Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2564
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
12 สิงหาคม 2564
 
All Blogs
 
บทที่ 7 ชีวิตในวัง

บทที่ 7 ชีวิตในวัง
 
วันแรกที่ถวายงานพระนางซูสี ฉันต้องมีสมาธิอย่างยิ่งยวด เพราะฉันยังไม่รู้ว่า พระนางจะต้องการสิ่งใด หรือ ต้องการให้จัดการสิ่งต่างๆ อย่างไร และดูเหมือนไม่มีใครยินดีจะบอกเอาเสียด้วย แต่เมื่อตั้งใจสังเกตอย่างจริงจังฉันก็สามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยดี หลังจากเก็บเครื่องประดับของพระนางลงกล่องแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าควรจะนำกล่องไปเก็บที่ห้องเครื่องประดับทันที หรือ ควรจะรอให้พระนางสั่งเสียก่อน ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นพระนางยังคุยอยู่กับแม่ ฉันจึงเสี่ยงนำกล่องกลับไปเก็บ เมื่อฉันกลับมาพระนางกำลังเดินอยู่ในสวน และได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองสั้น เปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบส้นเตี้ยซึ่งทำให้พระนางดูเตี้ยลงถนัดตา ชุดใหม่นี้เป็นผ้าเครปสีฟ้าน้ำเงิน ไม่มีปักยกดอกใดๆ แต่กุ๊นชายผ้า ด้วยริบบิ้นสีชมพูอ่อน พระนางดูสดชื่นในชุดใหม่นี้  เมื่อพระนางเห็นฉันเดินมาจึงถามฉันว่า “เธอไปอยู่ที่ไหนมา” ฉันจึงตอบว่า นำเครื่องประดับไปเก็บที่ห้อง พระนางจึงพูดว่า “ใครบอกให้เธอนำเครื่องประดับไปเก็บทันทีที่ฉันถอดออกรึ ฉันตั้งใจจะบอกเธอตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ก็ลืมไป” ฉันตอบพระนางว่าไม่มีใครบอก แต่คิดเองด้วยเกรงว่าจะให้ขันทีถือกล่องสิ่งของมีค่าตามไปทางนู้นทางนี้ และ ดูแล้วว่า วันนี้พระนางจะไม่ใช้เครื่องประดับเหล่านี้อีกจึงตัดสินใจนำกลับไปเก็บที่ห้องจะปลอดภัยที่สุด พระนางมองมาที่ฉันแล้วพูดว่า “ฉันรู้หรอกว่า นางกำนัลสาวๆ พวกนี้ ไม่มีใครแนะนำอะไรเธอเลย แต่เธอก็ยังตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรจะทำได้อย่างถูกต้อง ตอนแรกฉันถึงได้นึกว่ามีใครบอกเธอให้ทำ เธอไม่รู้เรื่องอะไรก็ถามฉันได้ แต่อย่าไปถามเอากับพวกคนใจร้ายแถวนี้” ฉันรู้ได้ทันที ว่าในหมู่นางกำนัลต้องมีคนที่อิจฉาฉันอยู่ แต่ฉันก็มีวิจารณญานดีพอที่จะพึ่งตัวเองได้ แล้วยังมีพระนางที่กรุณาต่อฉัน เข้าใจในสิ่งที่ฉันทำ
 
พระนางเดินผ่านไปยังทางแคบๆ แล้วหัวเราะ พลางพูดว่า “ดูฉันสิ ทำงานเสร็จก็พักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวจะเดินต่อไปอีกสักหน่อย แล้วไปทานข้าวเที่ยงบนยอดเขากัน ข้างบนนั้นวิวสวย ฉันคิดว่าเธอคงจะชอบแน่ๆ ไปกันได้แล้ว”
 
พระจักรพรรดิกลับไปยังตำหนักของพระองค์และหัวหน้าขันทีก็ไม่อยู่แถวนั้น  ขณะที่เราเดินไปนั้นพระนางพูดคุยยิ้มแย้มราวกับว่า พระนางไม่ได้แบกรับภาระปัญหาใดๆ ไว้เลย ไม่ว่าปัญหาในประเทศหรือต่างประเทศที่ยังค้างคาอยู่ เท่าที่ฉันเห็นพระนางมา พอสรุปได้ว่า พระนางเป็นคนมีอารมณ์สุนทรีย์มากคนหนึ่ง พระนางหันกลับมาและกล่าวว่า “ดูสิ มีคนติดตามมาดูแลเราตั้งกี่คน” ฉันหันหลังกลับไปด เห็นขบวนที่ติดตามพระนางไปออกท้องพระโรงว่าราชการมาตั้งแต่เช้าจนถึงบัดนี้
 
หลังจากเดินผ่านลานกว้างด้านตะวันตก เราก็มาถึงทางเดินทำเป็นรูปแบบซิกแซกเลียบไปตามแนวฝั่งทะเลสาบ มีหลังคาคลุมตลอดทาง ทางเดินนี้ยาวมากๆ จนเราไม่อาจเห็นปลายอีกด้าน ส่วนชายคาเป็นงานฉลุไม้อย่างสวยงามตลอดแนว มีหลอดไฟฟ้าแขวนบนเพดาน เว้นเป็นช่วงๆ ในตอนกลางคืน เมื่อเปิดไฟแล้ว เป็นภาพที่สวยมาก
 
พระนางเป็นคนเดินเร็ว พวกเราต้องก้าวอย่างกระฉับกระเฉงถึงจะตามพระนางได้ทัน เหล่าขันทีและนางรับใช้เดินอยู่ฝั่งขวามือ แต่จะมีขันทีหนึ่งคนได้รับอนุญาตให้เดินตามหลังพวกเรา เขาคือคนถือเก้าอี้แบบม้านั่งทรงกลมหุ้มผ้าซาตินสีเหลือง เก้าอี้ตัวนี้ติดตามพระนางไปทุกหนทุกแห่ง เช่นเดียวกับสุนัขของพระนาง พระนางจะนั่งพักบนเก้าอี้นี้เวลาออกมาเดินเล่น พอเดินมาสักระยะหนึ่งได้หนทางไกลพอควร ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแต่พระนางซึ่งสูงอายุยังคงเดินเร็วเช่นเดิม และไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยแม้แต่น้อย พระนางถามฉันว่าชอบอยู่ในวังไหม ชอบอยู่กับพระนางไหม และยังอีกหลายคำถาม ฉันตอบพระนางว่า ฉันยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสถวายการรับใช้พระนาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันเฝ้าฝันมานานหลายปี และตอนนี้ ฝันของฉันเป็นจริงแล้ว จึงมีแต่ความพอใจท่วมท้น
 
ในที่สุดพวกเราก็มาจนสุดทางเดิน มีเรือทำด้วยหินอ่อนจอดอยู่ ตัวฉันนั้นใกล้หมดแรงเต็มที ในขณะที่พระนางยังดูสดชื่น ตลอดชีวิตฉันยังไม่เคยพบคนสูงอายุที่กระฉับกระเฉงอย่างพระนางเลย จึงไม่แปลกใจ ที่พระนางจะสามารถปกครองอาณาจักรจีนอันกว้างใหญ่ ให้เจริญก้าวหน้ามาหลายปี
 
เรือหินอ่อนนี้ใหญ่โตหรูหรามาก เป็นงานแกะสลักขนาดมหึมาแต่น่าเสียดายภายในถูกทำลายไปเกือบหมด พระนางพาพวกเราชมเรือจนทั่ว และเมื่อเรามองดูส่วนที่เสียหาย พระนางพูดขึ้นว่า “ดูกระจกสีตรงหน้าต่างและภาพวาดสวยๆ นี่สิ ทหารต่างชาติเข้ามาทำลายเมื่อปี 1900 ฉันตั้งใจที่จะไม่บูรณะให้เหมือนเดิมเพราะฉันไม่ต้องการลืมบทเรียนนี้ และมันก็เตือนความทรงจำได้ดีจริงๆ” หลังจากที่เรายืนตรงนั้นได้ชั่วครู่ ขันทีถือเก้าอี้ซาตินเหลืองที่ทุกคนรู้จักดี ก็ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมเก้าอี้ พระนางจึงนั่งลงพัก ขณะที่พวกเราคุยกันอยู่นั้น ฉันก็เห็นเรือสมัยใหม่ สองลำ มุ่งหน้ามาทางเรา และยังมีเรือเล็กๆ ตามหลังมาอีกหลายลำ เมื่อเรือเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่าเป็นเรือไม้แกะสลักทรงเจดีย์  หน้าต่างแขวนผ้าโปร่งสีแดง เย็บขอบผ้าไหม พระนางกล่าวว่า “เรือมาแล้ว เราจะนั่งไปฝั่งตะวันตกของทะเลสาบ และไปทานข้าวเที่ยงที่นั่น” พระนางลุกขึ้นยืนและเดินไปทางตลิ่ง ขันทีสองคนประคองพระนางก้าวขึ้นเรือ พวกเราก้าวตามอย่างพระนางไป ภายในเรือตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้มะกล่ำแกะสลักอย่างประณีต  เบาะนั่งหุ้มผ้าซาตินสีน้ำเงิน กระถางดอกไม้วางอยู่ทั้งสองด้าน ห้องที่เรายืนอยู่เป็นห้องนั่งเล่น ด้านหลังยังมีอีกสองห้อง พระนางบอกให้ฉันเดินไปดู  ห้องหนึ่งขนาดเล็กกว่าเป็นห้องน้ำพร้อมเครื่องประทินโฉมครบครัน อีกห้องหนึ่งมีเก้าอี้แบบโซฟายาวสองตัว และเก้าอี้ตัวเล็กๆ อีกหลายตัว เพื่อให้พระนางใช้พักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อยและต้องการพัก ในห้องนั่งเล่นพระนางนั่งอยู่บนเก้าอี้บัลลังก์ และให้พวกเรานั่งบนพื้น ขันทีนำเบาะหุ้มผ้าซาตินสีแดงมาให้เรารองนั่ง ทั้งนี้หากว่าเราสวมชุดแบบจีนนั่งกับพื้นก็ไม่มีปัญหา แต่สำหรับการสวมชุดตามแบบของชาวปารีสนั้น นั่งไม่ถนัดเอามากๆ แต่คงจะต้องทนไปก่อน ฉันยินดีที่จะเปลี่ยนไปแต่งชุดแบบแมนจู เพราะจะคล่องตัวกว่ามาก แต่ฉันก็ไม่กล้าที่จะเสนอขอเปลี่ยน เราควรจะรอจนกว่าพระนางจะสั่งให้เปลี่ยน พระนางคงจะสังเกตท่าทีที่พวกเรานั่งบนพื้นไม่ถนัด  ท่านจึงพูดว่า “ถ้าพวกเธออยากจะยืนก็ได้นะ แล้วคอยมองเรือที่ตามมาด้วย” ฉันโผล่หน้าออกไปทางหน้าต่าง เห็นฮองเฮากับนางกำนัลอยู่ในเรืออีกลำหนึ่ง พวกเขาโบกมือให้ฉัน ฉันจึงโบกมือตอบ พระนางหัวเราะและบอกฉันว่า “ฉันให้เธอเอาแอปเปิลไปขว้างใส่พวกนั้นนะ” แล้วพระนางก็หยิบลูกแอปเปิลจากถาดใหญ่บนโต๊ะกลางห้องให้ฉันมาลูกหนึ่ง ฉันขว้างสุดแรงแต่ก็ไม่ถึงเรืออีกลำ ลูกแอปเปิลหล่นลงน้ำไปเสีย พระนางหัวเราะและบอกให้ฉันลองขว้างอีก ซึ่งฉันก็ยังขว้างไม่ถึง พระนางจึงหยิบแอปเปิลมาขว้างเองลูกหนึ่ง ปรากฏว่า ลูกแอปเปิลพุ่งตรงไปยังเรือลำนั้นและโดนหัวนางกำนัลคนหนึ่งเข้า พวกเราทั้งหมดพากันหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ฉันจึงเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ยังมีเรือแบบไม่มีหลังคาอีกหลายลำ บรรทุกเหล่าขันที คนรับใช้ และอาหารเที่ยงของพระนาง ทะเลสาบสวยงามดูเป็นสีเขียวภายใต้แสงอาทิตย์ ฉันทูลพระนางว่าสีเขียวนี้ทำให้ฉันนึกถึงท้องทะเล พระนางจึงพูดว่า “เธอเดินทางมาตั้งมากมาย ยังไม่พออีกหรือ ยังมีแก่ใจคิดถึงทะเลอยู่อีก เธอต้องอยู่กับฉันที่นี่ ไม่ต้องไปต่างประเทศอีกแล้วนะ ฉันอยากให้เธอมีความสุขได้ล่องเรือในทะเลสาบนี้ ดีกว่าไปโต้คลื่นฝ่ามรสุมในท้องทะเลเป็นไหนๆ” ฉันทูลพระนางว่าฉันตอนนี้ที่ได้อยู่ถวายงานพระนางนั้นมีความสุขที่สุดแล้ว  ฉันต้องบอกความจริงว่า  ฉันชอบวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของที่นี่ อากาศดี แสงอาทิตย์เจิดจ้า แล้วพระนางยังมีเมตตาต่อฉันมาก ท่านคุยกับฉันเหมือนแม่คุยกับลูก  ทำให้ฉันรักพระนางมากขึ้นๆ ทุกนาทีที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันมีความสุขมากๆ จนลืมความสุขสนุกสนานที่ปารีสไปเสียสิ้น
 
ในที่สุดเราก็มาถึงอีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ เป็นส่วนแคบๆ เหมือนลำธาร พอให้เรือผ่านได้ทีละลำ บนตลิ่งทั้งสองฝั่งปลูกต้นหลิวทำให้ฉันนึกถึงนิทานก่อนนอนของจีนที่ฉันเคยอ่าน ถึงตอนนี้ ทั้งขันที คนรับใช้ กำลังลำเลียงกล่องต่างๆ อยู่บนฝั่ง เรือสองลำที่เข้ามาคือ เรือของฮองเฮา และ ของเรา พระนางกล่าวขึ้นว่า “เราจะไปถึงเชิงเขาในอีกไม่กี่นาที” เมื่อเข้าใกล้ฝั่งฉันเห็นเก้าอี้เสลี่ยงสีเหลืองของพระนาง และยังมีเก้าอี้เสลี่ยงสีแดงหลายตัว จัดวางพร้อมอยู่แล้ว เราลงจากเรือและเดินไปยังที่วางเสลี่ยง ฉันมองพระนางเดินไปนั่งที่เสลี่ยงสีเหลืองจึงได้สังเกตเห็นว่า เสลี่ยงตัวนี้ไม่ใช่ตัวเดียวกับที่ใช้เมื่อช่วงเช้า ตัวนี้เล็กกว่าและมีคานสีเหลืองให้ขันทีสองคนถือไว้ด้วยเชือกสีเหลืองพาดผ่านไหล่ และยังมีขันทีอีกสี่คนคอยจับเสาไว้ทั้งสี่มุม ขณะที่ขันทีกำลังจะยกเก้าอี้ขึ้นนั้น พระนางก็ออกคำสั่งว่า “แม่นางหยู ฉันให้สิทธิพิเศษแก่เธอและลูกสาวนั่งเสลี่ยงสีแดงเชือกหามสีแดง ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับสิทธินี้” ฮองเฮาหันมามองเรา ฉันเข้าใจทันทีว่าต้องคุกเข่าคำนับ เราคุกเข่าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฮองเฮาเข้านั่งในเสลี่ยงเรียบร้อย เราจึงไปที่เสลี่ยงของเรา น่าแปลกใจว่าขันทีของเรามาประจำตำแหน่งรออยู่แล้ว บนเสาเสลี่ยงมีชื่อของฉันเขียนติดอยู่ ฉันจึงถามขันที เขาตอบว่า พระนางสั่งเตรียมการตั้งแต่คืนก่อนแล้ว มันช่างเป็นการเดินทางขึ้นยอดเขาที่สะดวกยิ่งนัก แต่พลันที่ฉันมองเห็นเสลี่ยงพระนางอยู่หน้าสุด ตามด้วยเสลี่ยงฮองเฮา ฉันรู้สึกทันทีว่าเราขึ้นเขาด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัย คนหามที่ถือเสาด้านหลังต้องยกเสาขึ้นสูงเหนือศีรษะ เพื่อให้เสลี่ยงอยู่ในระนาบไม่เอียงตามการขึ้นเขา ฉันกลัวจะตกจากเสลี่ยงแล้วได้รับบาดเจ็บ ขันทีของเราเดินตามอยู่ข้างๆ ฉันจึงบอกเขาว่าฉันกังวลว่าคนแบกอาจลื่นล้ม เขาจึงบอกให้ฉันหันไปมองด้านหลัง และเมื่อหันไปมอง ฉันก็แปลกใจที่เห็นว่าเสายกขึ้นเหนือศีรษะอยู่แต่แรกแล้ว โดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย เขาบอกว่า คนหามเสลี่ยงถูกฝึกมาเพื่อทำสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะ และไม่มีอันตรายใดๆ ให้ต้องกังวล เหล่านางกำนัลก็นั่งเสลี่ยงตามหลังกันมา ส่วนขันที เด็กรับใช้นั้นเดินตามขบวน แต่ฉันก็ยังคงนั่งเกร็งกลัวตกไปตลอดทาง เมื่อถึงยอดเขา เราเข้าไปช่วยประคองพระนางลงจากเสลี่ยง และตามพระนางเข้าไปในตึกที่ฉันเห็นว่าน่ารักที่สุดในพระราชวังฤดูร้อนนี้เลย (ชื่อ พาวิลเลียนชื่อ ชิง โฝ เคอร์) ตำหนักนี้มีเพียงสองห้อง แต่มีหน้าต่างทุกด้าน เราสามารถชมวิวได้โดยรอบ พระนางจะใช้ห้องใหญ่สำหรับทานมื้อเที่ยง ส่วนอีกห้องจะเป็นห้องน้ำ ฉันสังเกตว่าทุกแห่งจะมีห้องน้ำของพระนางเสมอ พระนางพาเราชมตึกและสวนข้างนอก มีดอกไม้สวยๆ ปลูกอยู่เต็มไปหมด ขันทีคนหนึ่งมาแจ้งว่า ของว่างพร้อมแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันรับผิดชอบงานทั้งหมดด้วยต้วเอง ฉันเดินออกไปดูก็เห็นกล่องสีเหลืองขนาดใหญ่สองกล่อง ข้างในมีขนมและผลไม้หลายชนิด ฉันจัดขนมลงจานทีละสองจาน ทั้งหมดสิบแปดจาน แล้วจัดวางบนโต๊ะสี่เหลี่ยมฝั่งที่พระนางนั่ง พระนางกำลังคุยกับแม่เรื่องดอกไม้อยู่ ฉันสังเกตว่า ถึงพระนางจะกำลังคุยกับแม่อยู่ แต่ท่านก็มองดูฉันทำงานไปด้วย ฉันจัดวางจานบนโต๊ะด้วยความระมัดระวัง และจากการสังเกตในวันก่อนๆ ฉันรู้ว่าพระนางโปรดอะไร ฉันก็จะวางขนมนั้นใกล้พระนาง พระนางยิ้มให้ฉันแล้วบอกว่า “เธอทำงานได้เรียบร้อยดีมาก เธอรู้ได้อย่างไรว่าฉันชอบจานไหนแล้วเอามาวางให้ใกล้ๆ ใครสอนเธอรึเปล่า” ฉันตอบว่า ไม่มีใครบอกอะไร แต่ฉันสังเกตเอาเองจากวันก่อนๆ ว่าพระนางโปรดอะไรเป็นพิเศษ พระนางตอบว่า “ฉันเห็นแล้วว่าเธอทำงานด้วยหัวใจ (ในประเทศจีนเราใช้คำว่าทำงานด้วยหัวใจแทนคำว่าทำงานด้วยสมอง) ไม่เหมือนคนแถวนี้ สมองเท่านกยังไม่มีกันเลย” แล้วพระนางก็รับประทานขนมของว่างต่างๆ อย่างเอร็ดอร่อย และส่งลูกกวาดมาให้ฉันชิม และบอกให้ฉันทานต่อหน้าท่านด้วย แน่นอนว่าฉันไม่ลืมที่จะคุกเข่าขอบคุณทุกครั้ง ซึ่งฉันถือว่าขอบคุณบ่อยเกินไปก็ยังจะดีกว่า พระนางบอกฉันว่า “ถ้าฉันให้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เธอไม่ต้องคุกเข่านะ แค่พูดว่า ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณ ก็เพียงพอแล้ว” เมื่อพระนางรับประทานขนมของว่างเสร็จเรียบร้อย ท่านบอกให้ฉันเก็บจาน และพูดว่า “วันนี้เธอทำงานเป็นวันของเธอ ของที่เหลือพวกนี้เป็นของเธอ เอาออกไปนั่งทานให้อร่อยที่เฉลียงสิ ของตั้งมากมายถ้าเธอชอบก็สั่งขันทีจัดเก็บกลับไปที่ห้องพักได้” ฉันเก็บจานเล็กๆ ลงกล่องและยกออกไปที่เฉลียง จัดวางบนโต๊ะและเชิญฮองเฮาให้มาทานด้วยกัน  ฉันไม่รู้ว่ามันผิดหรือไม่ที่จะเชิญฮองเฮาให้ทานด้วยกัน แต่ฉันก็เห็นว่า การทานขนมของว่างไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไร ฮองเฮาว่าไม่เป็นไรท่านจะทานขนมกับฉัน  ฉันกำลังหยิบลูกกวาดใส่ปาก พระนางก็เรียกหาฉัน ฉันรีบกลับไปในห้องทันที  พระนางนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังทานอาหารเที่ยง  พระนางถามขึ้นว่า “เมื่อวานนั่น มาดามแพลงซอง คุยเรื่องอะไรอีก มาดามพอใจจริงๆ ไหม เธอคิดว่าพวกต่างชาติชอบฉันจริงหรือไม่ ฉันว่าคงไม่จริงหรอก ใครๆ ก็คงไม่ลืมเหตุการณ์กบฏนักมวยในสมัยจักรพรรดิกวางสู ปีที่ 26 เรื่องที่ฉันเห็นว่าวิถีจีนของเราดีที่สุดและไม่เห็นด้วยว่าทำไมเราจะต้องรับเอาวิถีของต่างชาติมาใช้ มีชาวต่างชาติบอกเธอไหม ว่าฉันเป็นหญิงแก่ที่ร้ายกาจ” ฉันรู้สึกแปลกใจที่พระนางเรียกฉันเข้ามาถามคำถามนี้ในระหว่างที่พระนางกำลังรับประทานอาหาร พระนางดูจริงจังและเป็นกังวล ฉันจึงตอบให้พระนางมั่นใจว่าทุกคนพูดถึงพระนางแต่ในทางที่ดีทั้งสิ้น ชาวต่างชาติพูดถึงพระนางว่า พระนางใจดี มีสง่าราศี และอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องดีๆ ซึ่งก็ทำให้พระนางพอใจและยิ้มได้ พระนางตอบว่า “แน่ล่ะสิ พวกนั้นก็ต้องพูดเรื่องดีๆ ว่า ผู้ปกครองของเธอนั้นสมบูรณ์แบบเพื่อให้เธอสบายใจ ฉันรู้ดี ฉันก็ไม่อยากจะกังวลเกินไป แต่ก็ไม่ชอบที่จีนอยู่ในสภาวะคับขันอย่างนี้ ถึงแม้นว่าทุกคนที่ล้อมรอบฉันพยายามให้ฉันสบายใจโดยการบอกว่า ทุกชาติเป็นมิตรที่ดีต่อจีน ซึ่งมันไม่จริง  ฉันหวังว่า สักวันหนึ่งเราจะแข็งแกร่งขึ้น” ตอนที่พระนางพูดนั้นมีริ้วรอยแห่งความกังวลชัดเจน ฉันไม่รู้ว่าจะพูดให้กำลังใจพระนางอย่างไรดี จึงตอบว่าเวลานั้นคงจะมาถึงในไม่ช้า และทุกคนก็รอคอยวันนั้นเช่นกัน ฉันอยากเสนอบางประเด็นแต่เห็นว่าพระนางยังอยู่ในอารมณ์โกรธ จึงคิดว่ารอโอกาสอื่นที่เหมาะสมดีกว่า ฉันรู้สึกเห็นใจและเต็มใจช่วยพระนางโดยการบอกความจริงซึ่งไม่มีใครกล้าพูด ตอนนี้ฉันต้องใช้เวลาเรียนรู้ทำความรู้จักพระนาง ให้ถ่องแท้เสียก่อน จึงจะค่อยโน้มน้าวให้พระนางปฎิรูปประเทศจีน
 
ฉันยืนเฝ้าอยู่ตลอดจนกระทั่งพระนางรับประทานเสร็จ เมื่อพระนางลุกขึ้นจากโต๊ะท่านได้ส่งผ้ากันเปื้อนมาให้ (ผ้าไหมตัดเป็นรูปจตุรัสขนาดหนึ่งหลา มีหลายสี) เมื่อจะใช้จะพับมุมด้านหนึ่งด้วยตัวรัดผ้า เป็นผีเสื้อทองคำซึ่งด้านหนึ่งจะมีตะขอเอาไว้เกี่ยวกับคอเสื้อ พระนางกล่าวว่า “เธอคงหิวกันแล้ว ไปเรียกฮองเฮากับนางกำนัล มาทานต่อเลย เธอทานได้ทุกอย่างบนโต๊ะนี้ ทานได้มากเท่าที่เธอต้องการ” ฉันนั้นหิวมากๆ นึกดูว่าตื่นตั้งแต่ตีห้า ได้ทานมื้อเช้านิดหน่อย แล้วเดินอย่างเยอะ ตอนที่พระนางเริ่มนั่งโต๊ะทานขนมนั้นก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว พระนางซึ่งรับประทานค่อนข้างช้าและเจริญอาหาร ตอนที่ฉันยืนตอบคำถามท่านยังรู้สึกว่านานราวจะไม่จบสิ้น ฮองเฮายืนอยู่ที่หัวโต๊ะ พวกเราให้เกียรติฮองเฮาจึงมาอยู่รวมกันที่ฝั่งตรงข้ามทั้งหมด อาหารเกือบจะเหมือนกับที่เราเห็นเมื่อวันแรกที่เข้าวัง เมื่อพระนางล้างหน้าล้างมือ และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย พระนางก็เดินออกมาจากห้องด้านใน ชุดใหม่นี้เรียบง่ายแต่ก็ยังคงสวยงาม เป็นผ้าไหมดิบสีชมพูเหลือบเทา “ฉันมาดูพวกเธอว่าทานอะไรกันบ้าง ทำไมไปยืนอยู่ท้ายโต๊ะนู่นล่ะ ของอร่อยอยู่ทางนี้ มาๆ ย้ายมาข้างๆ ฮองเฮานี่เลย” เราจึงย้ายฝั่งไปอยู่อีกด้าน พระนางซูสี มายืนข้างๆฉัน แล้วชี้ไปที่ปลารมควันของโปรดพระนาง ว่าอยากให้ฉันลองชิม และว่า “ตามสบาย ทานให้อร่อย อยู่ที่นี่คนหมู่มากจิตใจต้องเข้มแข็ง แต่ถ้าโดนใครแกล้งเธอมาบอกฉันนะ” แล้วพระนางก็เดินออกไปข้างนอก บอกว่า จะไปเดินสักหน่อย ฉันสังเกตว่ามีนางกำนัลบางคนสีหน้าไม่พอใจ มีอาการอิจฉาเมื่อเห็นพระนางใส่ใจเราเป็นพิเศษ แต่ฉันก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย
 
เมื่อเราทานกลางวันกันเรียบร้อย ฉันก็เดินตามฮองเฮา เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป หรือ ควรจะเดินไปหาพระนาง เมื่อรู้ว่ามีคนอิจฉา ฉันก็ตั้งใจที่จะทำงานไม่ให้พลาด ไม่ให้เขามาหัวเราะเยาะได้ ฉันได้ยินพระนางตำหนิขันทีที่ดูแลสวน ว่าขี้เกียจ เพราะมีกิ่งไม้บางอันควรจะตัดได้แล้ว พวกเราจึงเดินไปหาพระนาง ๆ บอกเราว่า “ดูสิ ฉันต้องมาดูแลทุกอย่างเอง ไม่งั้นดอกไม้ก็จะไม่งาม ไว้ใจไม่ได้เลย ไม่รู้จะเอาคนพวกนี้ไปทำประโยชน์อะไรได้ เขาควรจะดูสวนทุกวัน ตัดเล็มกิ่งและใบ นี่ไม่โดนลงโทษมาหลายวัน คงต้องจัดให้เสียแล้ว” พระนางหัวเราะและว่า “จะจัดเต็มไม่ให้ผิดหวังเลย” ฉันนึกไปว่าคนพวกนี้ช่างโง่เขลามีแต่จะถูกเฆี่ยนตี และนึกสงสัยอยู่ว่าใครจะเป็นคนเฆี่ยน พระนางหันมาทางฉันแล้วพูดว่า “ เธอเคยดูคนโดนเฆี่ยนไหม” ฉันบอกพระนางว่าเคยเห็นเมื่อยังเล็ก ตอนที่อยู่ ชานสี พระนางบอกว่า “นั่นมันความผิดเบาๆ ไม่เลวเหมือนพวกนี้หรอก” แล้วพระนางก็ตัดบทบอกให้ฉันไปเล่นทอยลูกเต๋าด้วยเพราะไม่มีคนที่จะเล่นได้ครบขา เราจึงกลับไปที่ห้องทานอาหารอีกครั้ง โต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสวางอยู่กลางห้อง และมีบัลลังก์ขนาดย่อมวางหันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศที่ถูกโฉลกกับพระนาง พระนางนั่งลงบนบัลลังก์และพูดกับฉันว่า “เดี๋ยวฉันจะสอนเธอว่าเล่นยังไง เธออ่านแผนที่ภาษาจีนนี่ออกไหม” บนโต๊ะมีแผนที่ขนาดใหญ่เท่ากับขนาดโต๊ะ ลงสีสวยงาม ตรงกลางเขียนวิธีเล่น ว่า เกมนี้ ชื่อว่า “เทพทั้ง 8 เดินทางข้ามท้องทะเล” ชื่อเทพได้แก่ เซียนลู่ เซียนฉาง เซียนหลี่ เซียนหลาน เซียนฮาง เซียนเสา เซียนเหน เทพทั้ง 7 นี้เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิง ชื่อ เซียนฮอ แผนที่นี้เป็นแผนที่ของอาณาจักรจีนทั้งหมด แต่ละจังหวัดจะมีชื่อระบุไว้ อุปกรณ์ จะมี เหรียญงาช้างทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว หนา 1 กระเบียด จำนวนแปดเหรียญ แต่ละเหรียญจะมีชื่อเทพสลักอยู่ เกมนี้อาจใช้ผู้เล่นแปดคน คนหนึ่ง ถือ หนึ่งเหรียญ หรือผู้เล่นสี่คน คนละสองเหรียญ อุปกรณ์อีกอย่างคือ ถ้วยกระเบื้องเคลือบ ใส่ลูกเต๋า 6 ลูก เวลาเล่นก็จะทอยลูกเต๋า แล้วบวกเลขที่ได้ เช่นทอยได้แต้มสูงสุด 36 ก็จะใช้ เหรียญเซียนลู่ ไปวางที่หางโจว  ซึ่งเป็นเมืองที่วิวทิวทัศน์สวยงาม ถ้าเล่นสี่คน คนเดิมนี้ ก็จะทอยลูกเต๋าอีกครั้ง เพื่อเดินเหรียญ เซียนฉาง ตามจำนวนแต้มที่ได้ แต่ถ้าเล่นแปดคน ก็ถือเหรียญเทพ คนละหนึ่งเหรียญ ทอยลูกเต๋า คนละ 1 ครั้งต่อรอบ ตัวเลขที่ได้ ก็จะเป็นแต่ละจังหวัด ไปเรื่อยๆ ถ้าลูกเต๋า หงายเลข 1 หรือ 2 หรือ 3 สองอัน เหรียญเทพนั้น ก็จะถูกเนรเทศ และต้องออกจากการเล่นไป เหรียญเทพอันไหนเดินทางครบรอบถึงพระราชวังก่อน คือ ผู้ชนะ
 
ฉันอ่านกติกา ทั้งหมดให้พระนางฟัง พระนางพอใจมาก กล่าวว่า “ฉันไม่นึกเลยว่า เธอจะอ่านได้คล่องขนาดนี้ เกมนี้ฉันคิดขึ้นเอง และสอนนางกำนัลสามคน ให้มาเล่นด้วย ซึ่งต้องบอกว่า สอนยากมากเลย ฉันต้องสอนตั้งแต่อ่านตัวอักษร ซึ่งทำให้ฉันเกือบจะถอดใจ ตอนนี้เธอก็เล่นเป็นแล้วสินะ” ฉันแปลกใจมากที่นางกำนัลไม่รู้หนังสือ ไม่มีความรู้ ฉันนึกว่าเขาจะเก่งๆ กันจนฉันไม่กล้าพูดถึงวรรณคดีจีน แล้วเราก็เริ่มเล่นเกม พระนางโชคดี ทอยลูกเต๋าได้แต้มสูง ทั้งสองเหรียญ จึงนำทุกคนไปก่อน นางกำนัลคนนึงบอกฉันว่า “เชื่อไหม พระนางจะชนะตลอด” พระนางยิ้มและตอบว่า “เธอตามเทพของฉันไม่ทันหรอก เธอเพิ่งมาที่นี่วันแรก ถ้าเทพของเธอไล่ทัน ฉันจะมีรางวัลให้ เอ้า เร่งหน่อยนะ” ฉันคิดว่า ฉันคงตามไม่ทัน เพราะพระนางนำหน้าไปไกลมาก ฉันตั้งใจทอยลูกเต๋าเต็มที่ พระนางบอกให้ฉันขานเลขที่อยากได้ ฉันขานเลขแต่ก็ออกมาไม่ตรง ซึ่งพระนางขำและสนุกสนานมาก ฉันไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงไปนานเท่าไหร่ และเมื่อจบเกมพระนางพูดว่า “เธอไล่ฉันไม่ทัน เหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ แต่ว่า เหรียญของเธอก็เป็นตามติดฉันที่สุด ฉันก็จะให้รางวัลละกัน” แล้วพระนางก็ให้เด็กรับใช้หยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายยกดอกมา เด็กรับใช้นำผ้าเช็ดหน้าออกมาหลายสี แล้วพระนางให้ฉันเลือกสีที่ชอบ พระนางหยิบผืนสีชมพูและฟ้าอ่อนออกมา มีปักยกดอกวิสเทอเรียสีม่วงทั้งคู่ “สองผืนนี้สวยที่สุด เธอเก็บไว้ให้ดี” ฉันตั้งใจจะคุกเข่าคำนับ แต่ขาของฉันมันแข็งไปหมดจนขยับไม่ได้ ฉันพยายามขยับขาจนคุกเข่าได้อย่างทุลักทุเล พระนางหัวเราะ “เธอไม่ชินที่ต้องยืนนานๆ จนขาแข็ง เลยคุกเข่าไม่ได้” ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งขาแต่ก็คิดว่าไม่ควรจะแสดงอาการอย่างนั้น จึงได้แต่ยิ้มและบอกว่าไม่เป็นอะไร พระนางบอกว่า “ไปนั่งที่เฉลียงสักพัก” ฉันดีใจที่จะได้โอกาสนั่งเสียที จึงรีบเดินตรงไปยังเฉลียง พบว่าฮองเฮา และนางกำนัลนั่งกันอยู่ ฮองเฮาพูดว่า “เธอยืนตั้งนานคงจะเมื่อยแย่แล้ว มานั่งข้างๆ ฉันสิ” ฉันทั้งเมื่อยขาและปวดหลัง พระนางซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์คงไม่รู้หรอกว่าเราเมื่อยแค่ไหน แล้วยังชุดแบบฝรั่งที่สวมอยู่อีก ฉันหวังว่าพระนางจะบอกให้เราเปลี่ยนเป็นชุดแมนจูเร็วๆ นี้ ฉันสังเกตว่า ทุกวันพระนางจะมีคำถามเรื่องชุดที่ชาวตะวันตกใส่ เช่น “ไม่เห็นว่าชุดฝรั่งจะสวยกว่าชุดของเรา และรัดเอวจนน่าอึดอัด ฉันคงจะไม่ยอมถูกรัดแบบนั้นแน่” ถึงแม้พระนางจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งให้เราเปลี่ยนชุด เราจึงยังต้องอดทนใส่ชุดฝรั่งต่อไป ฮองเฮาหยิบนาฬิกาพกออกจากกระเป๋าเสื้อมาดูเวลา และบอกฉันว่า “เธอเล่มเกมตั้งสองชั่วโมง” ฉันตอบเธอไปว่า ฉันนึกว่านานกว่านั้นเสียอีก ขณะที่คุยกันอยู่นั้น ฉันเห็นขันทีประจำตัว นำกล่องทรงกลมมา 4 ใบ ถือมาด้วยก้านไม้ไผ่ แล้วมาวางลงใกล้ที่เรานั่งอยู่ เขาเอาชามาให้เราดื่ม และเมื่อแม่และน้องเดินตามมา ขันทีคนเดิมก็นำชาไปให้ดื่ม ที่เฉลียงนี้มีนางกำนัลนั่งคุยกับเราอยู่หลายคนแต่ขันทีไม่ได้จัดชาให้ ส่วนขันทีอีกคนหนึ่งจัดชาให้เฉพาะฮองเฮาเท่านั้นด้วยถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีเหลือง พร้อมจานรองถ้วยชาและฝาปิดถ้วยทำด้วยเงิน
 
แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อนางกำนัลที่นั่งติดกับฉันบอกว่า “เธอบอกขันทีหวัง (หัวหน้าขันทีของเรา) ว่าจัดชาให้เราดื่มหน่อยสิ ฉันจะได้ไม่ต้องเดินไปหยิบชาเองที่ห้องเล็ก” ฉันมองหน้าเธอด้วยความงุนงงว่า ฉันไม่รู้เลยว่า ชานี้เป็นของจัดให้เฉพาะเราแต่ฉันก็คงจะบอกขันทีหวังให้จัดชาให้เธอด้วย เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกว่า ฉันไม่สนใจคำขอของเธอ แล้วฉันค่อยไปหาคำตอบภายหลัง แล้วพระนางก็เดินออกมาที่เฉลียง ฉันรีบยืนขึ้น  และบอกฮองเฮาว่าพระนางกำลังเดินออกมา ฉันมองเห็นเป็นคนแรกเพราะนั่งตรงกับโถงทางเดิน พระนางพูดว่า “นี่ก็ใกล้จะบ่ายสามแล้ว ฉันอยากจะพักผ่อนเสียหน่อย กลับกันได้แล้ว” พวกเรายืนตั้งแถวส่งพระนางขึ้นเสลี่ยงเรียบร้อยจึงไปขึ้นเสลี่ยงของเรา ขากลับค่อนข้างเร็ว เมื่อมาถึงเรารีบลงจากเสลี่ยงเพื่อไปตั้งแถวรับ พระนางเดินตรงไปยังห้องบรรทมพวกเราเดินตามเข้าไป  ขันทีคนหนึ่งนำแก้วใส่น้ำร้อนมาถวาย อีกคนหนึ่งถวายโถใส่น้ำตาล พระนางใช้ช้อนทองคำตักน้ำตาลใส่ลงในน้ำร้อนสองช้อน แล้วจิบช้าๆ พระนางพูดว่า “รู้มั๊ย ก่อนที่เราจะนอนพักหรือนอนหลับก็ตาม น้ำหวานจะช่วยให้เราสงบลง ฉันดื่มเป็นกิจวัตร และพบว่า มันได้ผลดีมาก” พระนางถอดเครื่องประดับศีรษะออก ฉันเก็บลงกล่องและนำไปไว้ที่ห้องเครื่องประดับทันที  เมื่อฉันกลับมา พระนางอยู่บนแท่นบรรทมแล้วและพูดว่า “พวกเธอไปพักผ่อนได้แล้ว”
 
 
 


Create Date : 12 สิงหาคม 2564
Last Update : 12 สิงหาคม 2564 12:14:55 น. 0 comments
Counter : 456 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พวงแสด ลำปาง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add พวงแสด ลำปาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.