เรื่องเล่าจาก นศพ: ปี1 ตอน ของกินที่มหิดลศาลายา เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแว๊บเดียวปี 1ที่ศาลายาก็หมดไปเสียแล้ว นี่สินะที่เขาว่ากันว่าชีวิตคนช่างสั้นนัก เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วแถมไม่มีการไหลย้อนกลับ คล้ายๆกับผ้าอนามัยยังไงไม่รู้ แต่จะมัวเศร้าดราม่าอยู่ใย วันนี้อยากจะเขียนเล่าเรื่องย้อนหลังเกี่ยวกับชีวิตปี1ที่ศาลายา เอามาเล่าสู่กันฟังเล่นๆ วันนี้ขอเริ่มเล่าจากเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราเหล่านักศึกษาก่อนนั่นก็คือ ของกิน ขึ้นชื่อว่า" มหาลัย" ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีของกิน เนื่องจากนักศึกษาเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง คือเจออะไรถูกใจเป็นอดใจไม่ไหวต้องซื้อ เรื่องราคาไม่เคยเกี่ยง บริเวณมหาวิทยาลัยลัยจึงเป็นเสมือนแหล่งขุมทรัพย์สำหรับเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่จะมากอบโกยกำไร บริเวณรอบมหาวิทยาลัยจึงเต็มไปด้วยร้านอาหารต่างๆนาๆ เรียงเป็นตับ แน่นเอี๊ยด ซึ่งที่มหาวิทยาลัยมหิดลนั้น ขอบอกว่าของกิน เยอะจริงๆ คือมีทุกอย่างที่อยากกิน ขอแค่หาร้านให้เจอก็พอ โดยมีตั้งแต่อาหารภัตตาคารที่แสนหรู(และแสนแพง) ไปจนถึงร้านอาหารตามสั้งที่เรียบง่าย(แต่จ่ายสบายกระเป๋า และอร่อยเช่นกัน) ประเภทร้านอาหารที่นั่นก็มีทั่ง"ใน ม." และ "นอก ม." โดยแต่ละแบบก็มีข้อดีแตกต่างกันไป อาหาร ใน ม. นั้นส่วนมากจะเป็นอาหารพื้นๆทั่วไปที่พวกเราคุ้นเคยกันดีแถมราคาย่อมเยา เช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ข้าวมันไก่ และ อาหารตามสั่งเป็นต้น แนะนำร้าน "ใน ม." 1) Cafeteria หรือที่เด็กมหิดลเรียกกันว่า คาเฟต ชื่ออาจฟังดูหรูแต่ความจริงมันก็คือโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยนั่นเอง อาหารของที่นี่ก็จะเป็นอาหารพื้นๆ เช่นพวก ข้าวราดแกง ก๋วยเตียว ส้มตำ และอาหารตามสั่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่ราคาเป็นมิตรต่อกระเป๋าสตางค์(ราคา 25-40บาท)แถมรสชาติก็อร่อยไม่เลว เสียอย่างเดียวที่ไม่มีแอร์ คาเฟตจึงเป็นที่ฝากท้องของพวกเราหลายๆคนเมื่องบน้อยโดยเฉพาะตอนสิ้นเดือน นอกจากคาเฟตแล้วยังมีโรงอาหารประจำคณะต่างๆเช่น ของตึกคณะสังคมที่มีข้าวมันไก่ราคา30บาท แต่ให้ข้าวและเนื้อไก่พูนจาน และที่ตึกคณะอินเตอร์ที่มีก๋วยเตียวลูกชิ้นปลารสเด็ดแถมยังติดแอร์ด้วย(ได้มานั่งตากแอร์เย็นฉ่ำดูสาวๆอินเตอร์สวยๆ มีความสุขซะไม่มี) 2)ร้าน ฮ นกฮูก ร้านอาหารตามสั่งและข้าวแกงที่มีตำแหน่งที่ตั้งลึกเข้าไปในดงไม้ ดูลึกลับชอบกลแต่ก็คุ้มที่จะฝ่าไปกินเพราะข้าวผัดและหมี่ผัดของที่นั่นนับว่าอร่อยไม่หยอกแถมให้เยอะจนบางครั้งพวกเราก็กินแทบไม่หมด ข้าวผัดนั้นไม่แฉะ เมล็ดข้าวร่วนไม่เกาะเป็นก้อน รสชาติไม่จัดจนเกินไปถูกใจป๋า นั่งกินอาหารในร้านที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ แหม่ฟินจริงๆ ร้านนี้เสียอย่างคือตอนเที่ยงมักไม่มีที่นั่งเพราะคนมักจะแน่นร้าน 3) ตลาดนัดในมหาวิทยาลัยที่จะมีกันทุกวันศุกร์ ของกินอร่อยๆมากมายละลานตา ทั้ง ก๋วยเตียวลุยสวน ทาโกะยากิ ข้าวเหนียวไก่ย่าง ออส่วน ล้างปากด้วยของหวานเป็น ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน สตรอเบอรี่สดปั่น กาแฟโบราณรสเข้มข้น และ เฉ่าก๊วยหวานเย็นชื่นใจ โอยคิดแล้วหิว นอกจากของกินแล้วยังมีของใช้ต่างๆ และเสื้อผ้ามาให้เลือกซื้อกันอีกด้วย พอถึงวันศุกร์หลังเลิกเรียน พวกผมกับเพื่อนๆก็จะชวนกันไปเดินตลาดซื้อของกินกันให้แหลกลาญแล้วมาจับกลุ้มแบ่งกันกิน มีความสุขแท้ ที่ผมไม่ชอบเกี่ยวกับตลาดนี้คือเดินตลาดทีไรหมดตังเป็นร้อยทุกที เฮ้อ "ใน ม. "ว่ามีของกินเยอะแล้วที่ "นอก ม." นั้นมีเยอะกว่าหลายเท่าซึ่งอยากจะสารภาพว่าตลอดหนึ่งปีที่ศาลายานั้นผมยังตระเวรกินไม่ครบทุกร้านเลย เนื่องจากมีจำนวนร้านอาหารมากเกินไปจึงขอนำเสนอแค่ร้านที่ผมไปกินบ่อยๆและเป็นที่ประทับใจนะครับ 1)ซอยสิ้นคิด อยู่ข้าง ม. ตรงข้ามประตู6 ที่ได้ชื่อนี้เพราะเวลาคิดไม่ออกว่าจะไปกินข้าวกันที่ไหนพวกผมและเพื่อนๆก็มักจะมากินแถวๆนี้ซึ่งร้านอาหารในซอยนี้จะเป็นอาหารตามสั้ง ดูสะอาดดี อาหารน่ารับประทาน รสชาติอร่อย และราคาไม่แพงจนเกินไป ราคาอยู่ที่จานละ 45-120 บาท ร้านอาหารก็จะมี ครัวการ์ตูน, Jolly Milk, F&M, ฟองนม และ หมูกระทะ ส่วนของหวานก็จะมีร้าน Yours และ Sweet Admire ซึ่งจะขายพวกเค้ก ไอซ์ครีมต่างๆ และ Honey Toast 2) ร้านบะหมี่หยกเป็ดย่างซึงอยู่ถัดจากซอยสิ้นคิดไม่ไกล เป็นร้านหนึ่งที่ผมประทับใจเพราะบะหมี่หยกเป็ดย่างของเขาอร่อยจริงอะไรจริง ราคาก็ไม่แพง ร้านนี้เปิดตอนเย็นๆและคนจะแน่นร้านแทบทุกวัน(แถมขายหมดเร็วอีกต่างหาก) ผมจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้กินของร้านนี้บ่อยนัก เมื่อโซ้ยบะหมี่เสร็จก็กระแทกปากด้วย "ปังเย็นเจ๊นก" จ้าวดังซึ่งร้านเจ๊แกก็อยู่ติดกับร้านบะหมี่เป็ดนั่นแหละ เนื่องจากใช้วัตถุดิบคุณภาพดีปรุงปังเย็นได้รสชาติเข้มข้นทำให้ "ปังเย็นเจ๊นก" ดังและขายดีที่สุดในระแวกนั้น เรียกได้ว่าขายจนรวยเลยทีเดียว 3) ร้านบุรียัมมี่ ร้านเล็กๆตกแต่งเก๋ๆที่ปรุงอาหารไทยและตะวันตกฟิวชั่น รสชาติดี ราคาปานกลาง(จานละ60บาท) ที่ผมชอบคือข้าวผัดเนยหอมๆ กินกับปลากระพงทอดจิ้มน้ำจิ้มซีฟูดรสชาติเข้มข้น อืมมมมม เคยไปสัมภาษลุงเจ้าของร้าน แกบอกว่าเคยเปิดร้านอาหารอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พอกลับไทยมาก็เลยเปิดร้านอาหารที่ผสมผสานอาหารไทยและอาหารตะวันตกเข้าด้วยกัน 4) ร้านกลมกล่อม อยู่ลึกเข้าไปในซอยหมู่บ้าน เป็นร้านเล็กๆขายขนมหวานพวกเค้ก Toastและไอซ์ครีมต่างๆ(จะสังเกตเห็นว่านักศึกษาชอบกินของหวานพวกนี้) เจ้าของร้านเป็นกันเองกับพวกเรามาก แถมยังเล่นกีต้าเพราะอีกด้วย แหม่ช่างติสซะจริงๆ 5) ภัตตาคารฮั่วเซ่งฮง(อย่าจำสลับกับห้างทองฮั้วเซ่งเฮง) ซึ่งขายอาหารจีนระดับเหลา และยังมีร้านพุทธรักษาที่ขายอาหารจีนและไทยสุดหรู แน่นอนว่าอาหารจากร้านไฮโซเหล่านี้รสชาติต้องอร่อยแน่นอน แต่ราคาก็แพงตามความหรูและความอร่อยด้วย ร้านพวกนี้ผมจึงแทบจะไม่เคยเข้ายกเว้นเวลามีเจ้ามือเช่น พ่อพาไปกิน 6) พี่รหัสเลี้ยง อยากจะบอกว่าดีใจมากที่่อยู่ในครอบครัวศิริราชนี้และอยากจะบอกว่ารักพี่ๆที่ซู๊ดเพราะไม่มีคณะไหนที่พี่จะพาน้องไปเลี้ยงบ่อยเท่าคณะนี้อีกแล้ว ที่รักพี่นี่ไม่ได้ห่วงกินนะ(แต่ก็นิดนุง)แต่เป็นเพราะเห็นถึงความเอาใจใส่ต่อน่องรหัสของพวกพี่ๆที่ต้องการให้น้องๆอิ่มหมีพีมัน มีกำลังที่จะเรียนต่อไป และเมื่อเปิดเทอมผมจะกลายเป็นพี่ปีสองและจะต้องคอยเลี้ยงและดูแลน้องๆเหมือนกับที่ผมได้รับการขุน เอ๊ย ดูแลเป็นอย่างดี จะเห็นว่าเวลาว่างจากการเรียนในปีหนึ่งนั้น หนึ่งในสี่หมดไปกับการกิน กิน กิน แล้วก็กินทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะอดตายที่มหิดลศาลายา ตราบไดที่ยังมีตัง แต่ก็พึงระวังอย่ากินเพลินจนลืมดูแลสุขภาพของตนเองเพราะอาจเป็นทุกข์เพราะการกินก็ได้ ขอจบเรื่องของกินเพียงเท่านี้ เดี๋ยวคราวหน้าจะมาเล่าเรื่องการเรียนให้ฟัง |
บทความทั้งหมด
|
คราวหน้าจะลองนั่งรถไปชิมอาหารที่บอกมาเสียหน่อย ...