เรื่องของตัวหนังสือ
ตอนที่ปุ่นทำงานจัดซื้ออยู่บริษัทอาหารมัลติแบรนด์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ทุกเดือนหัวหน้าแผนกจะจัดประชุม ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง หัวข้อการประชุมมีเยอะแยะมากมาย หลัก ๆ ก็จะสรุปผลงานในแต่ละเดือน คอยย้ำเตือนเป้าหมายของปี งานที่จะเข้ามาในแต่ละซีซั่น ก็ซีซั่นการขายของผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างไม่เหมือนกัน อย่างนมเด็ก กาแฟ หรือ น้ำผลไม้ก็จะมีพฤติกรรมผู้บริโภคต่างกัน ช่วงเวลาในการทำโปรโมชั่น ข้าวของที่แผนกจัดซื้อต้องจัดประมูลเพื่อส่งให้สอดคล้องกับโปรโมชั่นของแผนกการตลาด เพื่อที่จะจัดส่งให้ถือมือลูกค้าทันเวลาต่อไป


ตอนกลาง ๆ ของการประชุม ผอ. แผนกในตอนนั้น เธอเป็นผู้หญิงหัวก้าวหน้า ทำงานค่อนข้างตรงไปตรงมา กล้าที่จะท้าทายความสามารถของลูกน้อง ประมาณว่าตั้งเป้าไว้สูงว่างั้นเถอะ ในขณะเดียวกันก็หาอะไรมากระตุ้นลูกน้องตลอด หนึ่งในหัวข้อพวก how to ที่ปุ่นจำได้ดีคือ เรื่องของการสื่อสาร
ไม่ต้องคิดไปไกลถึงอุปกรณ์การสื่อสาร แต่เธอพูดถึงวิธีการสื่อสารที่คนเราใช้ ๆ กัน เธอบอกว่า การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุดคือ แถ่น แท๊น
การส่งอีเมล์ หรือการโต้ตอบด้วยจดหมาย เพราะว่า การโต้ตอบทางตัวหนังสือ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้มากมาย ประสิทธิภาพทางการสื่อสารด้วยตัวหนังสือ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้เกินกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ทีเดียว ทำไมหรือ เพราะว่า การเขียนตัวหนังสือนั้น ไม่ใช่ว่าเขียนหนังสือเป็นแล้วจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ดีกันหมดทุกคน ยิ่งไม่ใช่ภาษาเดียวกันแล้ว คุณเอ๋ย ยิ่งจะทำให้เข้าใจผิดมากมายทีเดียว แล้วอิบริษัทที่ปุ่นเคยทำงานนะ คนไทยเหมือนกัน มีฝรั่งเป็นหัวหน้าคนเดียวเท่านั้น ก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษส่งอีเมล์หากัน เก่งบ้างไม่เก่งบ้าง บางทีต้องเก็บเมล์ไว้ขุดหลักฐานไล่วันเดือนปี มาประจานกันทีหลังกันเลยทีเดียว

อันนี้ไม่เฉพาะเรื่องงาน เรื่องตัวหนังสือที่เราใช้ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค เฟซบุ๊ค ทวีตเตอร์ ก็เข้าข่ายตรงนี้เหมือนกัน ตรงที่ว่า ถ้าไม่รู้จักแยกแยะ เช็คข้อมูลดี ๆ มีเรื่องราวนิดหน่อยก็ลุกลามใหญ่โตได้เหมือนกัน เรียกว่าเกลียดกันรักกันก็เพราะตัวหนังสือ โดยที่จริง ๆ แล้ว เราอาจจะไม่ได้รู้จักมักจี่กับคนเขียนซักหน่อย จากที่เขาเขียน เราก็ประมาณเอาว่าเขาเป็นคนดี หรือ คนไม่ดี จากที่เขาเขียนนั่นแหละ อีกอย่าง เขียนหนังสือนี่มันคิดได้ แต่งได้ เติมได้ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เขียนไว้ซะดูดีอย่างที่อยากให้คนมอง มันก็ช่วยสร้างภาพได้ในระดับหนึ่ง แต่จะค้นหากันจริง ๆ ต้องลองคุยกันตัวเป็น ๆ ดู

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นมากว่าตัวหนังสือนิดหนึ่งก็คือการคุยกันทางโทรศัพท์ แต่ก็ยังทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้อยู่ดี เพราะว่าไม่ได้เห็นสีหน้าค่าตา อาจจะปั้นเรื่องโกหกอยู่ แต่ก็พูดกรอกหูโทรศัพท์ไปซะงั้น

วิธีสื่อสารที่ดีที่สุด ง่าย ๆ เลย คือพบเจอ คุยกัน ตาสบตา เห็นสีหน้าสีตา ท่าทาง อารมณ์ไหนก็สื่อกันไปเลย น้ำเสียง อย่างโมโห หรือ โกรธ แสดงออกมา มีอะไรจะได้รู้ตรงนั้นไปเลย บางที ภาษากายมันก็ปิดอารมณ์ไม่อยู่ อย่างการกอดอก นั่งคุยกันแล้วคนนึงกอดอก เป็นการสื่ออย่างนึงว่าอยากจะกันตัวเองออกจากคู่สนทนา ปกป้องตัวเอง ไม่เคลียร์ หรือการ ไม่สบตาคนคุยด้วย เพราะเกรงจะส่งรังศีอำมหิตไปจัดการคู่สนทนา อันนี้ก็เหมือนว่าไม่จริงใจที่จะคุยกัน หรือการจับจมูกบ่อย ๆ ก็เป็นการแสดงถึงความไม่มั่นใจ ความประหม่า

ว่าแต่ว่าจะมีเวลามาสื่อสารกันตัวต่อตัวมั๊ยเนี่ย คนสมัยนี้ ขนาดเจอหน้าค่าตากันไม่ค่อยอยากจะคุยกันเท่าไหร่ ยกโทรศัพท์มากดดูโน่นนี่ แบบว่า ตัวอยู่ไหน ใจไม่อยู่นั่น มันคอยจะออกจากปัจจุบันไปหาอนาคตเรื่อยเลย เนอะ



Create Date : 02 ธันวาคม 2555
Last Update : 2 ธันวาคม 2555 3:55:23 น.
Counter : 966 Pageviews.

1 comments
นุดเบาหวานรายงานตัว ครบ 1 เดือนแล้วจร้า nonnoiGiwGiw
(18 เม.ย. 2567 11:46:58 น.)
Day..10 โฮมสเตย์ริมน้ำ
(11 เม.ย. 2567 08:25:45 น.)
ep 4 ขับรถบนถนนเริ่มจะประมาท โอพีย์
(10 เม.ย. 2567 05:03:14 น.)
ถนนสายนี้มีตะพาบ กม.ที่ 349 "วันใดที่เธอ...." จันทราน็อคเทิร์น
(8 เม.ย. 2567 14:18:13 น.)
  
แวะมาเยี่ยมในวันหยุด...สวัสดีครับ
โดย: **mp5** วันที่: 2 ธันวาคม 2555 เวลา:15:01:14 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bananarumba.BlogGang.com

Bananarumba
Location :
โคโลญจ์  Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]