นักบุญฟรังซิสในเมืองกัว อาณานิคมโปรตุเกสในอินเดีย จดหมายฉบับนี้เล่าเรื่องนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ เมื่อออกเดินทางจากเกาะโซโคตร้ามาถึงเมืองกัว อาณานิคมอันยาวนานของโปรตุเกสในอินเดีย เพิ่งจะคืนให้อินเดียไปเมื่อ 30 ปีก่อนนี้เอง กัวเป็นเสมือนวาติกันของตะวันออก สังฆราชแห่งกัวมีอำนาจเหนือคาทอลิกในเอเชียทั้งหมด ครอบคลุมทั้งในมาเก๊า โมลุคกะ และมะละกา รวมทั้งเมืองในตะวันออกของแอฟริกาด้วย แผนที่เมืองกัว ในฝั่งตะวันตกของอินเดีย อาณานิคมของโปรตุเกส (ที่มา : //www.goaholidayguide.com/) แผนที่โบราณแสดงเมืองกัวในตะวันตกของอินเดีย มีสภาพเป็นเกาะ (ที่มา : //www.columbia.edu/) จดหมายของนักบุญฟรังซิสในเมืองกัว อาณานิคมโปรตุเกสในอินเดีย "เราออกจากเกาะนี้ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์และวันที่ 6 พฤษภาคม ข้าพเจ้าก็มาถึงเมืองกัว และเรืออีก 5 ลำที่ตามมาจากโมซัมบิคก็ตามเรามาถึงในเดือนมิถุนายนแต่ลำที่ใหญ่ที่สุดและบรรทุกสิ่งของมีค่ามากมายกลับอับปางและจมลง ลูกเรือทั้งหมดปลอดภัยและสี่ลำที่เหลือก็มาถึงเรียบร้อย ข้าพเจ้ามาอาศัยพักในโรงพยาบาลเมืองกัว คอยดูแลคนเจ็บป่วยและส่งศีลให้ มีคนป่วยมากมายที่รอคอยข้าพเจ้าโปรดศีลอภัยบาปถ้าข้าพเจ้าแยกร่างได้สักสิบร่างพร้อมๆกัน ข้าพเจ้าคงไม่เคยขาดความสำนึกผิดหลังจากดูแลคนป่วย ตอนเช้าข้าพเจ้าฟังสารภาพบาป และหลังจากเที่ยงวันไปแล้วข้าพเจ้าก็ไปเยี่ยมคนคุก และหลังจากสอนคำสอนในคุกแล้วข้าพเจ้าก็ต้องฟังสารภาพบาปตลอดชีวิตของคนที่ถูกจองจำ เมื่อเสร็จภารกิจข้าพเจ้าก็ไปวัดพระมารดาใกล้ๆกับโรงพยาล เพื่อสอนเด็กๆ มีเด็กกว่าสามร้อยคน พวกเขาสวดบทแสดงความเชื่อและบัญญัติ 10 ประการ ตามที่สังฆราชแห่งกัวสั่งไว้ เช่นเดียวกับโบสถ์อื่นๆผลที่ได้รับจากการติดตามเช่นนี้ส่องสว่างแสงให้กับเมืองทั้งเมือง เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่วัดพระมารดาก็จะเทศน์สอนในตอนเช้าของวันอาทิตย์ และในตอนกลางวันข้าพเจ้านั่งอธิบายบทแสดงความเชื่อให้กับคนพื้นเมือง และประชาชนจำนวนมากก็เข้ามานั่งกันแออัดจนไม่มีที่พอในวัดข้าพเจ้าสอนบทข้าแต่พระบิดา วันทามารีย์ และบทแสดงความเชื่อ รวมทั้งบัญญัติ 10 ประการ ในวันอาทิตย์ ข้าพเจ้ามักจะทำมิสซาให้คนโรคเรื้อนในโรงพยาบาลใกล้ๆกับเมืองฟังสารภาพบาป และโปรดศีลมหาสนิท ไม่มีใครที่ไม่ได้รับศีล พวกเขาก็สวดภาวนาให้ข้าพเจ้าเช่นกัน แผนที่เมืองกัว (ที่มา : //www.earthlymission.com) ท่านข้าหลวงสั่งให้เข้าพเจ้าออกไปเทศน์สอนในชนบทเพื่อที่จะให้ความหวังกับคนพื้นเมืองกลับมาเป็นคริสเตียน มีนักเรียนสามคนจากประเทศต่าง ๆ กันไปกับข้าพเจ้าด้วย 2 คนเป็นสังฆานุกรคุ้นเคยกับภาษาโปรตุเกสดีพอ ๆ กับภาษาของพวกเขาเอง คนที่ 3 เพิ่งจะได้รับศีลน้อยข้าพเจ้ามีความหวังว่า งานเหล่านี้จะผลิตผลที่มีค่าสำหรับศาสนาของเราและเมื่อคุณพ่อปอลและมันซิอัสมาจากโมซัมบิคแล้วท่านข้าหลวงก็ให้สัญญาว่าจะส่งพวกเขามาสมทบกับข้าพเจ้า ในที่ๆเรียกว่า แหลมโคโมรินเป็นระยะทาง 600 ไมล์จากกัว ข้าพเจ้าสวดต่อพระเจ้าขอพระองค์ทรงเห็นแก่คำภาวนาของพวกท่านโปรดทรงลืมบาปของข้าพเจ้าเสียและประทานพระหรรษทานที่ข้าพเจ้าต้องการเพื่อจะได้กระทำกิจการของพระองค์อย่างสมบูรณ์ วัด Our lady of the immaculate conceptionกัว วัดในภาพสร้างใหม่เมื่อปี 1691 หลังยุคนักบุญฟรังซิส (ที่มา : //topnews.in/law/files/goa-church.jpg) ทั้งหมดเป็นบททดสอบข้าพเจ้าที่จะทำเพราะเห็นแก่ความรักของพระเป็นเจ้าเพื่อผลประโยชน์ของวิญญาณทั้งปวง ข้าพเจ้าเชื่ออย่างมั่นคงว่า ผู้ที่รักกางเขนของพระคริสต์ จะพิจารณาการทดสอบชีวิตเช่นนี้เป็นแหล่งพระพรอันอุดม และการหลบเลี่ยงหนีออกไปโดยปราศจากไม้กางเขนที่ต้องแบก ก็เป็นเสมือนความตายสำหรับพวกเขา เพราะไม่มีความตายใดที่จะน่ากลัวเกินไปกว่าการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพระเยซูเจ้า เพราะหลังจากที่ได้รู้จักพระองค์แม้เพียงครั้งเดียวแล้ว ท่านจะกล้าละทิ้งพระองค์เพื่อดำรงชีวิตตามน้ำใจของตนเองได้หรือ" "ข้าพเจ้าเสริมแก่ท่านว่า เพื่อนที่รัก ไม่มีกางเขนใดที่จะเปรียบเทียบได้กับกางเขนเช่นนี้อีกแล้ว ในทางกลับกันก็คือ ชีวิตเราจะได้รับพระพรได้หรือ หากใช้ชีวิตเหมือนกำลังจะตายไปวัน ๆ ท่านต้องหักความปรารถนาของท่าน ไม่ใช่เพื่อความต้องการของเราอีกต่อไป แต่เป็นการมอบความปรารถนาทั้งหมดแด่พระเยซูคริสต์ "และตอนนี้พี่น้องที่รักข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ช่วยกรุณาเขียนเล่าเรื่องสมาชิกทุกคนส่งมาให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าไม่มีความหวังว่าจะได้พบกันอีกแล้วในชีวิตนี้ แต่ก็จะเป็นเหมือนที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า แล้วในที่สุดเราก็จะได้พบหน้ากันอีกในสวรรค์ ความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าได้รับจากการเดินทางการแบกภาระบาปหนักอึ้งของผู้คนขณะที่คนอื่น ๆ ก็แบกเพียงบาปของตนเองการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนต่างความเชื่อ และความร้อนจัดในภูมิภาคนี้ข้าพเจ้าเองก็เป็นผู้ไม่สมควรจะทำงานของพระ แต่อย่าปฏิเสธความตั้งใจดีเหล่านี้ของข้าพเจ้าเลยโปรดระลึกว่าพระองค์ทรงสร้างท่านเช่นนี้ และทรงประสงค์ที่จะให้ท่านเป็นผู้ปลอบโยนข้าพเจ้าโปรดสอนข้าพเจ้าให้กระตืนรือร้นที่จะเรียนรู้วิธีการสร้างศรัทธาให้คนต่างศาสนารวมทั้งการเข้าไปพบชาวมุสลิมที่ข้าพเจ้าถูกส่งไปหาเขา ข้าพเจ้าจะต้องเรียนรู้จากพระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนเขาเป็นคริสเตียนโดยไม่เกิดความยุ่งยากได้อย่างไรหนอ ด้วยคำภาวนาของพวกท่านและพวกพี่น้องจากวัดของเรา ข้าพเจ้าไว้ใจว่าพระเป็นเจ้าจะทรงสดับ และพระคริสต์ผู้ทรงประสงค์จะเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งพระวรสารโดยใช้ข้าพระองค์ คนรับใช้ที่ชั่วช้า ในแผ่นดินของคนต่างศาสนา "พระองค์ทรงใช้สิ่งสร้างที่น่าสงสารเช่นข้าพเจ้านี้ให้ทำงานอันใหญ่โตซึ่งนำความอับอายมาให้กับคนที่เกิดมาโดยมีความสามารถมากมายแต่ไม่ได้ใช้และยังเป็นการเสริมกำลังใจให้กับคนอ่อนแอ" "เมื่อพวกเขาได้เห็นข้าพเจ้า ผู้ไม่มีอะไรนอกจากฝุ่นและขี้เถ้า ได้เป็นประจักษ์พยานในงานแบบเดียวกันกับอัครสาวกจะเป็นความยินดีเพียงใดหนอถ้าข้าพเจ้าจะได้กลายเป็นผู้รับใช้ของผู้ที่ได้อุทิศตนทำงานในสวนองุ่นของพระเป็นเจ้าอย่างแท้จริง "ดังนั้นข้าพเจ้าขอจบจดหมายนี้ ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ผู้จะทรงรวบรวมเราวันหนึ่งในความยินดีของพระองค์ เพราะเราเป็นสิ่งสร้างของพระองค์ดังนั้นเราจึงต้องทำงานของพระองค์ด้วยความกระตือรือร้น"
จากน้องชายที่ไร้ประโยชน์ของท่านในพระเยซูคริสต์ Francis Xavier.
กัว 18 กันยายน 1542 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อรรถาธิบายเกี่ยวกับเมืองกัว เมืองกัวเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส และมีอิทธิพลแผ่ไปยังบ้านเมืองข้างเคียงด้วย ชาวโปรตุเกสยึดมั่นในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกอย่างลึกซึ้ง มีความคิดทัศนคติแบบสมัยยุคกลาง แม้ว่าจะผ่านมาถึงยุคหลังการปฏิรูปศาสนาแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามชีวิตความเป็นอยู่ด้านศาสนาของชาวโปรตุเกสในดินแดนตะวันออกก็มิได้ลึกซึ้งนัก เพราะทหารรับจ้างและพ่อค้าส่วนมากก็แต่งงานกับชนพื้นเมือง มีเมียน้อยและนางบำเรอทั่วไป เมื่อหญิงพื้นเมืองแต่งงานกับชาวโปรตุเกส ก็ต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นชาวคริสต์โดยอัตโนมัติ แต่พวกเธอก็มักไม่สนใจศาสนาเท่าใดนัก ดังนั้นเมื่อมีลูก จึงไม่อาจสอนลูกตามแนวทางของคริสเตียนที่ดีได้ อีกนัยหนึ่งก็คือไม่มีความพยายามที่จะปรับปรุงความประพฤติเหล่านี้ให้ดีขึ้น พระสังฆราชแห่งกัวขณะนั้นเป็นพระสงฆ์ชราคณะฟรังซิสกัน ชื่อว่า John Albuquerque เป็นพระสงฆ์ที่ดีและศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นผู้เคร่งครัดและมีอำนาจเต็มเปี่ยม อิทธิพลของท่านครอบคลุมทั้งอินเดีย รวมไปถึงเมืองท่าต่าง ๆ ของโปรตุเกสในภาคตะวันออก การแสดงออกของท่านมิได้สมดุลกับความเมตตาและบุคลิกภาพที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีกฎว่า พระสงฆ์และศาสนบริกรทั้งหลายในกัว จะต้องถูกจำกัดขอบเขตภายใต้การบริหารงานของชาวโปรตุเกส และส่วนมากก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนศาสนาคนนอกรีต แม้แต่ในยุโรปเองก็ตามในยุคนั้น ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็ถูกลดความสำคัญลงและบางที่ก็เลิกล้มไป แม้แต่ในโรม การออกไปรับศีลบ่อย ๆ ก็เป็นเรื่องผิดประหลาด นักบวชฟรังซิสกันนนามว่า Diego de Borba, ผู้เป็นศิษย์ของ John of Avila อยู่ในเมืองกัว 4 ปีและเริ่มต้นงานของเขาด้วยการตั้งสมาคมต่าง ๆ มากมาย เพื่อประโยชน์ของชาวอินเดียมีการตั้งวิทยาลัยสงฆ์ชื่อซานตาเฟ ในกัวที่รับนักเรียนจากทุกภาคของอินเดียเพื่อที่พวกเขาจะได้กลับไปเป็นพระสงฆ์ในบ้านเกิด หรืออย่างน้อยก็สามารถแปลคำสอนให้มิชชันนารีอื่น ๆ ได้ วิทยาลัยได้รับเงินบริจาคจากรัฐบาลโปรตุเกสซึ่งเก็บภาษีมาจากพวกนักบวชต่างศาสนา เราจะได้ยินเรื่องราวของวิทยาลัยซานตาเฟ[1]นี้อีกมากมายต่อมาจะได้เปลี่ยนชื่อเป็นวิทยาลัยเซนต์ปอล นอกจากนี้ยังมีการตั้งสถาบันภราดาแห่งความเมตตา ในเมืองท่าต่าง ๆ ของโปรตุเกส ทำงานเพื่อการกุศล เมื่อฟรังซิสไปถึงเมืองกัว ท่านไปขออนุญาตพระสังฆราชทำงานในโรงพยาบาลและนำเอกสารจากพระสันตะปาปาและจากกษัตริย์โปรตุเกสไปแสดง ท่านไม่ประสงค์ต้องการสิทธิพิเศษใด ๆ เพียงขออนุญาตออกไปเยี่ยมคนป่วย คนโรคเรื้อน คนถูกจองจำเท่านั้นใช้เวลากลางคืนในการสวดภาวนา เป็นชีวิตแบบอัครสาวกที่จำลองมาจากพระเยซูเจ้างานของฟรังซิสเช่นนี้จับใจพระสังฆราชชรามาก ท่านสัมผัสได้ถึงหัวใจแห่งความร้อนรนของอัครสาวกคนใหม่จึงกลายเป็นมิตรสหายกันอย่างรวดเร็ว และในเวลาเพียง 5 เดือน เมืองกัวทั้งเมืองก็ กลายเป็นของท่านท่านบันทึกลงไปในจดหมายส่งไปถึงยุโรปด้วยความชื่นชมยินดี ข้าหลวงแห่งกัวก็รับเอาธรรมเนียมของฟรังซิสมาใช้ในการออกไปเยี่ยมโรงพยาบาลและคุกด้วยตัวเองอาทิตย์ละ1 วัน และธรรมเนียมนี้ต่อมาก็นำไปปฏิบัติในราชสำนักโปรตุเกสด้วย ฟรังซิสสามารถปรับบุคลิกของตนให้เข้ากับผู้คนที่หลากหลายได้ ท่านพยายามที่จะสร้างความครบครันในชีวิตคริสตชน บางครั้งก็ใช้คำพูดสุภาพนุ่มนวล บางครั้งก็ตักเตือนด้วยความจริงเกี่ยวกับนิรันดรภาพ ความตาย การพิพากษาและนรกด้วยท่าทีที่ขันแข็งและรอคอยให้ผู้คนมาสารภาพบาปที่กระทำมาตลอดชีวิต หรือการเตือนให้ชาวบ้านแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี สถานะการแต่งงานไม่ถูกต้องของชาวโปรตุเกสในอินเดียเป็นปัญหาที่มีอยู่ทั่วไปและแก้ไขได้ยาก ฟรังซิสจัดการกับปัญหานี้อย่างนุ่มนวล ท่านชวนให้คิดว่าควรจะแก้ไขปัญหาที่เป็นบาปหนักนี้ท่านจะไปพบพวกเขาตามถนนและขอให้เชิญท่านที่เป็นพระยากจนไปร่วมทานอาหารค่ำซึ่งแน่นอนว่าพวกเขามักจะตอบคำขอด้วยความยินดี ท่านก็จะเข้าไปนั่งที่โต๊ะและขอให้เจ้าบ้านนำลูก ๆ เข้ามาด้วย และท่านก็จะกอดเด็ก ๆ เอาไว้อย่างอ่อนโยน และท่านก็จะเชิญชวนให้ภรรยาเข้ามาด้วย คุยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและกล่าวอ้อนวอนให้เจ้าบ้านชายรับเธอเป็นภรรยาอย่างถูกกฎหมาย กล่าวชมเชยว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีกริยามารยาทงดงามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ดี ดังนั้นสมควรจะเป็นชาวโปรตุเกสได้รวมทั้งลูก ๆ ที่เกิดจากเธอก็สมควรจะนับเป็นชาวโปรตุเกสได้เช่นกัน แล้วเหตุนี้ทำไมจึงไม่แต่งงานกับเธอให้ถูกต้อง ท่านจะหาภรรยาที่ดีกว่านี้ได้อีกหรือท่านควรจะให้เกียรติแก่ลูก ๆ และภรรยาให้เร็วที่สุด ด้วยคำพูดที่ทรงอำนาจเช่นนี้ท่านก็ชักชวนชายโปรตุเกสหลายคนให้แต่งงานกับหญิงชาวอินเดียได้โดยท่านจัดพิธีแต่งงานให้เอง ฟรังซิสกระหายความรอดของวิญญาณมากกว่าเกียรติของตนเอง ท่านครุ่นคิดแต่หาวิธีใหม่ ๆ เพื่อช่วยเหลือพวกเขา ท่านจะเดินไปตามถนนถือกระดิ่งสั่นให้มีเสียงเรียกเด็ก ๆ และบรรดาคนรับใช้เข้ามารับฟังคำสอน(ท่านคิดว่าอะไรก็ตามที่ไม่เป็นที่พอใจของท่าน นั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าเสมอและเป็นประโยชน์สำหรับวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย) ด้วยวิธีนี้มีเด็ก ๆ และผู้คนมาชุมนุมกันมากมายฟังธรรมจากท่านและท่านจะนำพวกเขาไปยังวัดพระมารดาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าและสอนคำสอนพวกเขาเป็นเพลง ซึ่งจะช่วยให้จดจำได้ง่ายขึ้น
[1] ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้คือ Don Estevan de Gama, บุตรชายของนักเดินเรือชื่อก้อง Vasco de Gama เขาเป็นข้าหลวงแห่งกัวก่อนหน้า Martin Alfonso Sousa as Governor ข้าหลวงที่เป็นเพื่อนสนิทของฟรังซิส |
บทความทั้งหมด
|