Chapters of Life มีทั้งหมด 33 บท เขียนขึ้นเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดส่งต่อให้คนรอบข้างเนื่องในโอกาสที่ปีนี้อายุครบ 33 ปี
Chapter 7: เก่งวิชาในตำรา ฉลาดวิชาชีวิต
สำหรับบทนี้ อยากให้นักเรียน นักศึกษา รวมทั้งผู้ปกครองที่มีบุตรอยู่ในวัยนี้ได้อ่าน เพราะมันอาจจะเป็นเข็มทิศนำทางอนาคตคุณ (หรือลูกของคุณ)
ตั้งแต่จำความได้พี่เป็นคนไม่ชอบเรียนหนังสือที่ต้องใช้การท่องจำตามตำรา แต่ชอบวิชาที่ได้ทดลองลงมือทำ อะไรก็ได้ที่ได้ขยับตัวไม่งั้นหลับ พี่เป็นคนกระตือรือร้นกับกิจกรรมนอกห้องเรียน สมัยเรียนชั้นประถมเล่นดนตรีในวงดุริยางค์ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ ถ้าคุณครูขอความช่วยเหลือให้ลงแข่งขันหรือประกวดอะไรจะรีบยกมือทันที ทั้งงานเต้น เล่น ร้อง วาด เอาหมด แต่ไม่ค่อยได้รางวัลกับเขา ประมาณว่าพรสวรรค์ไม่ให้แต่ใจรัก ต้องขอบคุณคุณครูในวัยเด็กที่ให้การสนับสนุน
อย่างไรก็ดี พ่อแม่อนุญาตให้พี่ทำกิจกรรมโดยมีข้อแม้ว่าการเรียนต้องดี มันจึงเป็นแรงผลักดันให้พี่ตั้งใจเรียนวิชาในห้องเรียนที่พี่ไม่ชอบเพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ชอบเป็นรางวัล
พี่ชอบวิชาภาคปฏิบัติที่ได้ลงมือทำ เช่น วิชาศิลปะ ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ชอบวิชางานฝีมือ (กพอ.) เพราะแม่ไม่ทำการบ้านงานฝีมือให้พี่ พี่จึงต้องนั่งเย็บ ปะ ชุน ผ้าเอง ผลงานออกมาน่าเกลียด พี่ได้เกรด 2 และแอบน้อยใจว่าทำไมแม่ไม่ทำให้เหมือนเพื่อนคนอื่น
15 ปี ผ่านไป วันหนึ่งพี่ซื้อกางเกงทำงานตัวใหม่มาซึ่งขากางเกงยาวมากจึงต้องเก็บชายกางเกงเองเพราะจำเป็นต้องใช้งาน วันที่ไปส่งกางเกงแก้ ช่างเย็บผ้าตรวจดูขากางเกงและถามว่าทำเองหรือ ฝีมือดีมาก ไม่จำเป็นต้องส่งแก้เลย คิดถึงเมื่อ 15 ปีก่อนด้วยความภาคภูมิใจในเกรด 2 ของวิชา กพอ. รู้สึกขอบคุณพ่อแม่ที่ไม่เคยทำการบ้านให้พี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่ให้คำแนะนำพี่และน้องๆ ในการทำการบ้าน
ครั้งหนึ่งที่น้องชายคนเล็กกำลังทำการบ้านบวกเลข พ่อพี่เคยสอนให้เขานับนิ้วมือและนิ้วเท้า น้องชายนั่งร้องไห้ พ่อถามว่า ร้องทำไม น้องบอก นิ้วไม่พอบวกไม่ได้ (เนื่องจากผลลัพธ์เกิน 20) จึงเรียกคนทั้งบ้านมาให้น้องยืมนิ้วในการนับเลข กลายเป็นกิจกรรมครอบครัวไป
ส่วนพวกวิชาการ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ สปช. พี่ได้เกรดดีจากการเรียนทางอ้อมจากพ่อ เช่น เวลาพี่และน้องๆ จะขอเงินค่าขนม เราจะได้เงินค่าขนมตามจำนวนรอบที่คัด ก.ไก่ - ฮ.นกฮูก หรือท่องสูตรคูณ จบละ 1 บาท วิธีหากินของพวกเราสมัยเด็กคือ นั่งคัดไทย กับท่องสูตรคูณ ได้วันละ 20 จบก็รวยเละแล้ว
พอเริ่มขึ้นชั้นประถม 5 สูตรคณิตฯ ยากขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ทำการบ้านไม่ได้ถึงขั้นโมโหเอาดินสอขีดๆๆๆๆๆ หนังสือเรียนหน้านั้นเป็นการระบาย เป็นครั้งแรกที่รู้จักกับความเครียดจึงบอกแม่ว่าเครียด แม่ถามว่าเด็กมีเรื่องอะไรให้เครียด พอให้แม่ดูสภาพหนังสือแม่บอกว่าก็ทำให้ดีที่สุดพอ พี่ไม่รู้หรอกว่าดีที่สุดของแม่คือแค่ไหน แต่ของพี่คือไม่อยากทำการบ้านแล้ว ไปวาดรูปร้องเพลงดีกว่า เช้ามาไปโรงเรียน ไม่มีการบ้านส่งโดนครูตี เพื่อนคนหนึ่งตอบผิดก็โดนตีทั้งห้อง เจ็บใจ เลยตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะกลัวโดนตีอีก
พอขึ้นชั้นมัธยมต้นก็ยังไม่ทิ้งกิจกรรม แต่เนื่องจากเรียนโรงเรียนประจำจึงทำได้แค่กิจกรรมกีฬาสี เป็น 3 ปีที่ให้เวลากับการเรียนในห้องเรียนเป็นส่วนใหญ่ บรรยากาศที่นั่นเพื่อนนักเรียนดูทุ่มเท แต่จะมีอีกกลุ่มที่คอยแหกกฎ (พี่เป็นหนึ่งในนั้น) จิตใจลอยออกไปนอกรั้วโรงเรียนบ่อยๆ ใช้เวลาว่างอ่านการ์ตูน เขียนกลอน เขียนเพลง และวาดรูป
จนกระทั่งขึ้นชั้นมัธยมปลาย พี่ไปเรียนที่ต่อหาดใหญ่ เหมือนถูกปล่อยออกจากคุก สิ่งที่เคยจินตนาการว่าอยากทำตอนมัธยมต้นจะลงมือทำให้หมด พี่ตั้งทีมลงประกวดร้องเต้นจากการเล็งหาคนหน่วยก้านดีตามห้างสรรพสินค้า เช่น ลี การ์เด้น เข้าไปแนะนำตัว (แบบหน้าด้านๆ) และถามเป้าหมายว่าสนใจร่วมทีมประกวดร้องเต้นไหม ทำตัวคล้ายแมวมอง พี่กับเพื่อนฟอร์มทีมคนหน้าตาดี พี่ซ้อมร้องเต้นกันแทบทุกเสาร์อาทิตย์และหลังเลิกเรียน ลำดับดีที่สุดที่เคยทำได้คือที่ 4 ไม่ได้รางวัลอะไรเช่นเคย แต่เป็นประสบการณ์ที่สนุกและหาที่ไหนไม่ได้
พี่ใช้ชีวิตแบบ Study not so hard, play hard มาตลอด คือเรียนไม่หนักแต่กิจกรรมแน่น มาจนเข้ามหาวิทยาลัยที่นครศรีธรรมราช พี่เป็นสมาชิกเชียร์ลีดเดอร์คณะ และเป็นนักร้องวงดนตรีมหาวิทยาลัย เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการซ้อมเต้นและร้องเพลง เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไม่เข้าเรียนจนอาจารย์โทรมาขอให้เข้าเรียนบ้างกลัวตามเพื่อนไม่ทัน "ไม่ต้องห่วงค่ะอาจารย์หนูไม่เสียการเรียนแน่นอน เพราะถ้าการเรียนเสียเมื่อไหรหนูจะไม่ได้เต้น ไม่ได้ร้อง"
เชียร์ลีดเป็นกิจกรรมที่ต้องฝึกสมาธิและความจำ ไม่เช่นนั้นจะเกิดข้อผิดพลาดในการต่อตัว ต้องรู้จังหวะและแรงโยนว่าแค่ไหนจึงพอดี ฝึกความไว้ใจและต้องไว้ใจกันมากๆ ไม่เช่นนั้นจะไม่กล้าให้ทีมโยนขึ้นยอด สำคัญที่สุดไว้ใจว่าเวลาทิ้งตัวลงมาจากยอดจะมีคนรอรับพี่ เช่นเคย...พี่ไม่ได้รางวัลจากการแข่งขัน
การทำกิจกรรมทั้งหมดในวัยเรียนของพี่ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมกับครอบครัวหรือกับเพื่อนให้บทเรียนมากมาย การไม่ค่อยได้รางวัลอะไรสอนให้พี่รู้จักยอมรับกับความพ่ายแพ้ และเข้าใจว่าไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งก็ประสบความสำเร็จได้ รางวัลที่ได้ไม่ใช่ถ้วยแต่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้ในห้องเรียน ฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฝึกให้พี่รู้จักเป็นผู้นำและผู้ตามในเวลาที่เหมาะสม รู้จักปรับตัว ให้อภัย ที่สำคัญมันเป็นวิธีการจัดการความเครียดจากการเรียนที่ดีมาก
อยากเล่าเรื่องของเพื่อนคนหนึ่งที่โดนพ่อแม่กดดัน พี่รู้จักกับเพื่อนคนนี้ตั้งแต่สมัยมัธยมต้น พ่อแม่ตัดสินให้เรียนหมอเพราะอยากให้ลูกมีหน้าที่การงานที่ดี ทั้งที่ความจริงเจ้าตัวไม่ชอบและไม่มีความสุขเลย เพื่อนคนนี้ทุ่มเทกับการอ่านหนังสือเพื่อพ่อแม่ ไม่มีเวลาร่วมกิจกรรม ในที่สุดเพื่อนสอบเข้าคณะแพทย์ได้ตามที่พ่อแม่คาดหวัง แต่เรียนได้เพียง 2 ปี การเรียนค่อยๆ ตกลง พ่อแม่เรียกคุยและกระตุ้นอย่างหนักจนเพื่อนฟิวส์ขาดกลายเป็นคนเหม่อลอยไม่สามารถเรียนต่อได้ ต้องเข้ารับการรักษาทางจิตเวชจากความเครียดเรื้อรัง ปัจจุบันอยู่บ้านเลี้ยงหมาแมวเป็นเพื่อนคุย เรื่องนี้มีสมมติฐานความผิดพลาด 3 จุด
จุดแรก เพื่อนพลาดวิชาชีวิต ไม่รู้วิธีจัดการความเครียด
จุดที่สอง พ่อแม่พลาดการสอนวิชาชีวิตที่ถูกต้องให้ลูกซึ่งเป็นสาเหตุของความผิดพลาดจุดแรก
จุดที่สาม พ่อแม่เองไม่รู้วิชาชีวิตเช่นกันซึ่งเป็นสาเหตุของความผิดพลาดทั้ง 2 จุด
เห็นได้ว่าวิชานี้เป็นห่วงโซ่ที่สามารถเรียนรู้/ถ่ายทอดได้ พี่ไม่มีเจตนาวิจารณ์ความผิดพลาดของผู้อื่น แต่อยากชี้ให้เห็นว่าคนที่ฉลาดในวิชาชีวิตจะรับมือกับสถานการณ์นี้อีกแบบ คนฉลาดวิชาชีวิตจะยอมรับความจริงว่าลูกชอบอะไร มีความสามารถแค่ไหน ทราบว่ามีเส้นทางอาชีพเป็นหมื่นเป็นแสนและควรให้ลูกเลือกด้วยตัวเอง ทราบว่าชีวิตคนเราต่อให้มีเงินเป็นพันล้าน มีเกียรติยศชื่อเสียง เป็นเจ้าของโลกนี้ทั้งโลก หากไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต สิ่งที่มีก็แค่ขยะ
ผู้ปกครองท่านใดมีลูกที่ไม่ชอบทำกิจกรรม ขอให้แนะนำหรือชักชวน หาอะไรก็ได้ที่เขาพอทำได้ที่คิดว่าน่าจะชอบ เปิดประสบการณ์วิชาชีวิตให้เขา ส่วนใครมีลูกชอบทำอะไรควรส่งเสริม ให้ลูกได้สัมผัส ค้นหา เรียนรู้ด้วยตัวเอง พ่อแม่มีหน้าที่เฝ้าดูห่างๆ หากเห็นอะไรออกนอกลู่นอกทางก็ตบให้เข้าที่ มีอะไรอีกมากมายนอกตำราที่คนวัยเรียนควรเรียนรู้เพื่อวันหนึ่งที่ออกจากรั้วโรงเรียน / มหาวิทยาลัยออกไป เมื่อเผชิญกับโลกที่ผู้ใหญ่เรียกกันว่า โลกแห่งความจริง จะได้รับมือกับมันได้
สิ่งสุดท้ายที่อยากยืนยัน ทั้งจากประสบการณ์ตรงและอ้อม คือ ตัวเลขในใบเกรด ตำแหน่ง หรือเงินเดือนไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จ ตัวเลขในใบเกรดอาจเป็นใบเบิกทางแต่ไม่อาจทำให้ไปต่อได้ถ้าเก่งอย่างเดียว คนที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนสูง สิ่งที่แตกต่างในชีวิตของเขาคือสามารถใช้ชีวิตสะดวกสบายกว่าคนเงินเดือนน้อยเท่านั้น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเนื้อในเขาให้มีความสุขหรือพอเพียงได้
การประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตสำหรับพี่แล้วมีเพียง 2 ข้อคือ เป็นคนดีและมีความสุข มันเป็นดัชนีชี้วัดที่พี่อยากให้ลูกหลานของพี่จำให้ขึ้นใจ และการประสบความสำเร็จในชีวิตจะเก่งวิชาในตำราอย่างเดียวไม่ได้ ต้องฉลาดวิชาชีวิตด้วย ..เพราะในโลกแห่งความจริงนั้นวิชาชีวิตยากกว่าเยอะ...
By Sydneygalora
Create Date : 12 พฤษภาคม 2561 |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2561 18:19:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 313 Pageviews. |
|
|