สามเบื้องหลังที่ทำให้คนญี่ปุ่นต้องกลับดึก The Samurai Officers มันเป็นคำถามที่ผมเองก็อยากถามตอนอายุประมาณยี่สิบต้นๆมากเพราะผู้เขียนเองก็ไม่เข้าใจว่ามันทำอะไรกันมากมาย แปดชั่วโมงต่อวันมันไม่พอหรือ....
ถ้าจะหาเหตุผลมาอธิบาย...ผู้เขียนขอเลือกมาสามข้อละกัน (เคยอ่านหนังสือของ อาเฮียสตีฟ จอบส์แกบอกว่ามนุษย์จะจำกลุ่มข้อมูลที่มีสามข้อได้ดีกว่าสอง และก็ดีกว่าสี่ข้อด้วย)
ข้อแรกคนญี่ปุ่นขี้กลัว เขาจะจินตนาการทุกเรื่องเลวร้าย ทุกกรณี คือ...คนญี่ปุ่น มันเป็นชนเผ่าที่คิดมาก ไม่สิต้องบอกว่า เป็นชนเผ่าที่ต้องทำให้ทุกอย่าง ดูมีมิติคิดให้มากอาจเป็นเพราะชนชาติของเขาเจอแผ่นดินไหวมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งตลอดชีวิตทำให้พวกเขาเชื่อเหลือเกินว่าทุกอย่างต้องมี Plan B -CD-E-
X YZ คนญี่ปุ่นจะถามเสมอว่าถ้าเกิด.... แล้ว.... และถ้ายังเกิดแบบนี้.....แล้ว.... และผมกล้ายืนยันว่าไม่ใช่แค่สายงานทางวิศวะเท่านั้นที่คนญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ แม้แต่พวกวงการทีวี(บังเอิญจริงๆ แล้วผู้เขียนฝันใฝ่อยากเป็นดารา เลยเคยมีงาน Sideline ที่เกี่ยวกับทีวี) คนญี่ปุ่นที่เป็นถึงขนาด Director พอคนไทยที่ร่วมงานทำอะไรมาผิดจากแผน เขาจะแปลงร่างจากบุคลิกแนวเฮลโหล คิตตี้ โปเกม่อน กลายเป็นมนุษย์ลุงเสียงดัง หน้ายักษ์ ปากร้าย ตัวสั่น ออกสเต็ปวิ่งไปมาผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเพราะภูมิประเทศที่มีภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมายธรรมชาติจึงจงใจ ใส่รหัสการเรียงตัว DNA แบบนี้เข้าไปในคนญี่ปุ่น... ตรงกันข้าม ผมได้ยินคนญี่ปุ่นมากมายชื่นชมคนไทยมากว่าเป็นชนชาติที่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งมาก
ข้อสองคนญี่ปุ่นเชื่อว่า เรื่องใหญ่ที่สุด อยู่ในเรื่องเล็กที่สุด
หากใครเคยทำงานโดยมีเจ้านายเป็นญี่ปุ่น....จะพบว่าพวกเขามีworking hours ที่นานมากและอาจจะนานที่สุดในโลกก็เพราะคนญี่ปุ่นจะจริงจังกับงานทุกเม็ด คนญี่ปุ่นสามารถเรียกลูกน้องมาให้แก้งานด้วยเหตุผลต่อไปนี้ได้ - มีขนาดฟอนท์ หรือชนิดตัวอักษรไม่เท่ากันเช่นมี ฟอนท์ 11 กับ10.5 ในเอกสารฉบับเดียวกัน ทั้งๆ ที่สองแห่งนี้ มีความสำคัญเท่ากันไม่มีความจำเป็นต้องมีขนาดที่แตกต่างกัน 0.5 - การใช้สี หรือเส้นประ เส้นทึบบน diagram เหตุไฉนจึงไม่บอกว่ามันต่างกันหรือมีความหมายอย่างไร - ในเอกสารฉบับเดียวที่มีกว่าร้อยหน้า อันนึงเขียน 28Apr อีกอันเขียนApr28 ให้ไปแก้มาให้มันเหมือนกันทั้งฉบับ (ยังไม่พอๆ ลูกน้องต้องห้ามตีหน้าโวยวายว่าอะไรวะแค่นี้เองเนี่ยนะลูกน้องต้องตีหน้าตีตาเศร้า ต้องซี้ดปากก่อนหนึงทีแล้วพูดเสียงแห้งๆ ว่า ขอโทษจริงๆ ครัซ )
ผมยังจำได้กับวันที่ 14 เดือนห้าหลายปีก่อนรุ่นพี่ให้เขียนสรุปผล System Test เป็นกระดาษเอสาม สองแผ่น... จำได้ว่าเป็นวันที่ทรมานที่สุดวันหนึ่งของชีวิตการทำงานเพราะผมส่งเอกสารชิ้นแรกให้รุ่นพี่ดูตอนสิบโมง... และแก้ไปแก้มากว่าสิบหกครั้งและจบที่ส่งให้หัวหน้าตอนตีสอง...เขียนไม่ผิดครับกระดาษสองแผ่น สิบโมงถึงตีสอง เป็นวันที่น้ำตาจิไหลไม่สิ ตอนนั้นน่าจะไหลไปแล้ว... ทำไมถึงอธิบายเหตุผลการเทสต์ได้ไม่สมเหตุสมผลพอ...ทำไมถึงใช้แกรมม่าผิด แค่คำเชื่อมหรือคำกริยาช่วยง่ายๆ (เออ ขอโทษ... ผมมันผิดเองเป็นคนต่างด้าวครับ) เหตุไฉนตอนเอาเอกเซลไฟล์มาแนบ ถึงไม่ตั้งชื่อชีทให้เหมาะสมเขียนคาไว้เป็น Sheet 1 ได้อย่างไรตั้งชื่อชีทให้เหมาะสมสิ
และจำได้อีกว่าเพราะกว่าจะเสร็จคือเกินตีสอง...ไม่มีรถไฟกลับบ้านแล้ว... เลยต้องนอนในเนตคาเฟ่แถวๆบริษัทตอนตีสามถึงเจ็ดโมงครึ่ง...แล้วก็เดินมาทำงานโดยไม่ได้อาบน้ำหรือกลับบ้านเลย...
โอย... ยิ่งคิดถึงวันนั้นทีไร...ผมน้ำตาจะไหลทุกที... ผมจำเอกสารชิ้นนั้นฝังใจถึงขนาดถ่ายก้อปปี้เอสามแค่สองแผ่นนั้น สิบเจ็ดเวอร์ชั่นกลับมา และหอบกลับมาที่เมืองไทย ... ผมเอามันฝังเป็นลูกนิมิตไว้ที่หัวนอนในห้องตัวเอง... สร้างเป็นอนุสรณ์ให้ตัวเองจดจำ ว่าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์นี้อีกในชีวิต
ส่วนเหตุผลข้อสุดท้ายที่ผมรู้สึกว่าแปลกแต่จริงคือ.... คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า การกลับบ้านเร็วหรือกลับตรงเวลาเป๊ะคือเรื่อง Negative ผมเคยถามเจ้านายญี่ปุ่นตอนสี่ห้าทุ่มว่าทำไมไม่กลับบ้านครับ ภริยาไม่ห่วงหรือไม่ว่าเหรอครับ เขาตอบกลับว่า ถ้ากลับเร็วภริยาจะโกรธหาว่าไม่ตั้งใจทำงาน หรือไม่มีงานทำ (เพราะถ้าตั้งใจทำงาน ต้อง ทำสองข้อบนให้ครบอย่างไม่มีที่ติก่อน) เล่นเอาผมงงเต้ก....
ผมกล้ายืนยันว่าเหล่าคนญี่ปุ่นไม่ได้ดูยูทูปตอนอยู่ดึกๆ ... เราจะเรียกเขาว่า ชนขาติที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็ได้เราจะเรียกเขาว่าพวกบ้างานทิ้งลูกเมียก็ได้.... เพราะพวกเขาคือ samuraiofficers |
บทความทั้งหมด
|