ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ๑ : เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่...ประสบการณ์ฌานสี่ และทิพพโสต - ศิรัสพล
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ปรารถถึงเพื่อนทางธรรมท่านหนึ่ง ได้ถามคำถามรวมถึงบอกให้เล่าถึงประสบการณ์การปฏิบัติธรรมที่พอจะผ่านมา ในตอนแรกพิจารณาเห็นว่าไม่ควรเล่า ต่อมาหลังจากสนทนากันก็เห็นว่ามีเพื่อนกัลยาณมิตรท่านอื่น ก็นำประสบการณ์การปฏิบัติมาเล่าเป็นธรรมทานกัน จึงเห็นว่าน่าจะนำมาเล่าบ้าง คงจะพอเป็นธรรมทานได้....

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะครับ ที่เขียนให้อ่านต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมเคยเป็นมา ไม่มีเจตนาจะโอ้อวด ยกตนข่มท่าน เพราะเนื่องจากไม่มีอะไรพิเศษจะอวดอยู่แล้ว แต่เพียงเพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้ปฏิบัติ หรือให้เป็นกำลังใจแก่ผู้ที่กำลังฝึก และเพื่อเป็นความรู้นำไปเปรียบเทียบกับในพระไตรปิฏก เทียบเคียงกับประสบการณ์ของผู้รู้ท่านอื่น ว่าการเข้าฌานเป็นอย่างไร มีจริงหรือไม่ คิดเสียว่าเป็นการเล่าสู่ให้ฟังแบบเป็นเรื่องเป็นราวก็แล้วกันนะครับ...

เมื่อก่อนผมฝึกปฏิบัติอยู่ที่บ้านเกิด จังหวัดราชบุรี บ้านของผมอยู่ใกล้กับวัด และอยู่ใกล้แม่น้ำ ซึ่งเป็นสถานที่เงียบสงบ สมควรแก่การปฏิบัติธรรม ตอนนั้นผมยังมิได้ไปสมัครในสำนักใด ไม่ได้รู้จักพระไตรปิฏกแต่อย่างไร เพียงแค่รู้จักการฝึกสมาธิ คือ การภาวนาด้วย "พุท-โธ" จากหนังสือใบ้หวยมุมธรรมะ ของแม่กระผม...

ผมเริ่มฝึกด้วยคำภาวนานี้ในทุกวันเช้าและเย็นช่วงละครึ่งชั่วโมง ซึ่งด้วยความรู้ที่มีเพียงน้อยนิด พร้อมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ คิดแต่เพียงว่าให้จิตใจของผมสงบ ใช้เรียนหนังสือได้ดีเท่านั้น ไม่ได้รู้ว่าอะไร คือ รูปฌาน อรูปฌาน มรรคผลนิพพาน หรืออยากบรรลุอรหันต์เลย รู้เพียงแค่ว่าเมื่อลมหายใจเข้าบริกรรมว่า "พุท" เมื่อลมหายใจออกบริกรรมว่า "โธ" ...

ผมฝึกอยู่ได้อย่างนี้ประมาณ 2 เดือนเห็นจะได้ สมาธิของผมเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่รู้ว่าดีขึ้นด้วยอาการว่าเบาสบาย ลมหายใจของผมปรากฏชัด และยาวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งผมหายใจยาวยึ่งรู้สึกว่าสบาย ผมคงสภาพอย่างนี้ไป ระยะหนึ่งเกิดมีแสงสว่างขึ้นทั่วภายในตาของผมคล้ายสีขาว ดั่งว่ามีผ้าขาวมาอยู่ตรงหน้าผม เพียงชั่วเดียวแสงสว่างนั้นได้จางลง ในขณะที่เกิดแสงสว่างขึ้นนั้น ผมไม่ได้สนใจเป็นพิเศษแต่ประการใด ผมยังคงกำหนดอยู่ที่คำภาวนาของผมอย่างเดิมต่อไป....

ผมกำหนดภาวนาต่อไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าขนของผมลุกไปทั่วร่าง ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ แต่การขนลุกทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้น ผมจึงปล่อยให้อาการขนลุกเป็นไป จากนั้นอาการขนลุกของผมก็หายไปเอง...

อาการต่อไปที่ปรากฏขึ้นแก่ผม มีอยู่ว่า ตัวของผมเบาหวิวบ้าง หนังอื้งบ้าง ตัวบวมบ้าง ตัวเล็กบ้าง ภายในการหลับตามีแสงสว่างปรากฏขึ้น เป็นดวงสีขาวนวลๆ ตอนนั้นผมรู้สึกสุขใจมาก จิตใจของผมมันแช่มชื่นอย่างที่สุด มีความรู้สึกอยากนั่งไปตลอดไม่อยากเลิกฝึกเสีย...(ซึ่งบางวันนั่งตอนหัวค่ำ กำหนดลมหายใจไปอยู่อย่างนั้น มารู้สึกตัวอีกทีตอนเลิกฝึกว่าเช้าแล้วหรือนี่ เหมือนเรานั่งเพียงแป๊บเดียวเอง ต้องฝืนใจตัวเองให้เลิกก่อน จริงๆไม่อยากจะเลิกเลย)

จากนั้นสักพักหนึ่ง คำภาวนา "พุท-โธ" ของผมได้หายไป ผมเองก็รู้ว่าคำภาวนานั้นได้หายไป ผมพยายามนำกลับมาแต่ว่าสักพักก็ได้หายไปเสียอีก ผมจึงปล่อยให้มันเป็นไป คำภาวนาของผมหายไปก็ช่าง ต่อจากนั้น

ผมจึงรู้ด้วยใจในสมาธิของผมว่าที่จริงแม้คำภาวนานั้นจะหายไป แต่ก็เหมือนกับว่าคำภาวนาของผมนั้นยังคงอยู่ เพราะรู้สึกได้ว่ายังอยู่ แต่ผมเพียงไม่ได้ยินเสียงที่พูดขึ้นในใจเท่านั้น....

ผมกำหนดรู้อยู่อย่างนั้นๆ เรื่อยเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ ลมหายใจของผมรู้สึกแผ่วเบาลง มันเบามากจนผมคิดว่าสมาธิของผมไม่ดีเสียแล้ว ผมจึงพยายามกำหนดรู้ลมหายใจมากยิ่ง แต่ยิ่งกำหนดรู้ลมหายใจมากยิ่งขึ้น กลับกลายเป็นว่าลมหายใจของผมได้หายไป....

จากนั้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น ได้เกิดสิ่งที่ผมไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต ได้แก่ ขณะที่ผมรู้ว่าลมหายใจของผมหายไป ผมยังรู้ด้วยตนเองว่า ขณะนั้นหูของผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมพยายามไปฟังเสียงภายนอกอย่างไรก็ไม่ได้ยิน...

จากนั้นนิดเดียวขณะกำลังพยายามฟังเสียงต่างๆ อยู่นั้น เพียงชั่วครู่เท่านั้น ผมก็ได้ยินเสียงรถยนต์ที่อยู่ปากซอยห่างจากบ้านไปไกลพอสมควรประมาณ 400 เมตร มันดังชัดมากเหมือนอยู่ไกล้ๆ หู ผมจึงพยายามฟังเสียงอย่างอื่นอีก แล้วก็ได้ยินเสียงในห้องที่ผมได้ล็อคประตูไว้อย่างดี หน้าต่างที่มีลูกกรงกั้นไว้ บ้านซึ่งวันนั้นมีผมอยู่เพียงคนเดียว

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คล้ายกับเสียงการเดินของคน กำลังเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง แล้วเสียงเท้านั้นก็มาหยุดตรงหน้าผม จากนั้นผมรู้สึกว่ามีลมวูบหนึ่ง ผ่านที่จมูกของผมไปอย่างชัดเจน...

แล้วสักพักหนึ่ง สิ่งที่ผมรู้สึกพบเจอนั้น ได้ค่อยๆ เดินจากไปทางประตูหลังห้องที่ถูกล็อคไว้ จากนั้น ผมจึงออกจากสมาธิ แล้วสวดมนต์ แผ่เมตตา และก็นอน..

จากประสบการณ์ครั้งนั้นผมได้ไปเล่าให้กับเพื่อนของผมฟังแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ เพื่อนของผมคิดว่าผมโกหก ผมก็สงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่จนต่อมาได้รู้จักพระไตรปิฏก และได้ศึกษา ปฏิบัติธรรมเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งได้ไปเรียนหลักสูตรครูสมาธิที่วัดธรรมมงคล ของหลวงพ่อวิริยังค์ ได้มีการเรียนเรื่องฌานต่างๆ

จึงเข้าใจว่าสิ่งที่ผมพบเจอนั้นเหมือนกันทุกอย่างกับในพระไตรปิฏกและจากประสบการณ์ของผู้ได้ฌาน ซึ่งก็คืออาการหนึ่งของผู้ที่ได้จตุถฌาน และเป็นอาการของผู้ที่ได้ทิพพโสต (หูทิพย์) เสียงฝีเท้าที่ผมได้ยิน สิ่งที่เข้ามาใกล้กับหน้าผม คือ เสียงทิพย์จากฝีเท้า และใบหน้าของกุมาร ในบ้านของผมที่พ่อผมได้เลี้ยงเอาไว้บนหิ้งพระ นอกห้องนั่นเอง...

ขอเล่าเพียงเท่านี้ครับ ตามประสบการณ์ที่มีมา หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยครับ

ปล. เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคล และเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณครับ

ขอให้เกิดปัญญาเห็นธรรม



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 10:32:26 น.
Counter : 851 Pageviews.

3 comments
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
อยาก อยากได้ กฎที่ถูกที่ดี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 05:37:27 น.)
come from away พุดดิ้งรสกาแฟ
(7 เม.ย. 2567 19:24:46 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 29 : กะว่าก๋า
(6 เม.ย. 2567 05:12:09 น.)
  
สามารถกำหนดได้ทุกขณะจิต ถือว่ายอดเยี่ยม

อนุโมทนาสุธุ
โดย: นาฬิกาสีชมพู วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:16:01:59 น.
  
เเบบอย่างที่ดีสำหรับผมครับ .....
โดย: NIGPO IP: 222.123.250.226 วันที่: 12 มกราคม 2553 เวลา:19:31:48 น.
  
ยินดีด้วยครับ ศิษย์อาจารย์เดียวกัน
ทุกวันนี้ ก็ยังปฏิบัติอยู่ และขอแนะนำผู้สนใจการทำสมาธิทุกท่านควรเรียนหลักสูตรนี้ ทำให้มีหลักในการปฏิบัต มีที่เรียนหลายสาขาดูรายละเอียดได้ที่ //www.samathi.com

เสย KruSamathi22 WatPhut
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=krusamathi-watphut22
โดย: KruSamathi22 IP: 162.30.5.183, 119.46.56.120 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:12:47:43 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siratsapon.BlogGang.com

ศิรัสพล
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]