The moment of life @ Kentucky # 2
...เริ่มเรียนคอร์สภาษากับ ELI (English Language Institute) ที่ทางยูจัดหลักสูตรไว้ให้กับนักศึกษาต่างชาติที่ต้องการเรียนเพิ่มเติมด้านภาษา หรือ เพื่อเอาผลคะแนนไปเลือกเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี-โท ของคณะต่างๆของมหาวิทยาลัย สำหรับที่นี่แบ่งเป็นห้องเรียนทั้งหมด 6 ระดับ ครั้งละ 2 เดือน ทุกครั้งหลังจบคอร์ส จะต้องสอบวัดผลว่าจะผ่านหรือไม่ เรียนไปจบจบหลักสูตรของภาษาก็จะได้ใบประกาศนีษยบัตรด้านภาษามาหนึ่งใบ ใช้ไปสมัครเรียนได้แทนผลโทเฟล เพราะถือเป็นคะแนนชั่วโมงในการเรียนภาษาอังกฤษตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้เมื่อเรามาถึงใหม่ๆ ก็มีตารางกำหนดวันที่ไปสอบวัดระดับว่าจะเข้าเรียนในระดับใด ตอนนี้ล่ะที่ใครหัวดี เก่งภาษาอยู่แล้วก็จะได้เรียนเพิ่มเติมอีกแค่ 1-2 ก็จะจบหลักสูตรภาษา สามารถไปลงทะเบียนเรียนแบบเต็มเวลาได้กับทางมหาวิทยาลัยเร็วขึ้น ไม่เสียเวลาและค่าเรียนมาก เอาล่ะ...ถึงเวลาเชือดของฉันแล้ว เตรียมใจไปลองสนามได้ สอบเสร็จได้ระดับ 3 อยากจะร้องเป็นเพลงคาราบาว ชีวิตในห้องเรียนเริ่มต้นขึ้นแล้วห้องเรียนภาษาของฉัน มีนักเรียนทั้งหมด 13 คน เป็นคนเกาหลี 2 คน ไต้หวัน 1 คน ฮ่องกง 1คน ญี่ปุ่น 2 คน โคลัมเบีย 1คน และคนไทย 6 คน ฉะนั้นในการเรียนภาษานี้จึงไม่เหงาเลย นักเรียนไทยจะถูกแยกออกไปประกบเป็นพาร์เนอร์เรียนกับเพื่อนชาติอื่นๆ หมุนเวียนกันไป เพื่อจะได้คุ้นเคยและรู้จักกันต่อไป การเรียนในห้องก็ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก อาจาร์ยส่วนมากจะใจดี และ มีความเข้าใจในการพยายามสอนนักเรียนที่มาจากต่างบ้านต่างเมืองอย่างเอาใจใส่ มีกิจกรรมให้ทำอย่างต่อเนื่อง มีการปฐมนิเทศเพื่อให้รู้จักการใช้ชีวิตที่นี่อย่างมีความสุข ในระหว่างนี้เราจะได้ทำบัตรประกันสังคมนักเรียน บัตรนักเรียน มีการพาไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อไว้ทำธุระด้านการเงิน และอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นอยู่ของนักเรียน ทางโรงเรียนจะพาไปแนะนำและชมมหาวิทยาลัยโดยทั่ว ให้รู้จักสถานที่ อาคารต่างๆ เช่น ห้องสมุด ห้องอาหาร อาคารเรียนต่างๆ เป็นต้นอ้อ...ลืมบอกไป ที่นี่ไม่มีรถเมล์ หรือ รถไฟฟ้าอะไรทั้งนั้น การเดินทางไปเรียนจึงใช้การเดิน ต่อมาก็ซื้อจักรยานปั่นไปเรียน และเมื่ออยู่ได้ประมาณปีกว่า ฉันก็ได้ซื้อรถมือสี่มาไว้ขับ เพราะต้องไปเรียนที่ต่างเมืองด้วย พวกเราก็เลยจำเป็นต้องใช้รถส่วนตัวแทน ชีวิตการเรียนทำให้วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนชีวิตประจำวันเป็นงานรูทีน ตื่นนอนเวลา 7 โมงเช้า เข้าเรียนตอน 8.30 นาฬิกา เรียนยาวไปถึงบ่าย 3 โมงเย็น ก็เลิกเรียนเป็นอย่างนี้ ฉันเองเรียนไป เล่นไป พยายามตั้งใจเรียนแต่บางครั้งก็ยากมากในบางบทเรียน โดยเฉพาะคลาสของการเรียนออกเสียงนี้ ฉันรู้สึกว่ามันโหดมาก เพราะลิ้นมันแข็ง ไม่ยอมตามคำสั่งสักที หากออกเสียงได้ถูกต้องก็จะมีชัยไปกว่าครึ่ง บางคำเราก็พบว่าที่เราเคยเรียนมา มันอาจจะไม่ถูกต้องด้วย เช่น ฉันเพิ่งรู้ว่าการออกเสียง ตัว Z ที่บ้านเรา คุณครูสอนว่า "แซด" แต่ที่นี่มันไม่ใช่อ่ะ มันต้องออกเสียงว่า "ซีย์" เอ้อ...จบไปฉันเริ่มเรียนตอนฤดูร้อน ซึ่งอากาศที่นี่ก็ค่อนข้างร้อนไม่แตกต่างกับบ้านเรานัก ซึ่งทำให้ฉันไม่ต้องปรับสภาพร่างกายกับเรื่องอากาศที่เลย แต่พอเริ่มเข้าฤดูหนาวช่วงเดือนตุลาคม อากาศก็เริ่มเย็นลงจนกระทั่งถึงช่วงเดือนธันวาคม ฉันเห็นหิมะตกเป็นครั้งแรก เป็นช่วงหัวค่ำ สนุกมาก ตื้นเต้น รีบโทรไปบอกปะป๊าที่เมืองไทยอย่างแตกตื่น พออยู่ไปหลายปีก็เริ่มชิน อย่างว่าอะไรที่เป็นครั้งแรกมันมักจะดีที่สุดเสมอ ช่วงก่อนที่จะเป็นหิมะนั้น จะเป็นเหมือนฝนน้ำแข็งเป็นฝ่อยๆ พี่ๆ ที่อยู่มาก่อนบอกว่า เขาเรียกว่า Slick เพราะมันทำให้ถนนลื่น เมื่อมันตกลงมาเกาะอยู่บนพื้นถนน เห็นจะจริงเพราะตอนฉันขี่จักรยานกลับจากเรียนจะเข้าบ้าน อยู่ๆ ก็เทกระจาดตรงทางจะเข้าบ้านซะงั้น อย่าถามว่าเจ็บไหม มันเจ็บมาก เป็นแผลหน้าหนาว เลือดซิบๆ ฉันเรียนจนจบหลักสูตรภาษาประมาณเดือนธันวาคม 1996 ก็เริ่มค้นหาคณะที่อยากเรียนแล้วไปพบดีน (Vice president of department) ประมาณคณบดีของคณะ เพื่อยื่นใบสมัครพร้อมให้เขาพิจารณาว่าคุณสมบัติจากวิชาพื้นฐานที่เราร่ำเรียนมาตอนปริญญาตรีนั้นมีกี่ตัวที่จะเทียบหน่วยกิตกันได้มั่ง เช่น ฉันจบนิเทศศาสตร์ ก็คิดว่าจะเข้าเรียนในคณะ Communication of Art ก็ต้องลงเรียนเพิ่มเติมอีกตัวคือ วิชาพฤติกรรมผู้บริโภค (Customer Behavior) อะไรเช่นนี้เป็นต้น ฉันลงทะเบียนเรียนไปหนึ่งเทอม และสอบไม่ผ่านเกณฑ์คะแนนของคณะนิเทศที่นี่ เพราะขาดความเข้าใจในการวิเคราะห์ระบบโฆษณาสื่อสารของวิทยุท้องถิ่นที่นี่ ทำไงได้มันไม่รู้จริงๆ นี่หว่า ที่นี้ยุ่งล่ะซิแล้วฉันจะเรียนอะไร ฉันชอบอะไรกันแน่ แล้ววันหนึ่งฉันได้มีโอกาสรู้จักรุ่นพี่คนไทยคนหนึ่ง พี่เขาเป็นนักศึกษาทุนจากหน่วยงานราชการเมืองไทย แกเรียนอยู่คณะมนุษยวิทยา (Human Resources) ที่นี่มาได้เกือบสองปีแล้ว ก็เลยคุยกัน ฉันก็รู้สึกว่าคณะนี้ก็น่าสนใจ น่าสนุก การศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลนี้ น่าจะเป็นประโยชน์กว้างขึ้นยามเมื่อต้องหางานทำต่อไป ฉันเลยลองไปสมัครเรียนคณะนี้ดูและเผอิญที่คณบดีของคณะท่านใจดีและให้โอกาสเด็กกระเหรี่ยงอย่างฉันเข้าเรียนได้ ถึงแม้จะไม่ได้จบสายนี้มาเลย ปีที่ฉันเรียนนั้นมีคนไทยในคณะนี้แค่ 2 คน ในรุ่น คือ ฉันและเพื่อนไก่ ซึ่งเพิ่งจะย้ายมาจากมหาวิทยาลัยอาคัลซอ และต่อมาพวกเราก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันเพราะต้องร่วมทุกข์ ร่วมสุข ช่วยกันทำรายงาน ช่วยกันในหลายเรื่องตลอดระยะเวลาที่ต้องเรียนอยู่ที่นี่ความยากลำบากในการเรียนมีอยู่แล้วแน่นอน แต่เพื่อนร่วมห้องก็ดีมาก เขาช่วยพวกเราได้มาก วิชาในคณะนี้ส่วนมากจะต้องมีรายงาน Presentation บ่อยมาก แล้วก็ให้เพื่อนในห้องซักถาม ตอบคำถามถึงจะผ่านไปได้ เวลาพวกฉันต้องออกไปรายงานมันเหมือนศิลปินเดี่ยวขึ้นเวทีทุกครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่สั่น แต่ก็ผ่านมาได้ เพื่อนทุกคนตั้งใจฟังอย่างเงียบสงบ หรือ จะงงกับสำเนียงอยู่ก็ไม่ทราบได้ ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันเลยรอดมาโดยตลอด คิดแล้วก็อดขอบคุณเพื่อนทุกคนไม่ได้ที่ไม่มีคำถามให้ฉันต้องตอบ พออาจารย์ถาม Any question ทุกคนก็บอก No. เข้าใจ เข้าใจ ไม่มีข้อสงสัยเลยฉันเริ่มชอบในเนื้อหาของการเรียนเพิ่มมากขึ้นในทุกขณะ Human Service สอนให้เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น พวกเราต้องเรียนวิชาว่าด้วยการสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มคน อันนี้อาจารย์ (Professor) จะให้เราเสนอชื่อของกลุ่มคณะที่สนใจมาแล้วก็ไปเก็บตัวอย่าง เฝ้าสังเกตการณ์แล้วมาทำรายงานให้โปรเฟสเซอร์ตรวจ รวมถึงการฝึกทำงานวิจัยซึ่งต้องอาศัยการมีเพื่อนมากหน่อย เพราะต้องอาศัยให้เพื่อนๆ ช่วยเอาแบบสอบถามที่เราทำขึ้นไปตอบเพื่อจะได้มีข้อมูลมาคำนวนตอบสมมติฐานต่อไป เมื่อทำงานกลับมาในแต่ละครั้ง ทุกคนก็ต้องมาเข้ากลุ่มเพื่อให้ทุกคนได้ร่วมวิจารณ์งานวิจัยของเราดีบ้าง แย่บ้างก็ว่ากันไป งานวิจัยของใครดีก็จะเป็นบรรทัดฐานของคะแนนวัดผลในปีนั้น การเรียนของฉันก็ประมาณนี้ อืม...ฉันทำงานในแคมปัสด้วยในระหว่างเรียนตามสิทธิ์ที่จะทำได้ ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ ได้เงินพอช่วยเป็นค่าขนม ค่าเช่าบ้านส่วนหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับเป็นค่าเรียนได้ อันนี้ยังต้องพึ่งทุน พก.ของบิดาต่อไป กราบขอบพระคุณท่านผู้มีอุปการะคุณอย่างสูงการเรียนโทของฉันนั้น ฉันเลือกแบบไม่มีวิทยานิพนธ์ แต่ใช้การสอบปากเปล่าและข้อเขียนโดยอาจารย์แต่ละคนทั้งหลักสูตรที่ร่ำเรียนมาแบบตัวต่อตัว เรียกว่า Comprehensive Test จนในที่สุดวันที่ฉันประสบความสำเร็จก็มาถึงฉันสอบผ่าน เรียนจบจนได้ปริญญามาเพิ่มอีกหนึ่งใบชื่อปริญญาว่า Master of Science, in Human Resources ฉันเรียนจบประมาณ สิงหาคม 1998 ใบปริญญากลับถึงบ้านก่อนฉันซะอีก เพราะทางมหาวิทยาลัยจะส่งมันกลับมาที่เมืองไทย พร้อมรูปในพิธีรับปริญญา 1 ใบ ฟิลม์ ต้นฉบับ 1 รูป หลังเรียนจบก็ยังไม่ได้กลับบ้านทันที ฉันได้ลองหางานทำที่ในเมืองนี้อีกสองปีกว่าๆ จนรู้สึกว่าไม่อยากทำแล้ว ก็เลยกลับบ้านเรา จบล่ะ ชีวิตการเรียนที่โน้น จริงๆ มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย รวมถึงเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างเพื่อนๆ ความผูกผัน ที่มันบรรยายได้ไม่หมด และฉันก็เขียนไม่เก่งด้วย เพียงแค่อยากเขียนให้เราได้นึกถึงภาพเก่าๆ เหล่านั้นยามเมื่อกาลเวลาผ่านไป และคิดถึงช่วงเวลานั้นอย่างมีความสุข เราแอบยิ้มกับเรื่องราวเก่าๆ ได้เสมอ บางเรื่องบางสิ่งไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็ไม่เคยลืมเพียงแค่มันซ่อนตัวอยู่ในลิ้นชักของความทรงจำ เพื่อรอวันที่เราจะเปิดมันออกมาอีกครั้งและอีกครั้ง
อยากไปเรียนต่างประเทศบ้างจังค่ะ ไม่มีโอกาสเลย