+++ประสบการณ์ระทึกขวัญในสนามบิน LHR Part4+++ คืนนั่นเป็นคืนแรกที่ผมต้องนอนที่สนามบิน โดยทางสนามบินมีการอำนวยความสะดวกให้ด้วยการ แจกเสื่อ ผ้าห่ม น้ำเปล่า และแซนด์วิช ให้ผู้โดยสารทุกคน ในคืนนั้นผมเจอคนหลากหลายอารมณ์มาก กลุ่มคณะทัวร์ที่ตกเครื่องยกกลุ่ม คนรัสเซียกลุ่มหนึ่งที่นั่งมาที่นี่เพื่อทรานสิท แต่ต้องมาติดอยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีเงินปอนด์แม้แต่เพนนีเดียว คนแอฟฟริกันที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสบายขึ้นอีกนิดนึงโดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะลำบากมากขึ้นแค่ไหน คุณแม่ที่พยายามกล่อมลูกเล็กให้นอนหลับ คุณยายแก่ๆ ที่นั่งตัวสั่นร้องไห้ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับเค้า พวกผมเหมือนกลุ่มผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลุ่มใหญ่ที่พยายามหนีเข้าประเทศ และไม่มีที่อยู่ที่กิน ซึ่งตอนนี้เท่าที่ผมทราบยอดรวมผู้ประสบชะตากรรมเดียวกับผมมีไม่ต่ำกว่า 25,000 คน ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดคือทีชาร์จมือถือ เพราะเงินปอนด์ที่ผมเหลืออยู่มีเพียงแค่ที่ชาร์จแบตมือถือ ผมโทรไปหาแฟนผมรบกวนให้เธอช่วยแจ้งสถานการณ์ของผมให้่ทางบ้านรู้ และให้เธอช่วยเปลี่ยนตั๋วผ่านเวปให้่ด้วย ซึ่งเธอก็เต็มใจช่วยอย่างดี ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว นอกจากนี้เธอยังหารหัส Pin Phone มาให้ เพื่อผมจะได้โทรตู้สาธารณะฟรี ต่อให้เงินหมดแล้วก็ตาม (ขอบคุณมากๆ นะครับ) ส่วนตัวผมเองก็พยายามต่อรองกับพนักงานทุกวิถีทางเพื่อจะหาทางเข้าไปเอากระเป๋า จนในที่สุดเค้าก็อนุญาตให้ผมเข้าไปในห้องเก็บกระเป๋า ส่วนเรื่องที่ผมจะเจอกระเป๋ารึเปล่าต้องวัดดวงเอา เพราะเค้าเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งผมลืมพกดวงมาจากเมืองไทยซะด้วยสิ T_T เมื่อผมเข้ามาในห้องเก็บกระเป๋า ผมก๋พบกับฝูงคนกลุ่มใหญ่ที่ลงมาต่อเครื่องที่นี่และยังไม่ได้ออกจากห้องนี้ และแน่นอนกระเป๋าจำนวนมากกว่า 25,000 ใบ ของผู้โดยสารที่นั่งมาลงที่นี่ ซึ่งกระเป๋าบางใบก็ถูกแปรสภาพไปเป็นที่นั่งที่นอนให้พวกที่เอาตัวเองสบายเข้าว่า โดยคนกลุ่มนี้ไม่แคร์ว่าของข้างในจะแตกหักเสียหายยังไงบ้าง หลังจากผมเดินวนรอบห้องเพื่อดูกระเป๋าทุกใบไม่ต่ำกว่า 3 รอบ ผมก็ตัดสินใจไปติดต่อ BA (อีกรอบ) ว่ากระเป๋าผมอยู่ที่ Terminal นี้หรือ Terminal 1 ที่ผมนั่งเครื่องมาลง ซึ่งจากการต่อแถวอันแสนนานผมก็ได้รับคำตอบที่แสนประทับใจ ไม่ต้องเป็นห่วง กระเป๋าคุณอยู่ใน Terminal นี้แหละ แต่ผมไม่สามารถให้คุณเอาออกไปได้ แล้วตรูมาทำบ้าอะไรในห้องนี้ตั้ง 2 ชมฝ่าๆ ฟะ -*- เมื่อผมออกมาน้องห้องผมก็โทรไปแจ้งสถานการณ์ให้แฟนผมฟัง แฟนผมก็เลยถือโอกาสแจ้งข่าวดีให้ผมฟังด้วย ระบบจองตั๋วของ BA ล่ม จึงไม่มีทาง Rebook ใหม่ได้อย่างแน่นอน แต่ผมก็ยังคงไม่อยากละความหวังเพราะถ้าผมรู้ว่าตั๋วเที่ยวหน้าของผมเป้นกีโมงผมอาจจะได้ไปนอนนอก terminal ก็ได้ ผมจึงตัดสินใจลองไปใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปเบอร์กลางดู ซึ่งผมก็ได้รับการช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มเมกันที่นั่งอยู่ข้างโทรศํพท์คนนึง เค้าบอกผมว่า "เชื่อผมเค้ายกหูโทรศัพท์ออกแล้ว เพราะผมอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ 2 ทุ่ม จนตอนนี้(ตี2) ผมยังไม่เห้นใครโทรติดเลย" สรุปตรูได้เป็นพระเอก The terminal ภาค 2 พร้อมกับตัวแสดงร่วมอีก 25,000 คนแล้วใช่มั๊ยเนี่ย ผมเริ่มมองซ้ายมองขวาหา Location เหมาะๆ ในการปูเสื่อนอน แล้วผมก็เห็น Location ที่เจ๋งสุดๆ ทางงูสำหรับใช้ในการติดต่อ BA แถมคิวยังไม่ยาวด้วย เพราะ Counter ที่เปิดแค่ 2 Counter จาก 60 Counter เพิ่งปิดได้ไม่นาน พอตื่นมาก็อยู่ในคิวต้นๆ เลย เจ๋งสุดๆ ผมแทบจะรีบวิ่งไปปูเสื่อจองที่ก่อนที่คิวจะยาวนี้ และผมก็ทำสำเร็จ ไม่อยากจะบอกเลยว่านี่เป็น ชัยชนะครั้งที่ใหญ่ที่สุดของผมในวันนี้ สงสัยว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภจะยังไม่ทิ้งผมอย่างจริงจังนะเนี่ย ผมรีบปูเสื่อนอน ซึ่งขณะนั้นนาฬิกาข้อมือของผมก็บอกเวลา 2.30 พอดี นั่นแปลว่าผมมีเวลานอนประมาณ 2 ชมครึ่งก่อนที่ Counter จะเปิด ผมจัดแจงถอดรองเท้าหุ้มข้อคู่ใหญ่ ก่อนจะเอาผ้าห่มถุงใหญ่มาทำเป็นหมอน พร้อมทั้งรูดซิบเสื้อเจ็คเก็ตให้แน่น แล้วเอาผ้าห่มอีกผืนมาคลุมตัว เท่านั้นผมก็พร้อมจะนอนได้แล้ว อาจจะเพราะผิดไข้ที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ช่วยให้ผมเลยหลับทันทีที่หัวถึงหมอน(ผ้าห่ม) ชนิดที่เรียกว่าหลับก่อนที่ผมจะถอดแว่นตาออกซะด้วยซ้ำ หลับแบบไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าตอนที่ตื่นเนี่ยตื่นเพราะประกาศของทางสนามบิน -_-" มองนาฬิกาข้อมือก็เพิ่งจะตี 4 นี่หว่า จึงต้องจำใจกดสวิทซ์ในหัว เปิดโหมดรับฟังภาษาต่างประเทศซะ 1 ที ไม่งั้นเดี๋ยวไม่รู้เรื่อง แอทเทนชั้นพรีสสส นีเป็น่ประกาศขับไล่กลุ่มแรงงานต่างด้าว เอ๊ยไม่ใช้ ผู้โดยสารที่นอนอยู่ให้ออกไปนอก Terminal 4 โดยด่วน เพื่อให้พนักงาน Clear พื้นที่เตรียมรับผู้โดยสารของวันที่ 4th July ตกลงที่ผมได้ที่นอนในคิวต้นๆ นี่ไม่มีประโยชน์เลยใช่มั๊ยเนี่ย -_-" ตรูน่าจะนึกได้นะว่าตรูลืมดวงไว้ที่เมืองไทย จะมีเรื่องโชคดีแบบนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง -_-" เมื่อผมออกมานอกห้องผมก็เห็นเต๊นท์ 2 เตนท์เตนท์แรกอยู่ซ้ายมือ เตนท์ที่ 2 อยู่ขวามือ กับพนักงานของสนามบินที่ประกาศให้คนเดินตรงไปเรื่อยๆ ด้วยความหนาวผมเลยเลือกที่จะซุกอยู่แถวๆ เตนท์รอฟังประกาศต่อไป ซักพักก็มีพนักงานเอาป้ายมาติดหน้าเตนท์แรกว่า "Re-TICKET" เตนท์ที่ 2 ชื่อ "CHECK-IN" งานนี้มีเฮดิ ผมอาศัยความคล่องตัวของกระเป๋าใบเดียวรึบวิ่งเข้าไปอยู่ในเตนท์ Re-Ticket ได้สำเร็จ เย้ๆ พอเข้าไปข้างในก็เจอกับกลุ่มคนที่แออัดยัดเยียดพอสมควร เพราะทุกคนต่างก็พยายามอัดกันเข้ามาในเตนท์นี้ให้ได้ จนทำให้่คนที่อยู่ในเตนท์เหลือพื้นที่ให้ขยับเท้าไม่เกินคนละ 5 เซนต์ แน่นอนรวมทั้งคนท้อง คนแก่ และผู้หญิงมีลูกเล็กอายุไม่เกินขวบ เพราะทางสนามบินไม่อนุญาตให้ใครอยู่ในสนามบินอีกแม้แต่คนเดียวโดยไม่มีข้อยกเว้น ุุุ้้ถ้าให้ต้องเลือกระหว่างตากอากาศหนาวตอนตี 4 ใน Car Park กับอยู่ในเตนท์อัดๆ ผมว่าเตนท์อัดๆ อาจจะดีกว่าก็ได้นะ ซึ่งเมื่อเวลายิ่งผ่านไปนาน พื้นที่รอบตัวที่ผมเคยมีอยู่ 5 ซม ก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าใครก็อยากได้ไปก่อน เริ่มมีการดัน เริ่มมีการแซง เริ่มมีการด่าทอใส่กันด้วยความเครียด เริ่มมีการสบถคำหยาบคายมากขึ่้น ี และเริ่มมีคำว่าน้่ำใจน้อยลง ระหว่างที่ผมอยู่ในเตนท์ก็มี Staff ของทางสนามบินเอาน้ำ และแซนด์วิชมาแจก ซึ่งแน่นอนมันไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนทุกคน ทำให้ Staff ต้องเอามาแจกหลายรอบพอควร แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนบางจำพวกที่หยิบทีเดียว 5 อัน 10 อัน หรือแซงคิวขึ้นไปแย่งก่อน เพียงเพราะตัวเองหิวและมันไม่น่าจะพอกิน ส่วนตัวผม ผมกินน้ำแค่ขวดเดียว เพราะผมกลัวการที่จะต้องเข้าห้องน้ำมากๆ ถ้าปวดขึ้นมาคงลำบากน่าดู ที่ๆ จะยืนก็ยังไม่มีไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวเองออกไปได้ถึงห้องน้ำรึเปล่า ประกอบกับผมเดินทางคนเดียวไม่รู้ว่าจะไว้ใจให้ใครดูกระเป๋าให้ได้มั๊ย ส่วนเรื่องอาหารไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ตั้งแต่ข้าวหน้าเป็ดเมื่อเที่ยงวานผมยังไม่ได้กินอะไรเลย เพราะผมไข้ขึ้นสูงจนกินอะไรไม่ลง แถมในปากผมก็แห้งแตกไปหมด ทั้งริมฝีปาก กระพุ้งแก้มด้านใน เหงือก และลิ้น ในสภาพแบบนั้นผมนึกภาพตัวเองเคี้่ยวแซนด์วิชแห้งๆ ไม่ออกจริงๆ อันที่จริงๆ ผมพยายามจะกินแซนด์วิชที่ได้มาเมื่อวานแล้วนะ แต่พอกัดไปได้คำเดียวก็รู้เลยว่า ถ้าฝืนกินต่อผมต้องอาเจียนออกมาแน่นอน หลังจากผมใช้เวลาต่อแถวอยู่ในเตนท์ประมาณ 5 ชม ผมก็ถึงทางออกที่ปลายเตนท์ ซึ่งผมก็ได้พบกับสิ่งที่รอผมอยู่ สิ่งนั้นก็คือ เตนท์อีกเตนท์หนึ่ง (ยังมีต่อ) ทรหดมากๆค่ะ
โดย: Complicatedgirl
![]() |