เรือนรักภุมราช ตอนที่ 2 ดอกราตรี


พ.ศ. ๒๔๔๕ บ้านพระยาเดโชธีรราช ในเขตพระนคร




          “เด็กน้อยถูกผีเข้า ผีอำเอาจึงพูดไม่ได้ พ่อแม่ พ่อแม่อยู่ไหน ปล่อยบื้อใบ้มาขอทานกิน”
          เด็กชายหญิงน่ารักแต่แฝงความร้ายกาจเอาแต่ใจเกือบสิบคนวิ่งล้อมรอบส่งเสียงล้อเลียนใส่เด็กหญิงตัวเล็กบอบบางที่ยืนตื่นตกใจกลางวง จะวิ่งไปก็เห็นจะมีแต่ทางสะพานทอดยาวลงสู่ท่าที่ใช้จอดเทียบเรือริมแม่น้ำ เพราะทุกทางโดนเด็กแก่นแก้วขวางไว้หมด คนช่างล้อที่ตัวใหญ่ที่สุดแต่งเพลงล่อให้คนอื่นร้องรำทำเพลงต่ออย่างสนุกสนาน ไม่สนใจที่คนถูกล้อจะน้ำตาไหลพรากๆ แต่ไร้แม้เสียงสะอื้นแว่ว
           เด็กหญิงคนหนึ่งดึงตรงแขนแรงจนตัวคนโย้ แล้วพิศหน้าดูน้ำตา“ฮ่าฮ่า ขี้แยจริง ทำไมผีมันเอาไปแต่เสียง ปล่อยให้น้ำตายังไหลได้ หรือว่ายังพอพูดได้ ไหนลองเรียกแม่มาช่วยซิ...”
           คนถูกถามยังเงียบกริบถอยหนี มองไปทางเรือนไม้ที่ใกล้ที่สุด แต่คนที่จับแขนไว้ไม่แยแสเอานิ้วกดๆ บนผิว “เจ้าเป็นลูกไพร่ ทำไมตัวขาวได้ พ่อแม่เจ้าเป็นใคร”
           เด็กชายแต่งเพลงก็เข้ามาดู “แม่พริ้มตัวดำเลยอิจฉาอีเด็กใบ้ ฮ่าฮ่า”
           พริ้มแบะปากผลักเด็กใบ้ลง “เชอะ เรื่องอะไรข้าจะอิจฉาพวกผีเข้า”


          “เฮ้ย หยุดทำร้ายคนในบ้านนี้ !” พ่อหนุมมาใหม่วัยเกินสิบห้าปีตะโกนใส่ทุกคน “จะล้อก็ล้อไป แต่ทำไมต้องผลักเด็กนี่จนล้ม จะอวดพละกำลังกับเด็กหญิงผอมแห้งตัวแค่นี้หรือไร”
          ทุกคนสงบคำทันที มีเพียงพริ้มอ้อมแอ้มขึ้นมา “คุณพี่ภุมราชก็ชอบทำร้ายคนอื่นนี่เจ้าคะ ทำไมพริ้มจะ...”
           “เจ้าเงียบ อย่าเถียง ไม่งั้นข้าจะฟ้องคุณแม่ใหญ่ พวกเจ้าโดนไม้เรียวแน่ๆ” คำว่าไม้เรียว และ แม่ใหญ่ทำทุกคนกระจายตัวเดินหนีไป เด็กใบ้ลุกจากพื้นจะเดินกลับแต่ถูกคนมีอำนาจเรียกไว้
           “เดี๋ยวก่อน จะไปไหน ทำไมไม่ขอบคุณ ข้าช่วยเจ้าไว้แท้ๆ”
          เด็กหญิงทรุดนั่งคุกเข่า ตาจ้องภุมราชกล้าๆ กลัวๆแต่ยังไม่เอ่ย จนต้องฟังเสียงตะคอกถาม“ทำไมไม่พูด ?”
            หนุ่มอีกคนวิ่งเหงื่อซ่กมาตามให้ไปเล่นกันต่อ ได้ยินพอดี “คุณภุมราช คุณใช้อำนาจยังไงก็บังคับคนใบ้พูดไม่ได้ พวกน้องๆ ล้อว่าเด็กนี่เป็นใบ้ ไม่ได้ยินดอกหรือ”แล้วจ้องหน้าเด็กขี้แย“คงลูกหลานใครมาเยี่ยมคนเก่าแก่ที่นี่ ฉันก็ไม่เคยเห็น”
           ภุมราชถึงเข้าใจ แต่ยังมองคนที่ยังก้มหน้าอยู่ด้วยความใคร่รู้ “เจ้าอายุเท่าไหร่”
           เด็กหญิงชูนิ้วขึ้นมา ๗ นิ้ว
           “ไม่ทึบนี่ ฉันนึกว่าพวกปัญญาทึบนะพ่อธมราช แล้วเจ้าชื่ออะไร” ภุมราชทำท่าเหมือนพบของเล่นถูกใจ
           เด็กหญิงมองซ้ายมองขวา ชี้ไปทางพุ่มไม้สีเขียวดอกสีขาว ที่เห็นไกลๆ
           ภุมราชมองตาม “ชื่อ... ดอกไม้ ?” เมื่อเห็นเด็กหญิงส่ายหน้า ภุมราชจึงดูพุ่มไม้แล้วเดาใหม่ “ชื่อใบไม้ ชื่อเขียว หรือชื่อขาว”
          เจ้าตัวส่ายหน้าเหมือนเดิม นิ้วเกร็งประสานกันกลัวๆ เมื่อเห็นภุมราชหน้าง้ำที่เดาชื่อไม่ถูก ธมราชอมยิ้มแล้วเดาแทน “ชื่อราตรี นั่นมันดอกราตรี”
          เด็กหญิงพยักหน้า ยิ้มให้ธมราชแล้วเหลือบมองภุมราชก่อนก้มหน้าต่อ ภุมราชไม่คิดเอ่ยชมพี่ชายต่างมารดา แต่เดินวนเวียนรอบๆ คนชื่อราตรีที่นั่งบนพื้นหญ้า แบบเดียวกับที่พวกแก่นแก้วทำตอนร้องเพลงล้อไปเมื่อครู่ เธอจึงขยับตัวด้วยความกลัวอีกครั้ง



           “ทำไมชื่อราตรี”
           “คุณภุมราช... จะให้เด็กนี่ตอบยังไงเล่า” ธมราชเอ่ยขัด แล้วเล่าถึงดอกไม้นั่นแทน “ดอกราตรีหอมยามค่ำ พอรุ่งเช้ามากลิ่นก็จาง จึงได้ชื่อว่าดอกราตรี สงสัยเด็กนี่จะตัวหอมตอนกลางคืนมั้ง”
           “นึกไม่ออกว่าตัวมอมแมมอย่างนี้จะหอมตอนกลางคืนได้” ภุมราชยังไม่วายสงสัย “แล้วเจ้าโต้ตอบกับคนอื่นยังไง”
           ธมราชจึงเดาแทนอีกครั้ง “กับคนใกล้ชิด คงใช้มือไม้ หรือไม่ก็อ่านตากัน”
           ภุมราชบ่น “ลำบากตายห่า แล้วทำไมเป็นอย่างนี้เพราะผีเข้าจริงหรือพี่ธมราช”
           “ผีมีที่ไหนกัน คุณก็บ้าตามน้องๆ คนเป็นใบ้ก็เหมือนเจ็บป่วยทั่วไป บางคนหูหนวกจึงพูดไม่ได้ แต่ราตรีนี่โชคดีที่ยังได้ยิน” ธมราชจ้องมองเด็กหญิงด้วยแววตาอ่อนโยน “ชื่อเพราะ มีความหมาย หน้าตาก็สะสวย โตขึ้นคงงามน่าดู เจ้าเป็นลูกใคร”
           “แน่ะ พี่ธมราชว่าแม่ราตรีจะตอบได้อย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่า”
            แล้วสองหนุ่มก็หัวเราะ ภุมราชถามสุ่มเดาว่าคงมาเยี่ยมบ่าวจากหัวเมือง ราตรีพยักหน้า ป้ายน้ำตา แม้จะสงสัยว่าธมราชแก่กว่าภุมราชแต่ไฉนต้องเรียกคนอายุน้อยกว่าคุณ ท่าทางเป็นลูกเจ้าพระยาเดโชด้วยกันทั้งคู่ แต่ราตรีสายตาจดจ้องไปทางเรือนไม้แถบเรือนหัวหน้าบ่าวแสดงความอยากกลับ
            ภุมราชเริ่มเดาออกแต่หน้าตายังขึงขัง “ไปได้แล้ว ทีหลังอย่างมาแถวนี้ให้พวกน้องๆ ข้าล้อเอาอีก”
            ราตรีวิ่งอย่างเร็วเท่าที่ขาเล็กๆ จะพาไปได้จากตรงนั้น


 



พ.ศ. ๒๔๕๒ บ้านพระยาเดโชธีราช ในพระนคร



           “แม่ราตรี คิดอะไรอยู่” หญิงชราที่ยืนใต้ชุ้มไม้ริมท่าน้ำขยับผ้าคล้องคอ เขย่าแขนราตรีให้ตื่นจากภวังค์
           ราตรีแค่ยิ้มอ่อนๆ กระชับเด็กน้อยวัยแค่ขวบเดียวที่หลับอยู่บนบ่า จะบอกเผื่อนได้อย่างไรว่ากำลังหวนคิดถึงนายน้อยแก่นๆ พวกนั้นเมื่อจำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยมากับมารดาแล้วถูกล้อที่นี่ ป่านนี้ลูกท่านๆ บนบ้านคงโตเป็นหนุ่มสาวหมดแล้ว 
           “แม่ราตรีคงเคยมาที่นี่ ตอนที่แม่ลำดวนพามารับข้านั่นเอง ข่าวว่าท่านเจ้าคุณเดโชประมุขบ้านเสียไปแล้ว บ้านนี้คงกลายเป็นของลูกที่สืบทอดมรดกจากท่าน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าลูกเมียไหน คงคุณธมราชคนโตกระมัง” เผื่อนมองไปรอบๆ บริเวณลานกว้างที่แต่งเสียงดงาม “ที่นี่เปลี่ยนไปมาก คนเก่าแก่ที่ข้าพอพึ่งพาได้จะมีเหลืออยู่บ้างไหมหนอ”
          ราตรีมองเด็กน้อยสลับเผื่อนผู้ใหญ่คนเดียวที่ยังพอหลงเหลือให้คว้าไว้ยามตกทุกข์ เผื่อนก็ไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ตั้งแต่มารดามาสูญหายไป ทั้งถ้อยคำที่ใช้เรียกกันและความสนิทแม้เคยเป็นบ่าวของมารดาแต่ก็ไม่เคยเรียกชื่อกันด้วยคำว่าคุณ เพราะเป็นที่ไม่ถูกใจของเมียๆ พระยาวชิรชา ราตรีตั้งมั่นในใจอย่างคนพยายามกล้าหาญว่าถ้าไม่พบเจอใคร ก็กลับหัวเมือง ญาติยายเผื่อนอยู่นั่น คิดแล้วให้น้อยใจมารดายิ่งนักที่มาหนีหายไปให้เธอกับมนูญอยู่กับหญิงชรา
            แต่เผื่อนพึมพำให้ยิ่งท้อ “ข้าล่ะห่วงแม่ราตรีกว่าสิ่งใด ข้าเองแก่จะเจ็บสิบแล้วจะไปอยู่กับชีวัดไหนก็ได้ แต่จะปล่อยให้แม่ราตรีจะกลับไปอยู่กับญาติๆ ข้า คอยผ่าฟืนเผาหม้อเผาไหขายคงไม่ไหวดอกแม่ มือไม้เคยงานเสียที่ไหน” นางพินิจมือเรียวงามเหมือนลำเทียนของราตรีซึ่งกำลังลูบผมสีอ่อนของเด็กน้อยบนบ่าอยู่ “แล้วพ่อมนูญนี่อีก จะปล่อยให้วิ่งในป่าในดงหรืออย่างไร”
           ราตรีหลบสายตาว้าวุ่นไปทางหมู่ไม้แถบนั้น ซ่อนความวิตกใหญ่หลวงไว้ข้างใน ภาวนากับพระพุทธองค์ให้เจอเพื่อนพ้องที่พอพึ่งพาได้ของเผื่อน


           สามชีวิตรออยู่ตรงท่าน้ำจนแดดบ่ายคล้อย มนูญเริ่มงอแงจึงมีคนมาตามไปยังเรือนไม้หลังหนึ่ง หญิงวัยเดียวกับเผื่อนท่าทางอารมณ์เบิกบานนั่งพิงหมอนเหลี่ยมบนเสื่อผืนกว้างส่งเสียงทักทายเผื่อนจนราตรีหัวใจเต้นร่าด้วยความยินดี
           “อีเผื่อนนี่เอง ข้านึกว่าเอ็งจะตายจากไปแล้ว มาๆ มานั่งใกล้ข้า”
           เผื่อนก้มลงกราบเจ้านายเก่าแก่ แม้จะเคยเป็นบ่าวมาเหมือนกัน แต่ตอนนี้อิ่มไม่ต่างกับคนที่พอจะอุ้มชีวิต
           “ฉันมาขอพึ่งพาแม่อิ่มจ้ะ” เผื่อนเริ่มสะอื้น
           “พึ่งพาอะไรกัน ไร้สารเปล่าๆ เอ็งโตที่นี่ ก็มาอยู่ตายที่นี่เสียเลย แล้วนี่... ลูกหลานหรือ” อิ่มลูบหลังลูบไหล่เผื่อนแล้วเริ่มถามถึงราตรีที่กำลังปลอบประโลมเด็กน้อยไม่ให้ส่งเสียงกวนใคร “มีเด็กอ่อนมาด้วยนี่ ท่าทางอ่อนแรงเต็มที สองพี่น้องนี่เป็นใคร”
           แต่อิ่มเองกลับไม่รอคำตอบ รอยอ่อนแรงของราตรีและเด็กน้อยโยเยทำให้นางตะโกนสั่งให้คนพาทั้งสองไปอาบน้ำพักผ่อน ลับร่างทั้งสองไป เผื่อนจึงเริ่มเล่า
           “นั่นแม่ลูกกัน ไม่ใช่พี่กับน้อง คนแม่น่ะเป็นใบ้ และเพราะสองคนนี่แหละ ฉันถึงต้องข้ามน้ำข้ามเรือเข้าพระนครมา” นางมองซ้ายมองขวา
            “เฮ้ย เอ็งลักลอบพาลูกเมียใครมาขายข้ารึ” อิ่มตบอกผางด้วยตระหนก
            “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เรื่องมันก็ไม่ค่อยงามนัก” เผื่อนกระซิบ “นั่นน่ะแม่ราตรีลูกสาวแม่ลำดวน หลานสะใภ้ม่ายของพระยาวชิรชาที่มารับข้าไปเมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้ว แม่ลำดวนเขารับใช้และฝากฝังลูกสาวกับเจ้าคุณ พวกบนบ้านว่าท่านหลงแม่ราตรี ก็เลยเอาเป็นเมียคนสุดท้ายของท่านด้วย แม่อิ่มไม่ได้ข่าวดอกรึ”
            อิ่มตบอกผาง “ฮ้า รู้แต่พระยาที่เพิ่งเสียไป นี่เอ็งยิ่งทำให้ข้ากลัวนะอีเผื่อน แล้วเด็กชายนั่นก็ลูกพระยารึ ถึงว่าดูมีเชื้อนัก แล้วทำไมถึงระเห็จมาอยู่กับขี้ข้าอย่างเอ็งล่ะ”
            “ฉันก็ไม่รู้ความก่อนท่านเจ้าพระยาตาย แต่พอเสร็จงานศพ แม่ลำดวนก็หายสาบสูญไป พวกเมียๆ ที่คับแค้นกันอยู่แล้ว ก็ไล่แม่ราตรีกับฉันออกมา อ้างว่าแม่ราตรีคบชู้สู่ชาย พ่อมนูญไม่ใช่ลูกท่าน เพราะท่านอายุปูนนั้นจะไปมีลูกได้อย่างไรกัน”
           “เฮ้ย” อิ่มเปลี่ยนจากตบอกมาตบเข่าหน้าตาขมึงทึง “กูจะเลี้ยงคนแบบนี้ไว้ได้หรือวะ”
           “ฟังก่อน แม่อิ่มอย่าเชื่อคำเล่าลือนัก แม่ราตรีน่ะเป็นใบ้ เถียงใครเขาได้เล่า ฉันอยู่กับแม่ราตรีมาตั้งแต่เจ็ดปี พอรู้นิสัยว่าเป็นคนเช่นไร ยุงสักตัวแทบไม่เคยแตะ พอสิบสามสิบสี่ก็ขึ้นเรือนท่าน นี่สิบห้าก็มีลูกครบขวบ”


            แม้อิ่มจะเริ่มคล้อยตามแต่ก็อดกังขามิได้ “แต่มัน...”
            “อย่าไปสงสัยแม่ราตรี แม่อิ่มก็รู้นี่ ถ้ามีหลักฐานแม่ราตรีคบชู้สู่ชายจริงป่านนี้คงถูกเฆี่ยนตายไปแล้ว ฉันจึงเดาว่าคงไม่พ้นเรื่องเมียใหญ่เมียนายหวงสมบัติเลยไล่ก้างชิ้นใหญ่ออก ยิ่งอ่อนวัยไร้ญาติแถมเป็นใบ้อย่างแม่ราตรีจะไปสู้ใครได้”
           “แล้วพวกเมียโน้นไม่ห่วงหาเชื้อไขท่านเจ้าพระยาบ้างรึ” อิ่มครุ่นคิดถึงมนูญ
           “ก็มีแต่พวกหน้างาม แต่เรื่องจิตใจดำกว่าตัวข้าเป็นไหนๆ” เผื่อนบ่นอย่างเหลืออด แล้วขอร้องอิ่ม “แม่ราตรีไม่คิดถือยศถืออะไรดอก ยินดีมาเป็นบ่าว แม่อิ่มให้แม่ราตรีพึ่งพิงด้วย นึกว่าเอาบุญเถิดนะ แม้ไม่เคยงานหนัก แต่อยู่ๆ ไปก็คงเป็น”
           สักครู่ราตรีก็คลานเข้ามาหมอบกราบนางอิ่ม นางขยับมองอย่างทำตัวไม่ถูก ถ้าราตรีเป็นเมียเจ้าพระยาแล้วมาหมอบกราบนางเข้าจริงเหาอาจจะกินหัวนาง เลยเรียกแม่ ไม่เป็นอีอย่างเรียกคนมาฝากตัวทั่วไป
           “อย่าเพิ่งมากราบข้า ลูกแม่ราตรีกินอิ่มหลับแล้วรึ”
           ราตรีพยักหน้า แล้วหมอบกราบแทบเท้านางอีกครั้ง
           “โธ่ แม่คุณ กริยาเรี่ยมพอๆ กับแม่ลำดวน เอาเป็นว่าอยู่ที่นี่แล้วกัน ที่จริงข้าก็แค่แม่นมแก่ๆ มา เลยได้ใบบุญมีเรือนมีบ่าว ยังไงข้าก็ต้องไปขอท่านๆ ก่อน เพราะข้าเองไม่เคยอุ้มชูใคร ลูกหลานก็ไม่มี ว่าแต่เจ้าจะทำอะไรได้บ้างล่ะนี่ มือไม้บอบบางเสียขนาดนี้”
            นางทำท่าหนักใจจับมือไม้ของราตรี ชมความงาม แล้วเอ่ยอย่างเสียดาย “แม้เจ้ามีลูกแต่เยาว์ แต่ก็งามเกินจะเป็นขี้ข้า ถ้าไม่ใช่แม่ม่าย ข้าอาจส่งตัวให้คุณๆ”
            ราตรีส่ายหน้าเพราะจำเด็กชายที่น่าจะเป็นลูกคนโตแววตาหยาดเยิ้มเจ้าชู้คนโต และอีกคนที่หน้าตาดุดันได้ ท่าทางอวดอำนาจกันขนาดนั้นโตขึ้นคงไม่ต่างจากผู้ชายคนไหนๆ เธอต้องการแค่ชายคาคุ้มกะลาหัว ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตใกล้นายผู้ชายอีก ผู้คนระดับเจ้านายไม่น่าพิศวงนัก
             “อุแหม่ ไม่ต้องส่ายหน้าหนีนายข้า มีแต่สาวงามชายตาให้” อิ่มทั้งขำทั้งขุ่นแทนนาย “และนายข้าก็ไม่ชอบแม่ม่ายแน่ๆ ถึงจะงามแค่ไหน”
             ราตรียิ้มประจบขออภัยที่เพิ่งกระทำเหมือนหมิ่นเจ้าหมิ่นนายไป ก้มลงกราบแล้วจัดหมากจัดพลูยื่นให้ อิ่มยิ้มหัวชอบใจ “รึจะส่งไปอยู่กับคุณหญิงศรี แต่ข้าว่าคุณหญิงจุกจิกเกิน ส่วนพวกเมียๆ ของคุณธมราชคุณภุมราชก็ยังไม่ได้ใหญ่โตในบ้านแต่อย่างใด เกิดเห็นความงามและลูกน่ารักก็อาจถูกโขกสับด้วยความอิจฉา อยู่กับข้าดีกว่า ฮ่าฮ่า”


           ดอกปีบระร่วงลงบนลานหน้าเรือนของแม่อิ่ม ทั้งหอมทั้งเพิ่มความงามให้พื้นหญ้าสีเขียวดูสวยขึ้นไปอีก เหมือนสรรพสิ่งจะถูกกำหนดไว้ว่ามาคู่กัน สายลมพัดมาจากท่าน้ำเบาๆ ส่งให้บ้านพระยาเดโชฯ ยิ่งเย็นสดชื่น ราตรีจูงมือมนูญที่ยังเดินไม่แข็งชมนกชมไม้ด้วยความสุข ข้าบ่าวในเรือนใกล้ๆ มองสองแม่ลูกด้วยความสงสัยว่าจะปฏิบัติตัวเคารพต่อเธอแค่ไหน เพราะวันแรกที่เธอมาเหยียบที่นี่เธอนุ่งโจงกระเบนสวมเสื้ออย่างดีที่มีแต่เมียเจ้าเมียนายเท่านั้นที่นิยมสวมใส่กัน แต่วันหลังราตรีก็โจงกระเบน คาดผ้ารัดอก ดังข้าบ่าวในเรือนทั่วๆ ไป
             เมื่อบ่าวคนหนึ่งกวาดลานบ้าน แล้วราตรีไปคว้าไม้กวาดอีกอันมาช่วย และไม่เกี่ยงงานที่คนทั้งหลายทำกัน พวกนั้นถึงรู้ว่าไม่ใช่เจ้านาย จึงเริ่มมาชิดเชื้อ ผลัดกันเล่นกับมนูญ
             “เจ้าไม่ต้องทำงานอย่างอ้ายอีพวกนี้ เลี้ยงลูกอย่างเดียวเถิด” อิ่มบอกอย่างรักใคร่ในความขันแข็งของราตรี “อีกหน่อยจะพาแม่ไปฝากตัวกับคุณๆ บ้านนี้ตกเป็นของคุณภุมราช มีเมียชื่อคุณอลิซาเบธ เธอเพิ่งมาอยู่ไม่นานแต่พวกข้าทาสรักนับถือกว่าใครๆ แม้ไม่งามตามอย่างชาวชาวสยาม ผิดกับเมียของคุณธมราชคือคุณเรือนแหวนพอมีลูกแฝดกับคุณธมราช คุณเรือนแหวนเธอเลยเป็นใหญ่กว่าคุณอลิซาเบธอีก ส่วนคุณทัศนาสวยแต่เจ้ายศเจ้าอารมณ์เหลือเกิน”
             ราตรีฟังคำเรื่อยเปื่อยของอิ่ม พอให้คิดได้ว่าบ้านนี้คงมีสองพี่น้องอยู่รวมกัน คือภุมราชกับธมราชที่เคยช่วยเด็กใบ้ครั้งกระนั้น แล้วสงสัยนักว่าคุณทัศนาคือเมียใคร แต่ได้ยินพวกบ่าวสรรเสริญกันแต่เรื่องของอลิซาเบธในความงามมีน้ำใจและไม่ชอบให้ใครไปรุมรับใช้อย่างเมียๆ เจ้านายทั่วไป ทั้งยังเข้ารีตรับเชื่อเหมือนฝรั่งตั้งแต่เด็ก ชวนให้อยากเห็นนัก


             วันถัดมาราตรีจึงมาแอบยืนชะเง้อไปทางเรือนสีขาวของอลิซาเบธ ไพร่คนกำลังขนข้าวของ ดูจากไกลๆ เหมือนคุณภุมราชกำลังขึ้นเรือนอลิซาเบธ แต่สักครู่ก็เห็นเพียงร่างสูงๆ นั่นเดินลงลิ่วนำคนกลับไปอีกทาง คงขึ้นเรือนใหญ่ไป ท่าทางเดินเหินพวกเขาไม่ต่างจากเจ้าพระยาวชิรชา บ่าวใกล้ๆ บอกว่าทั้งคู่แยกเรือนกันอยู่ โดยภุมราชจะนอนเรือนใหญ่ซึ่งคุณหญิงศรีผู้เป็นมารดาพำนักอยู่ แต่กลับจากทำงานจะแวะมาหาอลิซาเบธก่อนทุกวัน เป็นที่น่าสงสัยของราตรีนัก เพราะไม่เคยเห็นว่าผัวเมียรักกันมากที่ไหนจะแยกกันอยู่
             อารามอยากยลความงามคุณอลิซาเบธทำให้ราตรีมัวแต่เพ่งมองฝ่าดงเข็ม จนปล่อยมือมนูญที่กำลังเห่อเดินเต็มที จึงเตาะแตะเล่นไปเองจนกระทั่งได้ยินเสียงทัก
             “ลูกใครกัน น่าชังเสียจริง” เสียงใสนุ่มนวลฟังรื่นหูยิ่งนักดังมา
             ราตรีวิ่งเข้าไปดึงตัวมนูญกลับ แรกพิศถึงกับตะลึง เพราะสตรีเสียงนุ่มกลับเป็นฝรั่งผมสีน้ำตาล ผิวสีขาวแต่ไม่ได้ดูซีดเซียวอย่างพวกเจ๊ก นัยตาสีไม่ดำหรือน้ำตาลแก่อย่างชาวสยามทั่วไป สีจางออกว่าฟ้าหรือเขียว ราตรีเคยเห็นแขกผู้ชายฝรั่งมังค่าของเจ้าพระยาวชิรชาไกลๆ มาก่อน เพราะภาษาประหลาดหู ทั้งตัวใหญ่น่ากลัวเหมือนยักษ์ของคนพวกนั้นทำให้ไม่เคยกล้าเข้าใกล้
            แต่สตรีที่ยืนตรงหน้ายังตัวเล็กพอๆ กับตนเอง ท่าทางและการแต่งกายไม่ต่างจากสตรีสยามอื่นๆ จึงพิศอีกทีและทิศทางที่เดินมาจึงพอรู้ว่านี่คงเป็นอลิซาเบธที่อิ่มพูดถึง จึงนั่งลงแล้วไหว้ รวบมือให้มนูญทำตาม
            “ฮ้า ลูกเจ้าหรือนี่ ดูเจ้าจะเพิ่งเป็นสาวนี่ เหมือนพี่กับน้องเทียว” อลิซาเบธคว้าตัวเด็กขึ้นอุ้ม “ขอข้าอุ้มหน่อย ลูกเจ้าจริงรึ หรือแค่พี่เลี้ยง”
            ราตรีมองหาข้าแถบนั้นช่วยอธิบาย ใบจิก เด็กสาวหน้าตาน่าเกลียด ที่กำลังเก็บใบแก้วเพื่อร้อยพวงมาลัยจึงเข้ามาคุกเข่าใกล้ๆ
           “ชื่อมนูญลูกชายแม่ราตรีเจ้าค่ะ อายุหนึ่งขวบ อยู่เรือนแม่นมอิ่ม แม่ราตรีเป็นใบ้แต่ฟังออกเจ้าค่ะ”
           “ลูกหลานนมอิ่มนี่เอง เจ้าพูดไม่ได้ตั้งแต่เกิดหรือ” ราตรีพยักหน้าอีกครั้ง อลิซาเบธจึงชวนเด็กอ้อแอ้ แล้วใบหน้าก็ฉายแววเป็นห่วง “ลูกเจ้าควรพูดได้บ้างแล้วนะแม่ราตรี ต้องให้ลูกเจ้าอยู่กับคนที่พูดได้เยอะๆ มิฉะนั้นลูกเจ้าอาจจะเป็นใบ้ไปด้วย”
            ราตรีไม่เคยรู้เรื่องนี้ วันๆ มนูญก็อยู่แต่กับความเงียบ มีเพียงไพร่ไม่กี่คนที่ว่างพอมาเล่นหัวด้วย แววตาจึงเริ่มฉายแวววิตก อลิซาเบธคงเข้าใจ
            “ไม่ต้องกังวลไป สักวันเขาจะพูดได้ แต่จะช้าหน่อยเท่านั้นเอง” อลิซาเบธถามราตรีอีกหลายอย่างด้วยความสนใจ “พรุ่งนี้เจ้าขออนุญาตนมอิ่มพาลูกไปที่เรือนข้านะ ข้าไม่เคยมีลูก แต่ข้าร่ำเรียนมาพอที่จะสั่งสอนเจ้าได้”
            ราตรีพยักหน้ารับแล้วก้มประนมมือ แต่คนตอบอลิซาเบธคือใบจิกที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง จนอลิซาเบธขึ้นเรือนใหญ่ไป ราตรีมองตามหลังผู้งามทั้งกายและใจไปจนลับหาย ใบจิกจึงเล่าเรื่องคุณอลิซาเบธพร้อมเสียงหัวเราะตื่นเต้น
            “ตะลึงตกใจนึกว่าฝรั่งล่ะสิแม่ราตรี คุณอลิซาเบธ เค แอนเดอร์สัน มีเชื้อฝรั่ง เป็นลูกครึ่งน่ะ คุณภุมราชไปเจอเอาตอนไปปรึกษาบาทหลวงเรื่องงาน พึงใจเข้าก็ฉุดมาเลย ฮ่าฮ่า”
            ใบจิกหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่หัวเราะคิกคักทิ้งให้ราตรียืนงงเป็นไก่ตาแตกพักนึง แล้วตามด้วยความรู้สึกน้อยใจในชะตาแห่งผู้หญิงด้วยกัน ที่แม้อลิซาเบธงามอย่างฝรั่งและท่าทางมีความรู้ยังต้องตกเป็นสมบัติของผู้ชายโดยไม่มีโอกาสสมัครใจ ราตรีห่อเหี่ยวในหัวใจยิ่งนักที่ต้องอยู่ในชายคาของพระยาในอนาคตถึงสองคน
           ‘ชะรอยคุณภุมราชนั่นจะเติบใหญ่แล้วเป็นพระยา แล้วก็จะฉุดคร่าสาวเป็นเมียได้อีกเป็นสิบๆ’



          เชิญติดตามตอนต่อไป...





Create Date : 11 มิถุนายน 2553
Last Update : 11 มิถุนายน 2553 12:29:27 น. 0 comments
Counter : 346 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปลายเดือน กันยา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นามปากกา ปลายเดือน กันยา
นิเทศศาสตร์ มสธ.

เขียนไปเรื่อยๆ เรื่องจริง เรื่องโกหก เขียนได้หมด
อ่านไปเรื่อยๆ เรื่องชาวบ้าน เรื่องจริง เรื่องโกหก ชอบหมด

อยู่ไปเรื่อยๆ ด้วย
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
11 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลายเดือน กันยา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.