนี่มากมาย..

ฮิตเล่อร์เกิดเมื่อปี 1889 (สามปีหลังจากการสิ้นพระชนม์) ที่ Braunau(ใกล้ๆกับ Linz) ตอนเหนือของออสเตรีย ที่
ใกล้กับชายแดนเขตของบาวาเรีย..และอิทธิพลของความเป็นบาวาเรียนนั้น แผ่คลุมซึมลึกลงไปในสายเลือด โดย
เฉพาะฮิตเล่อร์นั้นเป็นอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น..นั่นคือเขามักเป็น"สุดโต่ง" ของสิ่งใดทั้งหมด เหมือนกับพระเจ้าลุด
วิคราวกับเป็นพระองค์กลับชาติมาเกิด เช่น..
1.หลงไหลในเสียงเพลงและผลงานริชาร์ด วาคเนอร์ (ในต่อมา ฮิตเลอร์ก็ติดต่อกับคนในตระกูลนี้)
2.ชอบการสร้างในเชิงสถาปัตยกรรม.. ในฐานะที่ฮิตเลอร์ไม่มีเงินทองมาสร้างพระราชวัง แต่เขาสร้างเอาเองใน
จินตนาการ (ดูจากการรูปภาพ)
3.รักการใช้ชีวิตบนภูเขา (ดูจากการสร้างเบอร์เตสการ์เดน หรือที่เรียกว่า Eagle's nest)
4. ผู้หญิงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญของชีวิต (เพราะอะไร..ค่อยมาว่ากันทีหลัง)
5. จุดจบ...คือการเลือกที่จะจบชีวิตด้วยตัวเอง

และขอให้คิดดูว่า ฮิตเลอร์ต้องมาพบกับความล่มสลายของอาณาจักรบาวาเรียที่เขารัก ด้วยฝีมือของของยิวเพียงไม่กี่คน

ตามข่าวเล่าว่า..พระเจ้าลุดวิคที่สาม ถูกสั่งให้ขนข้าวของออกจากวัง..ขึ้นรถภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง..และ..ขณะที่
รถแล่นออกจากวังไปอย่างช้าๆ พวกคณะยิวปฏิวัติยิงปืนไล่จนรถพระที่นั่งต้องเร่งความเร็วขับหนี เป๋ปัดปุเลงๆลง
ไปในไร่มันฝรั่งแบบทุลักทุเล ฝุ่นตลบ..ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงของเหล่าทหารแดง
โดย: WIWANDA วันที่: 3 มีนาคม 2548 เวลา:8:53:55 น.
  
E evidente che il luogo e stato fatto dalla persona che realmente conosce il mestiere! //www.storp3.org/canzoni
โดย: canzoni IP: 85.255.119.131 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:6:04:51 น.
  
E evidente che il luogo e stato fatto dalla persona che realmente conosce il mestiere! //www.storp3.org/canzoni
โดย: canzoni IP: 85.255.119.131 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:6:29:20 น.
  
mmm.. nice design, I must say.. //www.storp3.org/giovanni
โดย: giovanni IP: 85.255.119.131 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:7:19:07 น.
  
//daf7b59b24683da6fa2ab7c59165a17a-t.fb4pfgd.info daf7b59b24683da6fa2ab7c59165a17a [url]//daf7b59b24683da6fa2ab7c59165a17a-b1.fb4pfgd.info[/url] [url=//daf7b59b24683da6fa2ab7c59165a17a-b2.fb4pfgd.info]daf7b59b24683da6fa2ab7c59165a17a[/url] [u]//daf7b59b24683da6fa2ab7c59165a17a-b3.fb4pfgd.info[/u] 57d12818c724def9553d777cb035c034
โดย: Zain IP: 83.40.48.120 วันที่: 19 มีนาคม 2550 เวลา:15:54:45 น.
  
เหตุใดสงครามโลกครั้งที่ 1จึงได้ชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นของยุคการทำสงครามแบบเบ็ดเสร็จ
โดย: อยากรู้ IP: 125.26.198.85 วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:21:18:41 น.
  
ชอบมากตรงเล่าประวัติทุกคนหลายๆคนที่เกี่ยวข้องได้อย่างละเอียดอะ มีที่มาที่ไป ขอบคุณมากนะครับ ที่จริงวันนี้มืดๆไม่มีอะไรทำ ก้อเปิดคลิ๊ปดูไปเรื่อยๆ แระก็ส่งคลิปทักษิณโฟนอินฮิตเลอร์ให้เพื่อนดูเราว่าฮาอะ สักพักไม่มีไรทำก็ลองเสิสอ่านประวัติฮีตเลอร์เล่นๆ อ่านช่วงแรกในวิกิก็รู้สึกไม่ได้เป็นคนเลวอย่างที่เคยได้ยินรู้สึก แต่ไงก็ทำไม่ถูกอยู่ดี แต่อ่านต่อ เวปไทยหลายๆ ที่เขียนน้อยๆ ก็เริ่มไม่ดีอีกแระ มาเจอที่นี่อ่ะคงเข้าใจมากขึ้น สงสัยอ่านถึงเช้าแน่เรย ยังไงก็ขอบคุณอีกทีนะครับ
โดย: momotarolpดีจังจร้า IP: 125.24.223.153 วันที่: 3 ธันวาคม 2553 เวลา:3:11:58 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]

บทความทั้งหมด