ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ๕ : ปุพเพนิวาสานุสติญาณ? และเฉียดตายแค่เอื้อมมือ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน กลับมาพบกันอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๕ ซึ่งจะเป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ของการปฏิบัติที่ ต.เขาคลุง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เนื้อหาของตอนนี้จะเป็นเหตุการณ์ช่วงสุดท้ายที่ได้ประสบพบเจอ เมื่อผมได้มีโอกาสพักอาศัยอยู่ที่นั่น ก่อนจะย้ายกลับมา ประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง...

เหมือนเดิมครับ ท่านผู้อ่านสามารถติดตามอ่านย้อนหลังได้ที่ "ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ๔ : ด่านทดสอบใจที่ยาก และทิพพจักขุ?" (//www.bloggang.com/mainblog.php?id=siratsapon&month=16-12-2009&group=3&gblog=4)

ณ ตอนนี้ขอเริ่มเล่าประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ดังนี้ครับ

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
สิ่งนี้ คือ "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ" ญาณระลึกชาติได้?>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

อย่างที่ผมได้บอกไป ห้องพักที่ได้พักอาศัยอยู่นี้ เป็นสถานที่สัปปายะอย่างมาก อยู่ระหว่างรอยต่อของ ๒ จังหวัด คือ จ.ราชบุรี กับ จ.กาญจนบุรี ก็ว่าได้ ตอนกลางคืนจะเงียบสงัด สถานบันเทิงใกล้ๆ ก็ไม่มี รถราต่างๆ แทบจะไม่มีวิ่ง ถึงวิ่งก็ไม่ได้ยินเสียงมาภายในห้องผมได้ แม้ว่าผมจะอยู่ใกล้ๆ กับโรงงานก็ตาม แต่ตัวโรงงานที่มีเครื่องจักรทำงานก็ลึกเข้าไปจากรั้วโรงงานเป็นกิโล...

เมื่อเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ได้เกิดขึ้นแก่ผมขณะนั่งรถบัสกลับมาที่พักแห่งนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ผมก็ได้ปฏิบัติอยู่ที่ห้องพักต่อเนื่องไปอย่างเดิม จนเวลาผ่านล่วงไปอีกสักระยะหนึ่ง ก็ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตก็ว่าได้บังเกิดขึ้น....

เย็นวันหนึ่ง เมื่อผมได้เดินจงกรมเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง และต่อด้วยนั่งสมาธิอีกเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้ทำการสวดมนต์แผ่เมตตา พอสวดมนต์เสร็จ สิ่งที่จะต้องทำต่อไปเหมือนทุกวัน ก็คือ การกำหนดสติปัฏฐานสี่ในอิริยาบถนอน

การกำหนดสติปัฏฐานสี่แบบพม่าในอิริยาบถนอนนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ดำรงสติสัมปชัญญะมีความรู้สึกตัวไปจนกระทั่งหลับ เวลาหลับ จะต้องรู้ด้วยว่าหลับไปตอนไหน หลับไปตอนลมหายใจเข้า คือ "พองหนอ" หรือหลับไปตอนลมหายใจออก คือ "ยุบหนอ" และเมื่อตื่นมาก็ต้องรู้สึกตัวด้วยว่าตื่นมาตอนลมหายใจเข้า หรือตอนลมหายใจออกอีกเช่นเดียวกัน การปฏิบัตินั้นจะเริ่มต้นด้วยการนอนหงาย แล้วเอามือทั้งสองข้างมาประสานกันไว้ที่ท้องน้อย หลังจากนั้นจะกำหนดรู้สึกอยู่ที่ท้องน้อย เมื่อลมหายใจเข้าท้องพองให้กำหนดรู้ว่า "พองหนอ" เวลาลมหายใจออกท้องแฟบให้กำหนดรู้ว่า "ยุบหนอ" ทำซ้ำๆ กำหนดรู้ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนี้จนกระทั่งหลับ...

แต่ว่าครั้งนี้จะต่างจากทุกๆ ครั้ง เพราะเมื่อผมกำหนดรู้ลมหายใจไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้น นานเท่าไรไม่ทราบได้ จิตใจก็ค่อยๆ สงบลงไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งเข้าสู่ภวังค์ หลังจากนั้น เมื่อจิตเข้าสู่ภวังค์แล้วได้ปรากฏแสงสว่างสีขาวเจิดจ้าพุ่งเข้ามา สว่างวาบขึ้นมา โพลงขึ้นมาในตาของผม จนปกคลุมทั่วร่างเต็มไปหมด ทุกอย่างทั้งหมดทั้งสิ้นมีแต่สีขาว มองเห็นแต่สีขาวเท่านั้น ซึ่งหากเปรียบเทียบคงเหมือนกับ คนๆ หนึ่งอยู่ในถ้ำที่มีแต่ความมืดมิด และอยู่ดีๆ ได้มีแสงสว่างสีขาวหาประมาณไม่ได้พุ่งเข้ามาในถ้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้ความมืดมิดสลายหายไปหมดสิ้นในพริบตา กลายเป็นสว่างขาวเจิดจ้าทั่วไปหมดแทน แล้วหลังจากนั้นก็ผ่านเลยไป...

แสงสว่างสีขาวปรากฏอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งเพียงช่วงลัดนิ้วมือได้ ต่อจากนั้นก็ได้ผ่านเลยไป เมื่อสิ้นแสงสว่างแล้ว ก็ได้ปรากฏภาพขึ้น...

ระลึกชาติที่ ๑ นักรบ
= = = = = = = = = =

ภาพที่ปรากฏขึ้น คือ ตัวผมในอดีต ซึ่งเพราะเหตุใดไม่ทราบได้ แต่รู้ว่านั่นแหละคือ ผมในอดีต ตอนนั้นผมอยู่บนหลังม้าท่ามกลางสนามรบ ฝ่ายผมกับข้าศึกกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ใกล้ๆ ผมไปไม่ไกลนัก คือ พระเจ้าอโศกมหาราชกำลังทรงอยู่บนหลังม้า พระองค์เป็นฝ่ายเดียวกับผม ขณะนั้นผมมองไปที่พระองค์ ผมเห็นพระองค์กำลังเสียทีข้าศึกตกอยู่ในวงล้อม ผมจึงควบม้าผละจากข้าศึกที่สู้อยู่กับผมเข้าไปช่วยพระองค์ เพื่อเปิดช่องให้พระองค์ พระองค์ก็ขวบม้าหลุดออกไปจากวงล้อมตรงนั้นได้ ส่วนผมเองก็ได้ควบม้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อดึงข้าศึกให้ตามมา ข้าศึกนั้นก็ได้วิ่งไล่ตามผมมา ผมควบม้าไปสักระยะ ไปได้ไม่ไกลนัก จนกระทั่งเหลือผมเพียงคนเดียวหลุดออกมาจากกลุ่มที่ตะลุมบอนกันอยู่...

แต่ทว่าเมื่อผมหลุดออกมาจากกลุ่มได้แล้ว คิดว่าจะพ้น แต่ว่าข้างหน้าของผมปรากฏว่าเป็นหน้าผาสูงชัน ซึ่งผมจะควบม้าต่อไปอีกไม่ได้ จึงต้องหยุด และเมื่อผมหันม้ากลับมา ข้าศึกก็ได้วิ่งไล่ตามมาถึงพอดีตอนนั้นข้าศึกมีอยู่ประมาณสัก ๒๐ คนเห็นจะได้ในมือถือหอกและดาบ ผมจึงต้องประจันหน้ากับข้าศึก แบบ ๑ ต่อ ๒๐ ตอนนั้นในใจคิดว่าจะทำอย่างไรดี จะถอยไปอีกก็ไม่ได้ เพราะข้างหลังเป็นหน้าผา คิดว่าเราคงจะต้องตายเป็นแน่แท้ ข้าศึกก็ค่อยๆ เดินสืบเท้าเข้ามาทีละนิด พร้อมกับม้าของผมก็ค่อยๆ ถอยหลังไปทีละก้าวจนกระทั่งถอยไปอีกไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจสู้ตายตรงมุมหน้าผานั้น ผมสู้ข้าศึกไม่ได้โดนรุม โดนรุกไล่ไปทีละนิดๆ จนกระทั่งผมโดนแทง และตกหน้าผาไปพร้อมกับม้าและตาย...

หลังจากนั้นเมื่อผมโดนแทงแล้ว ร่วงจากหน้าผานั่นเอง แต่ยังไม่ทันตกถึงพื้น ก็ได้มีแสงสว่างสีขาวเจิดจ้าหาประมาณไม่ได้ปรากฏขึ้นในทันใด จนกระทั่งทุกสิ่งอย่างกลายเป็นสีขาวเป็นแสงสว่างไปทั้งหมด เพียงชั่วขณะหนึ่ง เมื่อสิ้นแสงสว่างสีขาวนั้น ภาพก็ได้ปรากฏขึ้น...

ระลึกชาติที่ ๒ นักมวย
= = = = = = = = = = =

ภาพที่ปรากฏขึ้น คือ ตัวผมในอดีตต่อมา ซึ่งเพราะเหตุใดไม่ทราบได้ แต่รู้ว่านั่นแหละคือผมในอดีตในกาลต่อมา ตอนนั้นผมเป็นนักมวยกำลังยืนอยู่กลางตลาด ไม่ได้ใส่เสื้อ นุ่งห่มผ้าคล้ายๆ กางเกงแต่ไม่ใช่กางเกง มันเหมือนกับจูงกระเบนเหน็บรวบไว้สูง (เหมือนนักมวยไทยสมัยโบราณ) ในมือพันผ้าเอาไว้อยู่ ร่างกายของผมตอนนั้นมียังชุ่มไปด้วยเหงื่อ เหงื่อยังออกอยู่ เหมือนกับว่าเพิ่งไปชกมวยหรือเพิ่งซ้อมมวยในช่วงเช้าเสร็จใหม่ๆ...

ณ ขณะนั้นเอง เมื่อผมได้จัดการกับผ้าพันมือเสร็จแล้ว ผมได้มองไปข้างหน้าเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่ง กำลังวิ่งมาที่ผม และชนกับผมเข้าอย่างจังจนเธอนั้นทรุดลงไปนั่งกับพื้น เมื่อชนกับผมเสร็จก็มีพวกผู้ชายเดินมา ๓ คน ตามผู้หญิงคนนี้มาถึงพอดี ผู้ชายพวกนั้นท่าทางเป็นพวกนักเลง อันธพาล ในมือถือไม้ตะพด มีผ้าขาวม้าคาดเอว และได้จับมือ ดึงมือผู้หญิงคนนี้ให้ลุกขึ้น แล้วพยายามฉุดกระชากเธอให้ตามพวกเขาไป ผมเห็นดังนั้น จึงคิดว่าคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เธอจะต้องโดนลวนลาม หรือทำอะไรไม่ดีไม่งามอย่างแน่นอน ผมจึงพยายามเข้าไปช่วยเธอ ก็เลยต่อสู้กัน เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ผมไม่คิดเลยว่า หนึ่งในผู้ชายพวกนั้น ได้ดึงมีดออกมาจากไม้ตะพด แล้วแทงเข้าที่ตัวของผม ผมจึงถูกแทงเลือดทะลักและล้มลงนอนกองอยู่บนพื้นและตาย...

หลังจากนั้นเมื่อผมโดนแทง ล้มลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว ก็ได้มีแสงสว่างอย่างเดิมเจิดจ้าหาประมาณไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีขาวเป็นแสงสว่างไปทั้งหมด เพียงชั่วขณะหนึ่ง เมื่อสิ้นแสงสว่างนั้น ภาพก็ได้ปรากฏขึ้น...

ระลึกชาติที่ ๓ คนพิการ
= = = = = = = = = = = =

ภาพที่ปรากฏขึ้น คือ ตัวผมในอดีตต่อมา ซึ่งเพราะเหตุใดไม่ทราบได้ แต่รู้ว่านั่นแหละคือผมในอดีตในกาลต่อมา ตอนนั้น ผมเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ใหญ่โตอะไร เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นปลายแถว ที่พิการ ร่างกายไม่แข็งแรง มีขาลีบข้างหนึ่ง เดินอย่างคนปกติไม่ได้ เรียกว่าเดินแทบจะไม่ได้มากกว่า อายุผมตอนนั้นประมาณ ๑๗ - ๑๘ อยู่ในวัง (บ้านทรงฝรั่งผสมไทยที่ใหญ่มากๆ แบบคฤหาส) ห้องที่ผมอยู่เป็นห้องใต้บันได เหตุที่ต้องอยู่ในห้องใต้บันใด ไม่ได้อยู่ในห้องนอนทั่วไป ก็เพราะว่าครอบครัวของผมรังเกียจไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีผมอาศัยอยู่ในวังด้วยนั่นเอง...

วันนั้นเป็นตอนกลางคืน มืดแล้ว สภาพการณ์ในตอนนั้น มันไม่ได้ปกติ แต่เป็นช่วงที่เกิดสงคราม ผมได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม ได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวาย ได้ยินเสียงหวอ เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงเครื่องบิน ดังทั่วไปหมด และผมได้ยินเสียงบ่าวไพร่ที่แต่งตัวแบบนุ่งกระโจมอกใส่ผ้าแบบผ้าจูงกระเบนกำลังวิ่งขึ้น-วิ่งลงบันไดขนของหนีตายกันจ้าละหวั่น...

ผมในตอนนั้น นอนอยู่บนเตียงในห้องนอน ก็รู้ว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้น ได้พยายามส่งเสียงร้องเรียกให้คนช่วยพาผมออกไปจากห้อง พาผมหนีไปด้วย แต่เรียกเท่าไร ก็ดูเหมือนไม่มีใครได้ยิน หรือสนใจผมเลย ผมจึงได้พยายามตะเกียดตะกายลงจากเตียง และได้พยายามคลานไปเปิดประตูออกมาจากห้อง พอออกจากห้องได้ ก็ได้พยายามลุกขึ้นกระเพกออกมาจนมาถึงหน้าประตู...

พอออกมาถึงหน้าประตูวัง ภาพที่ผมเห็นเป็นภาพของคนในวัง บ่าวไพร่นอนตายกันหลายคน มีเกวียน มีรถจอทิ้งเอาไว้ มีหลุมที่เกิดจากแรงระเบิด ผมค่อยๆ กระเพกอย่างเร่งรีบ แต่ไปได้ทีละนิด ลงจากบันไดประตู ลงมาที่พื้น เพื่อจะหนีตายออกไปจากวัง ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงเครื่องบิน บินเหนือศรีษะของผมไปหลายลำ และเครื่องบินลำหนึ่งก็ได้ทิ้งระเบิดลงมาลูกหนึ่งเสียงดัง "ตูม!!!" แต่ไม่โดนผม แต่ว่าห่างจากผมไปไม่ไกลนัก ผมกลัวตายอย่างมาก พยายามกระเพกหนีตายอย่างสุดแรงเกิดไปอีกทาง เพื่อให้ไกลจากจุดทิ้งระเบิด พยายามเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกันนั้นเองขณะที่ผมพยายามเดินอยู่ ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินบินมาอีก แล้วก็ทิ้งลูกระเบิดมาอีก ทีนี้ลูกระเบิดลงมาที่พื้นข้างๆ ตัวผมเลย เสียงดัง "ตูม!!!" ผมได้โดนแรงระเบิดนั้น แล้วผมก็ตาย...

หลังจากนั้นเมื่อผมโดนระเบิด ก็ได้มีแสงสว่างสีขาวอย่างเดิมเจิดจ้าหาประมาณไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีขาวเป็นแสงสว่างไปทั้งหมด เพียงชั่วขณะหนึ่ง เมื่อสิ้นแสงสว่างนั้น ภาพก็ได้ปรากฏขึ้น...

ระลึกชาติที่ ๔ คนเดินข้างถนน
= = = = = = = = = = = = = = =

ภาพที่ปรากฏขึ้น คือ ตัวผมในอดีตต่อมา ซึ่งเพราะเหตุใดไม่ทราบได้ แต่รู้ว่านั่นแหละคือผมในอดีตในกาลต่อมา ตอนนั้น ผมเป็นคนธรรมดา กำลังเดินถือของอยู่ข้างถนน กำลังจะไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เวลาในตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน อากาศร้อนอบอ้าว ถนนที่ผมเดินอยู่เริ่มมีลาดยางแล้ว เริ่มมีการสร้างถนนหนทางเทสูงจากพื้นได้แล้ว และตอนนั้นผมไม่ได้เดินมาคนเดียว มีคนรับใช้อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงโผกผ้าขาวม้าคลุมหัวไว้เดินมาเป็นเพื่อนผม ช่วยผมถือของตามมาด้วย เราเดินกันไปข้างถนนไม่นานนัก จนกระทั่งผมได้เห็นก้อนหินก้อนหนึ่งอยู่ริมถนน ผมจึงอยากจะนั่งพัก เลยบอกคนรับใช้ว่าเราจะหยุดพักที่นี่กันเสียหน่อย จึงได้วางข้าวของลง เพื่อจะนั่งพัก เมื่อผมเริ่มหย่อนก้นนั่งลงไปเพื่อจะพักเท่านั้นเอง....

ก็ได้มีแสงสว่างสีขาวอย่างเดิมเจิดจ้าหาประมาณไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีขาวเป็นแสงสว่างไปทั้งหมด เพียงชั่วขณะหนึ่ง เมื่อสิ้นแสงสว่างนั้น ภาพก็ได้ปรากฏขึ้น...

ระลึกชาติที่ ๕ หรืออะไรกันแน่? : พระสงฆ์
= = = = = = = = = = = = = = = = = = =

ภาพที่ปรากฏขึ้น คือ ผมเป็นพระสงฆ์ นั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง ขนาดใหญ่และสูงพอสมควร กลางป่าโปร่งอันเงียบสงบของชนบทแห่งหนึ่ง มีต้นยูคาลิบตัสอยู่ทั่วไป ข้างๆ ตัวผมลงไปนิดหนึ่งบนก้อนหินมีสามเณรรูปหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนข้างหน้า มีญาติโยม ทั้งชาย หญิง วัยชรา วัยกลางคนฯ ประมาณ ๒๐ - ๓๐ คนกำลังนั่งพนมมืออยู่อย่างตั้งใจฟัง แล้วจากนั้นผมได้พูดขึ้นมาว่า "นี่แหละ ที่เล่ามาทั้งหมด คือ อดีตชาติของอาตมา"....

ทันใดนั่นเอง ก็ได้มีแสงสว่างสีขาวอย่างเดิมเจิดจ้าหาประมาณไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีขาวเป็นแสงสว่างไปทั้งหมด เพียงชั่วขณะหนึ่ง เมื่อสิ้นแสงสว่างนั้น คราวนี้ไม่ได้มีภาพใดๆ ปรากฏอีก แต่เป็นว่าสมาธิของผมค่อยๆ ถอนออกมาเอง จนกระทั่งสู่สภาวะปกติธรรมดา ผมได้ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นมานั่ง และคิดพิจารณาทบทวน หาว่าเหตุการณ์ที่ปรากฏนั้นคืออะไร เป็นความฝันหรืออย่างไรกันแน่ด้วยความแปลกใจ...

ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ผมรู้แน่ชัดว่า คงจะไปปรึกษา หรือเล่าให้ใครฟังคงจะไม่ได้ คงจะไม่มีใครเชื่อ เพราะเนื่องจากแถวที่ผมอยู่เท่าที่รู้ไม่ได้มีใครปฏิบัติธรรม ไม่ได้ใกล้วัด และอีกอย่างหนึ่งเคยมีประสบการณ์ในการเล่าเรื่องประสบการณ์สมาธิกับคนอื่นมาแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ กลับเห็นเป็นเรื่องตลก หรือเพี้ยนๆ จึงคิดว่าไม่เล่าให้ใครฟังดีกว่า เรื่องนี้มันเป็นปัตจัตตัง และเห็นว่าคงเป็นความฝันก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งไม่ได้คิดเช่นนั้น จึงได้เก็บเรื่องนี้เอาไว้ ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเดิมต่อไป แต่ความทรงจำเรื่องเหล่านี้ยังคงตราตรึง จำได้จนกระทั่งทุกวันนี้...

หลายปีต่อมาเมื่อได้ศึกษาเพิ่มมากขึ้น ได้รู้จักพระไตรปิฏก อ่านพระไตรปิฏก บวกกับได้มีประสบการณ์การปฏิบัติ ได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้า และสมเด็จพุทธาจารย์โตพรหมรังษี จึงได้รู้ว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้น น่าจะเป็น "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ การระลึกชาติ" จากกำลังของสมาธิ เพราะเมื่อพินิจพิเคราะห์เทียบเคียงสภาวะแล้ว ตรงกัน และมันแตกต่างจากการฟุ้งซ่าน จากการฝัน เพราะฟุ้งซ่านเราก็ผ่านการเคยฟุ้งซ่านมาแล้ว นิมิตหลอกเราก็เคยเจอมาแล้ว การฝัน เราก็เคยฝันมาแล้วเช่นเดียวกัน แต่นี่เราเห็นว่าเราเป็นใคร กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน และตายอย่างไร และทุกๆ เรื่องยังมีแสงสว่างคั่นกลางเป็นฉากๆ อีก ซึ่งแปลกมาก เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน จึงไม่น่าจะใช่การฝัน หรือความฟุ้งซ่านอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงสรุปเบื้องต้นเอาด้วยปัญญาของตนเอง ที่รู้ได้เฉพาะตนว่าเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ในครั้งนั้น คือ "การระลึกชาติ" ย้อนกลับไปหลายๆ ชาตินั่นเอง ซึ่งการระลึกชาติแต่ละบุคคลจะได้มากน้อย ไม่เท่ากัน เห็นรายละเอียดก็แตกต่างกัน บางคนได้ชาติเดียว บางคนได้หลายๆ ชาติ บางคนระลึกรายละเอียดได้มากมาย บางคนระลึกรายละเอียดได้นิดหน่อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบารมี และกำลังสมาธิที่มีและเคยได้สั่งสมมาไม่เท่ากัน แต่ถึงกระนั้น ยังมีแปลกกันอยู่ที่ว่า ชาติสุดท้ายในใจยังไม่อาจสรุปว่า เป็นอดีตชาติจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นอนาคตชาตินี้หรือชาติหน้า หรือเป็นอะไรกันแน่? ตราบจนทุกวันนี้...

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
เฉียดตาย...แค่เอื้อมมือ!!!
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติในครั้งนั้นได้ผ่านพ้นไป จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมกลับมาจากที่ทำงาน รู้สึกเหนื่อยมาก จึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้า และกะว่านอนเล่นสักหน่อย แล้วก็ได้เผลอหลับไป ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่เสื้อ ไฟในห้องเปิดเอาไว้ ในขณะที่ผมเผลอนอนหลับไปอยู่นั่นเอง ได้มีความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาทำให้ผมตื่นขึ้น พอผมมีความรู้สึกตัวตื่นขึ้นแต่ยังไม่ได้ลุก ก็ได้มีความรู้สึกต่อเนื่องไปอีกว่ามีอะไรบางอย่างมาขยุกๆ อยู่บนหลังผม (ตอนนั้นผมนอนคว่ำอยู่) ผมจึงได้รีบลุกขึ้น เมื่อลุกขึ้น สิ่งที่ผมเห็น สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกขยุกๆ ที่กลางหลังก็ได้หล่นลงมา สิ่งที่ตกลงมาไม่ใช่อะไร แต่มันคือ "ตะขาบตัวใหญ่" ตัวหนึ่งนั่นเอง...

"ตะขาบ" ตัวนั้น ผมเห็นมันได้อย่างชัดเจน ตัวมันยาวประมาณ ๔ - ๕ นิ้วเห็นจะได้ เรียกว่าตัวใหญ่มาก มันคลานอย่างรวดเร็วมาทางผม ผมตอนนั้น มีความตกใจขึ้นมา แต่ไม่ถึงกับกลัว และในใจก็รู้ได้ว่ามีความตกใจเกิดขึ้นไปพร้อมกันโดยไม่ได้มีการกำหนดชื่อ ไม่ได้กำหนดคำพูดใดๆ มีเพียงแต่รู้สภาวะปรมัตถ์เท่านั้นว่ามีความตกใจได้เกิดขึ้น สภาวะทุกอย่างนี้มันเป็นไปอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่องจากนั้นผมจึงได้รีบหยิบไม้กวาดที่อยู่ไม่ไกลตัวผมนัก กวาดไล่ต้อนตะขาบตัวนั้น ไปข้างหลังห้อง เมื่อไปถึงหลังห้อง ผมได้เปิดประตูหลังห้อง แล้วเดินออกไปนิดหนึ่งเพียงพ้นประตู ใช้ไม้กวาดไล่มันให้เข้าไปในทุ่งหญ้าที่อยู่ข้างหลังห้อง...

พอผมกวาดไล่ตะขาบเสร็จ เพียงแป๊บเดียว ไม่นานเลย ผมก็กลับเข้ามาในห้อง และจะปิดประตู พอเริ่มปิดประตู ผมได้มีความรู้สึกว่า ประตูมันติดอะไรบางอย่างปิดไม่เข้า ผมได้ลองปิดซ้ำอีกที ก็ปิดไม่เข้าผมรู้สึกว่ามันติดอะไรแบบตืดๆ หนืดๆ นิ่มๆ หยุ่นๆ จึงได้คิดว่าอะไรนะทำให้ประตูปิดไม่เข้า คิดจะดูและเอาออกไป จึงได้เปิดประตูให้กว้างขึ้น ปรากฏว่าสิ่งที่ทำให้ประตูปิดไม่เข้า ได้หล่นลงมาที่พื้น มันไม่ใช่อะไรอื่นเลย แต่มันคือ "งูเห่าตัวหนึ่ง"นั่นเอง....

"งูเห่า" ตัวนั้น มันอยู่ที่ซอกประตู ในช่องว่างระหว่างที่พับประตู มันคงเข้ามาอยู่ตอนที่ผมเปิดออกไปเพื่อไล่ตะขาบ ชั่วเวลาแป๊บเดียวนั่นเอง พองูเห่าตัวนั้นตกลงมาที่พื้น มันก็แผ่แม่เบี้ย ขึ้นในฉับพลัน พอผมเห็นเท่านั้น ก็เกิดความตกใจอย่างแรง และต่อจากนั้น "สติก็ดีดดังตึ้ง!!!" ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนั้นสติมันดีดแรงจริงๆ มันเป็นสภาวะที่รู้ได้ด้วยใจเป็นปัจจัตตังจริงๆ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเหมือนกับเวลาได้หยุดลงชั่วขณะ ผมกับงูเห่าที่กำลังแผ่แม่เบี้ยประจันหน้ากัน ตาต่อตาประสานกัน เราทั้งสองห่างกันไม่ถึงเมตร แค่เอื้อมมือถึง...

ต่อเนื่องกันนั่นเองกายยังคงไม่เกิดความรู้สึกใดๆ ในใจพลันเกิดปัญญาขึ้นมาก่อนว่า "เราต้องตายแน่นอน" หลังจากนั้นต่อเนื่องกัน ความรู้สึกตกใจใดๆ ที่มีอยู่มันพลันหายไปจนหมด มีแต่ความรู้สึกว่างโล่งขึ้นมาชั่วขณะทุกอย่างนี้มันเป็นไปอย่างฉับไวมากๆ และต่อเนื่องกัน ใจก็ได้เกิดความ "เมตตา" งูตัวนั้นขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไม เพียงเสี้ยววินาทีที่จิตได้เริ่มเกิดความเมตตาขึ้นนั้นเอง งูตัวนั้น มันก็ไม่รู้เป็นอะไร มันกลับเปลี่ยนใจไม่ทำอะไรผมมันได้หดแม่เบี้ยและได้วกกลับออกไปข้างหลังห้อง และเลื้อยออกไปจากห้องของผม....

เมื่องูได้ไปแล้ว ร่างกายได้เริ่มทำงาน ผมได้รีบปิดประตู และทำใจกับเรื่องที่ได้ผ่านไปเมื่อครู่นี้ ได้นึกทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ว่ามันช่างเฉียดตายเอามากๆ จริงๆ ผมน่าจะไม่รอดจากการโดนงูเห่ากัดแล้ว เพราะไปทำให้มันเจ็บ (เพราะธรรมชาติของงูเห่าเมื่อมันเจ็บมันจะป้องกันตัว ตามสัญชาติญาณ) และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่ออย่างมากๆ อะไรมันจะช่างบังเอิญขนาดนั้น ที่มาเจออะไรเข้าอย่างนี้ถึงสองชั้น สองครั้งซ้อน ต่อเนื่องกันอย่างนี้...

เมื่อเวลาได้ผ่านไปเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ผมได้รู้ว่า ความเฉียดตายเพียงปลายนิ้วมันเป็นอย่างไร หากโดนตะขาบคงไม่เท่าไร แต่หากโดนงูกัดคงจะไม่มีใครช่วยผมได้ พาไปส่งโรงพยาบาลก็คงจะไม่ทันเพราะไกลกันมากๆ และรถราก็ไม่ค่อยมี เป็นตอนกลางคืนที่ใครๆ ก็ปิดห้องนอนกันหมดแล้ว

เรื่องนี้บางคนอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นเรื่องที่ธรรมดา แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นที่สำคัญมากครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นเครื่องชี้วัด เป็นตัววัดสิ่งที่ผมได้ปฏิบัติมาทั้งหมดตลอดเวลาประมาณ ๖ เดือนว่าปฏิบัติได้ก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหน? บังเกิดผลแค่ไหนเพียงไร? โดยไม่ต้องไปถามใครที่ไหนเลย.....

เท่าที่เล่ามาทั้งหมด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ได้ข้อคิดไม่มากก็น้อย และจะเป็นกำลังใจ นำไปเทียบเคียงกับการปฏิบัติของตน หรือปริยัติได้ไม่มากก็น้อยครับ

ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอันมีค่า ติดตามอ่านจนถึงตอนนี้ ประสบการณ์ปฏิบัติช่วงที่อยู่เขาคลุงขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ครับ ไว้มีอะไรดีๆ เป็นประโยชน์ จะอัพเดตข้อมูลมาให้อ่านกันใหม่ครับ

ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านทุกคนเทอญ



Create Date : 11 มกราคม 2553
Last Update : 11 มกราคม 2553 18:58:25 น.
Counter : 1161 Pageviews.

7 comments
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 32 : กะว่าก๋า
(10 เม.ย. 2567 06:04:44 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 31 : กะว่าก๋า
(9 เม.ย. 2567 05:58:44 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 29 : กะว่าก๋า
(6 เม.ย. 2567 05:12:09 น.)
  
สุขสันต์วันจันทร์อันแสนผ่อนคลายนะค้าบ
โดย: ผมชอบกินข้าวมันไก่ วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:19:11:25 น.
  
แจ่มดีครับ ชอบๆ
โดย: โบ้ท IP: 58.136.51.29 วันที่: 12 มกราคม 2553 เวลา:9:49:50 น.
  
มาแล้ว ขอบคุณครับ
โดย: mookab IP: 118.173.193.64 วันที่: 12 มกราคม 2553 เวลา:16:08:04 น.
  
สาธุ...

สาธุ...

สาธุ...

คุณปฏิบัติธรรมได้ดีมากๆนะครับ ผมเชื่อว่าคุณได้เห็นอดีตชาติจริง เพราะว่า บุญบารมีเก่าที่คุณทำมาดีแล้วมาส่งผลในปัจจุบัน ซึ่งคุณน่าจะทำต่อไปนะครับ ให้ยิ่งๆขึ้นไป สร้างบุญบารมีให้ต่อเนื่องยิ่งๆขึ้นไป ซึ่งบุญบารมีที่สะสมจนเต็มเปี่ยมแล้วจะทำให้คุณบรรลุธรรมได้โดยง่ายเลยนะครับ

การที่คุณระลึกชาติได้ง่าย ก็เพราะว่าคุณเคยทำได้ในอดีตนะครับ เป็นบุญเก่านะครับ ก็ขอให้คุณมั่นฝึกฝนปฏิบัติธรรมกันต่อไปนะครับ อย่าทิ้งนะครับ ให้ทำต่อไป เดียวจะมีอะไรที่สนุกกว่านี้ให้เราเห็นแน่นอนครับ

เป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกันนะครับ

สาธุ...
โดย: กรรไกรรัตนะ IP: 118.173.195.64 วันที่: 15 มกราคม 2553 เวลา:13:46:53 น.
  
_/|\\_ _/|\\_ _/|\\_ สาธุค่ะ
โดย: Sweet_Jelato วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:23:48:21 น.
  
ขอบคุณครับสำหรับประสบการณ์

ตามที่อ่านผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นปิติ

หากเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ

แล้วจะกลับไปอ่านตอนก่อนหน้านี้ครับ

ธรรมะสวัสดีครับ

ฐิติวัฒน์

โดย: watt IP: 10.30.206.172, 203.146.104.42 วันที่: 29 ตุลาคม 2553 เวลา:16:01:12 น.
  
พอดีเปิดต่อมาจากการค้นหา โสฬสญาณ ซึ่งมีชื่อท่านปราโมทย์เขียนไว้ จึงตามต่อมาเจอบล็อกนี้ อยากจะถามว่าไม่ทราบว่าท่านปราโมทย์นี้ชื่อจริงคือใคร? ใช่หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช หรือไม่ครับ?

อนูโมทนาบุญด้วย ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แต่คงเป็นปัจจัตตังจริง ๆ นั่นแหล่ะ
ผมเคยมีแสงสว่างเกิดขึ้นแต่ไม่สามารถชัดเจนได้เช่นคุณ ขณะนั้นได้ปฏิบัติธรรมตามปกติไปได้สัก 30-45 นาที มีความคิดผุดขึ้นบ่อยมาก แต่ก็รู้ทันมากเช่นกัน รู้ไปรู้มา เราก็เริ่มเบื่อ และคิดเอาเองว่าคงไม่ก้าวหน้า จึงปรารถนาจะถอนการปฏิบัติ
ทันใดนั้นเองก็เกิดอาการแปลก ๆ คือมีคล้าย ๆ กลุ่มควัน หรือกลุ่มแกแลคซี่หมุนตามเข็มนาฬิกา รอบ ๆ หน้าเรา มีภาพตัดต่อ ๆ ไปหลาย ๆ shot จนหยุดนิ่งไป พร้อมเสียงคล้ายใครปิดสวิทซ์ไฟ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดไปหมด มีแต่แสงสว่างเกิดขึ้นต่อหน้าเรา แต่เราไม่มีความคิดใดใดผุดขึ้นมาอีกเลย สักระยะหนึ่งเราก็ถอนตัวออกมา ขณะนั้นมีความรู้สึกสุขอย่างประหลาด แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่พบเหตุการณ์นี้อีกเลย
ผมเชื่อในบุญกุศลของคุณที่ภาวนาได้ดีในระดับที่คงสามารถระลึกรู้ชาติเดิม ๆ ของตนเองได้ แต่เท่าที่ทราบมา มันก็ไม่ได้เป็นการแสดงความก้าวหน้าถึงการจะหลุดพ้นใดใด คงต้องเจริญวิปัสสนาให้มาก ส่วนสมถ หรือสมาธิ ก็ปฏิบัติไป ถือเป็นของเล่นอย่างหนึ่งติดตัวต่อไป
สาธุ
โดย: ชัยวัฒน์ IP: 182.53.99.196 วันที่: 17 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:44:06 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siratsapon.BlogGang.com

ศิรัสพล
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]