บทคัดย่อ ปัจจุบันการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าด้วยวิธีการบำรุงรักษาเชิงป้องกันเป็นกลยุทธหนึ่งที่ได้รับความนิยมใช้เป็นอย่างสูงในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม โดยรูปแบบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าวนั้นมีหลากหลายวิธีเช่นกัน บทความนี้เป็นการนำเสนอวิธีการบำรุงรักษาเชิงป้องกันโดยใช้กล้องส่องหาความร้อน ซึ่งในอดีตจนถึงปัจจุบันการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในการบำรุงรักษาเชิงป้องกันในระบบไฟฟ้าของ กฟภ. และปัจจุบัน กฟภ. ยังให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอีกด้วย 1. บทนำ ในอดีตถึงปัจจุบัน กฟภ. ได้มีการก่อสร้างสถานีไฟฟ้า,สายส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหลังจากได้มีการก่อสร้างเสร็จสิ้นและได้มีการใช้งานแล้ว การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าต่างๆก็เป็นกระบวนการที่ กฟภ. จะต้องดำเนินการต่อไปเพื่อยังคงให้ระบบไฟฟ้าสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องและเกิดความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งกลยุทธ์การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้านั้นก็จะมีหลายหลายรูปแบบ อีกทั้งยังมีแนวทางการเลือกรูปแบบและวีธีการบำรุงรักษาให้เหมาะสมกับอุปกรณ์แตกต่างกันไป ซึ่งจะกล่าวในหัวข้อถัดไป สำหรับการใช้กล้องส่องหาความร้อนเพื่อตรวจสอบจุดสัมผัสทางไฟฟ้าในระบบของ กฟภ. นั้น ก็เป็นวิธีการหรือแนวทางหนึ่งในการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ซึ่งจะช่วยทำให้เราทราบการเกิดสิ่งผิดปกติในระบบไฟฟ้าล่วงหน้าได้ ซึ่งจากผลการตรวจสอบดังกล่าวทำให้สามารถวางแผน,จัดเตรียมอุปกรณ์-อะไหล่ที่จำเป็น และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขได้อย่างมีประสิทธภาพ เพิ่มความเชื่อถือได้และยังช่วยลดผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟอีกทั้งยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ กฟภ. อีกด้วย ถึงแม้การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าของ กฟภ. โดยใช้กล้องส่องหาความร้อนเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าของ กฟภ. มีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ตรวจสอบจำเป็นจะต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการใช้งานกล้องดังกล่าวเป็นอย่างดี เนื่องจากก่อนการใช้งานกล้องส่องหาความร้อนจำเป็นจะต้องมีการปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆเพื่อให้การวัดค่าอุณหภูมิมีความถูกต้องมากที่สุด ดังนั้นในบทความนี้จะเป็นการนำเสนอกลยุทธการบำรุงรักษาในรูปแบบต่างๆและวิธีการเลือกรูปแบบการบำรุงรักษาเบื้องต้น ตลอดจนมีการแนะนำการปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ของกล้องส่องหาความร้อนและสุดท้ายยังได้นำภาพถ่ายจริงด้วยกล้องดังกล่าวจากระบบไฟฟ้าของ กฟภ. และในโรงงานอุตสาหกรรมที่ กฟภ. ได้ให้บริการมาเป็นกรณีศึกษาด้วย 2. รูปแบบการบำรุงรักษา ในการที่จะใช้กลยุทธการบำรุงรักษาใดมาใช้กับระบบไฟฟ้านั้น ผู้ปฏิบัติงานด้านบำรุงรักษาจำเป็นจะต้องเข้าใจหลักการของการบำรุงรักษาเพื่อทำให้การบำรุงรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการบำรุงรักษาจะประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆเช่น การบำรุงรักษาแบบป้องกัน(Preventive Maintenance),การบำรุงรักษาแบบแก้ไข(Corrective Maintenance),การตรวจวัดสภาพ(Condition monitoring)และการบำรุงรักษาแบบปรับปรุง(Improvement Maintenance) ซึ่งเราสามารถแบ่งการบำรุงรักษาออกเป็น 3 ส่วนดังต่อไปนี้ -
การบำรุงรักษาแบบแก้ไข(Corrective Maintenance) ซึ่งเป็นการบำรุงรักษาแบบฉุกเฉิน หรือการบำรุงรักษาเมื่อเสีย แต่ถึงอย่างไรบางทีการบำรุงรักษาแบบแก้ไขก็สามารถวางแผนได้ -
การบำรุงรักษาแบบป้องกัน(Preventive Maintenance)จะเป็นการบำรุงรักษาตามโปรแกรมทั้งหมดซึ่งกระทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขัดข้องขึ้นหรือเพื่อตรวจจับปัญหาที่ขัดข้องก่อนที่จะลุกลามไปเป็นความเสียหายหรือกระทบต่อระบบไฟฟ้า -
การบำรุงรักษาแบบปรับปรุง(Improvement Maintenance)จะเป็นการขจัดปัญหาของระบบไฟฟ้าให้หมดไปหรือกล่าวคือทำให้ปัญหานั้นไม่เกิดขึ้นเลยหรือไม่ก็ยืดอายุของชิ้นส่วนให้ยาวนานที่สุด สำหรับการบำรุงรักษาแบบป้องกันนั้นยังสามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วนคือการบำรุงรักษาแบบป้องกันทางตรง(Direct Preventive Maintenance) ซึ่งมักจะถูกควบคุมโดยเวลาซึ่งอาจจะเป็นเวลาตามปฏิทิน,จำนวนชั่วโมงการทำงานหรือจำนวนการทำงานของอุปกรณ์เป็นต้นและส่วนที่สองจะเป็นการบำรุงรักษาแบบทางอ้อมซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อระบบหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า และมักจะถูกเรียกว่าการตรวจวัดสภาพ(Condition monitoring) หรือเรียกว่าการบำรุงรักษาตามสภาพ(Condition Based Maintenance หรือ CBM) โดยการเปลี่ยนชิ้นส่วนของอุปกรณ์นั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานจริงของอุปกรณ์นั้นๆดังแสดงในรูปที่ 1 รูปที่ 1 ผังการบำรุงรักษาแบบป้องกัน สำหรับการตรวจวัดสภาพนั้นสามารถแบ่งได้สองวิธี คือการตรวจวัดสภาพแบบใช้ความรู้สึก(Subjective Condition Monitoring) ซึ่งจะเป็นการใช้ความรู้สึกของผู้ตรวจสอบเช่นการฟังเสียง การมองดู การดมกลิ่น และจากผลการตรวจสอบสามารถนำมาใช้ประเมินสภาพของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้และวิธีที่สองจะเป็นการตรวจสภาพแบบใช้อุปกรณ์(Objective Condition Monitoring) ทำโดยการใช้อุปกรณ์ช่วยในการตรวจวัด และค่าที่ตรวจวัดได้สามารถบอกสภาพของอุปกรณ์หรือส่วนประกอบต่างๆได้ และการตรวจวัดสภาพแบบใช้อุปกรณ์ยังสามารถแบ่งได้เป็นอีกสองวิธีคือการตรวจสภาพตามช่วงเวลา(Off-line condition monitoring)ซึ่งหมายถึงพนักงานพร้อมอุปกรณ์ตรวจสอบดำเนินการตรวจสอบอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้านั่นเอง ซึ่งการบำรุงรักษาโดยใช้กล้องส่องหาความร้อนนั้นก็จะอยู่ในวิธีการนี้และอีกวิธีการหนึ่งก็คือการตรวจวัดต่อเนื่อง(On-line condition monitoring) ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์วัดที่ต่อโดยตรงกับอุปกรณ์และค่าที่ได้จากการวัดจะมีการแสดงผลออกมาอย่างต่อเนื่อง 3. การปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ของกล้องส่องหาความร้อน การวัดค่าความร้อนด้วยกล้องส่องหาความร้อนซึ่งค่าความร้อนและภาพจะได้จากปล่อยรังสีอินฟราเรดจากวัตถุหรืออุปกรณ์ที่ต้องการวัดความร้อน ซึ่งจากการแผ่รังสีอินฟราเรดของวัตถุนั้นก็จะเป็นค่าอุณหภูมิของพื้นผิวของวัตถุนั้นๆนั่นเองและกล้องส่องหาความร้อนจะคำนวณและแสดงผลค่าอุณหภูมิออกมา รูปที่ 2 การแผ่รังสีในรูปแบบต่างๆ ถึงอย่างไรก็ตาม การวัดการแผ่รังสีอินฟราเรดโดยใช้กล้องส่องหาความร้อนนั้นจะไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของวัตถุเพียงอย่างเดียวแต่จะขึ้นอยู่กลับความสามารถในการปล่อยรังสีของวัตถุนั้นๆด้วย อีกทั้งยังมีการปล่อยรังสีจากวัตถุใกล้เคียงและถูกสะท้อนจากวัตถุด้วย ดังรูปที่ 2 และไม่ว่าการแผ่รังสีทั้งจากวัตถุและจากวัตถุใกล้เคียงก็จะถูกบรรยากาศซึมซับรังสีทำให้การแผ่รังสี ถูกลดทอนลง ดังนั้นการวัดค่าอุณหภูมิจะถูกต้องนั้นจะต้องมีการชดเชยจากผลกระทบต่างๆดังนี้ 3.1 ค่าการปล่อยรังสี (Emissivity) ค่า Emissivity เป็นค่าพารามิเตอร์ที่สำคัญมากค่าหนึ่ง ซึ่งค่าดังกล่าวจะเป็นการแสดงถึงความสามารถในการปล่อยรังสีอินฟราเรดออกจากวัตถุเมื่อเปรียบเทียบกับวัตถุดำ(Blackbody)หรือวัตถุที่ไม่มีการสะท้อนของรังสีอย่างสมบูรณ์ โดยปกติแล้ววัสดุและพื้นผิวของวัตถุนั้นจะมีค่า Emissivity อยู่ระหว่าง 0.1 ถึง 0.95 สำหรับวัสดุที่มีพื้นผิวเงามันจะมีต่ำกว่า 0.1 แต่ขณะที่วัสดุที่มีสนิมหรือถูกทาสีทับนั้นจะมีค่า Emissivity สูง โดยเฉพาะสีน้ำมันจะทำค่า Emissivityมีค่าสูงกว่า 0.9 สำหรับผิวหนังของมนุษย์ก็จะมีค่า Emissivity สูงเกือบมีค่าเท่ากับ 1 ดัง ตารางที่ 1 ได้แสดงค่า Emissivity วัสดุแต่ละชนิด ตารางที่ 1 ค่า Emissivities ของวัสดุต่างๆ Material | Emissivity | metals | Aluminum: Polished anodized | 0.05 0.55 | Brass: rubbed with 80-grit emery heavily oxidized | 0.03 0.61 | Copper: Polished heavily oxidized | 0.05 0.78 | Gold: polished | 0.02 | Iron: cast, polished cast, oxidized sheet, rusted | 0.21 0.64 0.69 | Magnesium: polished | 0.07 | Nickel: electroplate, polished oxidized | 0.05 0.37 | Material | Emissivity | Silver: polished | 0.03 | Stainless steel (18-8) Buffed oxidized | 0.16 0.85 | Steel: Polished oxidized | 0.07 0.79 | Tin: plated sheet | 0.07 | Others | | Brick | 0.93 | Carbon: candle soot graphite | 0.95 0.98 | Concrete | 0.92 | Glass: polished plate | 0.94 | Lacquer: White matte black | 0.92 0.97 | Oil: thick coating | 0.82 | Paint: oil-based | 0.94 | Paper | 0.93 | Plaster | 0.91 | Sand | 0.90 | Skin, human | 0.98 | Water: Distilled Ice snow | 0.95 0.96 0.98 | Wood: planed oak | 0.90 | 3.2 อุณหภูมิของสภาพแวดล้อม สำหรับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมหรือ Ambient Temperature นั้น ก็เป็นอีกพารามิเตอร์หนึ่งที่ใช้สำหรับชดเชยการสะท้อนของรังสีอินฟราเรดในวัตถุ และการปล่อยรังสีจากบรรยากาศระหว่างกล้องส่องหาความร้อนกับวัตถุ ถ้าวัตถุมีค่า Emissivity ต่ำและกล้องมีระยะห่างจากวัตถุมากอีกทั้งอุณหภูมิของวัตถุมีค่าใกล้เคียงกับอุณหภูมิรอบข้าง การปรับตั้งค่า Ambient Temperature จะมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพื่อชดเชยการตรวจจับอุณหภูมิของวัตถุได้ถูกต้องยิ่งขึ้น 3.3 ระยะห่างและความชื้นสัมพัทธ์ ระยะห่างนั้นจะหมายถึงระยะห่างระหว่างวัตถุที่ต้องการตรวจจับจนถึงหน้าเลนส์ของกล้องส่องหาความร้อน โดยพารามิเตอร์นี้จะใช้เพื่อปรับแก้ค่าการแผ่รังสีอินฟราเรดให้ถูกต้องเนื่องจากการถูกดูดกลืน(absorb)รังสีระหว่างวัตถุที่ต้องการตรวจจับจนถึงกล้องส่องหาความร้อน อีกทั้งยังปรับแก้การถูกลดทอนของการส่งคลื่นรังสีที่แปรผันกับระยะทาง แต่ถึงอย่างไรกล้องส่องหาความร้อนยังคงจำเป็นต้องมีการชดเชยค่าที่ถูกต้องของการส่งคลื่นรังสีเนื่องจากค่าดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับค่าความชื้นสัมพัทธ์ของบรรยากาศมาก ดังนั้นการปรับค่าความชื้นสัมพัทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมก็จะทำให้การวัดค่าอุณหภูมิของวัตถุถูกต้องและแม่นยำขึ้น สำหรับการวัดอุณหภูมิของวัตถุซึ่งมีระยะค่อนข้างใกล้และมีความชื้นที่สภาวะปกตินั้นโดยปกติการปรับตั้งค่าเริ่มต้นของค่าความชื้นสัมพัทธ์จะปรับตั้งมีค่าเท่ากับ50% 4. กรณีศึกษาของการบำรุงรักษาแบบป้องกันด้วยกล้องส่องหาความร้อน ปัจจุบัน กฟภ. ได้มีการประยุกต์ใช้กล้องส่องหาความร้อนในการบำรุงรักษาระบบสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้า อีกทั้งยังมีนโยบายให้บริการแก่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมด้วย ซึ่งจากประสบการณ์ของ กฟภ. ที่ได้นำกล้องส่องหาความร้อนมาช่วยในการบำรุงรักษาระบบสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้าและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมนั้น สามารถพบสิ่งผิดปกติในระบบไฟฟ้าเนื่องจากสาเหตุต่างๆ อาทิเช่น ค่าความต้านทานสูงที่จุดต่อทางไฟฟ้า,อุปกรณ์หรือสายไฟฟ้ารับภาระทางไฟฟ้าเกินพิกัด,การจัดภาระทางไฟฟ้าแต่ละเฟสไม่สมดุลย,เกิดกระแสไฟฟ้าไหลในสายศูนย์มากผิดปกติ,เกิดการชำรุดภายในอุปกรณ์ไฟฟ้าและอื่นๆ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวนั้นเป็นสาเหตุที่มีการเกิดเป็นปกติอาจจะมากจากคุณภาพของอุปกรณ์หรือการขาดประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงาน แต่กรณีศึกษาในบทความนี้จะเป็นการนำเสนอเหตุการณ์และรูปภาพที่ได้จากการตรวจระบบไฟฟ้าทั้งในระบบของ กฟภ. และ โรงงานอุตสาหกรรม ที่ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นบ่อย แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเกิดสิ่งผิดปกติดังกล่าวก็จะส่งผลทำให้เกิดความสูญเสียพลังงานไฟฟ้าและลดความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าไม่ว่าทั้งในส่วนของ กฟภ. หรือ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม 4.1 การเกิดความร้อนที่ลูกถ้วยในระบบจำหน่ายไฟฟ้า จากรูปที่ 3 เป็นภาพด้วยกล้องส่องหาความร้อนซึ่งพบสิ่งผิดปกติ คือมีเกิดความร้อนขึ้นระหว่างลูกถ้วยลูกที่ 1 และ ลูกถ้วยลูกที่ 2 และจากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่าสิ่งผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุ Preformed มีการสัมผัสกับโลหะด้านบนของลูกถ้วย รูปที่ 3 การเกิดความร้อนที่ลูกถ้วย 4.2 การเกิดความร้อนที่สายดินของสายเคเบิลใต้ดินในสถานีไฟฟ้า จากรูปที่ 4 เป็นการตรวจสอบระบบไฟฟ้าในสถานีไฟฟ้าของ กฟภ. พบว่าเกิดความร้อนในสายดินของสายเคเบิลใต้ดินในสถานีไฟฟ้า และจากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้องและได้สันนิฐานว่าสิ่งผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นน่าจะมีเนื่องจากสาเหตุการจัดเรียงลำดับเฟสของสายเคเบิลใต้ดินไม่เหมาะสม และหลังจากทราบสาเหตุเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขเป็นปกติแล้ว รูปที่ 4 การเกิดความร้อนที่ลูกถ้วย 4.3 เกิดความร้อนที่กับดักฟ้าผ่าภายในสถานีไฟฟ้า จากรูปที่ 5 เป็นภาพการเกิดความร้อนขึ้นที่ตัวกับดักฟ้าผ่าในสถานีไฟฟ้าของ กฟภ. ซึ่งการเกิดความผิดปกติดังกล่าวอาจทำให้เกิดการระเบิดของอุปกรณ์ดังกล่าวขึ้นได้โดยไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ รูปที่ 5 เกิดความร้อนที่ตัวกับดักฟ้าผ่า 4.4 เกิดความร้อนที่จุดต่อของสายดินเหนือหัวของเสาไฟฟ้าที่มีการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า จากรูปที่ 6 เป็นภาพการเกิดความร้อนที่จุดต่อของสายดินเหนือหัวของเสาไฟฟ้าที่มีการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า จากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้องและได้ดำเนินการแก้ไขพบว่าเกิดจากสายศูนย์ของระบบไฟฟ้าแรงต่ำที่เสาไฟฟ้าข้างเคียงสัมผัสกับดินเหนือหัว(Overhead Ground wire) ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าแยกไหลผ่านสายดินเหนือหัวกลับไปยังหม้อแปลง และจากภาพแสดงให้เห็นถึงการจัดโหลดไม่สมดุลยของระบบไฟฟ้าแรงต่ำ รวมทั้งการกวดขันจุดต่อของระบบสายดินเหนือหัวไม่แน่นเพียงพออีกด้วย รูปที่ 6 เกิดความร้อนที่จุดต่อของสายดินเหนือหัว 4.5 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในกระบอกฟิวส์ จากรูปที่ 7 เป็นภาพที่พนักงาน กฟภ. ได้ไปดำเนินการให้บริการแก่ผู้ไฟภาคธุรกิจอุตสาหกรรม จากภาพดังกล่าวเป็นฟิวส์ป้องกันของคาปาซิเตอร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระบอกฟิวส์เฟส C จะมีความร้อนสูงกว่าเฟสข้างเคียงซึ่งสันนิฐานว่าชุดฟิวส์ link ภายในกระบอกฟิวส์ดังกล่าวเริ่มเกิดการหลอมละลายทำความความร้อนสูงขึ้นผิดปกติ รูปที่ 7 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในกระบอกฟิวส์ 4.7 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในเซอร์กิตเบรคเกอร์ จากรูปภาพที่ 8 ได้แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในเซอร์กิตเบรคเกอร์ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากเซอร์กิตเบรคเกอร์มีการรับภาระทางไฟฟ้ามากทำให้หน้าสัมผัสหรืออุปกรณ์ภายในตัวเซอร์กิตเบรคเกอร์ชำรุด โดยการแก้ไขนั้นอาจจะต้องมีการถอดเซอร์กิตเบรคเกอร์เพื่อดูส่วนประกอบภายในของเซอร์กิตเบรคเกอร์ดูว่าอุปกรณ์ใดชำรุดบ้างก่อนที่จะเกิดความเสียหายหรือระเบิดขึ้น รูปที่ 8 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในเซอร์กิตเบรคเกอร์ 4.8 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่สายศูนย์ จากรูปที่ 9 แสดงถึงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่สายศูนย์ภายในโรงอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งสาเหตุเกิดจากการจัดภาระทางไฟฟ้าไม่สมดุลย์ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลที่สายศูนย์ขึ้น รูปที่ 9 การเกิดความร้อนสูงผิดที่สายศูนย์ 4.9 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำ จากรูปที่ 10 ได้แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำภายในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นได้สันนิษฐานเบื้องต้นเกิดจากจุดต่อมีการกวดขันไม่แน่นเพียงพอ แต่เมื่อพนักงานได้ทำการตรวจสอบหม้อแปลงลูกอื่นๆบริเวณใกล้เคียงแล้วพบว่ามีลักษณะสิ่งผิดปกติที่ใกล้เคียงกัน และจากการสอบถามช่างเทคนิดของโรงงานได้ให้ข้อมูลว่าระบบไฟฟ้าดังกล่าวเป็นที่เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น(110/220 โวลท์) และจากข้อมูลพื้นฐานดังกล่าวจึงพอสันนิษฐานได้ว่าสาเหตุการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำน่าจะเกิดจากการจัดภาระทางไฟฟ้าของหม้อแปลงไม่สมดุลย์ภายในโรงงาน รูปที่ 10 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำ 4.10 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่น็อตยึด BUSBAR จากรูปที่ 11 แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่น็อตยึด BUSBAR ซึ่งเกิดจากสาเหตุการสั่นสะเทือนของหม้อแปลงซึ่งเป็นชนิดติดตั้งภายในอาคารทำให้น็อตยึด BUSBAR เกิดการสั่นสะเทือนด้วยและเกิดการเสียดสีทำให้เกิดความร้อนขึ้น รูปที่ 11 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่น็อตยึด BUSBAR 5. สรุป บทความนี้ได้นำเสนอหลักการบำรุงรักษาแบบต่างๆและได้แสดงให้เห็นว่าการบำรุงรักษาโดยใช้กล้องส่องความร้อนได้ช่วยพนักงานบำรุงรักษาสามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาในระบบไฟฟ้าได้ถูกต้องและรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามการปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆของกล้องส่องหาความร้อนเพื่อให้เกิดความถูกต้องในการวัดอุณหภูมิก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าด้วยกล้องส่องหาความร้อนควรให้ความสำคัญกับการปรับค่าพารามิเตอร์ต่างๆให้มีความเหมาะสมกับประเภทของอุปกรณ์ที่ดำเนินการตรวจสอบด้วย เอกสารอ้างอิง [1] ศูนย์ศึกษาการจัดการบำรุงรักษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, เอกสารประกอบการสัมมนากลยุทธในการจัดการบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิผลเพื่อการเติบโตและการอยู่รอดของธุรกิจ, 24-25 กุมภาพันธ์ 2543. [2] AGEMA infrared Systems AB, Thermovisionâ 550 Operation Manual, September 1997. |