|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
จาก..ละครหลังข่าว..ถึง..หลินปิงแชนแนล
ได้เห็นข่าวกระทรวงวัฒนธรรมได้รับงบร่วม 200 ล้านสำหรับนโยบาย Creative Economy ของภาครัฐ ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ประเทศไทยจะได้เงยหน้าอ้าปากก้าวไปเทียบเทียมเกาหลีในตลาดโลกกะเค้ามั่ง
แต่อีกใจหนึ่งก็ออกเป็นห่วง ไม่แน่ใจว่าบุคลากรในกระทรวงจะมีวิสัยทัศน์และเข้าใจวงการบ้านเราสักแค่ไหน งบประมาณที่ได้จะถูกละลายได้กับบุคลากรหน้าเดิมๆ ในวงการบันเทิงบ้านเราเหมือนเคยหรือไม่? กำลังรอฟังรายละเอียดอยู่เหมือนกันว่ามันจะออกหัวออกก้อยประการใด เพราะเงินแค่ 200 ล้าน..หายใจไปสองที ฮั้วกันไปฮั้วกันมา แผลบเดียวก็อันตรธานไปได้ง่ายๆ
เรานึกถึงอันดับแรกเลยที่ควรปรับปรุง นั่นคือละครทั้งก่อนข่าวและหลังข่าวหน้าจอทีวีทุกช่องในตอนนี้ ก่อนจะนึกถึงหนังโรงหรือหนังสารคดีเสียด้วยซ้ำ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความบันเทิงราคาถูกที่คนทุกชั้นทั่วประเทศเสพ (ติด)กันเป็นรายวัน ตั้งแต่เด็กเล็กยันไปถึงเฒ่าชรา ซึ่งภาครัฐคงไม่ได้นึกหรอกว่า อิทธิพลของมันได้แทรกซึมเข้าไปในสายเลือดคนไทยชนิดหยั่งรากลึก จนวันหนึ่ง ทัศนคติของตัวละครพวกนั้นจะถูกฝังลงไปใต้จิตสำนึกของประชาชนคนไทยโดยไม่รู้ตัว
คนไทย..ยังไงก็ชอบดูหนังดูละครแบบไทยๆ มากกว่าดูวัฒนธรรมต่างชาติ หากแต่เรตติ้งและผลประโยชน์ทางการค้าได้สร้างบรรทัดฐานโง่ๆ ใหม่ให้กับสังคม สถานีต่างแข่งกันแย่งตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด กลายเป็นวัฒนธรรมนายทุนที่ต้องทำอะไรก็ได้ในการลากชาวบ้านให้มาติดหนึบหน้าจอ เพื่อรายได้จากโฆษณาสินค้า คำสั่งในการสร้างละครทุกวันนี้ถึงวนเวียนซ้ำซากอยู่กับเรื่องราวของดราม่าน้ำเน่าตบตีด่าทอข่มขืนวางยาพิษ ถึงแม้นานๆ จะมีแนวบู๊ๆ แฟนตาซีหลุดๆ หลงมาบ้าง แต่คุณภาพการนำเสนอก็คงแค่ดูกันเองตามรสนิยม(ลิเก)บ้านๆ แบบชาวเรา อย่าไปนึกเทียบเคียงกับระดับสากล ขณะที่หนังทีวีของฝรั่งเขาก้าวไปถึงขั้นที่คุณภาพเหนือกว่าหนังโรงเสียด้วยซ้ำ
ที่น่ากลัวคือ สูตรสำเร็จละครน้ำเน่าล้วนเน้นความรุนแรงโลภโมโทสันเป็นธีมหลัก จนแทบจะทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดาของประชาชนคนไทยไปแล้ว ด้วยบทที่เขียนอย่างหลวมๆ ด้นกันเองไม่มีการค้นคว้ารีเสิร์ชแบบเมืองนอกเขา ละครไทยที่ทำดูเบาสมองชวนติดตาม (และไม่ร้ายเกิน) ที่พอจะนึกออกก็คือ ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ซึ่งมีวิธีการนำเสนอที่บ่งบอกความเป็นมืออาชีพของคนทำอยู่บ้าง แต่ร้อยวันพันปีก็จะได้ดูสักเรื่อง ขนาด สูตรเสน่หา ที่ว่าดังๆ ก็อาศัยได้แค่ความสามารถส่วนตัวของนักแสดงที่ทำให้เรื่องเด่นขึ้นมาได้ หากแต่บทและการกำกับก็ยังคงกระโดกกระเดกลุ่มๆ ดอนๆ ไปตามเรื่อง โดยไม่ต้องพูดไปถึงเรื่องแนวดราม่า(น้ำเน่า)อื่นๆ อีกมากมาย ที่ดูไปดูมาแล้วจับมาขยำรวมกันตัดต่อใหม่ ก็สามารถดูเป็นเรื่องเดียวกันได้สบายๆ
ขนาดคนที่บ้านซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแฟนละครขึ้นสมอง ถึงวันหนึ่งก็ยังบ่นเลยว่ายิ่งดูยิ่งเครียด จนวันหนึ่งคลิกไปดูช่องแพนด้าโดยบังเอิญ กลับกลายได้เห็นปรากฏการณ์อะไรบางอย่าง บรรดาขาละครทั้งหลายต่างหันมาเป็นแฟนคลับหลินปิงกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้งๆ ที่รายการก็ทำกันอย่างลุ่นๆ ไม่ประดิดประดอย ถ่ายทำกันแบบทื่อๆ (อ้างว่าเรียลลิตี้) ประมาณประหยัดงบว่างั้น เรื่องราวก็ไม่มีอะไร แค่ติดตามชีวิตประจำวัน และการทำงานของทีมศูนย์วิจัยแพนด้า แต่ความไร้เดียงสาของแพนด้าน้อยและความน่ารักของมัน ทำให้ทุกคนติดตามไปโดยไม่รู้ตัว
ผลที่ติดตามมาน่าสนใจยิ่ง อารมณ์ที่เคยป่วนๆ ของคนในบ้าน หรืออาการหงุดหงิดเศร้าซึมของบางคนนั้นคลี่คลายไปในทางดีขึ้น ซึ่งเข้าข่ายทฤษฎีของ Pet Therapy หรือการบำบัดด้วยสัตว์เลี้ยง ซึ่งเมืองนอกเขาทำกันมานานแล้ว บ้านเราเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้นะ แต่เขาใช้สัตว์ที่เป็นมิตรกับคนอย่างหมาแมวเป็นเครื่องมือในการช่วยรักษาอาการทางจิตของคน โดยเฉพาะเด็ก และผู้สูงอายุจะมีผลอย่างมาก เพราะสัตว์นั้นไร้เดียงสา ให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และจริงใจ เขาจึงฝึกสัตว์ให้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดกับคนเหล่านี้ ผู้สูงอายุจะมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เหงาไม่ซึมเศร้า ส่วนเด็กๆ ที่ป่วยหรือถูกทำร้ายมา ก็จะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กบางคนที่ไม่ยอมพูดเป็นเดือนๆ ก็มีอาการดีขึ้นทันตาเห็นได้ก็เพราะเจ้าหมาน้อยที่ถูกฝึกมาเพื่อการนี้นี่แหละ หลินปิงแชลแนลจึงดูเข้าข่าย Pet Therapy ได้เลยทีเดียว
แสดงให้เห็นว่า สังคมของคนยุคนี้ นอกจากความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น จนไม่ค่อยสื่อสารกันเอง (หันไปสื่อสารกับสื่อ?) ยังเต็มไปด้วยความเครียดกับสถานการณ์รอบตัว ทั้งข่าวไม่เป็นมงคลทั้งหลาย และสภาพเศรษฐกิจ สื่อทีวีซึ่งถือได้ว่าเป็นความบันเทิงราคาถูกที่สุดแล้ว ก็ยังถาโถมเอาความบีบคั้น ความโหดร้ายทั้งหลายแหล่มาสุมกันอยู่ในละครบันเทิงกันถ้วนทั่วทุกช่อง จะหาหนังสารคดีให้ความรู้แฝงบันเทิง หรือรายการทางเลือกอื่นๆ (นอกจากเกมส์โชว์) แทบจะไม่ได้ สังเกตดูก็แล้วกันว่าสารคดีคุณภาพทั้งหลายถ้าอยากจะดูก็คือเป็นผลงานของประเทศอื่น ของไทยเรานอกจากพาโนราม่าแล้วแทบมองไม่เห็น
การที่หลินปิงแชนแนลมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นมาทุกวัน จนมีคนเขียนจดหมายส่งของเล่นของขวัญสารพันอย่างมาให้ จึงนับเป็นเงาสะท้อนอันดีถึงความล้มเหลวของวงการทีวีบ้านเรา คนส่วนใหญ่มักจะแสดงความคิดเห็นในแง่มุมของความผูกพันที่มีต่อครอบครัวแพนด้า อารมณ์ที่เย็นลง อาการป่วยที่ดีขึ้น ความสุขความเพลินเพลินที่ได้รับจากการดูแพนด้าน้อย ฯลฯ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่น่าสนใจว่าหลินปิงมีอิทธิพลทางจิตกับผู้ชมจากหลากหลายที่มาทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะทางจิตของคนไทยทุกวันนี้ได้ดี (ว่ามีความสุขขนาดไหน?) และสะท้อนทางเลือก (ซึ่งไม่เคยมี) กับสื่อทีวีของไทยเรา
ถึงเวลาแล้วหรือยัง..ที่งบประมาณของกระทรวงวัฒนธรรมจะกระจายมาถึงสื่อละครน้ำเน่าพวกนี้ สร้างละครตัวอย่างดีๆ ที่มีคุณภาพและดูสนุกด้วยในเวลาเดียวกันให้เห็นกันสักที ปัญหาคือ คนเก่งๆ ดีๆ ในวงการมันจะมีเหลืออีกหรือ และมีสักกี่คนที่ทำเป็น ไม่ใช่ดูถูกนะ หากเพราะรู้เห็น (และรู้จัก) มาพอสมควร วงการนายทุนทีวีทำลายคุณภาพของคนเหล่านี้ไปนานแล้ว คนที่มีความสามารถจริงๆ ต่างหนีวงการไปทำอย่างอื่นหมด การสร้างบุคลากรใหม่ๆ ที่มีคุณภาพก็ไม่เคยมีในสารบบ คนในที่เคยทำงานดีๆ ต่างหมดกำลังใจยอมกลายสภาพไปตามน้ำ ส่วนคนนอกวงการจะหวังเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องผจญกับด่านร้อยแปดอรหันต์ ใครลิ้นกระดาษทรายน้ำลายชะแล็คก็ตีกินไป...
อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเท่าเรื่อง รสนิยม ของผู้ใหญ่ และนายทุนบ้านเรานั่นแล....
Create Date : 21 มกราคม 2553 |
|
9 comments |
Last Update : 23 มกราคม 2553 2:56:46 น. |
Counter : 632 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: lekatuayao IP: 124.122.164.78 21 มกราคม 2553 16:14:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: หนูถั่ว IP: 210.213.57.132 21 มกราคม 2553 17:20:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 22 มกราคม 2553 10:52:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าโซ 23 มกราคม 2553 9:59:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) 23 มกราคม 2553 23:49:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 25 มกราคม 2553 11:12:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: ด.ช.วงศกร เสน่ห์วงศ์สกุล IP: 61.90.76.211 20 เมษายน 2553 9:32:48 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
|
|
|
|
|
|
|