ตอนที่ 12 มีแถมต่อจากตอนเดิมเล็กน้อยนะจ๊ะ
ณ คฤหาสน์ตระกูลนรานุรักษ์ในเช้าวันต่อมา...
“ตาเดี่ยวออกเดินทางแล้วใช่ไหม” เสียงประมุขของบ้านเอ่ยถามผู้เป็นสะใภ้ในระหว่างรับประทานอาหารมื้อเช้า
“ค่ะคุณแม่...เที่ยวบินเที่ยวแรก เวลาขนาดนี้ก็น่าจะอยู่ระหว่างเดินทางจากสนามบินเชียงใหม่เข้าไปที่โรงแรมของเรา ว่าแต่เรื่องโรงแรม...” นพมาศลังเลอยู่ครู่ นางไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ถามต่อไปจะได้คำตอบไหม แต่ถึงยังไง แผนการที่คุณหญิงกัลยากำลังดำเนินการอยู่ล้วนเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของลูกชายนาง ได้คำตอบหรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่นางสมควรรู้
“เรื่องปัญหาของโรงแรมที่นั่นเหรอ...”
“ค่ะคุณแม่”
ข้าวต้มทรงเครื่องอุ่น ๆ ถูกส่งเข้าปากไปอีกคำ ละเลียดอย่างแช่มช้าก่อนจะกลืนเข้าไปด้วยท่าทางสบายของผู้สูงวัยที่ยังต้องให้ความระมัดระวังในการรับประทานอาหาร นั่นทำให้นพมาศรู้สึกเหมือนว่าการรอคำตอบครั้งนี้เนิ่นนานเหลือเกิน
“ปัญหานั้นฉันเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองนั่นแหละ...”
“อ้าว”
นพมาศมองแม่สามีด้วยความรู้สึกทึ่ง เพียงเพื่อต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ เล่ห์เหลี่ยมหลายหีบที่เก็บงำไว้ คนตรงหน้าก็พร้อมจะงัดออกมาใช้แบบไม่เลือกวิธี นั่นทำให้นางคิดไปถึงตัวนางกับสามี ที่กว่าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ โชคดีหน่อยที่สามีนางได้เชื้อแม่มาเยอะ พอรับมือกันได้
“เรื่องนี้ตาเดี่ยวจะไม่ระแคะระคายเหรอคะ ดิฉันกลัวว่าพอลูกรู้พาลจะโกรธ หนีกลับเมืองนอกไปอีก”
“รู้ก็รู้ไปสิ ยังไงตาเดี่ยวก็ต้องแก้ปัญหาให้จบ...ส่วนเรื่องหนีกลับอังกฤษ ไม่มีทางหรอก ตราบใดที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในกำมือฉัน ยังไงตาเดี่ยวก็ไปไหนไม่รอด”
“นี่คุณแม่ยอมรับจะให้พวกเขา...”
“ไม่หรอก...แต่ฉันรู้ดีว่าบังคับหลานชายตัวดีคนนี้ให้เปลี่ยนใจไม่ได้...แต่อย่าลืมสิว่า ฉันมีวิธีทำให้ผู้หญิงไม่กล้าคิดที่จะเป็นคางคกขึ้นวอ...”
“คุณแม่จะทำให้ผู้หญิงที่ชื่ออาโปคนนั้นเป็นฝ่ายปฏิเสธซะเอง?”
“ถูกแล้ว” กัลยาตอบหลังใช้ผ้าซับริมฝีปากให้สะอาด
“วิธีไหนคะ...ถ้าเป็นวิธีใช้เงินฟาดหัว ดิฉันว่าไม่มีทางสำเร็จ เพราะการได้แต่งงานกับตาเดี่ยวย่อมหมายถึงการได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลเรา เงินไม่กี่สิบล้านยังไงก็เทียบไม่ได้”
“จะยากอะไร...ส่งนังเด็กนั่นไปให้ไกล ๆ เวลาและระยะทางที่ห่างกัน สิ่งแวดล้อมที่ต่างไป สิ่งนี้มันทำให้ใจคนเปลี่ยนมานักต่อนักแล้ว”
“แล้วถ้าตัวแปรพวกนี้ไม่มีผลกับพวกเขาล่ะคะ” นพมาศถามต่อ
“ถ้าหากความรักมันมั่นคงจนเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉันก็พร้อมจะยอมรับ เหมือนที่ฉันยอมรับเธอให้เข้ามาอยู่ในตระกูลนี้ไงล่ะ” นี่เป็นคำตอบที่ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่ประมุขของบ้านจะกวักมือเรียกคนสนิทให้มาพยุงนางออกจากห้องอาหารไป
นพมาศคิดถึงสิ่งที่ได้ยินนั้นแล้วก็ถอนหายใจ ที่แท้การที่นางได้ใช้ชีวิตอยู่กับสามีอย่างมีความสุข ทั้งๆ ที่นางเป็นเพียงอดีตข้าราชการตำแหน่ง เล็ก ๆ ระดับล่างสุดของกระทรวงต่างประเทศประจำกงสุลอังกฤษ และมีบิดาที่เป็นเพียงเจ้าของร้านอาหารไทยเล็ก ๆ ในต่างแดน นั่นไม่ใช่เพราะสามีนางมีไหวพริบที่พอจะรับมือเล่ห์เหลี่ยมของมารดาได้เท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั่นก็คือ ความรักที่นางและสามียืนหยัดตั้งมั่นว่าจะไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทั้งปวงต่างหากที่สามารถเอาชนะใจของคุณหญิงกัลยาได้
12 เช้าวันนี้อาโปมาถึงที่ทำงานค่อนข้างเช้ากว่าทุกวัน ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้น แม้กระทั่งไอรดา ที่ปกติจะเข้าตอกบัตรพนักงานในเวลาฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด วันนี้ยังมาทำงานเช้าผิดปกติเช่นกัน และมีสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกันนั่นคือใบหน้าที่มองแค่ผ่าน ๆ ก็รู้สึกถึงอารมณ์เศร้าหมอง
“วันนี้มาทำงานเช้าจัง” ไอรดาเอ่ยทักทายเพื่อนด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะเต็มหน้าสักเท่าไหร่ ไอรดารู้ถึงความเศร้าหมองของตัวเธอเองว่าสาเหตุมันเกิดจากคนคนนั้นที่ยังไม่ยอมปล่อยให้เธอได้อยู่อย่างสงบ ทั้ง ๆ ที่เธอได้พูดคุยขอร้องเขาจนเป็นที่เข้าใจแล้วในมื้อเที่ยงวาน หรือว่าความเข้าใจนั่นเป็นของเธอเพียงฝ่ายเดียว ส่วนเขาสมองล้ำเลิศเกินอัจฉริยะจนไม่อาจเข้าใจการสื่อสารในเรื่องง่าย ๆ
“อืม...เธอเองก็มาเช้าเหมือนกันนี่...มีงานที่ต้องออกไปข้างนอกเหรอ” เสียงถามกลับฟังดูเนือย ๆ เหมือนคนหมดแรงใจอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรไป...ทำไมดูเศร้าจังวันนี้...”
“เธอเองก็ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ” อาโปถามกลับ ทว่าคำตอบที่มีให้แก่กันนั้นเป็นเพียงเสียงถอนหายใจดัง ๆ ขึ้นมาพร้อมกัน...
ไอรดาสังเกตเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอ ก่อนอีกฝ่ายจะหันเหความสนใจไปที่งานตรงหน้า ปิดการสนทนาทั้งหมดทั้งมวล เหมือนต้องการทำตัวให้ยุ่ง จะได้ลืมในสิ่งที่รบกวนจิตใจเวลานี้ นั่นยิ่งทำให้ไอรดาไม่เข้าใจ... เธอไม่คิดว่าคนอย่างอาโปจะมีเรื่องอะไรให้เศร้ามากมาย ทั้ง ๆ ที่วันนี้อาโปน่าจะอารมณ์ดีซะด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องวุ่นวายวิ่งทำตามคำสั่งท่านประธานผู้เข้ามาป่วนชีวิตของอาโปตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ข่าวว่ามีเรื่องด่วนให้ท่านต้องขึ้นไปจัดการด้วยตัวเองที่ เชียงใหม่... หรือว่านี่คือสาเหตุความเศร้าของอาโป...ก็อาจเป็นไปได้นะ ในเมื่อท่านประธานชลธิศที่ทั้งหล่อทั้งรวยคนนั้นมีเสน่ห์ล้ำลึก ยากที่สาวน้อยสาวใหญ่ ทั้งโสดและไม่โสดจะต้านทานไหว ยิ่งอาโปด้วยแล้ว การได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกันขนาดนั้น มีหรือจะไม่หวั่นไหว ทว่าเรื่องแบบนี้สำหรับคนที่ยังไม่เคยมีความรักมาก่อนอย่างอาโป ให้ถามซึ่ง ๆ หน้าก็คงไร้คำตอบ
พอเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเพื่อนรัก คิดประเมินถึงสาเหตุแบบคาดเดาแล้ว ไอรดาก็ค่อยลืมความเศร้าของตัวเอง เพราะสิ่งสำคัญที่เธอต้องใส่ใจมากกว่าเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนั้น นั่นก็คือ หาวิธีให้อาโปหายเศร้า ต้องเรียกรอยยิ้มสดใสของอาโปให้กลับมา บอกตามตรงว่าเธอไม่คุ้นชินกับใบหน้าลักษณะนี้ของอาโปเลยจริงๆ
ไอรดาเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้อาโป แต่พอเหลือบมามองไปยังประตู เธอเห็นไพลินเดินเข้ามา จำเป็นต้องเลื่อนเก้าอี้กลับไปทำทีขยันขันแข็งกับงานตรงหน้า...ตอนนี้นางมารมาแล้ว คงต้องปล่อยไปก่อนค่อยหาโอกาสปลอบใจอาโปทีหลัง
“ทุกคนฟังทางนี้”
เสียงของไพลินดังกังวาน ฟังชัดซะยิ่งกว่าผ่านเครื่องขยายเสียง พนักงานทุกคนจึงต้องละความสนใจตรงหน้าหันมาสนใจประกาศแทน
“การสอบประเมินความสามารถของพนักงานที่ต้องการย้ายไปทำงานประจำยังสาขาต่างประเทศถูกเลื่อนให้เร็วขึ้น และรูปแบบการสอบถูกกำหนดให้เป็นแบบใหม่” ไพลินเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการ
“สอบเร็วขึ้น...แถมยังเป็นการสอบแบบใหม่...แบบไหนกันนะ” เสียงถามตอบ คาดเดา ดังอื้ออึงไปทั้งห้อง
“เงียบ ๆ หน่อย...จะฟังต่อไหม...” ไพลินเอ็ดเสียงสูง ทำให้บรรยากาศภายในห้องกลับมาเงียบกริบเช่นเดิม “ที่บอกว่าสอบแบบใหม่ก็คือ...คนที่ยื่นใบสมัครไว้ จะถูกส่งไปทดลองงาน ไปดูแลกรุ๊ปทัวร์กันจริง ๆ แล้วจะมีการประเมินผลการทำงานโดยหัวหน้างานประจำสาขา ฉะนั้นใครที่ลงชื่อสมัครไว้ก็เตรียมตัวให้พร้อม เตรียมเอกสาร หนังสือเดินทาง ให้เรียบร้อย เข้าใจนะ”
“เอ่อ...แล้ว...จะให้เดินทางกันวันไหนคะ” อาโปยกมือขึ้นถาม
“สัปดาห์หน้า”
“เอ้ย!...อาทิตย์เดียวเอง แบบนี้จะขอวีซ่าทันเหรอ...”เสียงบ่นของพนักงานที่ยื่นเรื่องไว้ดังขึ้น
“ประเทศที่ส่งไปฝึกทดสอบเป็นประเทศที่ไม่ต้องใช้วีซ่าสบายใจได้...แต่ถ้าใครยังไม่พร้อมเรื่องเอกสารเดินทาง บริษัทเราอนุญาตให้จัดการเรียบร้อยก่อน จะได้ไม่เสียชื่อว่ามาจากสาขาประเทศไทย” ไพลินชี้แจง
“อ้าว...ไม่ใช่ประเทศที่เราเลือกไว้เหรอครับ”หนึ่งในพนักงานที่ยื่นความจำนงสอบเอาไว้เอ่ยถามด้วยความสงสัย และคำถามนั่นก็ตรงใจใคร หลาย ๆ คน
“บริษัทจะเป็นฝ่ายเลือกให้พวกคุณเอง และจะมีการให้คะแนน สองฝ่าย คือคะแนนจะสถานที่ปฏิบัติจริงและคณะจากทางสาขาเรา ที่ถึงแม้พวกคุณจะอยู่ไกลแค่ไหน ก็ไม่พ้นสายตาจับจ้องของเราไปได้ ฉะนั้น ไปอยู่ที่โน่น ระยะเวลาหนึ่งเดือน ก็ให้ทำตัวดีๆ อย่าให้มีเรื่องร้องเรียนมาเป็นอันขาด”
“ว๊า...”
เสียงโอดคราญกระหึ่มขึ้นในทันทีที่ไพลินชี้แจงจบ “แต่...อาโป...” นางหันไปสบตาพนักงานที่ถือว่าเป็นคนขยันที่สุดคนหนึ่งประจำบริษัท สีหน้าแสดงความรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ก่อนจะถูกปรับให้เคร่งขรึมขึ้น
“คะ?”
“เธอจะถูกส่งไปก่อนใครเพื่อนตามกำหนดที่บริษัทตั้งไว้คือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ให้เวลาเตรียมตัวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ทันไหม”
“แต่ดิฉันขอย้ายไปอังกฤษนะคะ ที่นั่นต้องใช้วีซ่าถึงจะเข้าประเทศได้” อาโปแย้ง
“นี่ไม่ฟังที่ฉันพูดเลยหรือไง...” เสียงไพลินเข้มขึ้น ก็บอกแล้วว่าประเทศที่ไปทดสอบเป็นคนละประเทศที่เลือก และพอดีว่า ที่ที่บริษัทจะส่งเธอไปขาดคน เลยจำเป็นต้องส่งเธอไปแก้ขัด แต่ไม่ต้องกังวลไป ถ้าทางนั้นให้ผ่านก็ผ่านเลย เธอสามารถระบุประเทศที่เธอต้องการไปทำงานประจำได้ทุกประเทศ ถือเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเธอคนเดียวเชียวนะ ดีไหม?” ไพลินอธิบายต่อ
“ดิฉันต้องไปประเทศไหนคะ” อาโปยกมือถามทันที
“นั่นสิ...พวกเราจะต้องไปประเทศไหน ประเทศที่ไม่ต้องใช้วีซ่า ก็น่าจะเป็นแถว ๆ บ้านเรา ไม่รู้พูดภาษาอังกฤษกันได้หรือเปล่า...งานนี้เจอหินแล้วล่ะ” เสียงสนทนาอื้ออึงไปทั้งห้อง
“เรื่องว่าใครจะไปที่ไหน เดี๋ยวจะมีซองเอกสารพร้อมหนังสือส่งตัวไปให้ทุกคน ค่อยลุ้นกันเอาเองเถอะ”
“ลุ้นยิ่งกว่าซื้อหวยซะอีกนะงานนี้”
“ก็ดีไม่ใช่เหรอ...ตื่นเต้นดีออก”ไพลินเอ่ยพรางหัวเราะเบา ๆ “ใครมีปัญหาอะไร ไม่เข้าใจตรงไหน ก็ค่อยเข้าไปถามเป็นรายส่วนตัวก็แล้วกัน...รีบไปเคลียร์งานของตัวเองให้เสร็จซะ ถ้าใครยังมีงานค้าง ทางบริษัทจะตัดสิทธิ์คนนั้น” ปิดการประกาศ ไพลินก็เดินกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะของตน
“โห...โหดร้าย...”
เสียงบ่นระงมกันทั่วหน้า ก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้าแบบจริงจังมากกว่าที่เคย ทว่าไอรดากลับเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้เพื่อนรัก ทั้งยังทำหน้าระทม
“ไม่ดี ๆ อาโป แกถอนใบสมัครเถอะ ถ้าแกไม่อยู่ฉันจะทำยังไง โลกนี้คงน่าเบื่อสุด ๆ” ไอรดาเริ่มโอดครวญ
“มันเป็นความฝันของฉันนี่นา จะให้ล้มเลิกทั้ง ๆ ที่โอกาสมาเยือนถึงหน้าบ้านแบบนี้ก็เสียดายแย่สิ” ใบหน้าที่ดูหม่นหมองมาทั้งเช้า เปลี่ยนเป็นยิ้มสดใสโดยฉับพลัน
“แกไม่คิดถึงคนที่นี่เลยเหรอ แล้วที่แกทำหน้าเศร้ามาตั้งแต่เช้านั่นอีก ไม่คิดอาลัยอาวรณ์กันเลย?”
“เขาไปดีแล้ว...อยู่กับคนที่รัก อยู่กับเจ้าของที่แท้จริงที่มีเวลาให้เขา คิดถึงเมื่อไหร่ก็ค่อยวีดีโอคอล หรือถ้ามีเวลาก็ค่อยไปหาได้” อาโปบอกอย่างคนที่ตัดสินใจแน่วแน่
“เขาที่ว่า แกหมายถึง?”
“ลูกชายฉันไง...ที่เพื่อนเอามาฝากไว้ตั้งแต่ปีมะโว้ มารับกลับไปแล้ว เห็นบอกว่ามีบ้านเป็นของตัวเอง มีอาณาเขตให้เขาวิ่งเล่น และมีเวลาดูแลเขาได้อย่างเต็มที่”
“นี่หมายถึงหมาหรอกเหรอ...”
“ก็หมาน่ะสิ...จะอะไร?”
“ฉันนึกว่าคนซะอีก...” ไอรดาถอนหายใจเฮือก
“คน? ใคร?” อาโปถามกลับ
“ก็ท่านประธานชลธิศไงจะใครซะอีก... ได้ยินว่าเดินทางไปเชียงใหม่ตั้งแต่เช้ามืด ไม่มีกำหนดกลับ ถ้าเธอไปทดสอบรับงานใหม่ที่ต่างประเทศแบบนี้ก็คงไม่ได้เจอกันแล้วแน่ ๆ ใครจะคิดถึงใครก่อนล่ะทีนี้”
พอได้ยินไอรดาพูดถึงท่านประธานที่เข้ามาทำให้ชีวิตของอาโปป่วนปั่นอยู่พักหนึ่ง ปากกาในมือก็มีอันชะงัก...จริงสินะ อีกสามวันเธอก็ต้องเดินทาง... ไปประเทศไหนก็ยังไม่รู้เลย เรื่องเป็นแบบนี้แล้ว เธอสมควรที่จะโทรศัพท์ไปรายงานเขาหน่อยไหม ในฐานะที่เคยทำงานใกล้ชิดกันมาระยะหนึ่ง แต่เธอก็แค่พนักงานธรรมดาคนนึงที่ พอเขาถึงเชียงใหม่ก็คงลืมชื่ออาโปไปแล้ว
“เฮ้อ...” อาโปเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใครจะคิดถึงใครก่อนอาโปไม่รู้ แต่ตอนนี้อาโปรู้เพียงแค่ว่า เรื่องที่จะถูกส่งไปต่างประเทศก่อนกำหนด กับเรื่องที่จะไม่ได้เจอท่านประธานอีกแล้วนั้นทำให้ใจของอาโปรู้สึกแปลก ๆ เหมือนว่ามันจะไม่สบายเขาซะเลย...
นพมาศเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นเมื่อถึงเวลาจิบชายามบ่าย ตามหน้าที่ของศรีสะใภ้ ที่ต้องคอยดูแลเอาใจใส่แม่สามีไม่ขาดตกบกพร่อง ทว่าวันนี้ที่นางเห็นคือ ถวิลกำลังยืนพินอบพิเทารับคำสั่งจากประมุขใหญ่ของบ้าน อีกทั้งรับซองเอกสารหนาสองฉบับมามือไว้ในมือ
“ไปจัดการให้เรียบร้อย”
“ครับคุณท่าน”
ถวิลรับคำแล้วโค้งคำนับสวยงามก่อนจะหันกลับหลังเดินออกมา เขาไม่ลืมที่จะทำความเคารพนพมาศผู้เป็นมารดาของนายน้อย สงบปากสงบคำแล้วเดินจากไปเงียบ ๆ
“คุณแม่เรียกพบถวิลทำไมคะ” นพมาศเอ่ยถามแม่สามี หลังจากที่นางยกมือไหว้แล้วทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อย
“ก็ให้ไปทำงานสำคัญน่ะสิถามได้” คุณหญิงกัลยายกถ้วยชาเคลือบมุกสวยหรูขึ้นจิบน้ำชาอย่างใจเย็น
“ธุระสำคัญ?”
“เรื่องลูกชายเธอไง” หญิงชราเฉลย
“เรื่องตาเดี่ยว...เรื่องกันเด็กคนนั้นออกจากชีวิตตาเดี่ยวเหรอคะ...แล้วคุณแม่ก็ใช้ถวิล...คุณแม่ลืมไปแล้วเหรอว่าถวิลเป็นคนของใคร” นพมาศเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“ก็ทำไมจะไม่รู้ว่าถวิลเป็นคนของตาเดี่ยว แต่ถวิลก็เป็นคนที่เข้าใจง่ายใช้คล่องที่สุดนี่นา”
“คุณแม่ไม่กลัวเรื่องจะรั่วไปถึงหูตาเดี่ยวเหรอคะ”
“ก็เรื่องอะไรฉันจะบอกให้ถวิลรู้ล่ะว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”
“อ้าว...แล้วเมื่อกี้...ซองเอกสารนั่นอีก...” นพมาศยิ่งทำหน้างงไปใหญ่
“ซองนั่นคือหนังสือแนะนำตัวพร้อมชื่อสถานที่ที่พนักงานบริษัททัวร์จะถูกส่งไปฝึกทดสอบ ฉันให้ถวิลเอาไปให้ผู้จัดการ”
“แล้วแม่หนูคนนั้น คุณแม่จะส่งไปที่ไหนคะ” นพมาศถามด้วยความอยากรู้
“ฉันไม่บอกเธอหรอก เดี๋ยวเธอปากโป้งไปบอกลูกชาย” หญิงชราตัดบท
“โธ่...คุณแม่ก็”นพมาศโอดครวญเมื่อไม่ได้รับความไว้วางใจสนองความอยากรู้อยากเห็นของนาง แต่ก็ยังมีอีกอย่างที่นาง ยังไงก็ต้องถาม... “แล้วอีกซองล่ะคะ ดิฉันเห็นถวิลถือเอกสารไปสองซอง”
“เป็นหนังสือแนะนำตัวที่ฉันให้ถวิลเอาไปส่งให้หนูธิตา ก็เห็นคุณหญิงแม่ของเขาอยากให้ลูกสาวทำงานทำการเป็นหลักแหล่ง ฉันก็เลยจะส่งหนูธิตาไปลองฝึกงานที่เชียงใหม่กับตาเดี่ยวซักระยะ...สวย ๆ อย่างหนูธิตา เรียนจบบริหารธุรกิจ ยิ้มง่ายเอาใจเก่ง เชื่อเถอะ รักแท้มันก็มีโอกาสแพ้ใกล้ชิดบ้างล่ะ” คุณหญิงกัลยาเอ่ยพลางหัวเราะด้วยความภูมิใจในแผนการอันล้ำเลิศตัวเอง
ในขณะที่นพมาศนั้น นางไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่ว่าแผนการส่งเนื้อหวาน ๆ ไปให้ฤษีจะได้ผล นางรู้จักบุตรชายของนางดีเท่ารู้จักลายมือตัวเองว่า เมื่อชลธิศปฏิเสธสิ่งไหนแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะหันกลับไปสนใจสิ่งนั้นอีก ซึ่งก็ไม่ต่างจากสิ่งที่ชลธิศอยากได้ เมื่อหมายตาสิ่งไหนแล้ว สิ่งนั้นต้องได้ และจะได้มาด้วยวิธีนุ่มนวลโดยไม่จำเป็นต้องออกแรงแย่งชิงเลยด้วยซ้ำ
ณ อีกสถานที่หนึ่งที่ห่างไกลจากเมืองหลวงของประเทศเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ทว่าหากเดินทางไปเยือนด้วยเครื่องบินใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง
“ว่าไงนะถวิล...อืม...รู้แล้ว...ขอบใจนะที่ส่งข่าวมาบอก ให้เวลาฉันคิดก่อน เดี๋ยวฉันจะสั่งการอีกที” ชลธิศสนทนากับคนสนิทที่เขาไม่ได้ให้เดินทางติดตาม ก็เพื่อให้ถวิลเป็นสายข่าวรายงานความเคลื่อนไหวจากทางกรุงเทพ ฯ เพราะในบรรดาคนใกล้ชิด ถวิลถือเป็นคนสนิทที่ไว้วางใจได้มากที่สุด
Create Date : 07 มกราคม 2564 |
|
0 comments |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2564 15:34:57 น. |
Counter : 1034 Pageviews. |
|
|
|