คลองบางกอกน้อย ที่น้ำเอ่อท้นฝั่งเช้า2วันก่อน (27 ตุลาคม 54) ไปดูน้ำที่ท่วมบริเวณปากคลองบางกอกน้อยและท่าน้ำพรานนกระหว่างที่เดินผ่านคลองเล็กๆที่อยู่ใกล้สามแยกไฟฉายและคลองที่อยู่ข้างๆที่ทำการไปรษณีย์บางกอกน้อย น้ำน้อยมากจนมองเห็นก้นคลอง (ไม่มีภาพ) และคลองที่อยู่ข้าง"วัดวิเศษกาล"ที่อยู่ใกล้กลับสี่แยกศิริราชก็แห้งขอดเช่นเดียวกัน คลองเหล่านี้รวมทั้งคลองอื่นๆที่ มีประตูและเครื่องสูบน้ำของ ก.ท.ม.โดยเฉพาะกรุงเทพชั้นใน ทำให้ยังพอมีหวังอยู่บ้างว่าจะมีโอกาสรอดพ้นถูกน้ำท่วม หรือถ้าจะท่วมก็ท่วมไม่มากและไม่ท่วมนานสะพานอรณอัมรินทร์ที่ถูกปิด กลายเป็นที่จอดรถเต็มทั้งสองฝั่งเริมต้นที่สะพานอรุณอัมรินทร์ที่กลายเป็นที่จอดรถจนไม่มีเหลือที่ว่างสำหรับรถเก่าๆของผมเลยก็อย่างที่บอกว่าแอบหวังไว้ว่าอาจจะไม่ท่วมมาก เมื่อขึ้นไปถึงกลางสะพานก็แหวกรถที่จอดอยู่เรียงรายมาดูน้ำในคลองบางกอกน้อย ทันใดนั้นเสียงเพลงเก่าก็ดังแว่วเข้าหู "สุดคลองบางกอกน้อย...พายเรือตามหาบัวลอยจนเหงื่อพี่ย้อยโทรมกาย..." อยากจะ"อิน"กลับเพลงนะ แต่เห็นบ้านที่จมน้ำไปครึ่งหลังแล้วมันร้องไม่ออกจริงๆบ้านที่อยู่ริมคลองบางกอกน้อย ภาพบ้านหลังนี้...ถ้าเรามองให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงภายในบ้านที่บัดนี้ถูกปิดตาย ความเป็น"ชีวิต"ตอนนี้ต้องอพยบไปอยู่ที่ไหน ไปใช้ชีวิตอย่างไร มองให้ดีแล้วลองทบทวนดูว่าเพราะเหตุใดบ้างที่ทำให้สถานการณ์น้ำครั้งนี้รุนแรงถึงเข้าขั้น"วิกฤต" ได้ขนาดนี้ภาพซ้าย คลองบางกอกน้อย ฝั่งซ้าย โรงรถจักรธนบุรีภาพขวาบน สะพานอรุณอัมรินทร์ที่ถูกปิดกลายเป็นที่จอดรถภาพขวาล่าง รถทหารรับส่ง ไปห้างพาต้า-เซ็นทรัลปลิ่นเกล้าไม่ใช่ว่ากรุงเทพน้ำท่วมไม่ได้, กรุงเทพก็ตั้งอยู่ในที่"ราบลุ่มภาคกลาง"เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆที่ถูกน้ำท่วมหนักไปแล้ว ลุ่มเจ้าพระยา ชื่อนี้บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นที่ต่ำ มีน้ำท่วมตามฦดูกาลแต่กรุงเทพเป็นหัวใจ,เป็นศูนย์กลางของประเทศจะปล่อยให้ท่วม"กระอัก"เพราะขัดข้องเรื่องการบริหารจัดการ หรือการเมืองอย่างที่เป็นอยู่นี้ไม่ได้ ภาพซ้าย..น้ำท่วมสูงประมาณ 60 เซ็นต์ ภาพกลาง..ไม้ประดับสวยงามบนสะพาน ภาพขวา..ซุ้มประตูวัดอมรินทรารามจากบนสะพานมองออกมาทางปากคลองได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้นมาฝากสักภาพ มีตึก รพ.ศิริราชอยู่ขวามือท่ามกลางผืนน้ำที่เชื่อมต่อกับเจ้าพระยา ดูสงบนิ่งแต่แฝงเร้นไว้ด้วยพลังอันมหาศาลพระอาทิตย์ขึ้นที่ปากคลองบางกอกน้อยถึงแม้น้ำจะท่วมแต่หลวงพ่อท่านยังคงออกมารับบิณฑบาตร ด้วยการเดินลุยน้ำด้วยเท้าเปล่าเสี่ยงต่อการถูกของมีคมบาดเท้า ซึ่งมีคำเตือนจากหมอว่าได้รับรักษาคนไข้จากสาเหตูนี้เป็น จำนวนมาก คิดว่าถ้าไม่มีอะไรขัดข้องพระท่านต้องเปลี่ยนมาใช้เรือแทนถ้าหากน้ำท่วมนานอย่างเช่นชายหนุ่มที่พายเรือเป็นพาหนะอยู่ข้างๆ ท่าน พระเดินลุยน้ำบิณฑบาตรเรือ...พาหนะที่มาแทนที่รถยนต์เขาหล่ะ..."ผู้ชายพายเรือ" ตัวจริง แต่อาการพายเรือแบบไปเรื่อยๆ น่าจะเรียกอีกอย่างก็ได้ว่า "เอ้อระเหยลอยชาย" อาจเป็นเพราะจุดหมายอยู่ใกล้ๆแถวนั้นเอง เขาจึงไม่ต้องพายจ้ำไปรับคนมาพร้อมกับหมาหนึ่งตัว พอมาส่งที่เชิงสะพานคนลงแต่หมาไม่ยอมลงเพราะต้องลุยน้ำต่ออีกหน่อย...แหม จะส่งให้ถึงฝั่งหน่อยก็ไม่ได้....อันที่จริง วันนี้ผมอยากจะไปดูน้ำที่ใต้สะพานพระรามแปดต่อ แต่ติดขัดเรื่องการเดินทางและเวลา กลัวจะกลับมาทำงานสาย จึงเดินกลับมาทางสี่แยก ศิริราช ผ่านซุ้มประตูวัดอมรินทรารามตั้งตระหง่านงดงามอยู่ติดกับสะพาน ถ้าไม่มีเหตูต้องปิดถนนคงจะหาโอกาสได้ยากที่จะมาถ่ายรูป บนสะพานนี้ได้ด้านหลังของซุ้มประตู "วัดอมรินทราราม วรวิหาร"สาเหตุที่ต้องถ่ายจากหลังซุ้มประตูก็เพราะว่าด้านหน้าตอนเช้าอย่างนี้ย้อนแสงเต็มๆ เลยจำใจต้องเดินไปถ่าย จากด้านหลังซุ้มประตู ก็ได้เก็บความงามมาแบ่งกันชมสมความตั้งใจ(สวมฟิลเตอรโพลาไรท์ช่วยสีท้องฟ้าเข้มขึ้น)เดินลงจากสะพานเลี้ยวซ้ายไปท่าน้ำพรานนก พอเข้าไปก่อนถึงท่าน้ำก็เห็นน้ำไหลเทออกมาจากด้านในตลาดวังหลังในปริมาณไม่น้อย แต่ยังดีที่น้ำเกือบทั้งหมดนั้นไหลลงท่่อระบายน้ำ ไม่ท่วมไปไหนน้ำล้นเขื่อนออกมาลงถนนที่ท่าน้ำพรานนกจานนั้นก็เดินลุยน้ำไปที่สุดถนนแต่ไม่ได้ออกไปริมน้ำด้านนอก เพราะด้านนอกน้ำขึ้นเต็มเปี่ยมตรงมุมด้านขวาของเขื่อนกระสอบทรายมีน้ำล้นเข้ามาลงท่อระบายน้ำตลอดเวลา มีเจ้าหน้าที่ของกทม.นั่งเฝ้าดูสถานการณ์อยู่สองคน นี่ขนาดยังไม่ใช่วันที่น้ำหนุนสูงสุดยังขนาดนี้.....น้ำเจิ่งนองที่ท่าน้ำพรานนกขากลับออกมา ก็มีเรื่องเก็บตกจากข้างทางมาสะกิดใจกันหน่อย เริ่มที่ใกล้กับสี่แยกมีคลองเล็กๆ จนน่าจะเรียกว่าลำรางมากว่าอยู่ติดกับ วัดวิเศษกาลน้ำแห้งขอด อันนี้แหล่ะที่จะสามารถรองรับน้ำที่จาจล้นเข้ามาสู่ลำคลองต่างๆที่มีระบบสูบน้ำออกได้ ถ้าเขื่อนยังต้านแรงดันของแม่น้ำเจ้าพระยาไหวอิฐตัวหนอนที่สี่แยกพรานนกหายไปไหนที่สี่แยกพรานนก พื้นฟุตบาทที่ปูด้วยอิฐตัวหนอน ถูกขโขมยไปซะมากมายใครหนอช่างกล้าทำอย่างนี้ หรือว่า กทม. มารื้อไปเอง แล้วปล่อยทางเดินเท้าไว้ในสภาพแบบนี้หรือ?....อ้าว เจอตัวการแล้ว!!ทำวิกฤต ให้เป็นโอกาส ด้วยกำแพงกั้นน้ำอิฐบล็อก!!คิดว่าจะเป็นใครอื่นไกลที่ไหนซะอีก ที่แท้ก็เป็นคนแถวนั้นนั่นเอง เป็นตึกแถวสอง-สามห้องที่ช่วยกันนำอิฐไปก่อเป็นกำแพงกันน้ำหน้าบ้านตัวเอง..ง่ายไปไหมเนี่ยกำแพงกันน้ำความสูง 1.50 เมตร เป็นกำแพงกันน้ำที่ก่อขึ้นเพื่อป้องกันน้ำสูงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาน้ำท่วมปี พ.ศ.2554 นี้ มีการแข่งขันการรายงานข่าวกันอย่างจริงจัง รายงานกันทั้งบนฟ้าบนรถ ในเรือ ลงไปในน้ำ นั่งห่วงยางฯ มีการเสาะแสวงหาความทุกข์ยากแบบสุดๆของผู้ประสพภัยไม่ว่าจะฝ่าน้ำลุยโคลนแค่ไหนก็จะไปเพื่อให้ได้ความเสร้าสะเทือนใจ ดูแล้วอยากร้องให้ตามส่วนภาพข่าวก็หาตอนที่เขื่อนพัง แล้วก็งานข่าวด้วยความตื่นเต้น "เขื่อนที่สูงท่วมหัวเขื่อนระเบิดแล้วท่านผู้ชม มวลน้ำนับล้านลูบาศเมตรได้ทะลักเข้าไหลเชี่ยวกรากเข้าทำลายบ้านคนที่อยู่ใกล้แนวเขื่อน เจ้าของบ้านหนีตายมาได้หวุดหวิด คาคว่ามวลน้ำมหาศาลจะมาถึงภายในคืนนี้"แล้วพูดปิดเบรคว่า"ขอให้ท่านรับชมข่าวแล้วเตรียมพร้อมอย่างมีสติอย่าแตกตื่นนะครับท่านผู้ชมครับ."ลากันด้วยภาพน้ำนิ่งๆ เย็นๆใจอีกครั้ง ขอบคุณที่แวะเข้ามาทักทาย และขอให้เพื่อนๆทุกคน มีกำลังใจในการร่วมกันฝ่าวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ไปด้วยความปลอดภัยรักษากำลังกาย,กำลังใจเพื่อที่จะได้กลับมาฟื้นฟูบ้านของเราให้กลัมน่าอยู่เหมือนเดิมโชคดี สวัสดีครับ.คลองบางกอกน้อยแม่น้ำ"นครชัยศรี"หน้าวัดห้วยพลู เมื่อสามสัปห์ดาก่อนบริเวณที่เรียกว่า "วังมัดฉา" เวลานี้น่าจะท่วมเทอเรสขึ้นมาแล้วมองกลับไปจะเห็น"สะพานร่วมใจ"ที่ทอดข้ามลำน้ำมองจากบนสะพานเห็นศาลาท่าน้ำของ รพ.ห้วยพลู และคุ้งน้ำที่สงบงาม...
................................................
................................................