กรกฏาคม 2553

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
ทำไมน้องไม่แต่งงาน...คิดซักนิด ก่อนตกลงปลงใจ
ห่างหายไปจากบล็อคเสียนาน เนื่องจากชีวิตมันช่างยุ่งวุ่นวายเสียเหลือเกิน ประกอบกับเริ่มมีความสนใจใหม่ๆเข้ามา จนทำเอาห่างหายไปจากเลิฟสตอรี่ของตัวเองไปซะฉิบ

เว้นช่วงนานจนแทบจะลืมๆ ไปละ ว่าเลิฟสตอรี่ของตัวเอง เรื่องราวความเป็นมาเป็นอย่างไรต่อหนอ สมองปลาทองจริง ประมาณว่า ความจำสั้น แต่รักชั้นยาว

วันนี้จึงขออนุญาตข้ามเรื่องของความรัก มาพูดถึงเรื่องแต่งงานดีกว่า เนื่องด้วยช่วงนี้ เห็นคนรอบข้างระดมแต่งงานกัน จนตาร้อนผ่าวๆ กร๊ากกๆ

เดือนนี้ล่อเข้าไป 4 งานละ อะไรจะขนาดนั้น...

ประกอบกับน้องสาวตัวดี แฟนทำท่าจะมาขอแม่ซักวันนี้พรุ่งนี้ จนแม่เบรกเอี๊ยดเข้าให้ อันเหตุเนื่องด้วยว่า ไม่มั่นใจว่า ว่าทีลูกเขย จะสามารถดูแลลูกสาวให้มีความสุขได้แค่ไหน

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเงินล้วนๆ

แต่มันเป็นเรื่องของใจ

อันคนเรา ต่อให้มีเงินล้นฟ้า หากใจไม่สุข ย่อมไม่มีอะไรซื้อความสุขได้

อีกทั้ง ว่าทีฯ ไม่ใช่คนไร้หัวนอนปลายเท้า ฐานะห่างไกลจากคำว่ากัดก้อนเกลือกิน

ไม่เสเพล ไม่กินเหล้า สูบบุหรี และ ไม่ออกนอกลู่ทางไปไหน

เฝ้ารับส่งน้องสาว มาหลายปีดีดัก

ดูแล้วก้อไม่ไม่มีอะไรเสียหาย

แต่กระนั้น คนเป็นแม่ยังลังเลใจ

แน่ล่ะ แม่ย่อมหวงลูกสาวเป็นธรรมดา

คนเป็นพี่ ยังอดเป็นห่วงไม่ได้

ขอถามว่า การจะแต่งงานกับใคร เราแต่งเพราะเค้า "ไม่มีอะไรเสียหาย" งั้นเหรอ

หรือ เพราะแค่เค้า "ก้อใช้ได้"

หรือว่า แต่งเพราะ ความรักบังตา จนมองไม่เห็นข้อเสียใดๆ

ิอันคนเราบอกว่า การแต่งงาน ก้อเหมือนกับการซื้อหวย แต่สำหรับตัวเอง อยากให้การแต่งงานเป็นเหมือนการเก็งหุ้นมากกว่า

อันผลกำไร ขาดทุน ย่อมไม่ห่างจากการคาดคะเนของเราซักเท่าไหร่ เพราะเราศึกษางบการเงิน ทิศทางตลาด ซับไพรม์ ตลาดปากคลองฯมาแล้วอย่างดี 555

เพราะหากต้องเลือกตัดสินใจในภาวะมืดบอด และมีทีท่าว่าจะลงเหว แบบ 50-50

ผู้หญิงศตวรรษที่ 21 ย่อมไม่พรั่นพรึงต่อการเป็นโสด ด้วบลำแข้งและสองแขนของตนเองใช่มั้ย

เพราะยังดีต่อมีพันธะทางสังคม ด้วยความทรมาน เพราะต้องทนอยู่กับคู่ครองไม่มี มอก. รับรองคุณภาพ

แล้วผู้ชายคนนี้ล่ะ มีข้อเสียอะไร

แม่ตอบ "ข้อเสียนั้น ยังไม่ปรากฏ หากแต่ ความเป็นผู้นำครอบครัวด้วยเช่นกัน"

ผู้หญิงยุคใหม่ ต้องการสามีเป็นผู้นำเหรอ จะเป็นแม่บ้าน แล้วให้สามีหาเลี้ยงเหรอ

ไม่ต้องการ แต่ถามว่า คุณพร้อมมั้ย ที่จะหาเลี้ยงสามี ดูแลลูก และต่อสู้ปกป้องครอบครัว โดยที่สามีคุณทำอะไร ไม่ได้เลย

แค่หาเลี้ยงตัวเองคนเดียว ยังเหนึ่อยไม่พอเหรอ

แต่ถ้าหากว่า ผู้ชายคนนั้น มีทรัพย์สินพร้อมสรรพ รวยล้น เหลือกินเหลือใช้ล่ะ แล้วมันไม่ดีตรงไหน

อันทรัพย์สิน เป็นสิ่งที่มีได้ แต่ก้อหมดไปได้

คุณมีทรัพย์สินเป็นทุน เป็นสิ่งที่ดี หากคุณไม่มีความสามารถเพิ่มพูนทรัพย์สิน ทรัพย์สินของคุณจะอยู่ได้นานซักเท่าใด อย่าลืมว่า คนเราไม่ได้แ่ค่หายใจทิ้งไปวันๆ หากแต่ละวัน เรายังต้องกิน ใช้จ่ายสารพัด ด้วยสภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ดแบบนี้ นอนรอดอกเบี้ยเงินฝาก คงได้เอาน้ำในคลองลูบท้องแทนข้าวละ ไหนจะเงินเฟ้อ ฯลฯ

ดูอย่างคุณแม่ที่เกิดมาไม่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อน ถูกจับคลุมถุงชนตั้งแต่ยังเล็ก กับลูกชายเศรษฐี สุดท้าย มีแต่สองมือแม่ที่หาเลี้ยงลูกจนโต ด้วยทรัพย์สินที่หมดไปอย่างรวดเร็ว จากการบริหารเงินที่ผิดพลาด

แม่จึงไม่อยากให้ลูกสาวเดินตามรอยเท้าเดิม ในยุคที่แม่เปิดโอกาสให้ลุกเลือกคู่ครองอย่างเต็มที่

อันเงินตรา หาทำให้เรามีความสุขไม่ หากถามชั้นว่า ชั้นมีความสุขจากอะไร ชั้นคงตอบไปว่า การมีอิสระในการใช้ชีวิต และรายล้อมด้วยคนที่เรารัก และคนที่รักเรา นั่นเพียงพอแล้ว

หากชั้นต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าชั้นรักเค้าได้ในแบบที่เค้าเป็นรึเปล่า ยังไม่แน่ใจกับความรู้สึกตัวเองดีพอ คนที่ทำให้เราร้องไห้ มากกว่าทำให้หัวเราะ
คนที่ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์ลดน้อยลง และดีแต่ดึงเราให้ตกต่ำ

ชั้นขอแต่งงานกับตัวเอง...........






Create Date : 14 กรกฎาคม 2553
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2554 16:39:07 น.
Counter : 654 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend