เชียงดาว...เพียงดาว ลมหนาวที่กำลังมาเยือนเหมือนจะส่งสัญญาณเตือนฉันและเพื่อนๆเหล่านักผจญภัยหัวใจอิสระให้ออกเดินทางกันอีกครา ย้อนไปหลายปีก่อน ...เมื่อย่างเข้าฤดูหนาวราวๆต้นเดือนพฤศจิกายน ...บ่ายอ่อนๆ ริมระเบียงหน้าห้องเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ฉันกำลังนั่งมองแม่น้ำเจ้าพระยา ...แม่น้ำสายหลักของคนไทย แม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตนับไม่ถ้วนบนผืนแผ่นดินไทย แม่น้ำที่ให้ความเย็น ความสบายตา และความสบายใจแก่พวกเราชาวธรรมศาสตร์เสมอมา อาจเพราะมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ความคิดยุ่งเหยิงต่างๆมันจึงวนไปมาในหัวฉันไม่หยุด ชีวิตนักศึกษาปีสุดท้ายของฉันกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ชีวิตในโลกแห่งความฝันในรั้วมหาลัยแห่งนี้กำลังจะสิ้นสุดลง ฉันรู้สึกสับสนยิ่งนักเพราะตลอดเวลาสี่ปีในรั้วมหาลัยแห่งนี้ฉันพยายามอย่างหนักที่จะค้นหาตัวเอง แต่ทว่า...ฉันล้มเหลว เพราะท้ายที่สุด ฉันยังคงไม่รู้จักตัวเอง ... หรือบางที ฉันอาจไม่กล้าพอที่จะยืนหยัดในความเป็นตัวฉัน เพราะสิ่งนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นคาดหวังให้ฉันเป็น ...ก็เป็นได้ ... ... ... ... ... ... ... ....ตกลงจะไปเที่ยวด้วยกันรึเปล่า ต้องจองตั๋วแล้วนะ... ... ... ... ... ... ... ... ฉันตอบตกลงในทันที โดยไม่ได้ซักถามรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น รู้แค่เพียงว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการรวมตัวของเพื่อนๆ นักศึกษาจากหลากหลายสถาบันที่มีภูมิลำเนาแห่งเดียวกัน...และประสบชะตากรรมอย่างเดียวกัน ชะตากรรมที่ต้องพลัดพรากถิ่นฐานมาศึกษาอยู่ในเมืองกรุง ...แม้ฉันแทบไม่รู้จักเพื่อนร่วมทริปนี้ก็ตาม แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการตัดสินใจครั้งนี้ คงเพราะกิตติศัพท์อันเลื่องชื่อของเชียงดาว และการหนีออกไปจากสภาพที่เป็นอยู่คงทำให้ฉันหยุดคิดเรื่องต่างๆที่รบกวนจิตใจได้ชั่วขณะ...ฉันเหนื่อยเหลือเกิน และฉันต้องการการพักผ่อน ฉันและเพื่อนๆอีกกว่าหนึ่งโหลออกเดินทางทันทีในเย็นวันนั้น ...มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ เช้าตรู่วันใหม่ฉันตื่นนอนขึ้นมาบนรถทัวร์ขณะที่กำลังแล่นฝ่าสายหมอกซึ่งทอดผ่านระหว่างหุบเขาเข้าสู่ตัวเมืองเชียงดาว ณ ตัวเมืองเชียงดาว พวกเราเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมตลาดอยู่พักใหญ่ บรรยากาศยามเช้าสดชื่นมาก หมอกขาวโพลนปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง หลังจากกินมื้อเช้าและหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ต้านความหนาวกันแล้ว สถานที่แรกที่ได้เยี่ยมผลคือถ้ำเชียงดาว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวัดเชียงดาวนั่นเอง ความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้อย่างลงตัวสร้างความอัศจรรย์ให้พวกเรายิ่งนัก ณ ที่ทำการอุทยานเชียงดาว พวกเราต้องจัดการกับสัมภาระจำนวนมากที่ต้องใช้ประทังชีวิตให้อยู่รอดในอีกสามวันสองคืนข้างหน้า แม้จะได้พี่ๆลูกหาบมาผ่อนแรงถึงสี่คนแล้วก็ตาม แต่เป้ของพวกเราแต่ละคนก็ยังตุงไม่เป็นทรงและหนักอึ้งไปด้วยเสื้อผ้า อาหารและอุปกรณ์ทำครัว อีกทั้งสองมือยังต้องหอบหิ้วถุงใส่ขวดน้ำดื่มไว้อย่างพะรุงพะรัง เพราะการขึ้นดอยครั้งนี้ น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพ ทุกคนจึงต้องพกติดตัวไว้ไม่ต่ำกว่าคนละสองขวดลิตร พวกเราเริ่มต้นเดินเท้าเมื่อเวลาประมาณสิบเอ็ดโมง โดยเลือกใช้เส้นทางสายบ้านแม่นะ แรกๆ นั้นทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส และตื่นตาตื่นใจกับการชมวิว แต่อีกไม่ถึงชั่วโมงต่อมาเสียงพูดคุยเริ่มขาดหาย แต่ละคนใช้สมาธิจดจ่อกับจังหวะการหายใจ เพื่อให้สัมพันธ์กับแต่ละก้าวย่าง จากนานๆ ทีก็เริ่มถี่ขึ้นกับเสียงเรียกร้องให้หยุดพักและดื่มน้ำ ทางที่เดินนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเดินขึ้นบันไดดีๆ นี่เอง พวกเราจึงมักตะโกนถามทางเพื่อนที่อยู่แนวหน้าอยู่บ่อยๆว่าเมื่อไหร่จะถึงทางราบสักที แต่คำตอบที่ได้รับมักไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เรายังคงอยู่บนทางที่ลาดชัน...ไปอีกหลายชั่วโมง เกือบสี่โมงเย็น เราเลือกกางเต็นท์ค้างแรมค้นแรกที่บริเวณหุบเขาก่อนถึงป่าคา เพราะด้วยกำลังกายที่อ่อนล้าเต็มทีคงไม่สามารถหอบสังขารไปถึงลานพักอื่นได้อีกแล้ว พวกเราต้องรีบจัดแจงกางเต็นท์สี่หลังและทำอาหารกินกันเป็นการด่วนก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนช่วยเหลือกันอย่างแข็งขันเพื่อจะได้ผ่านพ้นสภาวะหิวโซนี้ไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดอาหารมื้อแรกก็ถูกลำเลียงลงสู่กระเพาะน้อยๆ อย่างเอร็ดอร่อยภายในพริบตา ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ยิ่งมืดก็ยิ่งหนาว พวกเราค่อยๆ ล้อมวงใกล้กันเข้ามามากขึ้น กองไฟถูกจุดท่ามกลางวงล้อม แล้วเรื่องเล่ามากมายก็พรั่งพรูออกมาจากพวกเราแต่ละคนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมสุข ความสนุกและเสียงหัวเราะที่ดังอยู่ค่อนคืนช่วยบรรเทาความหนาวไปได้ไม่น้อย ...บางคนจิบน้ำวิเศษที่คนทั่วไปรู้จักในนาม เหล้าขาว เพื่อนคลายความหนาวก่อนโบกมือราตรีสวัสดิ์ให้ดวงดาว อรุณรุ่งวันใหม่ ทุกคนตื่นแต่เช้า แล้วก็เริ่มเล่าวีรกรรมในการพิชิตความหนาวเหน็บ บ้างก็คุยโวอย่างภูมิใจที่ได้แย่งถุงนอนของคนข้างๆ บ้างก็ตัดพ้อต่อว่าเพื่อนที่ไม่แบ่งปันผ้าห่ม มิพักต้องคิดถึงเรื่องการล้างหน้าแปรงฟันยามเช้าแต่อย่างใด เพราะน้ำที่เตรียมมานั้นคงมีไม่พอสำหรับการนั้นเป็นแน่... หลังอาหารเช้าแล้วก็ต้องเก็บของเพื่อเดินทางต่อ คราวนี้พวกเราเริ่มรู้จังหวะการย่ำเท้าดีขึ้น ก้าวช้าลง แต่เพิ่มความถี่ในการพักมากขึ้น เดินไปชมนกชมไม้ไปตลอดทางเพื่อเบนความรู้สึกเหนื่อยออกจากจิตใจ ต้นไม้ที่พบมากบริเวณนี้คือต้นค้อดอยและต้นเหยื่อจง นานๆ จึงจะเห็นดอกชมพูเชียงดาวมาเติมสีสันสักที บ่อยครั้งที่เดียวที่พวกเราเพิ่มความสนุกให้การเดินด้วยการแซวกันไปเย้ากันมา เรื่องราวเก่าๆของเพื่อนเก่า ทำให้หวนรำลึกถึงบรรยากาศในวันวานยิ่งนัก ระหว่างทางมีนักท่องเที่ยวที่เดินสวนทางไปมาไม่ขาดสาย และแทบจะกลายเป็นธรรมเนียมที่ต้องทักทายกันตามประสาเพื่อนร่วมทาง แม้จะเป็นคนแปลกหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่การเดินทางบนรอยทางสายเดียวกันเส้นนี้ เราต่างล่าจุดหมายเดียวกัน ทำให้ทุกคนเป็นมิตรกันโดยปริยายเสมือนหนึ่งรู้จักกันมาเนิ่นนาน มันช่างเป็นมิตรภาพของคนตัวเล็กๆที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน อีกหกชั่งโมงถัดมา พวกเราก็มาถึงลานกางเต็นท์กันอีกครา บะหมี่สำเร็จรูปถูกปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานในไม่ช้าเพราะอาหารมื้อเที่ยงนั้นเป็นขนมปังเพียงสองแผ่น เมื่อรอจนแดดร่มลมตก ก็ได้เวลาพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาวกันสักที แม้ต้องเดินขึ้นยอดดอยอีกไม่ไกลเมื่อเทียบระยะทางที่เดินมาทั้งวัน แต่ด้วยความชันของภูเขาหินปูนแห่งนี้อีกทั้งยังแหลมคมทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดินและปีนป่ายมากโข ...แชะ... ในที่สุดรูปรวมบนยอดดอยที่สูงเป็นอันดับสามของประเทศไทยก็ถูกบันทึกลงแผ่นฟิล์ม ...และถูกจากรึกไว้ในใจของพวกเราทุกคน แม้ท้องฟ้าไม่โปร่งเท่าใดนัก แต่ภาพที่เห็นลางๆ ท่ามกลางกลุ่มหมอกเบื้องหน้าคงการันตีถึงความยิ่งใหญ่ของเชียงดาวได้ดียิ่งนัก เทือกเขาสูงตระหง่านมากมายทอดตัวสลับซับซ้อน แลดูเหลื่อมล้ำกันไปยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ฉันพยายามยืนนิ่งๆ สูดลมหายใจเข้าปอดให้นานที่สุด ว่ากันว่าบนที่สูงมากๆ มักจะเป็นแหล่งรวมพลังแห่งพื้นพิภพ ...บัดนี้ฉันได้เติมเชื้อเพลิงให้ชีวิตมีแรงก้าวต่อ เพื่อกลับไปต่อสู้กับอุปสรรคอีกมากมายที่รออยู่ ไม่ว่าใครจะเรียกขานที่นี่ว่าอย่างไร เชียงดาว... เปียงดาว... หรือเพียงดาว... ฉัน...ฉันคงหลงรักที่นี่เข้าซะแล้วล่ะ บนทางหลวงหมายเลข 107 รถทัวร์กำลังแล่นออกจากตัวอำเภอเล็กๆ มุ่งหน้าสู่มหานครอีกครา ภูเขาที่รายล้อมอยู่สองข้างทางกับถนนสายยาวเหยียดนี้กลับหลายเป็นเส้นเล็กๆ อยู่บนแผนที่มือของฉัน ...คนเราล้วนอยู่ในโลกสมมติ... ฉันนึกถึงถ้อยคำที่ใครคนหนึ่งกล่าวไว้ก่อนจะเอ่ยอำลาเชียงดาวอย่างเป็นทางการ แม้ไม่สัญญาใดๆ ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ แต่ความทรงจำดีๆ ระหว่างพวกเราและที่นี่จะยังคงอยู่เสมอ นานเท่านาน... Special thanks: ต้อ หัวโจกจัดทริปนี้ และ มุก แม่ที่แสนดีของพวกเรา โบ สาวมั่นแห่งยุด , และสุภาพบุรุษ บอล , ปิย่า , และ วิดย่า The gang ยอด , จึ่ง , โบโบ้ และ เพื่อนบิ๊ม สำหรับทุกความฮา แอ้ , แอ๊ด และ ทราย ...ขอบคุณ by pangfoto ตอนพี่เป็นนักศึกษา อยากไปท่องเที่ยวถ่ายรูปกับเพื่อนๆแบบนี้มากๆ
แต่ไม่มีโอกาส ไม่รู้ว่าจะหาโอกาสมาจากไหน จนป่านนี้ก็ยังไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส ถ้าหากว่า มีใครชวนไปไหน อยากจะรีบตะครุบไว้ บรรยายได้ดีมากๆจ้ะ และภาพก็ดูสวยด้วยนะ อยากได้กล้องใช้ฟิล์มดีๆ ไว้สักตัว บ้างจัง โดย: filmgus วันที่: 11 พฤศจิกายน 2549 เวลา:10:54:52 น.
//kanatex.multiply.com
โดย: 1114A IP: 61.7.217.254 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2549 เวลา:20:15:35 น.
ไม่ได้แวะมาทักตั้งนาน
my friend...u r sud yod jin jin. เขียนดีจัง อ่านแล้วขนลุก...ชอบ ชอบ โดย: pabsi_pab IP: 58.8.122.131 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:13:24:34 น.
โห เขียนได้ เยี่ยมสุด ๆ เลยคับ
โดย: BBB IP: 124.122.161.150 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:38:01 น.
|
ช่างซาบซึ้งใจจริงๆๆๆ