ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ๒ : ผจญโอปปาติกะ(ผีห้องเช่า) - ศิรัสพล

มาพบกันอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับผู้ที่ให้คอมเมนต์และให้กำลังใจครับ สำหรับคราวที่แล้ว ได้เล่าถึงประสบการณ์ ฌานสี่และทิพพโสต ในหัวข้อกระทู้ว่า "เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่...ประสบการณ์ฌานสี่ และทิพพโสต" (//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=siratsapon&month=11-2009&date=24&group=3&gblog=1) สำหรับคราวนี้ จะมาเล่า ประสบการณ์ที่พบเจอในการปฏิบัติธรรมต่อเนื่องกันไปเลย แต่ว่าต่างวาระกันนะครับ ซึ่งเรื่องนี้ เป็นเรื่องสบายๆ หน่อย และก็ขอเปลี่ยนชื่อกระทู้ใหม่ ให้ตรงกับจุดมุ่งหมายและเนื้อหามากขึ้นด้วยครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ออกจะเหลือเชื่อ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ครั้งหนึ่งในชีวิตการปฏิบัติธรรม และเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับชีวิตในภพภูมิอื่นจากตาเนื้อว่ามีอยู่จริงๆ ทำให้รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงมากเพียงไรในเรื่องโอปปาติกะ..เรื่องภพชาติ...(ไม่รู้ว่าจะใช้คำถูก หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นในที่นี้ขอใช้คำทั่วๆ ไปว่า "ผี" ก็แล้วกันนะครับ) เรื่องนี้อาจจะมีบางท่านเคยได้ยิน หรืออาจจะเคยเห็นผมเล่าผ่านทางรายการโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีมาแล้ว หากเป็นดังนั้นก็ขออภัยด้วยนะครับ คิดเสียว่าเป็นธรรมทานอีกครั้งหนึ่ง ที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติธรรม บ้างไม่มากก็น้อยครับ....

หลังจากที่ผมได้เรียนหนังสือจบระดับอนุปริญญา และได้เริ่มทำงานใหม่ๆ (ยังไม่ได้เรียนต่อครับ เพราะสมัยนั้นเป็นยุคฟองสบู่แตกไม่มีเงิน) ผมได้ขึ้นมาทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ ตอนนั้นผมได้มาเช่าห้องพักอยู่กับเพื่อนๆ ทีมพัฒนา โปรแกรมอีก 3 คน รวมผมด้วยเป็น 4 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด พวกเราอยู่กันที่หมู่บ้านนพดล สายสี่พุทธมณฑล ห้อง 108 ผมยังจำได้ดี ภายในห้องเช่านั้นเป็นห้องที่ไม่กว้างนัก และก็มีระเบียงที่เปิดประตูหลังออกไปเพื่อซักผ้า หรือตากผ้าได้ แล้วก็มีห้องน้ำในตัว อากาศไม่ค่อยถ่ายเท ตอนที่มาเช่าทุกคนก็ แปลกใจว่าทำไมราคาถูกจัง ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดราคาประมาณ ไม่เกิน 1500 บาท เรียกว่าถูกมากๆ ผมกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน ก็ได้เข้าไปอยู่ วันแรกๆ ก็ไม่มีอะไร ทุกคนก็ไปทำงานตามปกติ แล้วก็กลับจากทำงาน ทำภารกิจส่วนตัวของตนเองแล้วนอนไป ซึ่งผมก็นอนด้วย โดย ก่อนนอนก็จะสวดมนต์ แผ่เมตตา และที่ขาดไม่ได้คือ สวดมนต์บทชินบัญชร ทุกคนก็อยู่กันไปอย่างนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นประมาณไม่กี่วัน หลังจากนั้นความผิดปกติก็ได้เริ่มขึ้น

โดยกิจวัตรทุกเช้าผมจะต้องตื่นก่อนใครเพื่อนเพื่อมานั่งสมาธิก่อนที่ทุกๆ คนจะตื่นกัน ไม่เช่นนั้นจะนั่งสมาธิไม่ได้ จะหนวกหูครับ เพราะพวกเขาไม่ได้สนใจปฏิบัติธรรมกัน หรืออาจถึงขั้นเห็นว่าผู้สนใจปฏิบัติธรรมเป็นคนที่ทำอะไรแปลกๆ ที่คนเขาไม่ทำกัน ทีนี้ผมซึ่งเคยฝึกสมาธิอยู่บ่อยๆ ขณะที่เข้ามาเช่าห้องนี้เป็นครั้งแรก หรือขณะที่นั่งสมาธิ หรือสวดมนต์ จะมีความรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง มันสัมผัสได้ แต่ก็ไม่มั่นใจ ไม่ได้เอะใจอะไรเป็นพิเศษคิดว่า จิตเกิดความฟุ้งซ่านไปเองมากกว่า จึงพยายามละจิตหรือความคิดนั้นเสีย แต่พอหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน ตอนเย็นนั่นเองก็ได้เกิดเรื่องขึ้น คืนวันนั้นผมได้สวดมนต์แล้วนอนอย่างทุกที (เพราะตอนเย็นไม่ได้นั่งสมาธิครับ ไม่สามารถนั่งได้ แต่ละคนเขาจะมีกิจที่ต้องทำกัน จึงได้แต่นอนกำหนดลมหายใจเข้า-ออก) พอทุกคนรวมถึงผมด้วยก็หลับกันไป แล้วอยู่ๆ ก็มีความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาทำให้ตื่นขึ้น ผมก็ได้ลืมตาขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่แล้วหันมองไปรอบๆ ห้องว่าอะไรที่ทำให้ตื่นขึ้นมา แล้วก็ได้มองเห็นสิ่งที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรอยู่ข้างหลังห้อง...

ประตูที่อยู่หลังห้องเอาไว้สำหรับเปิดออกไปเพื่อซักผ้าและตากผ้า ทุกคนจะไม่ได้ปิดล็อกเอาไว้ แต่จะปิดพอให้มีช่องเหลือเอาไว้ประมาณ ฝ่ามือหนึ่ง เพื่อระบายอากาศ ผมได้มองเห็นคล้ายๆ เงาของคนตัวดำๆ และมีดวงตาขาวโพลงกำลังจ้องมาที่พวกผม ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้รู้สึกกลัวมาก แต่ไม่แน่ ใจว่าคืออะไร ก็พยายามตั้งสติ แล้วพินิจวิเคราะห์ในใจว่าคืออะไรกันแน่ เป็นโจรก็คงไม่ใช่เพราะว่าบริเวณที่ออกไปซักผ้านั้นล้อมรอบไปด้วยรั้วเหล็กจึงไม่น่าที่จะเป็นขโมยไปได้ ถ้าอย่างนั้นแน่นอนต้องไม่ใช่คน ผมจึงรู้แล้วว่าเป็น "ผี" แน่นอน ระหว่างนั้นเองสิ่งที่เรียกว่าผี ได้จับจ้อง เขม็งมองตรงมาที่ผมแทนที่จะเป็นคนอื่น เพราะคงจะเห็นว่าผมมองเขาอยู่ ผมจึงได้รีบหลับตาไม่กล้ามองอีก ในใจกลัวอย่างบอกไม่ถูก เพราะเกิดมาไม่เคยพบเจอผีด้วยตาเนื้อเลย ในใจคิดแต่เพียงว่าให้ไปเร็วๆ สักที ผมหลับตาอยู่อย่างนั้น นานเท่าใดไม่ทราบได้ จนกระทั่งผมได้เผลอหลับไปอีกครั้ง มารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนเช้าแล้ว

พอมาตอนเช้าผมก็ยังไม่ได้เล่าให้กับใครสักคนได้ฟังเลย เพราะคิดว่าคงจะไม่มีใครเชื่อ แต่เช้าวันนั้นผมก็ไม่ได้ลุกขึ้นมานั่งสมาธิเหมือนกับทุกที อาจเพราะจิตตกจากเรื่องเมื่อคืน จึงรอให้ทุกคนอาบน้ำเสร็จก่อน จึงได้อาบตามแล้วก็ไปทำงานเลย

พอตกเย็นวันนั้น ผมก็กลับมาถึงห้อง ทุกคนกลับมาถึงห้อง โดยภายในใจก็ยังรู้สึกกลัวๆ อยู่แต่พยายามข่มใจ พยายามคิดในแง่ดีว่าเราอาจจะตาฝาดไปเอง ฝันไปเองก็เป็นได้ พอก่อนนอนสักเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ผมก็ได้สวดมนต์ตามปกติแล้วก็นอนก่อนใครเพื่อน ขณะที่คนอื่นๆ ยังไม่ ได้นอนยังเปิดไฟ เพื่อนผมคนหนึ่งยังเล่นกีต้าอยู่ข้างๆ ตัวผมเลย และขณะที่ผมเพิ่มเริ่มเคลิ้มหลับไปได้สักพักหนึ่งก็ได้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องบังเกิดขึ้น นั้นก็คือ ผมมีความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาทับร่างของผมไม่ให้ผมสามารถขยับตัว เคลื่อนไหวได้ รู้สึกอึดอัด ผมได้พยายามลืมตา ขึ้นมา ซึ่งก็ยากมาก แต่ก็สามารถลืมตาขึ้นมาจนได้ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรที่มาทับร่างผม ผมเห็นแต่เพียงเพื่อนๆ นั่งดีดกีต้าอยู่ข้างๆ ตัวอยู่อย่างเดิม ผมพยายามที่จะเอื้อมมือไปสะกิดตัวเพื่อนให้ช่วยผมที แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จะพยายามร้องออกเสียงให้เพื่อนช่วยก็ไม่สามารถทำส่งเสียงได้ ณ ขณะนั้นเองผมก็เห็นเพื่อนๆ ของผม ได้มองผมแบบแปลกๆ คงจะคิดว่าผมเป็นอะไร แต่ผมก็ไม่รุ้ว่าจะบอกอย่างไร จึงพยายามตั้งสติ ตอนนั้นรู้แล้วว่าถูกผีอำเป็นแน่ ผมได้หลับตาลงกำหนดสมาธิแล้วก็ได้สวดมนต์ชินบัญชร แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าสักพักเดียวอาการที่ถูกผีอำนั้นก็หายไป พร้อมกับผมก็อ่อนเพลียมากจนหลับไปตอนไหนไม่ทราบได้เช่นเดียวกัน มารู้สึกตัวอีกทีก็ในตอนเช้า จึงได้รีบอาบน้ำไปทำงาน

เช้าวันนั้นผมจึงได้เล่าให้กับทุกๆ คนฟังว่าผมได้เจออะไรมาบ้าง และเพื่อนของผมก็เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ผมก็พยายามจะพูดให้เชื่อ เขาก็เรื่มเชื่อ แล้วก็บอกผมว่าเห็นผมตาเหลือกเมื่อวาน คิดว่าเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ พวกเราจึงได้คิดว่าจะไปไหว้ศาลเจ้าที่กัน เพราะคิด ว่าทุกคนไม่ได้ไหว้ศาลเจ้าที่แล้วเข้าไปอยู่เป็นแน่ จึงเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น (ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นธรรมดาเพราะผู้ชายหมดเลย แล้วก็ทำงานด้านคอมพิวเตอร์ด้วย จึงคิดว่าเรื่องพวกนี้ไม่น่าจะเป็นจริงได้) แต่เพื่อความสบายใจก็ได้ไปไหว้ แต่ก็หาศาลเจ้าที่ไม่เจอ จึงไม่ได้ไหว้ แต่ก็ แปลกใจที่ไม่มีใครเลย ได้ไปถามคนอื่นที่อยู่ข้างๆ ที่พักว่าศาลเจ้าที่อยู่ที่ไหน หรือว่ามีอะไรในห้องกันแน่

พวกเราจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงได้ทำภารกิจของตนเองแล้วก็เตรียมนอนกันตามปกติ แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวหมดโปรเจ็กต์งาน พวกเราก็จะย้ายออก ซึ่งก็อีกวันสองวันเอง คืนนั้นขณะที่ผมสวดมนต์เสร็จ กำหนดจิตดูลมหายใจเรื่อยไปจนกระทั่งหลับ ก็มีเหตุการณ์อีก เหมือนกับมีอะไรบางอย่างมาทำให้ตื่นขึ้นกลางดึกอีกแล้ว ผมจึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมา ซึ่งมันเป็นไปโดยอัตโนมัติเวลาที่มีอะไรมาปลุกให้ตื่น ไม่ตื่นไม่ได้ มันตื่นของมันเอง พอลืมตาตื่นขึ้นมา ทีนี้ จังๆ เลยครับ จะๆ สิ่งที่คิดว่าตาฝาด ไม่ใช่ตาฝาดอีกแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เราเรียกกันว่า "ผี" หรือจะเรียกอย่างอื่นก็แล้วแต่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าเป็นชีวิตหลังความตายในภพภูมิอื่น มีอยู่จริงๆ และมันนั้นได้มาปรากฏตรงปลายเท้าของผม ผมยังจำได้ไม่มีวันลืม ท่ามกลางความมืดที่พอมองเห็น มีรูปร่างของผีตนนั้นเป็นคล้ายกับกลุ่มของพลังงาน หรือเมฆหมอกสีดำสนิท ดำทมึน รวมตัวกันเป็นรูปร่างเหมือนกับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ประมาณ 2 เมตรเห็นจะได้ ยืนเอียงข้างอยู่ สิ่งที่มองเห็นได้ชัดที่สุดก็คือดวงตาของผีตนนั้นนั่นเอง ที่เหมือนกับตาของคนแต่ ใหญ่กว่ามากเท่าไข่ไก่ได้ สีขาวโพลง มีตาในสีดำน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ผีตนนั้นได้หันหน้ามาจ้องเขม็งตรงมาที่ผมโดยเฉพาะ ตาต่อตาประสานกัน ดวงตาเหมือนกับอาฆาตผมมาแต่ชาติไหน ผมเห็นดังนั้นรู้แน่ชัดแล้วว่าโดนผีหลอกอีกแล้ว เราจ้องกันคิดว่าไม่นานมาก แต่เหมือนตอนที่จ้องกัน เวลาได้หยุดลงเลย ผมจึงได้หลับตาด้วยความกลัวอย่างมาก เรียกว่าสติแทบแตก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัวก็ว่าได้ (ใครไม่เจอแบบนี้ก็คงไม่รู้) ตอนนั้นผมเองยังด้อยประสบการณ์ ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร จึงได้แต่หลับตาอย่างเดียว หลับตาไปอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผมหมดสติไป มารู้สึกตัวอีกทีก็เพื่อนๆ เรียกให้ลุกขึ้นอาบน้ำแล้วไปทำงาน

ในวันนั้นเองผมก็ได้เล่าให้กับเพื่อนของผมฟังอีกว่าอะไรได้เกิดขึ้นเมื่อคืนบ้าง ทุกคนก็ต่างมองหน้ากัน แล้วก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ผี" แน่นอน แต่ก็พยายามบอกผมไม่ให้คิดมาก เพราะว่าเราก็จะย้ายกันแล้ว พอตกเย็นวันนั้น พวกเราก็มาเตรียมตัวกันจะย้ายออกเพราะหมดโป รเจ็กต์งานพอดี ในคืนนั้นผมก็นอน แต่ไม่มีอะไร ก็คิดว่าทุกอย่างคงจะจบลงแล้ว เพราะผีคงจะรู้ว่าเราจะย้ายออกไป แต่ที่ไหนได้....

เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนเตรียมของเรียบร้อย แล้วก็คิดว่าเย็นนี้กลับมาก็จะขนของออกเลย จึงได้ไปทำงานกันก่อน แต่แล้วขณะที่ทุกคนนั่งรถเบียดเสียดกันไปสี่คน ในรถมาสด้า แฟมิลี่ สีแดง ขณะที่ขับผ่านหน้า "ตลาดมาลี" ซึ่งเป็นย่านที่คนพลุกพล่าน แต่ช่วงนั้นก็จัดว่า ไม่ค่อยมีคนเท่าไรเพราะยังเช้าอยู่ ผมก็ได้มองเห็นคนหลายๆ คนข้ามถนนกัน ซึ่งในนั้นผมได้เห็นผู้หญิงสองคนได้วิ่งข้ามถนนไปแล้ว เป็นคนสุดท้ายของกลุ่มคนที่ข้าม และก็เห็นอีกเช่นเดียวกัน ว่าอยู่ดีๆ ผู้หญิงคนหนึ่งในสองคนนั้นกลับวิ่งกลับมากลางถนน ขวางถนน พอดี กับที่รถของพวกเรามาถึง จึงได้ชนเข้าอย่างจัง เสียงกรีดร้องของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์จึงได้ดังระงมไปทั่ว...

ขณะที่เพื่อนๆ ได้เหมือนกับตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันอยู่นั้นเอง ผมซึ่งได้เห็นเหตุการณ์อยู่ตลอดโดยไม่รู้ทำไมเหมือนกัน มันเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ลงไปจากรถเพื่อไปอุ้มผู้หญิงคนนั้นขึ้น เพื่อนๆ คนอื่นจึงได้ตามลงมาแล้วรีบนำตัวผู้หญิงคนนั้นไปส่งโรงพยาบาล โดยขณะที่ผมเข้าไปจะอุ้มเธอนั้น สายตาของเธอไม่ได้สลบไป ไม่ได้หลับตา กลับลืมตาโพลงจ้องเขม็งมาที่พวกผม ราวกับว่าโกรธแค้นพวกผมมาก ทุกคนต่างๆ ไม่พูดอะไร เพราะเหตุการณ์เป็นไปอย่างฉุกละหุก ได้รีบพาตัวเธอไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งโรงพยาบาลที่ไปส่งนั้นก็คือ โรงพยาบาลพุทธมณฑล ...

พอทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ได้พาผู้หญิงมาที่ห้องพักผู้ป่วย ผู้หญิงคนนั้นซีโครงหัก และกระดูกสะโพกร้าว พวกเราจึงได้ถามผู้หญิงคนนั้น หลังจากที่ได้สติแล้ว ว่าทำไมถึงวิ่งกลับมา ทั้งๆ ที่ข้ามไปแล้ว เธอก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พวกเราจึงได้คิดกันว่าอาจจะเป็น เพราะผีหรือเปล่า แต่ไม่ค่อยกล้าลงความเห็นกัน พอเสร็จธุระที่โรงพยาบาล ทุกคนก็จึงมาย้ายของออกจากห้องเช่าหมายเลข 108 กันก่อนกำหนด โดยยังคงทิ้งปริศนาที่ยังไม่ได้ไขให้กระจ่างหลายประการเอาไว้ภายในห้องนั้น ซึ่งแน่นอนล่ะที่พวกเราไม่อยากกลับไปไขปริศนา หรือไม่อยากให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเรา และผมอีกเลย...

เรื่องที่เล่าไปนี้เป็นอุทาหรณ์ประการหนึ่ง และเป็นประสบการณ์ทางธรรมที่สำคัญมากครั้งหนึ่ง เป็นบทพิสูจน์ที่ปรากฏชัดให้รู้ว่า เราในตอนนั้นก้าวหน้าแค่ไหน และทำให้รู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ว่าชีวิตหลังความตาย โลกอื่นนอกจากโลกนี้มีอยู่จริงเป็นแน่แท้ ผู้ที่เจอกับตัวย่อมรู้ดี แต่ผู้ที่ยังไม่เจอกับตนเองก็อาจไม่มีทางเชื่อ หรือยังไม่อาจจะละความสงสัยในเรื่องนี้ได้อย่างสนิทใจ แต่ขอให้รู้ไว้เถอะว่า ที่เล่ามาทั้งหมดไม่ได้โกหก สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรม ไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดศาสนา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใดก็ตามสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่...แม้คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นขอให้เราหมั่นละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส จะได้ตายไปอย่างไม่เสียชาติเกิด หรือมาเสียใจในภายหลัง ครับ

จบแล้วครับ หวังว่าคงจะได้รับประโยชน์และข้อคิดบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ พบกันในโอกาสต่อไปครับ

ขอให้เจริญในธรรม



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 9:56:57 น.
Counter : 626 Pageviews.

4 comments
สุขสันต์วันปีใหม่ไทย ๒๕๖๗ haiku
(13 เม.ย. 2567 10:13:33 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 35 : กะว่าก๋า
(13 เม.ย. 2567 05:51:40 น.)
อยาก อยากได้ กฎที่ถูกที่ดี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 05:37:27 น.)
สักกายทิฐิ **mp5**
(8 เม.ย. 2567 11:07:04 น.)
  
น่าสนใจดีค่ะ

เชื่อค่ะ ว่าเป็นจริงดังที่คุณเล่า
เพราะว่าน้องสาวและลูกสาว ก็เคยเจออะไรที่คนส่วนใหญ่เรียกกัน ว่า ผี มาแล้ว
เจอแบบไม่ต้องรอเวลาให้มืดค่ำอีกต่างหาก

แต่ก็มีทั้งที่น่ากลัว แม้ไม่ได้มาทำอะไรร้ายๆ แค่น่ากลัวไปหน่อยตรงที่ดูแล้วรู้ว่าไม่ใช่คนแน่ ถึงจะมาให้เห็นเฉยๆ ก็ยังคงทำให้เสียวสยองพอควร
และมีทั้งที่ดี คือมาเตือน หรือเหมือนมาเล่นด้วยเฉยๆ

ไม่ได้มีแต่ที่น่ากลัวหรือให้โทษไปซะหมด

ปกติ ทำบุญเมื่อไหร่ ก็อุทิศส่วนกุศลให้ผีบ้านผีเรือน พระภูมิเจ้าที่อยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงค่อนข้างจะเป็นมิตรกัน
ถึงรู้ว่ามี ก็ไม่กลัว

ถ้าเป็นที่อื่นๆ ที่ไม่รู้จัก จะค่อนข้างกลัวทีเดียว
เพราะไม่รู้จัก ไม่รู้ใจกันนั่นละค่ะ
แถมยังไม่รู้ด้วยว่าเขาตายด้วยเหตุใด อยู่ในภาวะอารมณ์ตกค้างอย่างไร
มันก็เลยกลัวเป็นธรรมดา

ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ที่น่าสนใจทุกๆ เรื่องเลยนะคะ
โดย: วันศุกร์ IP: 125.25.111.139 วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:12:48:22 น.
  
ขอบคุณคุณศุกร์มากครับ ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันประสบการณ์
โดย: ศิรัสพล วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:9:36:03 น.
  
ผมก็เคยนะโดนผีอำนะ ตอนแรกๆนะนอนไม่ได้เลย
แต่ทุกวันนี้ชินแล้ว ผมโดนบ่อยไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไรนะ
ไปที่นอนที่ไหนโดนทุกที
โดย: embe IP: 180.183.67.25 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:15:28:58 น.
  
ขอบคุณ embe มากครับ ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ
โดย: ศิรัสพล วันที่: 17 ธันวาคม 2552 เวลา:16:13:57 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siratsapon.BlogGang.com

ศิรัสพล
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]