วงเวียนชีวิต อนุเสาวรีย์ชัยฯ

"ศูนย์กลางความวุ่นวาย มากมายความเหนื่อยล้า ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา สร้างคนมาให้อดทน"

นี่คือบทกลอนที่ฉันเขียนขึ้นจากการนั่งรอใครสักคนที่ป้ายรถเมล์ ย่านใจกลางเมืองหลวงหรือที่ทุกคนเรียกจนชินปากว่า "อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" ท่ามกลางความร้อนของอากาศที่ยิ่งนับวัน อุณหภูมิจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ฉันหยิบไดอารี่ปกสีฟ้าคู่ใจขึ้นมา เพื่อว่าจะสามารถทำให้อุณหภูมิในใจของฉันเย็นลงได้ ดินสอสีเทาอ่อนให้ความรู้สึกอ่อนโยนได้มากขึ้นเมื่อลากเส้นบาง ๆ เป็นรูปรถเมล์คันใหญ่ที่จอดเทียบป้ายอยู่ตรงหน้า มองทะลุกระจกเข้าไปบนรถเห็นผู้คนราวหลายสิบคนมองไปข้างหน้าพร้อมกัน เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางของแต่ละคน บางคนอาจจะนั่งไกลจนสุดสาย บางคนอาจจะใกล้เพียงแค่ไม่กี่ป้าย แต่ทุกคนที่อยู่บนรถเมล์ก็ล้วนมีเป้าหมายด้วยกันทั้งสิ้น

 

ฉันลองถามเพื่อนสาวคนหนึ่งของฉันเล่น ๆ ว่าถ้าให้นึกถึงอนุเสาวรีย์ฯ แล้วเธอจะนึกถึงอะไร เขาก็ตอบฉันพียงเสั้น ๆ และได้ใจความว่า อากาศร้อน รถติด คนเยอะ บลาบลา เขาไม่รอช้าที่จะถามฉันกลับว่า แล้วเธอนึกถึงอะไร นั้นคือคำถามที่ฉันเตรียมคำตอบไว้รอ  จากวันนั้นที่ฉันได้ใช้เวลาสิบกว่านาที ใช้เวลาอยู่กับความคิดตัวเองและอยู่กับวงเวียนแห่งนี้ทำให้ฉันพบกับคำตอบที่ว่า "อนุเสาวรีย์ฯ คือ ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย มีผู้คนมากมายที่ผ่านไปผ่านมาและต้องใช้ชีวิตบนวงเวียนใหญ่แห่งนี้ มีตั้งแต่คนระดับล่างสุดไปจนถึงบนสุด มีความวุ่นวายที่ทุกคนต้องดิ้นรนและเผชิญอยู่เพื่อความอยู่รอด ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะรู้สึกว่าไม่อยากจะกลับมาที่แห่งนี้อีก แต่สุดท้ายเราก็ต้องกลับมา เพราะยังไงเราก็ไม่สามารถหนีออกจากวงเวียนแห่งนี้ได้ ตราบใดที่เรายังใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิม อาจจะสามารถใช้เส้นทางอื่นได้ โดยที่ไม่ผ่านวงเวียนแห่งนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครบอกได้ว่า ชีวิตนี้จะไม่ย้อนกลับมาวงเวียนนี้อีกแน่นอน มันก็เหมือนกับการใช้ชีวิตของคนเรา ที่ยังคงหมุนเวียน เจอแต่เรื่องเดิม ๆ และคนเดิม ๆ เมื่อไหร่ที่เราเจอทางแยกและเรากล้าที่จะก้าวเดินไปตามทางที่เราเลือก เราก็จะสามารถออกจากวงเวียนนี้ได้ แต่เมื่อเราหลงทางอีกครั้งเราก็จะย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่วงเวียนแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

เพราะทางที่เราเลือกอาจจะไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่อย่างน้อย เราก็ได้เลือกสักทาง ถึงแม้ว่าเราจะเลือกทางใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งต่อไปที่เรากลับมาวงเวียนเราก็จะไม่มีทางเลือกทางซ้ำทางเดิมอย่างแน่นอน โอกาสเลือกทางที่ถูกต้องก็จะมีมากขึ้นโอกาสหลงทางก็จะน้อยลง แต่ถ้าใครไม่กล้าเลือกระหว่างทางแยกก็จะเดินเป็นวงกลม ซึึ่งก็จะไปไหนไม่ได้ผ่านไปกี่ปีกี่ปี ก็ยังคงหลงทาง เหมือนกับขอทานที่ฉันเห็นในวันนี้ เพราะเขาไม่กล้าที่จะเลือกทางอื่นทั้ง ที่เขาก็มีทุกอย่างครบเหมือนคนอื่น ขาดเพียงแต่ความกล้าเท่านั้น พวกเขาเลยยังใช้ชีวิตอยู่กับวงเวียนแห่งนี้ โดยที่รู้เสมอว่า วันพรุ่งนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน เมื่อวานก็เหมือนกันกับเมื่อรืนที่กำลังจะมาถึง แล้วถ้าใช้ชีวิตอย่างนี้ คงไม่ต้องมีคำถามที่ว่าคุณใช้ชีวิตคุ้มค่าหรือยัง? หากเพียงแต่คุณยังนั่งให้ชีวิตเดินต่อไปเอง โดยที่คุณไม่ทำอะไรเลย สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับชีวิตก็จะเดินเป็นวงกลมเพราะจะได้ไม่ต้องพบเจอกับอะไร เจอแต่สิ่งที่เหมือนเดิม โลกใบนี้อาจจะกว้างเกินไปให้เราเผชิญ แต่ก็คงไม่แคบเกินไปถ้าเราจะลองเดินก้าวขาออกไปจากกรอบของเราบ้าง รสชาติของมันคงจะทำให้เราเติบโต และเป็นสิ่งคุ้มกันมากพอที่จะทำให้เราเข้มแข็ง และยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง ไม่ทำให้เราหกล้มได้ง่ายเมื่อต้องสะดุดขากับผู้คนอื่น ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในสังคม"

 

"ถ้าหากว่าทุกวันนี้คุณยังใช้ชีวิตเป็นวงเวียน ก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของขอทานบนวงเวียนแห่งนี้ ที่เต็มไปด้วยทางออก แต่ไม่เคยคิดที่จะเดินทางออกจากมัน"




Create Date : 28 มีนาคม 2555
Last Update : 28 มีนาคม 2555 1:47:28 น.
Counter : 874 Pageviews.

0 comments
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - โตเกียวไม่มีขา : กะว่าก๋า
(27 มิ.ย. 2568 05:35:40 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ความฝันที่มั่นสุดท้าย : กะว่าก๋า
(26 มิ.ย. 2568 05:04:56 น.)
:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 379 :: กะว่าก๋า
(25 มิ.ย. 2568 05:15:58 น.)
Desdemona's Song by Erich Korngold ปรศุราม
(23 มิ.ย. 2568 10:51:22 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kaweemoonoi.BlogGang.com

hiranya
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]