ประวัตินักบุญฟรังซิส เซเวียร์ โดยสังเขป




นักบุญฟรังซิส เซเวียร์


 เป็นองค์อุปถัมภ์ของการแพร่ธรรม ท่านนักบุญฟรังซิส เกิดในค.ศ.1506 ในปราสาทเซเวียร์ แคว้นนาวาร์ ซึ่งในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสเปนจากครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวย ในปีค.ศ. 1525 ท่านได้รับการศึกษาที่วิทยาลัย " นักบุญลาร์บารา " ในมหาวิทยาลัยปารีสท่านตั้งใจจะเดินในหนทางการเป็นนักวิชาการให้สมกับความเป็นผู้ดีทางเชื้อสายตระกูลของท่านเมื่อเรียนจบท่านก็ได้เป็นอาจารย์สอนปรัชญาในวิทยาลัยแห่งนี้ ฟรังซิส เซเวียร์เป็นเพื่อนร่วมห้องกับนักบุญปีเตอร์เฟเบอร์ ซึ่งชักชวนให้ท่านรู้จักกับนักบุญอิกญาซีโอ แห่ง โลโยลา และชายหนุ่มอีก 4 คน ทั้งหมดร่วมกันปฏิญาณตนที่จะทำงานเพื่อความรอดของวิญญาณและก่อตั้งคณะเยสุอิตอย่างไรก็ตามนักบุญฟรังซิสก็ยังมิได้เห็นด้วยกับจิตตารมณ์ของนักบุญอิกญาซีโอโดยทันทีแม้ว่าท่านจะตั้งใจอุทิศตนเพื่อศาสนาและเพื่อนมนุษย์แล้วแต่ท่านก็ยังปรารถนาที่จะรับใช้พระเจ้าในฐานะนักวิชาการของพระศาสนจักรมากกว่าจนกระทั่งท่านได้พบพระวาจาของพระเจ้าในหนังสือปฐมกาล บทที่ 12 : 1 ที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า 


“จงออกจากแผ่นดินของท่านจากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน” 


ด้วยพระวาจานี้ ฟรังซิสเริ่มเข้าใจว่าพระเป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์สิ่งใดในตัวของท่าน ท่านยังประทับใจพระวาจาของพระเป็นเจ้าที่พูดผ่านนักบุญอิกญาซีโออีกครั้งว่า

“จะมีประโยชน์อันใดสำหรับมนุษย์ หากได้โลกทั้งโลกเป็นกรรมสิทธิ์แต่ต้องสูญเสียวิญญาณไป” (มัทธิว 16 : 26)

ท่านพบว่าชีวิตที่ผ่านมาของท่าน ที่แสวงหาเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมไร้ค่า ถ้าเทียบกับสมบัติที่วิญญาณของท่านจะได้รับในสวรรค์ด้วยพระวาจานี้ท่านเปลี่ยนแปลงตัวเองและตั้งใจจะติดตามพระคริสต์เจ้าอย่างเต็มที่

ในปี 1534 ท่านและนักบุญอิกญาซีโอและชายหนุ่มอีกรวม 7 คนรวมกลุ่มกันตามจิตตารมณ์ที่ตั้งไว้ และอีก 3ปีท่านก็ได้บวชเป็นพระสงฆ์ อิกญาซีโอได้กระตุ้นจิตตารมณ์การเป็นธรรมทูตของท่านอีกครั้งด้วยคำว่าพูด

“ฟรังซิส จงออกไปและจุดไฟให้กับทั่วทั้งโลก”

คำพูดนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ท่านได้รับแรงดลใจให้สมัครใจออกไปประกาศพระวาจาของพระในโลกที่ยังไม่รู้จักพระวรสาร


ในสมัยนั้น เป็นยุคแห่งการเดินเรือและสำรวจดินแดนใหม่ๆ นอกทวีปยุโรป โปรตุเกสมีอำนาจอยู่ในเอเชีย สามารถตั้งสถานีการค้าและอาณานิคมสำคัญๆ ตามเมืองท่าชายทะเลทั่วทั้งเอเชีย ตั้งแต่เมืองกัวในชายฝั่งตะวันตกของอินเดียมะละกาในมาเลเซีย หมู่เกาะโมลุคกะในอินโดนีเซีย และเกาะมาเก๊าเมื่อมีการค้าก็ย่อมมีการประกาศศาสนาตามไปด้วยตามสิทธิ์อุปถัมภ์ Padroado ที่โปรตุเกสได้รับจากสันตะสำนัก อย่างไรก็ตาม พระสงฆ์ที่จะสมัครใจออกไปแพร่ธรรมในดินแดนอันห่างไกลมีน้อยต่อมากษัตริย์ฮวนที่ 3 แห่งโปรตุเกสทรงพระประสงค์จะจัดให้มีธรรมทูต 2 ท่านจากคณะเยซูอิต ออกไปแพร่ธรรมในอินเดีย พระองค์ทรงขอความช่วยเหลือมายังท่านนักบุญอิกญาซิโอฟรังซิส เซเวียร์จึงเปลี่ยนความตั้งใจที่จะเป็นนักวิชาการ ไปเป็นมิชชันนารีในดินแดนเอเซียเพื่อที่จะช่วยเหลือวิญญาณที่ยังไม่รู้จักพระเยซูเจ้า ท่านเดินทางออกจากลิสบอนในปี 1541 เมื่ออายุได้ 35 ปี


บนเรือ แม้ว่าท่านจะป่วยไข้จากการเดินทางที่ยากลำบาก แต่ท่านใช้ชีวิตอย่างอดทนเรียบง่ายและเต็มไปด้วยความปิติยินดี ด้วยบุคลิกภาพอันน่ารักของท่านจึงสามารถผูกมิตรกับบรรดาลูกเรือและกะลาสีได้ทั้งลำเรือท่านสามารถสอนพวกเขาเกี่ยวกับพระวาจาของพระคริสต์เจ้าในลำเรือนั้นได้และใช้ชีวิตเหมือนกับเป็นคริสตชนรุ่นแรก ท่านอภิบาลและดูแลผู้ป่วยใกล้จะตายบนเรือมาตลอดทางเมื่อท่านเดินทางไปถึงเมืองกัว อาณานิคมของโปรตุเกสในอินเดียท่านก็ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวทมิฬนาฑู

 ท่านพยายามเรียนภาษาท้องถิ่นและหลังจากมิสซาวันอาทิตย์ ท่านจะออกไปแพร่ธรรมกับชาวพื้นเมือง โดยเดินสั่นกระดิ่งไปตามถนน เรียกบรรดาเด็ก ๆ มาชุมนุมฟังคำสอนในวัดแปลพระวรสารโดยอาศัยล่ามและใช้บทเพลงง่าย ๆ ในการสวดภาวนา ท่านสอนบทข้าพเจ้าเชื่อฯบัญญัติสิบประการ บทข้าแต่พระบิดา และบทภาวนาอื่น ๆ ที่เด็ก ๆ สามารถเข้าใจได้และยังชักชวนให้ผู้ใหญ่เข้ามาฟังคำเทศน์สอนของท่าน แม้ว่าเราอาจจะเคลือบแคลงว่าท่านได้รับพระพรพิเศษของพระในการพูดภาษาต่างประเทศหรือไม่แต่ท่านก็สามารถเผยแผ่พระวรสารโดยอาศัยความรักและการลงมือปฏิบัติอันเกิดจากพระหรรษทานที่ท่านได้รับ 


ท่านยังออกไปรักษาพยาบาลคนเจ็บไข้อนาถาทั่วไปเยี่ยมและให้กำลังใจคนที่ติดคุก และฟังแก้บาปในคุก ท่านบันทึกว่า “ฉันต้องฟังชีวิตทั้งหมดของพวกเขา” ท่านไปส่งศีลมหาสนิทให้กับคนเป็นโรคเรื้อนเสมอ ๆ มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นหลายครั้งผ่านทางบทข้าพเจ้าเชื่อฯท่านเดินทางไปมาหลายครั้งระหว่างเมืองกัวกับเมืองชายฝั่งทางภาคใต้ของอินเดีย แม้ว่าการเดินทางในสมัยนั้นจะยากลำบากมากแต่ท่านรักความยากลำบาก ดังที่ท่านบันทึกไว้ว่า


“ผู้ที่รักกางเขนของพระคริสต์จะพิจารณาชีวิตที่ถูกทดลองว่าเป็นชีวิตพระหรรษทานและการหนีไปจากกางเขนก็คือความตายสำหรับพวกเขาเพราะไม่มีความตายใดที่จะน่ากลัวเกินไปกว่าการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพระเยซูเจ้าเพราะหลังจากที่ได้รู้จักพระองค์เพียงครั้งเดียวแล้วท่านจะกล้าละทิ้งพระองค์เพื่อดำรงชีวิตตามน้ำใจของตนเองหรือข้าพเจ้าเสริมแก่ท่านว่า เพื่อนรักไม่มีกางเขนใดที่จะเปรียบเทียบได้กับกางเขนเช่นนี้อีกแล้ว ในทางกลับกันก็คือชีวิตเราจะได้รับพระพรหรือในการใช้ชีวิตเหมือนกำลังจะตายไปวัน ๆ ท่านต้องหักความปรารถนาของท่าน ไม่ใช่เพื่อความต้องการของเราอีกต่อไปแต่เป็นการมอบความปรารถนาทั้งหมดแด่พระเยซูคริสต์”


ชีวิตของท่านนักบุญก็เป็นการอุทิศตนทั้งครบแด่พระเป็นเจ้าในการเป็นธรรมทูตอย่างแท้จริงท่านละจากบ้านเมืองพี่น้องของท่านมาเหมือนอับราฮัมที่พระเจ้าทรงเรียกออกไปยังดินแดนที่ทรงจัดเตรียมให้ท่านไม่เคยคิดหวังว่าจะได้กลับไปเห็นแผ่นดินยุโรปอีกในชีวิตนี้ในจดหมายของท่านลงท้ายถึงบรรดาพี่น้องในคณะเยสุอิตท่านขอร้องในพระนามพระเป็นเจ้าว่า


 “พี่น้อง ข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ช่วยกรุณาเขียนเล่าเรื่องสมาชิกทุกคนส่งมาให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าไม่มีความหวังว่าจะได้เห็นหน้ากันอีกแล้วในชีวิตนี้แต่ก็จะเป็นเหมือนที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า “แล้วในที่สุด เราก็จะได้พบหน้ากันอีก”


ในบางหมู่บ้านของอินเดียใต้ มีชุมชนคริสตังที่บรรดามิชชันนารีรุ่นก่อนหน้าหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อลงไปแล้วแต่เมื่อชาวโปรตุเกสและพระสงฆ์เคลื่อนย้ายออกไป ก็ไม่มีใครดูแลพวกเขาคนพื้นเมืองผู้ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ทั้งยากจนและไม่มีความรู้รู้แต่เพียงว่าตัวเองเป็นคริสตชน แต่ไม่มีความรู้ใด ๆ เกี่ยวกับศาสนาเลยเมื่อท่านไปถึง ก็เร่งโปรดศีลล้างบาปให้กับลูกหลานของคนเหล่านั้น ท่านบันทึกว่า


 “เด็กๆ เหล่านี้ไม่รู้จักแม้กระทั่งมือซ้ายหรือมือขวาแต่ก็มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้พวกเขาไม่ยอมให้ข้าพเจ้ากินหรือดื่มหรือพักผ่อนอะไรจนกว่าจะสอนให้พวกเขาสวดภาวนาสักบทดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มค่อย ๆ ที่จะเรียนรู้พระวาจาของพระเจ้าที่ว่า“พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้”


“ผู้คนเหล่านี้แท้จริงแล้วมีสติปัญญาดีบางคนก็แสดงความเฉลียวฉลาดอย่างน่าทึ่ง จนข้าพเจ้ามั่นใจว่าหากเขาได้รับการสั่งสอนอย่างดีแล้ว เขาจะเป็นชาวคริสต์ที่ดีเลิศทีเดียวคนเหล่านี้มีเหตุผลเดียวที่จะไม่มาเป็นคริสตังก็คือ ไม่มีใครเดินทางมาสั่งสอนชี้นำทางให้เขาเป็นคริสตังได้ข้าพเจ้าคิดอยากจะออกเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยทั่วทั้งยุโรป โดยเฉพาะในปารีสตะโกนร้องเหมือนคนบ้า เผื่อว่าใครก็ตามที่ถูกฝึกให้เรียนหนังสือมากกว่าฝึกงานเมตตาจิตจะได้เกิดความสำนึกบ้างว่า น่าโศกเศร้าเพียงใดที่วิญญาณจำนวนมากจะต้องสูญเสียไปเพียงเพราะไม่มีใครนำเขาไปรู้จักพระเยซูคริสต์ บางทีพวกนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเหล่านั้นอาจจะกลับใจและร้องว่า“ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้วพระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้ข้าฯทำสิ่งใดโปรดส่งข้าพเจ้าไปยังที่ ๆ พระองค์ต้องการเถิด แม้แต่ในอินเดียก็ตาม”


 ในจดหมายของท่านที่เขียนไปยุโรปเรียกร้องจิตตารมณ์การเป็นธรรมทูตกลับไปยังบรรดาสมาชิกของคณะเยสุอิตท่านมีความปรารถนาอยากจะให้มีพระสงฆ์หรือผู้แพร่ธรรมที่ร้อนรนจำนวนมากในเอเชียดังที่ท่านส่งข้อความไปยังโรมว่า 


“พระคริสต์ผู้ทรงประสงค์จะเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งพระวรสารโดยใช้ข้าพระองค์คนรับใช้ที่ชั่วช้า ในแผ่นดินที่ร้อนจัด พระองค์ทรงใช้สิ่งสร้างที่น่าสงสารนี้ให้ทำงานอันใหญ่โตซึ่งนำความอับอายมาให้กับคนที่เกิดมาโดยมีความสามารถมากมายแต่ไม่ได้ใช้และยังเป็นการเสริมกำลังใจให้กับคนอ่อนแอ เมื่อพวกเขาได้เห็นข้าพเจ้าผู้ไม่มีอะไรนอกจากฝุ่นและขี้เถ้า ได้เป็นประจักษ์พยานในงานแบบเดียวกันกับอัครสาวกจะเป็นความยินดีเพียงใดหนอ ถ้าข้าพเจ้าจะได้กลายเป็นผู้รับใช้ของผู้ที่ได้อุทิศตนทำงานในสวนองุ่นของพระเป็นเจ้าอย่างแท้จริง”


งานของท่านในอินเดียใต้ได้ผลมากมายเพราะท่านรู้จักดัดแปลงพระวาจาของพระเป็นเจ้าให้เข้ากับวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นท่านใช้เวลาว่างนั่งแปลคำสอนออกเป็นภาษามะละบาร์ และเขียนสำเนาฝากเอาไว้กับผู้ที่สามารถอ่านออกเขียนได้ย้ำให้เขาคัดลอกออกแจกจ่ายเอาไว้ท่องจำหลายครั้งเมื่อมีคนเข้ามารุมล้อมขอความช่วยเหลือจากท่านมาก ๆไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมคนไข้ การฝังศพคนตาย ท่านก็ใช้วิธีสอนให้เด็ก ๆสวดบทข้าพเจ้าเชื่อฯ เพื่อส่งเป็นตัวแทนออกไปบรรเทาใจตามบ้านของผู้ป่วยสอนให้เขาสวดและยืนยันความเชื่อด้วย หลาย ๆครั้งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจากความไร้เดียงสาของพวกเด็ก ๆที่ไปยืนสวดอยู่ข้างเตียงคนป่วย 

ด้วยวิธีนี้ท่านก็สร้างเยาวชนธรรมทูตและกลุ่มคริสตชนจำนวนมาก ท่านบันทึกเอาไว้ว่า 

“หลาย ๆ ครั้งข้าพเจ้าต้องโปรดศีลล้างบาปให้คนทั้งหมู่บ้านในวันเดียวจนแขนของข้าพเจ้าล้าจนไม่อาจยกขึ้นได้ รวมทั้งหมดเสียงที่จะกล่าวบทข้าพเจ้าเชื่อรวมทั้งการโปรดศีลล้างบาปให้กับเด็ก ๆ ทารกซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าจะเติบโตขึ้นเป็นคนดีกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาสิ่งหนึ่งที่พวกเด็ก ๆ ร้อนรนมากก็คือการต่อต้านการบูชารูปเคารพ ทุก ๆครั้งที่พวกเขารู้เห็นการแอบบูชารูปเคารพในบ้านของบิดามารดา เขาจะรีบมาบอกข้าพเจ้าแล้วเราจะไปที่นั่นพร้อมกันกับเด็กๆ กลุ่มใหญ่ผู้ซึ่งจะทำให้ปีศาจต้องอับอายด้วยการดูถูกเหยียดหยามมันตรงกันข้ามกับที่มันได้รับเกียรติจากการบูชาของบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง เมื่อไปถึงพวกเขาจะวิ่งไปยังรูปเคารพเหล่านั้น ผลักให้ล้มลงและถ่มน้ำลายรด ทุบตีเตะต่อยจนกระทั่งแตกเป็นชิ้นๆ”


ด้วยความเคร่งครัดของท่านเกี่ยวกับการนับถือรูปเคารพที่ไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้และในอินเดียเองก็มีศาสนาดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้วคือศาสนาพราหมณ์ ก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับบรรดาพราหมณ์นักบวชซึ่งเป็นชนชั้นสูงและได้รับการศึกษาอย่างดีในสังคมอินเดียท่านบันทึกไว้ว่า


“พวกพราหมณ์บูชาพระเจ้าหลายองค์กระทำพิธีกรรมที่ลี้ลับเหนือธรรมชาติในเทวาลัยและบูชารูปเคารพ ข้าพเจ้ามักจะสอนพวกเขาด้วยคำพูดของดาวิดว่า“โปรดนำข้าพเจ้าออกจากจากกลุ่มชนที่ไม่บริสุทธิ์และชั่วร้ายด้วยเถิดพระเจ้าข้า”พวกพราหมณ์เป็นนักโกหกและขี้โกงจนเข้ากระดูกดำ พวกเขาศึกษาเรียนรู้อย่างเดียวคือจะทำอย่างไรจึงจะโกงคนยากจนได้ พวกเขาประกาศกับชาวบ้านว่า พระเจ้าต้องการทรัพย์สินเพื่อสร้างวิหารใหม่ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นเงินที่พวกพราหมณ์เองต้องการ หรือเป็นสิ่งของที่ครอบครัวของพราหมณ์ต้องการดังนั้นเขาจึงหลอกลวงชาวบ้านที่น่าสงสารว่า รูปเคารพเหล่านั้นสามารถกินและดื่มได้หรือตื่นและหลับได้เหมือนกับมนุษย์สามัญ ชาวบ้านน่าสงสารที่เคร่งครัดมาก ๆ จึงต้องถวายบูชาให้เทพวันละ 2 รอบ คือก่อนอาหารเย็นและก่อนอาหารค่ำ เป็นเงินจำนวนหนึ่ง พวกพราหมณ์จะกินเลี้ยงและดื่มไปพร้อมกับเสียงกลองเพื่อให้พวกชาวบ้านเชื่อว่าเทพเจ้ากำลังเสวยอยู่ด้วย และหากใครไม่ยอมถวายทรัพย์สินที่ต้องการพวกเขาก็จะอ้างว่าจะเป็นการทำให้เทพเจ้าพิโรธ และส่งภัยพิบัติต่าง ๆ นานามาให้ทั้งโรคระบาด ผีร้ายต่าง ๆ ชาวบ้านที่น่าสงสารก็จะเชื่อฟังอย่างไม่ยั้งคิด พวกพราหมณ์ไม่พอใจที่ข้าพเจ้ารู้ทันและพยายามส่งของขวัญต่างๆ มาติดสินบน แต่ข้าพเจ้าก็ส่งคืนทั้งหมด ในที่สุดพวกเขาก็สารภาพว่าเขาเชื่อว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียวเช่นกัน และสวดภาวนาให้กับข้าพเจ้าด้วยแต่ข้าพเจ้าตอบปฏิเสธไปว่า ข้าพเจ้ามาเพื่อประกาศยกเลิกการนับถือศาสนาที่เท็จเทียมหากพวกเขาจะอยู่ในหนทางที่หันหลังให้กับศาสนาพราหมณ์แล้วข้าพเจ้าก็คงยินดีสวมกอดพวกเขาด้วยศาสนาของพระเยซูคริสต์"


ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่กับพวกพราหมณ์ ข้าพเจ้าไม่สามารถกลับใจใครได้เลย นอกจากชายหนุ่มเพียงคนเดียววันหนึ่งข้าพเจ้าเดินผ่านเทวาลัยฮินดู ซึ่งในนั้นมีพราหมณ์อยู่กว่า 200 คนพวกเขาพร้อมใจกันออกมาพบข้าพเจ้า และได้สนทนากันกว่าชั่วโมง หลังจากข้าพเจ้าถามพวกเขากลับไปว่าพระเจ้าของเขาบัญญัติอะไรบ้างเพื่อจะได้รับชีวิตที่มีความสุขพวกเขาถกเถียงกันและส่งคนหนึ่งมาตอบข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ชราที่ดูมีประสบการณ์มีอายุกว่า 80 ปี เขากลับย้อนถามข้าพเจ้าว่า“แล้วพระเจ้าของพวกคริสเตียนกำหนดอะไรไว้บ้าง”

 ข้าพเจ้าสังเกตพฤติกรรมของเขาและนิ่งอยู่ไม่ยอมตอบจนกว่าเขาจะตอบคำถามแรกของข้าพเจ้าก่อนในที่สุดเขาก็สังเกตได้ว่าข้าพเจ้าจงใจที่จะไม่ตอบก่อน จึงกล่าวว่าเทพเจ้าของพวกเขามีบัญญัติ 2 ประการเท่านั้นที่จะช่วยให้ชีวิตได้รับความสุขสมบูรณ์ข้อแรกคือห้ามฆ่าโค เพราะว่าในรูปของโค พระเป็นเจ้าจะได้รับการเคารพคำตอบนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องลดความโกรธลง กลายเป็นความเศร้าใจสังเวชเพราะนี่คือความมุ่งหมายของปีศาจที่ดลใจให้พวกเขาเคารพบูชาพวกมันด้วยหัวใจที่มืดบอดแทนที่จะนมัสการพระเป็นเจ้าเที่ยงแท้ 

ข้อที่สองคือ ต้องแสดงความกรุณาต่อเหล่าพราหมณ์ซึ่งเป็นนักบวชเมื่อรับฟังแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอให้พวกเขาฟังบ้างโดยเริ่มจากการประกาศบทข้าพเจ้าเชื่อฯ ด้วยเสียงอันดัง และบอกพวกเขาว่าสวรรค์เป็นอย่างไร นรกเป็นอย่างไร หลังจากพวกเขาฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้วก็กรูกันมาสวมกอดข้าพเจ้า และประกาศว่าพระเจ้าของชาวคริสต์คือพระเจ้าเที่ยงแท้ และกฎของพระองค์ก็มีเหตุผลสมบูรณ์ พวกเขาถามต่อไปอีกว่าวิญญาณของมนุษย์นั้นเหมือนกับวิญญาณของสัตว์ ที่ต้องสูญสลายไปพร้อมกับร่างกายหรือไม่ในข้อนี้ต้องขอบพระคุณพระเป็นเจ้า ที่ช่วยประทานพระญาณสอดส่องลงมาให้ข้าพเจ้าจึงได้ตอบพวกเขาไปอย่างสมบูรณ์ 

ข้าพเจ้าสามารถกล่าวพิสูจน์ความเป็นอมตะของวิญญาณได้พวกเขายังถามข้าพเจ้าวิญญาณออกจากร่างกายได้อย่างไรหลังความตายและเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในความฝันด้วยหรือเปล่า สุดท้าย พวกเขาถามข้าพเจ้าว่าพระเป็นเจ้ามีสีผิวอะไร เพราะเขาเห็นว่ามนุษย์มีผิวกายหลายสีและด้วยเหตุที่ชาวอินเดียมีผิวสีดำจึงคิดว่าพระเป็นเจ้าควรต้องมีผิวกายสีดำ และเป็นสีดำอย่างยิ่งด้วยนอกจากนั้นรูปเคารพเหล่านี้ยังถูกทาด้วยน้ำมันจนเป็นมันลื่น ส่งกลิ่นประหลาด ๆนั่นทำให้ดูยิ่งน่าเกลียดขึ้นไปอีกจากที่โดยปกติก็น่าเกลียดอยู่แล้ว

 ข้าพเจ้าสามารถตอบคำถามพวกเขาด้วยเรื่องราวทางศาสนาได้ทั้งหมดจนกระทั่งเป็นที่พอใจแล้ว ก็มาถึงจุดประสงค์ของการแพร่ธรรมคือขอให้พวกเขายอมรับพระคริสต์ศาสนาแต่ทว่าพวกเขากลับลังเลและพูดกันว่าหากเปลี่ยนศาสนาแล้วพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรและใครจะมาหาเลี้ยงพวกเขาได้”

“ข้าพเจ้าได้พบพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งที่มีการศึกษาดีเขาบอกว่าได้รับการศึกษามาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงของอินเดียด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงอยากจะสอนศาสนาเขาโดยลำพังในที่สุดเขาก็ยอมบอกความลับทางศาสนาของเขา ซึ่งข้าพเจ้ารับรองว่าจะไม่บอกกับใครข้อหนึ่งในหลายข้อก็คือ ในที่สุดแล้วมีพระเป็นเจ้าเที่ยงแท้แค่องค์เดียวเป็นพระผู้สร้างฟ้าและแผ่นดิน เป็นผู้ที่เรามนุษย์สมควรจะกราบสักการะเขาบอกว่ารูปเคารพต่าง ๆ นั้นแท้จริงเป็นรูปจำลองของปีศาจพวกพราหมณ์มีตำรับตำราต่าง ๆ ที่บรรจุคำสอนของพระเจ้าเที่ยงแท้ไว้แต่เวลาเรียนนั้นต้องใช้ระบบมุขปาฐะคือถ่ายทอดปากต่อปากก็เหมือนกับที่เราเรียนในภาษาลาติน เขาได้อธิบายข้อความเชื่อต่าง ๆ ของเขากับข้าพเจ้าโดยลำพังเขาย้ำอีกว่า ในวันสำคัญทางศาสนาของพราหมณ์ พวกเขาจะไปชุมนุมกันสวดซ้ำ ๆ ว่า“โอ้พระเจ้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระองค์ตลอดนิรันดร” 

พวกเขาปฏิญาณว่าจะต้องสวดซ้ำ ๆ เช่นนี้ด้วยเสียงต่ำเขายังอธิบายว่า ด้วยกฎของธรรมชาติ พวกพราหมณ์สามารถมีภรรยาได้หลายคนและในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ยังเสริมว่า ในอนาคตจะมีวันที่มนุษย์ทั่วทั้งโลกจะนับถือศาสนาเดียวกัน เมื่ออธิบายจบเขาก็ขอให้ข้าพเจ้าช่วยอธิบายข้อความเชื่อในศาสนาคริสตังและสัญญาว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ แต่ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าจะไม่สอนสักคำเดียวถ้าท่านไม่สัญญาว่าจะเผยแพร่พระคริสต์ธรรมออกไป หลักธรรมของศาสนาคริสตังก็คือ“ผู้ที่เชื่อและได้รับศีลล้างบาปก็จะรอด” ด้วยพระวาจานี้และด้วยคำอธิบายของข้าพเจ้าก็เป็นการสรุปบทข้าพเจ้าเชื่อฯทั้งครบ ชายหนุ่มรีบจดบันทึกไว้อย่างระมัดระวังรวมทั้งเรื่องของบัญญัติสิบประการด้วย ในที่สุดเขาก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเขาได้ฝันว่าตัวเขาเองกลายเป็นชาวคริสต์ด้วยความยินดีอย่างล้นเหลือและกลายเป็นพี่น้องร่วมงานกับข้าพเจ้า เขาขอให้ข้าพเจ้าล้างบาปเขาอย่างลับ ๆแต่ด้วยการกระทำเช่นนี้ย่อมขัดกับความชอบธรรมและไม่ถูกต้องข้าพเจ้าจึงมิได้ล้างบาปให้เขา แต่มั่นใจว่าด้วยพระเมตตาของพระเป็นเจ้าวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นชาวคริสต์ที่ดีข้าพเจ้าจึงย้ำให้เขาออกไปประกาศแก่คนไม่รู้หนังสือทั้งหลายว่า มีพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวผู้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินแต่เขากลับขอร้องข้าพเจ้าว่าเขาจำเป็นต้องยึดมั่นในคำสัญญาที่ให้ไว้กับอาจารย์เพราะหากเขาประกาศความลับนี้ออกไป เขาอาจถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงได้”

ต่อมาเมื่อท่านทราบว่าคณะเยซูอิตได้รับการรับรองจากสันตะสำนักและมีพระวินัยเรียบร้อยแล้วท่านจึงเข้าปฏิญาณตนต่อพระสังฆราชแห่งกัวและกลายเป็นผู้ปฏิบัติงานของคณะในภาคพื้นอินเดียเมื่อท่านจัดการปลูกฝังความเชื่อลงในอินเดียอย่างมั่นคงแล้ว ท่านก็ออกเดินทางจากอินเดียไปมะละกาซึ่งเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส และเป็นศูนย์กลางการเดินทางของทวีปเอเชีย จากมะละกาท่านได้ออกไปเทศน์สอนตามหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลแปซิฟิกแม้ว่าจะมีอันตรายใหญ่หลวงเพราะการเดินทะเลในยุคนั้นจะต้องอาศัยความกล้าหาญแต่ท่านก็ทำงานของพระได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 


ในปี 1547ท่านได้รู้จักกับอันจิมะ ชาวญี่ปุ่นที่หนีโทษมาพึ่งพาชาวโปรตุเกส และต่อมาได้รับศีลล้างบาปในนามเปาโลเขามีความร้อนรนมากและต้องการจะพบกับฟรังซิส พระสงฆ์ที่ชาวมะละกาทั้งปวงกล่าวขวัญถึงเปาโลได้เสนอให้ท่านไปแพร่ธรรมที่ญี่ปุ่นโดยกล่าวว่าที่ญี่ปุ่นนั้นมีระบบศีลธรรมและประเพณีที่ใกล้เคียงกับสเปน ท่านจึงตัดสินใจเดินทางไปญี่ปุ่นแต่ก่อนหน้านั้นท่านเดินทางกลับไปสอนหนังสือในเมืองกัวเป็นระยะสั้น ๆ ในสามเณราลัยเซนต์ปอลที่รับนักศึกษาจากดินแดนห่างไกลทั่วทั้งทวีปเอเซียและแอฟริกาตะวันออก


ฟรังซิสเดินทางมาถึงคาโกชิมา ที่ญี่ปุ่นในปี 1549 และเดินทางไปยังเกียวโตเพื่อจะเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการขอเฝ้า ต่อมาท่านก็พบว่าพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นนั้นไร้ซึ่งพระราชอำนาจที่แท้จริงอำนาจทางการทหารตกอยู่ในกำมือของเหล่าขุนพลต่าง ๆที่ครองแคว้นดินแดนเสมือนเจ้าที่ดินในยุโรป แต่ท่านก็ได้รับอนุญาตจากไดเมียวหรือเจ้าผู้ครองนครให้เผยแผ่ศาสนาได้ตามใจชอบ

อย่างไรก็ตามด้วยอุปสรรคทางภาษา ท่านไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ จึงได้แต่อ่านคำแปลคำสอนดัง ๆในที่สาธารณะเท่านั้น ท่านทำงานในญี่ปุ่น 2 ปี และก่อตั้งวัดหลายแห่งมีชาวบ้านกลับใจมากมาย เมื่องานที่ญี่ปุ่นเกิดผลดีและมีธรรมทูตตามมาอีกหลายคนท่านจึงตัดสินใจจะไปแพร่ธรรมยังประเทศจีนท่านเดินทางออกจากเมืองท่าซางตาครู้สและมาถึงเกาะซางชวน ห่างจากแผ่นดินใหญ่ไปเพียง14 กิโลเมตรแต่ก็ไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศจีนได้เพราะขณะนั้นรัฐบาลจีนปิดประเทศห้ามมิให้ชาวต่างชาติเข้าไป ท่านจึงติดอยู่ในเกาะนั้นแม้ว่าจะพยายามขอความช่วยเหลือจากชาวจีนและเสนอเงินจำนวนมาก แต่ท่านก็เข้าไปประเทศจีนไม่ได้อยู่ดีระหว่างที่รอความหวังอยู่นั้น 

ท่านล้มป่วยลงระหว่างทำมิสซาและอาการกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคืนวันที่ 2 ธันวาคม 1552ฟรังซิสก็สิ้นใจในห้องเก็บของใต้ท้องเรือบนเกาะซางชวนนั้นเอง ก่อนจะสิ้นใจท่านภาวนาถึงพระเป็นเจ้าว่า 

“ในพระองค์พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าหวังในพระองค์ อย่าให้ข้าพเจ้าหลงทางเลย”

ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์ของบรรดาผู้แพร่ธรรมและได้รับสมญานามว่าเป็นธรรมทูตแห่งเอเซียผู้เดินทางแพร่ธรรมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นที่สองรองจากท่านนักบุญเปาโล

ตัวอย่างที่ดีของเพื่อน ๆ คือนักบุญอิกญาซีโอและชาวคณะเยซูอิตทำให้ท่านตัดสินใจเปลี่ยนทางเดินชีวิตของตนจากความสะดวกสบายในบ้านเมืองของตนเองออกไปประกาศพระวรสารในดินแดนห่างไกลที่ยังไม่รู้จักพระเยซูคริสตเจ้าท่านทำงานไปพร้อมกับคำภาวนาและใช้ชีวิตของตัวเป็นตัวอย่าง มีชีวิตจิตที่ร้อนรนด้วยความประสงค์จะช่วยวิญญาณให้รอดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้แม้ว่าชีวิตการแพร่ธรรมของท่านจะไม่ยาวนานนัก ประมาณ 11 ปีเท่านั้น แต่ด้วยช่วงเวลาเพียงเท่านี้ ท่านเดินทางจากโมซัมบิคไปยังเมืองกัวและชายฝั่งทางใต้ของอินเดีย ออกเดินทางไปยังมะละกาในมาเลเซียและเข้าไปยังหมู่เกาะเครื่องเทศในทะเลแปซิฟิค จากนั้นก็เดินทางไปยังญี่ปุ่นจากญี่ปุ่นท่านทิ้งคริสตชนใหม่ไว้ 2000 คนให้ธรรมทูตรุ่นหลังทำงานต่อตัวท่านกลับมาที่มะละกาและตั้งใจจะไปแพร่ธรรมในจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากสำหรับคนเมื่อ 500 ปีก่อนที่เดินทางด้วยเรือและเท้าไปทั่วเอเชียโดยไม่ต้องการแสวงหาทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจเพียงเพราะความเชื่อและความเมตตาที่จะนำพระคริสต์เจ้าไปสวมกอดชนชาติที่ยังไม่รู้จักพระองค์ท่านนักบุญทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยมือของท่านเพียงข้างเดียวก็ล้างบาปประชาชนไปถึง 30,000 คน


ปล. ทัศนคติเกี่ยวกับศาสนาอื่นๆของนักบุญฟรังซิสเป็นผลมาจากทัศนคติ

ของความเชื่อในยุคนั้น ปัจจุบัน พระศาสนจักรคาทอลิกเปลี่ยนท่าทีและ

ทัศนคติเช่นนั้นแล้ว คาทอลิกเคารพความจริงอื่นๆที่อยู่นอกพระศาสนจักร

เช่นเดียวกัน ให้เกียรติและแสวงหาแนวทางร่วมที่จะอยู่ด้วยกันบนพื้นฐาน

ของสันติสุขและการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ท่าทีของเมื่อ 500 ปีก่อนหมด

ไปแล้ว และเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ผู้ที่อ่านงานเขียนทางประวัติศาสตร์

มามากพอย่อมเข้าใจทัศนคติเช่นนี้ 






Create Date : 25 ตุลาคม 2559
Last Update : 28 ตุลาคม 2559 1:10:33 น.
Counter : 2594 Pageviews.

0 comments
Damunt de tu només les floors by Frederic Mompou ปรศุราม
(9 มี.ค. 2567 09:58:10 น.)
Scots Song by James Macmillan ปรศุราม
(27 ก.พ. 2567 10:31:09 น.)
Se il mio nome saper voi bramate from Il Barbiere di Siviglia by Gioacchino Rossini ปรศุราม
(24 ก.พ. 2567 10:16:16 น.)
เวลาที่หายไป - บทที่ 16 ดอยสะเก็ด
(15 ก.พ. 2567 10:54:19 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Patisonii.BlogGang.com

ปลาทองสยองเมือง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]