แนะนำ-สัมภาษณ์



ตัดมาจากหลายที่ คัดเรื่องที่เป็นส่วนตัวมากๆ
หรือ Hard Core เกินไป ออกนะคะ
ขอบคุณคำถามและเนื้อหา
จากนิตยสารคลีโอ สกุลไทย และวงการยาค่ะ Smiley
(ตอนนี้มีอยู่ในมือแค่เล่มสุดท้าย เล่มอื่นๆจำได้รางๆ แหะๆ)


- - - - - -

ครั้งหนึ่งที่คนเขียนถูกเรียกตัวไปสัมภาษณ์



คนสัมภาษณ์ : มาแล้วค่ะ ขอโทษที หนูต้องไปหลายงาน
เรา : เอ่อ ให้พี่เขียนสคริปท์ให้มั้ยล่ะ ^^ จะได้ไปสัมภาษณ์คนอื่นต่อ
คนสัมภาษณ์ : จริงเหรอพี่ ดีเลย (ขี้เกียจถอดเทป ว่างั้น)
เรา : ไหนลองขึ้นต้นมาก่อน
คนสัมภาษณ์ : ก็ หนูอยากเอาอาชีพพี่ขึ้นก่อน แล้วค่อยบอกว่า พี่เขียนนิยายด้วย
เรา : อืมๆ งั้นก็ว่ามา...
คนสัมภาษณ์ : ประมาณนี้ค่ะ

คนทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ล้วนมีความฝัน และปัจจุบันก็มีหลายต่อหลายคน ที่สามารถทำในสิ่งที่ฝันและหน้าที่หลักที่ต้องรับผิดชอบให้ประสบความสำเร็จได้ทั้ง 2 อย่าง ไม่เว้นแม้แต่ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ที่ไม่ว่างานที่รับผิดชอบอยู่จะค่อนข้างหนักแค่ไหน แต่ก็ยังจัดสรรเวลาไปทำในสิ่งที่ตนเองฝันได้เช่นกัน อาทิ เภสัชกรนักแสดง เภสัชกรนักร้อง เภสัชกรนักประชาสัมพันธ์ ฯลฯ แต่สำหรับอาคันตุกะที่เรากำลังพูดถึงในฉบับนี้เป็นเภสัชกรนักเขียน ที่จัดสรรเวลาในช่วงที่ว่างเพื่อมาสานฝันของตนเอง จากการกลั่นกรองประสบการณ์ออกมาด้วยใจ ในรูปแบบของนวนิยายอิงธรรมะเรื่อง 'รัก พ.ศ. ๑๐๐'

เรา : เออ... ดูดีมากเลย แต่พี่ทำให้ดูดีกว่านี้ได้อีก เอาคำนิยมเป็นภาษาอังกฤษไปแปะเลยดิ
คนสัมภาษณ์ : ไหนคะพี่

"Despite the title, 'Rak Por Sor Roi' ('Love BE 100') is not your typical romance. Set during the time of the second revision of the Tripitaka, the novel intertwines the imaginary love story of a prince and a princess with Buddhist history and philosophy.
The author manages to create engaging dialogues that smuggle in heavy Buddhist terms like jetopariyayana (knowing the mind of others) and satipatthana (foundations of mindfulness). The principal disciples of the Buddha, including Visakha and King Pimpisarn, are also woven into the tale while sentences such as 'Waves and waves of delightfulness are occurring in the mind,' provide subtle keys to dharma practice."
(บทแนะนำหนังสือ 'รัก พ.ศ. ๑๐๐' โดยคุณอารี ชัยเสถียร ในหนังสือพิมพ์ THE NATION ตีพิมพ์วันที่ 9 ก.ย. 2552)

เรา : เท่ปะ
คนสัมภาษณ์ : โอเคเลยพี่ ทีนี้ประวัติการศึกษา
เรา : เอาด้วยเหรอ ฉันเด็กบ้านนอกมากเลยเธอ ตอนม.ปลายก็โดนไล่ออกด้วย
คนสัมภาษณ์ : เกเรมาก
เรา : ไม่มาก แค่เอ็นท์ติดตอนม.5 แล้วไม่ได้ไปลาออก เรียนเภสัชเพราะพ่อไม่อยากให้ไปเรียนอักษร กลัวไส้แห้ง

คนสัมภาษณ์ : เวลาลงหนังสือมันต้องเขียนให้ดูดีหน่อยอะพี่ เขียนว่าโดนไล่ออกนี่เสียภาพพจน์มาก

เรา : งั้นเอาใหม่ เป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ ประมาณป. 5 มีเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นนักพูด แต่วันนั้นเขาไม่ยอมขึ้นพูดบนเวที คุณครูจึงเรียกเราไปพูดแทน การพูดครั้งนั้น ทำให้เราได้รับรางวัลในการพูดด้วย และต่อมาพอเข้าม.ต้น ก็มีโอกาสเข้าประกวดการกล่าวสุนทรพจน์ระดับประเทศอีกครั้ง ซึ่งเป็นการจัดประกวดที่รวบรวมเด็กจากโรงเรียนมัธยมกว่า 400 แห่งทั่วประเทศมาแข่งขัน โดยคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ บรรณาธิการหนังสือเพื่อนใหม่ในสมัยนั้นเป็นผู้จัดประกวด และได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ตั้งแต่นั้นมาก็ได้เริ่มหัดขีด ๆ เขียน ๆ จนได้รับรางวัลชมเชยกับตำแหน่งยุวทูตเพื่อสิ่งแวดล้อม ในรายการเรื่องสั้นเพื่อโลกสวย รายการสร้างสรรค์สังคม ที่ได้รับพระกรุณาจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เป็นผู้ประทานรางวัลให้แก่ผู้เข้าร่วมแข่งขัน และเรื่องสั้นก็ถูกดัดแปลงเป็นบทละครออกอากาศทางช่อง 3 ด้วยนะคะ

จากนั้นมาจึงทำให้อยากเป็นนักเขียน และคิดว่าเมื่อจบชั้นม.ปลายแล้ว ต้องสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ให้ได้ แต่เมื่อโตขึ้นทัศนคติก็เปลี่ยนไป เพราะโลกของความเป็นจริงคนเราไม่สามารถเลือกอย่างที่ฝันได้เสมอไป ดังนั้น ตอนสอบเอนทรานซ์จึงเลือกในคณะที่คิดว่า จะทำให้มีความมั่นคงในหน้าที่การงานมากกว่า เพราะงานเขียนนั้นเราน่าจะเรียนรู้ได้เอง ในที่สุดจึงตัดสินใจเลือกสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์

คนสัมภาษณ์ : ดูดีขึ้นเป็นกอง

เรา : ต่อเลยเนอะ
คนสัมภาษณ์ : ค่ะๆ

เรา : นวนิยายเรื่องแรกที่เขียนอย่างจริงจังเป็นนิยายอิงธรรมะเรื่อง เทวินทร์วตี และได้รับการตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ของน้าสาว แต่เราเป็นคนออกค่าใช้จ่าย จากนั้นก็แจกให้ผู้อ่านโดยไม่คิดมูลค่า เพียงหวังปลูกศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้แก่คนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ เพื่อน พี่น้อง และคนที่รู้จักในโลกอินเตอร์เน็ต หลังจากนั้น นิยายเรื่องนี้ก็ถูกหยิบมาเผยแพร่อีกครั้งโดยนิตยสารออนไลน์ธรรมะใกล้ตัว ด้วยชื่อใหม่ รัก พ.ศ. ๑๐๐ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้อ่านได้มากขึ้น และไปเข้าตา คุณธาดา เกิดมงคล บรรณาธิการนิตยสารบางกอก จึงนำไปตีพิมพ์เป็นนวนิยายโดยใช้ชื่อเดิมคือ เทวินทร์วตี ในตอนเริ่มต้น จนได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นจำนวนมาก ในที่สุด พรีมา พับบลิชชิ่ง สำนักพิมพ์ผู้ผลิตหนังสือคุณภาพได้เล็งเห็นประโยชน์ในแนวทางที่จะเผยแผ่ความรู้ความเข้าใจของพระพุทธศาสนาด้วยรูปแบบนิยายรักผ่านภาษาที่สวยงาม จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการจัดพิมพ์ ภายใต้ชื่อใหม่ว่า รัก พ.ศ. ๑๐๐ ในปัจจุบัน

คนสัมภาษณ์ : ดูดีเว่อร์มากเลยพี่
เรา : เฮ่ย พี่พูดเรื่องจริง
คนสัมภาษณ์ : ฮาๆ งั้นเอาอีก นอกจากรัก พ.ศ. ๑๐๐ แล้วมีงานอื่นอีกมั้ยคะ
เรา : มี เยอะ
คนสัมภาษณ์ : พี่เขียนสคริปท์ให้หนูเลยเหอะ
เรา : นอกจาก รัก พ.ศ. ๑๐๐ ก็มีนวนิยายเรื่อง รัก หลอน หลอก
ที่เน้นเนื้อหาภายในโรงพยาบาล โดยการพิมพ์ลงนิตยสารบางกอกทูอินวัน นอกจากนั้นยังมีการ์ตูนเรื่อง เมจิก มิ้งค์ มหัศจรรย์เมืองธรรมะ ที่ออนแอร์ทางช่องทีวีไทย (TPBS) เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ และบทความ ยารักษาใจ ในนิตยสารออนไลน์ธรรมะใกล้ตัว และนิตยสารฟาร์มาไทม์ด้วยค่ะ

คนสัมภาษณ์ : ตกลงเภสัชกรนี่อาชีพเสริมพี่ใช่ไหม
เรา : เฮ่ย อย่าพูดอย่างนั้น เดี๋ยวฉันโดนไล่ออก
คนสัมภาษณ์ : ใช่ ดังนั้นต้องสัมภาษณ์ในแง่มุมการทำงานของพี่ด้วย
เรา : ก็ต้องดูดีนิดนึง
คนสัมภาษณ์ : ค่ะ จัดสคริปท์มาเลยพี่
เรา : คืออย่างนี้ค่ะ... การที่เราทำในสิ่งที่ชอบไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องละทิ้งหน้าที่หลัก อย่างเราทำงานเป็นหัวหน้าแผนกเภสัชกรรมของโรงพยาบาล... มีลูกน้อง 20 กว่าคนในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้างาน เราต้องทำได้ทุกอย่างตั้งแต่นับเม็ดยาจนถึงประชุมหารือกับผู้บริหารเรื่องทิศทางของโรงพยาบาล งานบริหารเวชภัณฑ์ บริหารงาน ควบคุมการดำเนินงานของแผนกเภสัชกรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องทำให้ผลงานออกมาดีที่สุดเช่นกัน ทั้งนี้ งานประจำจะค่อนข้างหนักในช่วงเวลาทำงานเท่านั้น พอว่างเมื่อไหร่ก็จะจับงานเขียนขึ้นมาทำ ซึ่งคงไม่ต่างกับคนที่ต้องเลี้ยงดูลูก ที่เมื่อเลิกงานก็ต้องมาอาบน้ำ ป้อนข้าว สอนการบ้านลูก แต่สำหรับเราเวลาช่วงนั้นคือเวลาของการเขียนนิยายก็เท่านั้นเอง

คนสัมภาษณ์ : ก็ฟังขึ้นอยู่นะพี่
เรา : ไม่เชื่อก็ตามใจสิ แต่พี่พูดเรื่องจริงนะ
คนสัมภาษณ์ : แล้วทำงานเยอะขนาดนี้ มีปัญหาอะไรบ้างมั้ยคะ
เรา : มี เพียบ
คนสัมภาษณ์ : สคริปท์มาเลยค่ะ
เรา : มีเยอะค่ะ (ว่าแล้วก็แต่งประโยคเป็นทางการ) ในตอนแรกก็สรรหาสารพัดกลยุทธ์มาแก้ แต่พอเจอบ่อย ๆ ก็เหลือคาถาเดียว คือ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่มีปัญหาใดอยู่กับเราได้ตลอดเวลา บางทีเรื่องที่คิดว่าหนักที่สุดในเวลานี้ เมื่อผ่านไปอีกสิบปีเราอาจจะหัวเราะและคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ได้ และเชื่อว่าความประทับใจในการทำงาน บางครั้งก็เกิดจากปัญหาที่เราเจอก็ได้นะ

คนสัมภาษณ์ : อึ้งเลย หนูไม่คิดว่าจะมาเจอคนที่มีทัศนคติแบบนี้
เรา : อย่ามัวแต่ชม เปลืองพื้นที่ ขอพี่ฝากอะไรหน่อยได้ไหม
คนสัมภาษณ์ : เอาเลยค่ะพี่
เรา : คนเราต้องรู้จักตัวเองก่อนที่จะดูแลคนอื่น เพราะบางคนทำร้ายคนรอบข้างเนื่องจากไม่รู้จักตัวเองก็มีมาก บางคนโหยหา บางคนเรียกร้อง ต้องการการเติมเต็มจากสถานที่ทำงานหรือจากสังคม โดยไม่หันมามองดูตัวเองว่าเคยทำประโยชน์อะไรให้สังคมและคนรอบข้างบ้าง

คนสัมภาษณ์ : ฮาร์ดคอร์มากเลยพี่
เรา : มันมีเยอะกว่านี้อีก แต่ฉันตัดออก อย่าขัดสิ ยังพูดไม่จบ

คนสัมภาษณ์ : ค่ะๆ
เรา : การเรียนกับการทำงานจะแตกต่างกันมาก แม้ว่าเภสัชกรจะเรียนมาอย่างหนัก แต่เมื่อเข้ามาทำงานจริงโลกจะเปลี่ยน สังคมจะเปลี่ยน ไม่มีคนมาหมุนรอบตัวเราอีกต่อไป แต่เราจะกลายเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของทีมงานที่มีโอกาสช่วยเหลือผู้คนได้อย่างมหาศาล ขณะเดียวกันหากพลาดก็อาจหมายถึงชีวิตคนทั้งคนเลยก็ว่าได้

ฉะนั้นเมื่อได้เข้ามาอยู่ในวิชาชีพนี้แล้วจึงต้องทุ่มเทและตั้งใจทำงาน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าทุ่มเทแล้วต้องทิ้งทุกสิ่งที่ตัวเองรัก บางคนเอาแต่ทำงานจนล้มเหลวทางสถาบันครอบครัว อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น ขอให้ทำตามพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว คือ อยู่อย่างพอเพียง ซึ่งคำว่าพอเพียงในที่นี้ไม่ใช่อยู่อย่างอัตคัดขัดสน แต่หมายถึงพอดีและถ้ามีพอก็เผื่อแผ่ให้คนอื่นบ้าง ไม่ต้องปฏิวัติปฏิรูปอะไรมากมายหรอก เปลี่ยนแปลงตัวเองให้พอเหมาะพอดีได้ก็เท่ากับเปลี่ยนโลกทั้งใบแล้ว

คนสัมภาษณ์ : หมดแล้ว
เรา : ใช่ หมดแล้ว ไปทำงานอื่นต่อได้
คนสัมภาษณ์ : ขอบคุณค่ะพี่.

- - - - - -

ปล. อ่านบทสัมภาษณ์จริงๆ ที่ลงนิตยสาร
search จาก google ได้นะคะ ในนี้เอาเท่านี้ก่อน :)





Create Date : 23 มกราคม 2554
Last Update : 5 ตุลาคม 2554 18:50:49 น. 7 comments
Counter : 927 Pageviews.

 


คนสัมภาษณ์ : ตกลงเภสัชกรนี่อาชีพเสริมพี่ใช่ไหม
เรา : เฮ่ย อย่าพูดอย่างนั้น เดี๋ยวฉันโดนไล่ออก



โดย: GTW (GTW ) วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:17:14:15 น.  

 
ปรบมือให้พี่วิลาเลยค่ะ ตอนแรกนึกว่านักเขียนเป็นอาชีพหลักนะเนี่ย เอิ๊กๆ
เก่งจังค่ะ ดูแล้วเป็นกำลังใจที่ดีในการทำในสิ่งที่ฝัน คู่กับสิ่งที่เป็นจริงนะคะ


โดย: ชะเอมหวาน วันที่: 4 ตุลาคม 2554 เวลา:21:45:04 น.  

 
ขอบใจหนูเอมที่แวะมาเยี่ยมจ้า ^_____^


โดย: รุริกะ วันที่: 4 ตุลาคม 2554 เวลา:22:40:39 น.  

 
ความจริงบล็อกนี้ผมเข้ามาอ่านแล้วครับ
แต่คงจะออกความเห็นไม่ถูกเลยงดไว้ก่อนครับ


โดย: เจียวต้าย วันที่: 7 พฤศจิกายน 2554 เวลา:12:36:04 น.  

 
เข้ามาชื่นชมค่ะ คุณวิลาสินี (เขียนถูกรึเปล่าเอ่ย)
พี่เคยอ่านเรื่องที่คุณเขียนใน ธรรมะใกล้ตัว
พี่ก็เคยคิดจะแต่งนิยาย เรื่องสั้นนะคะ แต่ได้แค่คิด ไม่ได้ลงมือซักที ทั้งๆ ที่มีวัตถุดิบอยู่ แล้ว แต่ความขี้เกียจมีมากกว่าค่ะ


โดย: ตถตา IP: 124.121.127.180 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:22:21 น.  

 
ขอบคุณทั้งคุณปู่เจียวต้าย และคุณ(พี่)ตถตานะคะ ^/\\^
ดีใจที่มีผู้ใหญ่เข้ามาให้กำลังใจค่ะ =^_______^=

ปูลู เป็นกำลังใจให้พี่ตถตาเช่นกันนะคะ แล้วน้องจะรออ่านผลงานพี่บ้างค่ะ


โดย: รุริกะ วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:40:25 น.  

 
เข้ามาทักทายตามเทียบเชิญค่า คุณนักเขียนผู้มีังานอดิเรกเป็นเภสัช อิอิอิ



โดย: cinta IP: 58.64.107.16 วันที่: 1 ตุลาคม 2555 เวลา:17:19:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
 
มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.