รื่นเริงกับ ความฝัน ชีวิต ในทุกๆที่ ทุกๆวัน สนุกและมันส์ไปกับกาลเวลา ทำตามใจฝัน...มุ่งมัน
<<
กรกฏาคม 2549
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
20 กรกฏาคม 2549

Shangri-La แดนสวรรค์ที่ฝันเป็นจริง

ภาพธงมนต์หลากสีโบกสะบัดยามต้องแรงลม พาดผ่านเทือกเขาหิมะสีขาวบริสุทธิ์กับท้องฟ้าสีคราม รบกวนจิตใจของพวกเราให้ดั้นด้นไปเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกตะวันออกจนได้ในครั้งนี้


การแสวงหา Shangri-La เริ่มต้นจากการเตรียมฟิตร่างกายเพื่อรับมือกับโรคแพ้ระดับความสูง เพราะเป็นที่รู้กันว่าด้วยความสูงกว่า 4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ปริมาณออกซิเจนจะเบาบาง อาจก่อปัญหากับพวกเราชาวที่ราบต่ำได้
เราบินสู่คุนหมิง และเดินทางต่อกันเองไปยังเมืองโบราณ มรดกโลก ลี่เจียง โดย Sleeper Bus ซึ่งต่างลุ้นกันว่าหน้าตาจะเหมือนที่คิดไว้ไหม ปรากฏว่าเป็นรถนอนสมชื่อเพราะในรถทำเป็นเตียงนอนสองชั้น เรียงกันสามแถว ด้านในหลังสุดเป็นที่นอนเรียงกันนับได้ห้าที่เท่ากับจำนวนสมาชิกของเราพอดี
เราถึงลี่เจียงตอนเช้าตรู่ และหาที่พักบนเนินเขาซึ่งมองเห็นเมืองเก่าได้ถนัดตา แล้วจึงเริ่มเดินสำรวจตัวเมือง โดยไม่ลืมแวะจิบกาแฟยูนนาน แม้จะอร่อยน้อยกว่ากาแฟไทยแต่ภาพที่มองลงมาจากเนินเขาสิงโตนั้นงดงามจนเรื่องกาแฟต้องตกเป็นรอง ยามค่ำลี่เจียงยิ่งคึกคักด้วยนักท่องเที่ยวและที่นี่ก็มีทุกสิ่งรองรับ ไม่ว่าจะเป็น Pub ร้านอาหาร ห้องแสดงภาพ ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ บางคนอาจรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ทำลายเสน่ห์เมืองเก่า แต่บางคนกลับคิดว่าทำให้มีชีวิตชีวา สำหรับฉันกับพี่อีกคนหนึ่งเลือกชม Naxi Concert ที่ขึ้นชื่อว่าเพลงเก่า เครื่องดนตรีเก่า และนักดนตรีเก่า(แก่) ก่อนตระเวนเก็บภาพ Night Scene ส่งท้ายคืนนี้
วันต่อมาพวกเราเช่าเหมารถเพื่อเที่ยวนอกเมือง ฝันของหลายคนอาจหม่นไปบ้างเพราะต้นชาหมื่นดอก ที่วัดยวี่เฟิงเริ่มโรยรา ยังดีที่สถานบูชาเทวดาของชาว Naxi มีอะไรแปลกตาช่วยให้คึกคักขึ้นมาได้ บ่ายคล้อย ยอดเขาส่วนใหญ่ยังคงเร้นกายอย่างเอียงอายใต้สายหมอก เราขึ้นภูเขาหิมะมังกรหยก และถ่ายรูปในชุดพื้นเมืองกันอย่างสนุกสนานที่ทุ่งหญ้าหยุนซานผิง
เราอำลาลี่เจียงในวันพรุ่ง สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสบายขึ้น คือวันนี้จะได้ใช้ภาษาอังกฤษแทนภาษาใบ้หรือภาษาจีน เพราะเป็นวันแรกที่ได้พบ Mr.Carlson ไกด์ชาวทิเบตผู้ไปร่ำเรียนถึงอินเดีย เราแวะชมโค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง และโตรกเสือกระโจน จากนั้นกลิ่นอายทิเบตเริ่มกรุ่นชัดขึ้นทุกขณะ ทั้งสถูปสีขาว กับราวริ้วธงมนต์ ตลอดจนอาหารค่ำที่จงเตี้ยนซึ่งเป็นแบบทิเบตแท้ คือ หม้อไฟ เนื้อจามรี ตบท้ายด้วยชาเนย และนอนหลับฝันดีหลังจากได้ไปเต้นรำแบบพื้นเมืองกับชาวจงเตี้ยนที่ลานกลางเมืองเก่า
เช้าวันรุ่งขึ้น เราต้องตะลึงเพราะภาพที่เห็นยามตื่น คือทุ่งหญ้านอกหน้าต่างถูกปกคลุมด้วยหิมะกลายเป็นสีขาว เหมือนสัญญาณให้ตระหนักว่าที่นี่คือชายขอบหลังคาโลก เราฝ่าหิมะไปชมวัดลามะสงจ้านหลินซื่อ สภาพอากาศทำให้เราต้องเร่งเดินทางเพื่อให้มั่นใจว่าจะถึงตี๋ชิงก่อนมืด และจำต้องเลยผ่านทะเลสาบนาปาไปด้วยความเสียดาย แทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินว่าหิมะเพิ่งตกตอนตีสี่ ดูสิ..เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เปลี่ยนสีสันของเมืองทั้งเมืองและเส้นทางสัญจรได้
รถแวะที่หมู่บ้านของ Mr.Carlson หลานชายของเขาส่งห่อผ้าขนาดเท่ากำปั้นให้ห่อหนึ่ง ใครสักคนพูดขึ้นมาว่าเป็นมันเผา หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างสุดขั้ว เราหยุดชมวัดตงจู่หลิน โชคดีมากที่ได้เห็นพระลามะกำลังทำภาพวงล้อมันดาลาจากหินหลากสีบดละเอียดจนเป็นทรายซึ่งจะทำเมื่อมีงานสำคัญเท่านั้น ที่เหลือนำไปโปรยบนยอดเขาและแม่น้ำ ให้สายลมและธาราพัดพาความเป็นศิริมงคลไปทั่วชุมชน
หิมะโปรยสายอีกครั้งเมื่อเราไต่ระดับสูงขึ้น Mr.Carlson ถามว่ามีอาการแพ้ความสูงหรือยัง เราบอกว่า We are always sleepy and hungry เขาหัวเราะและตอบว่าคงไม่ใช่ แล้วจึงหยุดรถให้เราลงไปถ่ายรูปกับจุดสูงสุดของถนนสายนี้คือที่ 4,210 เมตร ซึ่งราว 40 กิโลเมตรของถนนช่วงนี้จะลาดด้วยหินเนื่องจากเป็นเขตที่หิมะตกหนัก
เราหยุดเก็บภาพที่ทางเข้าเมืองตี๋ชิง ซึ่งจะเห็นเทือกเขาหิมะเหม่ยลี่ได้เต็มตาถ้าฟ้าเป็นใจ เพียงแต่วันนี้ไม่ใช่วันของเรา ส่วนปริศนาห่อผ้าของ Mr.Carlson ก็มาเฉลยที่นี่ จากมันเผากลายเป็นเครื่องหอมและเมล็ดข้าวฟ่างซึ่งใช้เผาบูชาเทพยดาแห่งขุนเขา สิ่งที่สัมผัสได้คือศรัทธาอันแรงกล้าของชาวทิเบตซึ่งปฏิบัติศาสนกิจเป็นกิจวัตรมิใช่เฉพาะยามทุกข์ ขณะประกอบพิธี Mr.Carlson มีสมาธิมาก ดีกรีเด็กนอก หรือเสื้อผ้าตามสมัยนิยมที่เขาสวมใส่ ไม่อาจลดทอนจิตวิญญาณของความเป็นทิเบตได้เลย ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ผูกพันกับธรรมชาติสะท้อนออกมาในธงมนต์ห้าสี ได้แก่ สีแดง ฟ้า ขาว เขียว เหลือง อันหมายถึงพระอาทิตย์ ท้องฟ้า เมฆ ต้นไม้ และพื้นดิน ตามลำดับ พวกเราได้ติดธงมนต์ ณ ที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าฉันต้องขอให้ได้กลับมาเห็นภูผาแห่งหิมาลัยอีก ในคืนนี้หลายคนอธิษฐานให้ฟ้าเปิด เพราะเท่าที่ทราบหลายชีวิตต้องรอคอยแรมเดือน กว่าจะได้เห็นยอดเขาคาวาเกโป ซึ่งเป็นยอดสูงสุดของเทือกเขาเหม่ยลี่สมใจ
รุ่งเช้าเรารีบเร่งเดินทาง Mr.Carlson ให้เก็บภาพที่จุดชมวิวห้านาทีเพื่อให้มีเวลาเดินขึ้นธารน้ำแข็งหมิงหย่ง และลงมาทันมื้อกลางวัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงอธิษฐานหรืออะไร ที่ทำให้ยอดคาวาเกโปพ้นเงาเมฆมาอวดโฉม แม้จะเห็นเพียงลางๆ เราต่างยิงภาพไม่ยั้งเกินเวลาไปมากจนต้องงดข้าวเที่ยง ท้ายสุดวันนี้ก็เป็นวันของเรา ฟ้าเปิดเมื่อถึงธารน้ำแข็ง เราได้เห็นวัดทิเบต ริ้วธงมนต์โบกสะบัด ภูเขาหิมะ ตัดฟ้าสีครามสดใส เรายังเห็นธารน้ำแข็งเคลื่อนตัวแตกลงมาต่อหน้าต่อตาไม่ต่ำกว่าห้าครั้งภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง พอนั่งรถกลับมาถึงจุดชมวิวยอดคาวาเกโปก็ผงาดท้าสายตาชัดเจนกว่าเมื่อเช้า หากยังมีเมฆคลอเคลียบ้าง แม้จะไม่มีใครได้ทานข้าวกลางวันและเวลานั้นก็เย็นมากแล้ว แต่ทุกคนต่างพร้อมใจลงไปเก็บภาพให้สมกับที่เฝ้ารอ ตกค่ำ Mr.Carlson พาไปร้านดังของตี๋ชิง ซึ่งรับรองว่าถ้าไม่ใช่คนพื้นที่ไม่มีทางหาเจอ อาหารอร่อยคุ้มค่าที่ยืนรอโต๊ะว่าง คืนนั้นเราจึงทั้งอิ่มท้อง อิ่มตา อิ่มใจ ส่วนฉันแอบโลภขอให้พรุ่งนี้ฟ้าใสกว่าเดิมและขอให้ได้เห็นยอดเขาหิมะคาวาเกโปอย่างเต็มตาอีกสักที
ก่อนหันหลังให้ตี๋ชิง เราใช้เวลาที่เหลือชมตลาดเช้าเพื่อเก็บภาพชีวิตชนพื้นเมือง ระหว่างทางเราต่างภาวนาให้ฟ้าเปิดเพื่อจะได้เห็นในสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าน้อยคนนักจะสมหวัง แล้วฝันของพวกเรา รวมถึง Mr.Carlson คนขับรถ และนักเดินทางเลียบหิมาลัยทุกคน ก็เป็นจริง ณ จุดที่เราสักการะธงมนต์ไว้...ฉันจับยอดคาวาเกโปขาวใสใส่กล้องคู่ใจได้ตรงนั้นเอง
ทัศนียภาพตลอดเส้นทางขากลับนั้นงดงามเหมือนแดนสวรรค์ Shangri-La เราหยุดที่หมู่บ้านผลิตชามไม้แบบทิเบต เลือกได้ใบหนึ่งสวยจับตาแต่เจ้าของบ้านไม่ขายเพราะเป็นของสำหรับถวายองค์ปัญเชนลามะ ฟังทีแรกยังเข้าใจว่าเป็นการเตรียมเผื่อไว้ กลับถึงจงเตี้ยนจึงทราบว่าทางการจีนเชิญท่านเสด็จมาเร็วๆ นี้ มื้อค่ำวันสุดท้ายมีทั้งอาหารทิเบตและเนปาลให้เลือกทานตามอัธยาศัย ครั้นถึงที่พักซึ่งห่างไกลแสงรบกวนจากตัวเมือง เราเห็นดาวพราวระยับฟ้าใกล้ตาราวจับต้องได้ หลายคนจึงขอดื่มด่ำภาพประทับใจครั้งสุดท้าย ก่อนลงจากแดนสรวงคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง
แสงแห่งวันใหม่ทาบทาสนามบินจงเตี้ยน คล้ายเตือนว่าได้เวลาตื่นจากฝัน เราร่ำลา Mr.Carlson กับคนขับรถด้วยความรู้สึกใจหายนิดๆ เพราะเขาดูแลเราเป็นอย่างดี นอกจากนี้เรายังเป็นคนไทยกลุ่มแรกของบริษัทเขาด้วย
หวังว่าเราจะไม่ใช่คนไทยกลุ่มสุดท้าย และเขินจังที่จะบอกว่า ยังไม่ทันพ้น Shangri-La พวกเราก็เริ่มมองเห็นปลายทางฝั่งฝันซึ่งรอวันสานต่อด้วยกันอีกแล้ว

บทความจากคุณมุกอาภา ลงในหนังสือ อัคนี


Create Date : 20 กรกฎาคม 2549
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 11:48:52 น. 0 comments
Counter : 510 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คุณพ่อน้องbike
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาหาอะไรมันส์ๆ สนุกๆ ให้แก่ชีวิตดีกว่าโลกยังแจ่มใส ยังมีอะไรๆให้เราทำอีกมากมาย มัวแต่นิ่งกันทำไม ยิ้มให้กันวันละนิด...
[Add คุณพ่อน้องbike's blog to your web]