โจทย์ท้าทาย เก้าอี้ผู้ว่าการธปท.

การบ้านที่ฝ่ายการเมืองทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช ฝากให้กับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท. ) "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล " ที่จะรับงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 นี้พอจะประมวลได้ ก็คือการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน , การช่วยเหลือให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงแหล่งเงิน สะดวกและเป็นธรรม , ลดสเปรดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกู้-ฝาก เป็นต้น
++โจทย์ข้อเดิมแต่ซับซ้อนขึ้น
ถึงแม้จะดูเป็นโจทย์การบ้านเดิม ๆที่ทุกรัฐบาลก็คาดหวัง จากตัวผู้นำวังขุนพรหม กันมาทุกยุคทุกสมัย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในหลายๆครั้ง ก็มักจะลงเอยสู่ชนวนความขัดแย้งระหว่างขุนคลัง-ผู้ว่าการธปท. จากจุดยืนที่มองไปคนละมุม และไม่ได้หมายความว่าระหว่าง ขุนคลังกรณ์ และว่าที่ผู้ว่าการธปท. "ประสาร" ผลลัพธ์จะเหมือนที่ผ่านมา หากเป็นความท้าทายของเก้าอี้ผู้ว่าการธปท.คนที่ 22 ทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นโจทย์ การช่วยเหลือให้ประชาชนให้เข้าถึงแหล่งเงิน โดยเฉพาะกลุ่มในระดับรากหญ้าด้วยแล้ว หัวข้อปัญหาหนึ่งที่มีประชาชนโทรศัพท์เข้ามามากใน"โครงการ6 วัน 63 ล้านความคิดเพื่อปฏิรูปประเทศไทย" และยังเป็นหนึ่งในแผนงานหลักของขุนคลังที่ลั่นไว้เมื่อปีที่เพื่อสานต่อความ ตั้งใจในโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ , "Financial Master Plan 2 " ที่กระทรวงคลังและธปท.ร่วมเป็นเจ้าภาพที่จะส่งเสริมให้สถาบันการเงินใน ประเทศหรือรายใหม่ หันมาทำธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ /ไมโครเครดิต ที่ควรจะตั้งไข่ให้เห็นตั้งแต่ปีนี้แล้วด้วยซ้ำ
แต่เอาเข้าจริง! ผู้บริหารธปท. ทั้งผู้ว่าการ "ธาริษา วัฒนเกส " และรองผู้ว่าการ " บัณฑิต นิจถาวร " ต่างออกมายอมรับในทำนองเดียวกันว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสถาบันการเงินในประเทศไทย ที่สำคัญคือติดกฎหมายในเรื่องเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ที่กำหนดห้ามเกิน 15 % เป็นเสียงตามหลัง หลังนายแบงก์ออกตัวแต่ต้นแล้วว่า ไม่คุ้มความเสี่ยงหากจะทำ
เช่นเดียวกับ 2 อดีตประธานสมาคมธนาคารไทย "นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ " และนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล " ว่าที่ผู้ว่าการธปท.ที่กล่าวว่า " ไมโครเครดิต"เป็นเรื่องที่น่าศึกษา แต่เวลานี้แบงก์ยังไม่มีความรู้มากเพียงพอในการที่จะรู้สึกมั่นใจที่จะเข้า ไปทำในสเกลใหญ่ เนื่องจากต้องมีระบบงานและต้องจ้างคนรองรับ แบงก์ (กสิกรไทย )ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ถ้าเป็นสเกลเล็กๆน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า "
ในช่วงหลังจึงเริ่มเห็นธปท. เสียงอ่อนลง โดยจะให้เป็นตามความสมัครใจของสถาบันการเงินที่จะทำธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ และที่จะทำได้ในเวลานี้ที่เห็นจึงมีเพียง ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย ธนาคารรัฐในสังกัดอย่าง ไอแบงก์ ( ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ) ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส. ) ซึ่งกรณีธ.ก.ส. เพิ่งจะตั้งเป็นธนาคารชุมชน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยแยกธุรกรรมการบัญชี-การเงินออกจากธ.ก.ส.
ไม่รู้หากจะขยายวงให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งก.คลัง-ธปท. ยังจะมีมาตรการใด หมดเทอมรัฐบาล "อภิสิทธิ์ "หรือครบเทอม 5 ปี ผู้ว่าการ ธปท. "ประสาร " คนที่ขาดโอกาสยังไม่สามารถเข้าถึงสถาบันการเงิน จาก ณ ปัจจุบันที่มีถึง 15-20% ของประชาชนทั้งประเทศ หรือประมาณ 9-12 ล้านคน จะลดน้อยลงไปจากเดิมหรือไม่
++ทิศทางดอกเบี้ยอีกแรงกดดัน
อีกโจทย์ท้าทายที่ถือว่าไม่น้อยกว่า สำหรับผู้ว่าการธปท. ยังมาจากปัจจัยความเสี่ยง วิกฤติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะวิกฤติหนี้ยุโรปที่ยังไม่รู้ชะตาจะลามไปสู่เศรษฐกิจไทยหรือไม่ ความผันผวนตลาดเงินโลก ความต่างในนโยบายการดำเนินเศรษฐกิจที่สวนทางกันเวลานี้ เพราะในขณะที่ประเทศอุตสาหกรรมยังเผชิญปัญหาและจำเป็นที่จะคงนโยบายมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจต่อ แต่ในฟากเศรษฐกิจเอเชียหลายประเทศ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นโยบายได้ถอนจากความยืดหยุ่นกลับสู่ปกติมากขึ้น
เช่นล่าสุด ( 9ก.ค. ) ธนาคารกลางมาเลเซียตัดสินใจขึ้นอัตรานโยบายอีก 0.25% เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี มาอยู่ระดับ 2.75% ,ธนาคารกลางเกาหลีใต้ปรับขึ้น 0.25% เป็น 2.25% ในขณะที่ไทย ทั้งผู้ว่าการธาริษา ประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) , นายบัณฑิต รองประธานบอร์ด กนง. ก็ส่งสัญญาณดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์/พี )ขาขึ้นมาต่อเนื่อง จากผลพวงเศรษฐกิจไทยฟื้น ซึ่งคาดว่าจีดีพีปีนี้มีโอกาสขยับเป็น 5-6% จนอาจส่งผลต่อเสถียรภาพโดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เพิ่มขึ้นเป็น 3.5% ในสิ้นปีนี้ เทียบปี 2552 ที่ติดลบ 0.8%
ด้านว่าที่ผู้ว่าการธปท. นายประสาร คาดการณ์จะเห็นดอกเบี้ยอาร์/พี ปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังรวม 0.75% จากปัจจุบันที่ 1.25% เป็น 2.00% ในสิ้นปีนี้ โดยเริ่มเห็นปรับขึ้นเป็นครั้งแรก ในการประชุมกนง. 25 ส.ค. นี้ ซึ่งหากเป็นไปตามนั้น ก็หมายว่า เขาในฐานะประธานบอร์ดกนง. ในการประชุมในอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีคือ 20 ต.ค. และ 1 ธ.ค. 2553 จะมีส่วนต่อการตัดสินใจ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าดอกเบี้ยนโยบายหลังการประชุม 1 ธ.ค. จะขยับขึ้นเป็น 2.00% และอาจขยับขึ้นเป็น 2.50% ในไตรมาสแรกของปี 54 ตามที่ตลาดเงินคาดการณ์
แน่นอนว่า ไม่เพียงเป็นความท้าทาย สำหรับผู้ว่าการธปท.คนที่ 22 ที่มีประสบการณ์การเงิน-ตลาดทุนโชกโชนนานร่วม 26-27 ปี หากยังต้องเตรียมใจคงต้องถือเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเผชิญแรงกดดันจากฟากการ เมือง ดังจะเห็นคล้อยหลังการแสดงความเห็นเรื่องทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของว่าที่ ผู้ว่าการธปท.
++"กรณ์"ส่งเสียงทักขึ้นอาร์/พีคิดลึกๆ
เรื่องนี้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมา แกมเบรกหน่อย ๆ ระบุแนวโน้มการจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อ ว่า
"คณะกรรมการนโยบายการเงิน จะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวได้ดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังเผชิญกับความเสี่ยง เพราะระบบเศรษฐกิจเรายังพึ่งพาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า หากความต้องการสินค้าของประเทศเหล่านี้ลดลง ก็จะกระทบกับเศรษฐกิจไทย ดูได้จากที่ผ่านมา เมื่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีปัญหา ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยไปหลายไตรมาส
"ผมเชื่อว่ากนง.จะนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาตัดสินใจ และตอนนี้ ถามว่า เรามีแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อจริงที่จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะ นี้หรือเปล่า" นายกรณ์กล่าวและว่าแม้จะยอมรับว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งหากจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก็ไม่กระทบต่อต้นทุนการเงินของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแนวทางการพิจารณาของ กนง.จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก เพราะที่ผ่านมาการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เป็นประโยชน์และไม่ เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล "
และคงไม่พูดถึงโจทย์ในเรื่องสเปรดดอกเบี้ย ที่เสมือนเป็นปัญหาปลาร้าที่ค้างมานมนาน สำคัญอยู่ที่ว่า "รัฐบาลจะเอาจริงหรือไม่ " แม้วันนี้สเปรดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ( NIM )จะเริ่มมีทิศทางลดลง โดยค่าเฉลี่ยNIM ทั้งระบบแบงก์ในไตรมาสแรกปี 2553อยู่ที่ 2.78% โดยได้ลดลงจากปี 2550,2551 และปี 2552 ที่ 3.1% ,3.2 % และ 2.9% ตามลำดับ แต่คงต้องยอมรับเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยถัวเฉลี่ย ที่ธนาคารพาณิชย์คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับรายใหญ่บางรายค่อนข้างต่ำด้วย ซ้ำไม่ถึง 3% แต่ไปเพิ่มในส่วนต่างที่ค่อนข้างสูงกับรายย่อย ตามความเสี่ยงที่ไม่มีใครชี้ชัดว่าเป็นธรรมหรือไม่ แม้จะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาของธปท.เพื่อสร้างกลไกการแข่งขันในภาคบริการ ตลอดจนความสามารถในการลดต้นทุน -หนี้เสีย ของผู้ประกอบการแบงก์ แต่ถือเป็นบทบาทว่าที่ผู้ว่าการธปท. คงตระหนักเพิ่ม ในฐานะหน่วยงานกำกับสถาบันการเงินโดยตรง
จึงต้องจับตาดูว่าการเป็นผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ของ"ประสาร ไตรรัตน์วรกุล " ภายใต้บรรยากาศเศรษฐกิจโลกที่มีความซับซ้อนและซ่อนเงื่อนในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เก้าอี้ผู้ว่าการธปท. จะมีความอิสระไม่ถูกแทรกแซงง่ายๆ จากฝ่ายการเมือง ยิ่งองค์กรแห่งนี้เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของรัฐบาลในการ บริหารประเทศ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,547 11-14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Create Date : 14 กรกฎาคม 2553 Last Update : 14 กรกฎาคม 2553 15:33:44 น. Counter : 366 Pageviews.		2 comments
Share Tweet