บันทึกของนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ที่โมซัมบิคและโซโคตร้า ผมแปลบันทึกฉบับนี้โดยลำลอง เพื่อติดตามเส้นทางการเดินทางของนักบุญฟรังซิสจากลิสบอนไปยังเอเซีย โดยเริ่มจากโมซัมบิค และไปถึงเมืองกัว ครับ บันทึกของนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ที่โมซัมบิคและเกาะโซโคตร้า "เรามาถึงโมซัมบิค ที่เราต้องติดอยู่ในฤดูหนาวกว่า 6 เดือน บนเรือห้าลำใหญ่ๆที่มีคนหลากหลายนิสัยบนเกาะนี้มีเมืองสองเมือง เมืองหนึ่งปกครองโดยชาวโปรตุเกสและอีกเมืองปกครองโดยชาวมุสลิม ระหว่างหน้าหนาวนี้ มีคนป่วยไปหลายคน และมากกว่า 80คน ก็ตายลง เรายุ่งอยู่ในโรงพยาบาลตลอดเวลา โดยรับใช้คนป่วยทุกคนคุณพ่อปอลและมันซีอัส ช่วยรักษาทางร่างกาย แต่ข้าพเจ้ารักษาทางจิตใจคอยฟังสารภาพบาปและโปรดศีลมหาสนิท แต่ด้วยลำพังคนเดียวก็ไม่อาจจัดการได้ทั้งหมดในวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าเทศน์สอน มีคนจำนวนมากมายมารอฟัง รวมทั้งข้าหลวงด้วยข้าพเจ้ามักจะออกไปรอฟังแก้บาป นั่นคือกิจกรรมทั้งหมดที่ทำในโมซัมบิคทั้งข้าหลวงและทหารปฏิบัติกับเราอย่างมีมารยาท เวลา 6เดือนก็เป็นประโยชน์สำหรับวิญญาณมากมาย" แผนที่ประเทศโมซัมบิค ซึ่งในขณะนั้นมีเมืองท่าของโปรตุเกสอยู่ โมซัมบิคอยู่ห่างอินเดียไป 900 ลีค ข้าหลวงกระตือรือร้นที่จะส่งเราไปที่นั่นพร้อมกันกับท่านแต่ด้วยฤดูกาลที่ทำให้มีคนป่วยมากมายท่านจึงขอร้องให้มีนักบวชสักรูปรออยู่บนเกาะนี้เพื่อที่จะพยาบาลคนเจ็บไข้ได้ป่วยดังนั้นคุณพ่อปอลและมันซิอัสจึงตกลงจะอยู่ที่โมซัมบิคต่อไป ข้าพเจ้าจึงตกลงเดินทางกับข้าหลวงคอยฟังสารภาพบาปของท่าน ในกรณีที่มโนธรรมของท่านมีปัญหาหรือจำเป็น จากโมซัมบิค เราใช้เวลา 2 เดือนจึงมาถึงเมืองกัว ระหว่างทางมาอินเดียนั้น เราได้แวะพักที่ Melinda เป็นเมืองท่าของพวกมุสลิมที่เป็นมิตรกับโปรตุเกสคนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากมักจะเป็นหัวหน้าพ่อค้าที่เมื่อถึงคราวสิ้นชีวิตลงก็ขุดหลุมใหญ่มีเนินดิน ปักกางเขนไว้เป็นสัญลักษณ์ ชาวโปรตุเกสได้ปักกางเขนหินสวยงามใหญ่มากไว้นอกเมืองซึ่งเมื่อมองดูแล้วก็รู้สึกประทับใจมากทีเดียวที่ได้เห็นพระมหากางเขนปักอยู่ท่ามกลางเมืองของหมู่ผู้ไม่เชื่อ[1] โบสถ์โปรตุเกสที่โมซัมบิค (บน) (ภาพจาก //www.patrimoniocultural.pt/) กษัตริย์แห่ง Melinda เสด็จมายังเรือของพวกเราเพื่อต้อนรับท่านข้าหลวงด้วยอัธยาศัยไมตรีขณะที่เราพำนักอยู่ในเมืองนี้เราได้จัดงานศพให้กับชายผู้หนึ่งที่ตายลงในเรือของเราเราได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเหลือเขา ชาวมุสลิมที่นี่อนุญาตให้เราจัดงานศพได้ตามที่ปรารถนาชาวมุสลิมสำคัญคนหนึ่งในเมืองได้ถามเราว่าโดยปกติโบสถ์ที่เราไปมีชาวคริสต์ไปชุมนุมกันเต็มโบสถ์หรือไม่ และชาวคริสเตียนศรัทธาเต็มใจที่จะไปโบสถ์หรือไม่ เพราะในเมลินดานี้มีมัสยิดถึง 17 แห่ง แต่มีเพียง 3 แห่งเท่านั้นมีมีคนไปร่วมขณะที่แห่งอื่น ๆ มีศรัทธาชนไปน้อยมากชาวมุสลิมที่ดีคนนี้ค่อนข้างสับสนว่าเหตุใดชาวบ้านจึงสูญเสียศรัทธาไปเขาคิดว่าเป็นเพราะพวกชาวบ้านต่างกระทำบาปหนัก เราได้สนทนากันถึงเรื่องนี้และได้บอกเขาว่า พระเป็นเจ้าทรงซื่อสัตย์และเที่ยงแท้ ทรงจัดการผู้ไม่เชื่อและคำภาวนาที่ไร้ผลเหล่านั้นจะสูญเปล่าชายชาวซาราเซ็นผู้นี้รู้สึกสับสน เขาประกาศว่าถ้านบีมุฮัมมัดไม่กลับมายังโลกนี้ในอีก 2 ปี เขาจะละทิ้งศาสนาข้าพเจ้าหวังว่าความจริงเหล่านี้จะถูกเปิดเผยโดยพระเป็นเจ้าให้พวกเขาเข้าใจฐานะของตัวและกลับใจเสียใหม่ นักบุญฟรังซิสบนเกาะโซโคตร้า แผนที่เกาะโซโคตร้า (ที่มา : https://upload.wikimedia.org) หลังจากเราออกจากเมลินดาก็มาถึงเกาะโซโคตร้า เกาะใหญ่ที่มีเส้นรอบวงกว่า 100 ไมล์[2]เป็นป่าร้างทั้งหมด ไม่มีข้าวโพด ไม่มีข้าว ไม่มีเหล้าองุ่น ไม่มีผลไม้ใดๆกล่าวสั้นๆคือแห้งแล้งและน่าเบื่อมาก แต่มันเต็มไปด้วยต้นอินทผาลัมที่พวกเขาใช้ทำขนมปังได้ รวมทั้งใช้เลี้ยงสัตว์เกาะนี้ร้อนจัดด้วยแสงอาทิตย์แผดเผา ชาวบ้านเป็นคริสเตียนในนามมากกว่าด้วยจิตใจพวกเขาไร้ความรู้และค่อนข้างหยาบคาย ไม่สามารถอ่านหรือเขียนใดๆได้เลย พวกเขาจึงไม่มีการจดบันทึกใดๆไว้แต่ก็ยังรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนเองเป็นชาวคริสต์ พวกเขามีโบสถ์ ไม้กางเขนมากมาย และใช้ตะเกียงในพิธีกรรมแต่ละหมู่บ้านจะมีครูคำสอน ผู้ช่วยงานของวัดครูเหล่านี้เองก็ไม่มีความรู้ทางด้านอ่านหรือเขียนมากกว่าคนอื่นพวกเขาไม่มีแม้แต่หนังสือ และรู้บทสวดไม่กี่บทที่ภาวนาจากหัวใจ พวกเขาไปโบสถ์วันละ4 รอบ ตั้งแต่เที่ยงคืน เช้าตรู่ เที่ยงวัน และตอนเย็น ไม่มีระฆัง แต่มีโปงไม้แบบที่เราใช้กันในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเรียกทุกคนมาชุมนุมกัน แม้แต่ครูคำสอนก็ไม่เข้าใจบทสวดเพราะมันเป็นภาษาต่างประเทศของพวกเขา (ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นภาษาแคลเดียน)พวกเขาศรัทธานักบุญโทมัสมาก และอ้างว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากนักบุญโทมัสระหว่างที่สวดพวกเขามีคำที่คล้ายๆ คำว่า อัลเลลูยาพวกครูคำสอนไม่เคยล้างบาปให้ผู้ใดเลยเพราะพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการล้างบาปคืออะไร เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นก็ได้โปรดศีลล้างบาปให้เด็กจำนวนมาก รวมทั้งผู้ปกครองที่มีความปรารถนาจะรับด้วยพวกเขากระตือรือร้นที่จะนำเด็กๆมาหาข้าพเจ้าและนำข้าวของเล็กๆน้อยๆตามมีตามเกิดมาให้ โดยเฉพาะลูกอินทผาลัมที่ข้าพเจ้ามักจะปฏิเสธบ่อยๆ (บน) เกาะโซโคตร้า เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยพืชพรรณประหลาดมากมาย เดิมเคยมีคริสเตียนจารีตเนสตอเรียน และพวกจาโคไบท์ เป็นนิกายโบราณของศาสนาคริสต์ พวกเขาชักชวนข้าพเจ้าหลายครั้งให้อยู่ด้วยกันและสัญญาว่าคนโสดทุกคนในเกาะนี้จะยอมรับศีลล้างบาปดังนั้นข้าพเจ้าขอร้องให้ข้าหลวงปล่อยเข้าพเจ้าไว้ในทุ่งข้าวสาลีที่ต้องการผู้เก็บเกี่ยวนี้แต่อย่างไรก็ตาม บนเกาะนี้ไม่มีชุมชนชาวโปรตุเกสเลย และมีชาวมุสลิมจำนวนไม่น้อยดังนั้นท่านข้าหลวงจึงไม่อยากทิ้งข้าพเจ้าไว้ตามลำพังเพราะกลัวว่าข้าพเจ้าจะถูกจับไปเป็นทาส ดังนั้นท่านจึงบอกให้ข้าพเจ้ากลับมาอีกครั้งพร้อมกับคริสเตียนอื่นๆอีกบางทีอาจจะมีดินแดนอื่นๆนอกจากเกาะโซโคตร้าที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตวิญญาณและข้าพเจ้าอาจจะทำงานได้อีกในที่อื่นๆ หลุมฝังศพคริสเตียนเก่าแก่บนเกาะโซโคตร้า (บน) วันหนึ่งข้าพเจ้าไปร่วมทำวัตรเย็นที่มีการสวดโดยครูคำสอนใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง พวกเขาไม่มีการจบด้วยบทสวดซ้ำและในวัดอบอวลไปด้วยกลิ่นควันกำยาน แม้ว่าครูคำสอนจะมีภรรยาได้แต่พวกเขาก็เคร่งครัดอย่างยิ่งในวัตรปฏิบัติและการอดอาหาร เมื่อพวกเขาอดอาหารไม่เพียงแต่อดเนื้อและนม แต่ยังอดปลาด้วย พวกเขายอมตายดีกว่าจะยอมลิ้มรสอาหารเหล่านั้นพวกเขาไม่กินอะไรนอกจากผักและลูกอินทผาลัม มีการอดอาหาร 2 ระยะ ครั้งแรกจะใช้เวลา2 เดือน และถ้าใครไม่อดทนพอจะอดได้ พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในศาสนสถาน ในหมู่บ้านของเกาะมีชาวมุสลิมผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นมารดาของลูกสองคนข้าพเจ้าไม่รู้ว่าบิดาของเขาก็เป็นชาวมุสลิมด้วย จึงได้ให้ศีลล้างบาปพวกเขา เมื่อพวกเขากลับไปเล่าให้มารดาฟังว่าข้าพเจ้าพยายามล้างบาปเด็กทั้งสองผู้เป็นมารดาก็เข้ามาต่อว่าข้าพเจ้าไม่ให้ทำเยี่ยงนั้นชาวบ้านต่างก็โจษจันกันว่าชาวมุสลิมไม่สมควรจะได้รับการอวยพรยิ่งใหญ่เช่นนี้และพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้มุสลิมคนใดได้รับการล้างบาปเป็นคริสเตียนเลยเพราะพวกเขารังเกียจชาวมุสลิมมาก
|
บทความทั้งหมด
|