<<
มีนาคม 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
23 มีนาคม 2552

[ 3 ] สัตว์ร้ายแห่งป่าเปเรคอฟ

เช้าวันใหม่ เป็นวันที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรสำหรับไกเซอร์ เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ ซ้ำยังมีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมาย เรื่องแรกคงเป็นความทรงจำที่ขาดๆ หายๆ ชายหนุ่มจำได้รางเลือนว่า เมื่อสมัยยังเด็กก็เคยเกิดอาการแบบนี้ ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในความฝัน ซึ่งเขาไม่เคยสงสัยอะไรมากมาย แต่พอเติบใหญ่ ความรู้สึกที่ก่อเกิดในความฝันที่หลงลืมเริ่มก่อตัวรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะค่ำคืนที่ผ่านมาที่เขารู้สึกว่า มีอาการเหมือนคนละเมอ ทั้งที่ตัวเองยังตื่นอยู่

เสียงขยับตัวของคนที่นอนอยู่บนเตียงด้านข้าง พอจะช่วยดึงความสนใจจากไกเซอร์ที่กำลังหมกมุ่นอยู่ได้บ้าง ชายหนุ่มลุกขึ้นไปดูอาการของเด็กชายที่ไข้ขึ้นเมื่อคืน พลางยกมือขึ้นอังหน้าผากที่ลดความร้อนลงไปมาก และสัมผัสนี้ก็ทำให้คนเพิ่งสร่างไข้ปรือเปลือกตาขึ้นมา

“ไกเซอร์...” โบเซลเรียกขานผู้ปกครองจำเป็นเสียงแหบ ก่อนเหลือบมองหน้าต่างที่ถูกแง้มเปิดไว้เล็กน้อย เพื่อให้แสงสว่างลอดผ่านเข้ามา

“เช้าแล้วสินะ ท่านต้องรีบออกเดินทางต่อใช่ไหม”

“ไม่หรอก ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการให้เสร็จ ดังนั้น เราอาจต้องค้างอยู่ที่นี่หลายวัน” ไกเซอร์พูดพลางลูบเรือนผมชื้นเหงื่อแผ่วเบา ชายหนุ่มพอเข้าใจว่า อาการจับไข้ของเด็กชายเกิดจากความเครียดสั่งสม ซึ่งหมอที่เขาไปตามมาดูอาการกลางดึกก็ให้เหตุผลที่คล้ายกัน

โบเซลปิดตาลงอีกครั้ง หลังจากได้ยินว่าไกเซอร์ยังไม่รีบไปไหน แล้วหลุดเสียงพึมพำออกมา “เมื่อคืนข้าฝันร้ายด้วยล่ะ ฝันว่าคนพวกนั้นไล่ตามมาทัน และจับข้ากลับไป ข้ากลัวเหลือเกิน”

“อย่าหวั่นกลัวไปเลย ข้าจะไม่ยอมให้ใครพาเจ้าไปที่ไหนได้” ชายหนุ่มกระซิบปลอบริมหูคนป่วย เด็กชายจึงเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง

“แล้วถ้ามีคนมาบอกว่า การพาข้าไปจะเป็นการช่วยชีวิตคนหมู่มากล่ะ ท่านจะยอมให้พวกเขาพาข้าไป หรือจะดึงดันไม่ให้พวกเขาพรากข้าไปเหมือนเดิม”

ไกเซอร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำที่ส่งแววจริงจังออกมา ดวงตาคู่นั้นไม่มีวี่แววของการละเมอเพ้อพกของคนที่กำลังเป็นไข้ ชายหนุ่มจึงระบายลมหายใจออกมา แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่มั่นคง “ข้าสัญญาว่าจะปกป้องแล้ว ดังนั้น ข้าจะไม่ตระบัดสัตย์เด็ดขาด แม้ว่าเจ้าจะเป็นเหตุให้โลกนี้ต้องพินาศก็ตามที”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องเตรียมตัวเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกเลยทีเดียว” โบเซลกลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนปิดตาลงด้วยท่าทางที่สบายใจขึ้น “แต่ข้าไม่มีความสามารถพอที่จะทำลายล้างโลกนี้หรอก หรือถึงมีข้าก็ไม่อยากทำ เพราะข้ามีคนที่รักมากมาย ข้าจึงต้องหาทางปกป้องโลกนี้ไว้”

ถ้อยคำของเด็กชาย เรียกรอยยิ้มจากไกเซอร์ที่เคยคิดแต่ว่าการปกป้องโลกนี้ให้สงบสุขคือหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ และเพื่อลบล้างตราบาปที่รับมาตั้งแต่เกิด ดังนั้น เขาจึงไม่เคยคิดเลยว่าการปกป้องโลกให้พ้นภัยจากจอมมาร จะเป็นการปกป้องชีวิตของเหล่าคนที่รักและนับถือ

ไกเซอร์เฝ้าดูอาการของโบเซลที่ไม่มีทีท่าว่าจะทรุดลงไปอีกอย่างเบาใจ ก่อนหันไปหยิบเข็มขัดหนังที่วางอยู่บนเตียงด้านข้างขึ้นมาสวม แล้วเหน็บมีดสั้นไปตามรูเสียบที่อยู่ด้านข้าง ตามด้วยดาบสั้นที่มีทับทิมเม็ดเล็กประดับโดดเด่นอยู่บนยอดด้ามจับที่สลักลวดลายชดช้อยเสียบลงในซองด้านหลัง ตบท้ายด้วยสายคาดดาบที่ห้อยดาบด้ามเงิน สวมฝักหนังสีดำที่สลักลวดลายอักขระของภาษาโบราณ

“เท็มพลาส...จงออกมา”

ลมหมุนลูกเล็กปรากฏขึ้นตรงหน้าของไกเซอร์ ก่อนปรากฏร่างของมนุษย์ตัวจิ๋วที่มีขนาดเท่าฝ่ามือของชายหนุ่ม แต่ลักษณะของมันก็ไม่เหมือนมนุษย์เสียทีเดียวนัก ด้วยมันมีใบหูเรียวแหลม และยาวกว่ามนุษย์ทั่วไป ดวงตาสีเขียวก็ใหญ่เต็มกรอบตา ซึ่งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนี้คือภูติรับใช้ของนักอาคม

“ข้าจะออกไปทำธุระข้างนอก เจ้าช่วยดูแลเด็กคนนี้ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ที อย่าให้ใครเข้ามาทำร้ายเขา และอย่าให้ใครพาเขาออกไปจากห้องนี้จนกว่าข้าจะกลับมานะ เท็มพลาส”

ภูติอาคมกระดิกใบหูเรียวแหลมคล้ายกับกำลังซึมซับคำสั่งของเจ้านาย ก่อนหันไปมองร่างผอมบางของเด็กชายที่นอนซมเพราะพิษไข้ที่ตัวเองต้องดูแลและปกป้อง มันมองเด็กชายอยู่นาน ก่อนหันไปมองไกเซอร์ด้วยท่าทางสงสัย ชายหนุ่มจึงรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของภูติรับใช้อยู่ไม่น้อย

“เป็นอะไรไป เท็มพลาส ไม่เข้าใจคำสั่งของข้าหรือ”

ภูติอาคมส่ายหน้าไปมา แล้วค้อมตัวรับคำสั่งของเจ้านาย โดยเก็บงำความสงสัยของตัวเองที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจไว้ ก่อนหันไปมองเด็กชายบนเตียงอีกครั้ง หลังจากน้อมส่งร่างสูงใหญ่ที่เดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

เด็กคนนั้นจำเป็นต้องให้ภูติอาคมตัวเล็กอย่างมันปกป้องด้วยหรือ ในเมื่อรอบร่างของเด็กคนนี้ปกคลุมด้วยอาคมแข็งกล้า จนมันไม่สามารถเฉียดเข้าใกล้ได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำบางสิ่งบางอยางที่อยู่ใต้เงาอาคมยังขยับเคลื่อนไปมาด้วยจิตมุ่งร้าย ซึ่งพอสิ่งนั้นจับได้ถึงการคงอยู่ของภูติรับใช้ก็พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว จนภูติน้อยกระโดดถอยห่างออกไปจนติดอีกฟากหนึ่งของกำแพง

โชคดีนักที่สิ่งนั้นไม่สามารถผ่านม่านอาคมแข็งกล้านั้นได้ ไม่อย่างนั้นมันคงถูกกลืนกินจนไม่อาจได้พบหน้าเจ้านายของตัวเองอีก!



ไกเซอร์เช่าม้าจากฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่ง เพื่อไปยังประตูตะวันออกของเมืองเปเรคอฟที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโรงแรมที่ชายหนุ่มเข้าพัก เขาใช้เวลาไปเกือบสองชั่วยามตามฝีเท้าม้ากว่าจะไปถึงที่หมาย และได้เห็นกำแพงไม้ที่ก่อขึ้นมาอย่างหยาบๆ เรียงไปตลอดแนวที่ติดกับป่า

แต่ทันทีที่ไกเซอร์ขี่ม้าล่วงผ่านเข้าหมู่บ้าน ความรู้สึกไม่ดีเหมือนกับตอนได้เจอเถาปีศาจก็พุ่งผ่านวูบเข้ามา จนชายหนุ่มชักบังเหียนม้าให้หยุด เขาหรี่ตามองรอบหมู่บ้าน จนไปสบตาเข้ากับดวงตาสีแดงเพลิงของหญิงสาวนางหนึ่ง

รูปร่างของหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นโปร่งระหงและสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นสีดำสนิทและรัดรูปจนเห็นทรวดทรงองค์เอวชัดเจน ไม่เกรงสายตาชายหนุ่มบางคนที่มองจนตาแทบถลนออกจากเบ้า เอวคอดกิ่วมีผ้าผืนบางมัดปลายเข้าด้วยกันและคลุมปิดสะโพกไว้ แต่ก็ไม่อาจปกปิดท่อนขากลมกลึงที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงรัดรูปขายาวสีดำที่มีรองเท้าสูงถึงหน้าแข้งหุ้มปิดทับได้

ส่วนอาวุธติดตัวของหญิงสาวผมแดงมีเพียงดาบวงพระจันทร์สองเล่มที่เหน็บอยู่ข้างเอว นอกนั้นเป็นเครื่องประดับหลากชิ้นที่ดูรกรุงรัง ไม่ว่าจะเป็นสร้อยหินสีแดงก่ำราวเลือด ห่วงกำไลสีทองข้างละเกือบสิบวง กระพรวนข้อเท้าและสร้อยเงินที่พันรอบเอวสองทบ

“ท่านมาด้วยเรื่องกรีดีเซลใช่ไหม” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นในที่ต่ำกว่า ไกเซอร์รีบลงจากหลังม้า และค้อมตัวให้ผู้อาวุโสที่มีแววตาหลุกหลิก คล้ายหวาดระแวงต่อบางสิ่งบางอย่างตลอดเวลา ซึ่งน่าจะเดาว่าคงมาจากเรื่องของสัตว์ร้ายที่เอ่ยถึง

“ใช่ครับ ไม่ทราบว่าท่านคือ...”

“ข้าชื่อเดมัส เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้” ชายที่เปิดเผยตัวว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านตอบกลับด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นขึ้น เมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องที่ตัวเองคาดเดา “ท่านโชคดีนักที่มาตอนนี้ เรากำลังพาแม่นางน้อยคนนั้นที่อาสาล่ากรีดีเซลไปที่ป่าอยู่พอดี”

ไกเซอร์เหลือบตามองดูหนุ่มฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ที่มีอาวุธพร้อมมือ ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดและมีรอยหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“พวกเราไปสมทบกับแม่นางคนนั้นเถอะ เดี๋ยวพอพวกเราเตรียมตัวกันเสร็จเมื่อไรจะออกเดินทางกันทันที” หัวหน้าหมู่บ้านพูดพลางเดินนำชายหนุ่มที่รู้สึกติดใจในบางอย่างมานับตั้งแต่เข้าหมู่บ้าน และเขาไม่อาจชี้ชัดความรู้สึกนี้ได้ว่าเกิดจากอะไร ซึ่งสิ่งเดียวที่เขารู้คือ เขาไม่ชอบบรรยากาศของที่นี่เอาเสียเลย



กลุ่มล่ากรีดีเซลเริ่มทยอยเข้าป่าไปโดยมีสายตาของคนในหมู่บ้านยืนส่ง หัวหน้าหมู่บ้านเดินควบคู่ไปกับไกเซอร์และสาวปริศนาที่ไม่คิดจะสนทนากับใคร ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ใส่ใจเธอมากนัก นอกจากถามหัวหน้าหมู่บ้านถึงจุดที่พบ จนเมื่อร่างโปร่งระหงที่เดินอยู่อีกด้านของหัวหน้าหมู่บ้านหยุดชะงัก พลางกวาดตามองป่าโดยรอบเช่นเดียวกับเขาที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงทำให้คนอื่นพลอยหยุดเดินตามไปด้วย

“มีอะไรหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นหญิงสาวหยุดเดิน

“มีบางอย่างกำลังมา ใครไม่อยากตายก็รีบถอยไป” เสียงหวานนุ่มเอ่ยขึ้นแผ่วเบา พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยท่าทางเตรียมพร้อมกับเกมล่าที่กำลังจะเกิดขึ้น

สีหน้าหลายคนเริ่มเครียดขึง กระชับอาวุธพร้อมอย่างไม่ถอยหลังกลับ แต่ถึงอยากหนีไปเพียงไรก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อมีกรีดีเซลตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้านหน้า

รูปร่างของมันเหมือนกระต่ายอย่างที่ได้รับการบอกกล่าว ดวงตาของมันสีแดงก่ำราวกับทับทิม ขนของมันเป็นสีขาวเหมือนหิมะ นี่คงเป็นลักษณะประจำตัวของกรีดีเซลที่แตกต่างจากกระต่ายที่มีขนหลายสี ขนของกรีดีเซลเริ่มพองตัวขึ้นคล้ายขู่ ก่อนอ้าปากโชว์เขี้ยวคมให้เห็น และกระโจนเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว

หัวหน้าหมู่บ้านหงายหลังล้มตึง เมื่อกรีดีเซลพุ่งเข้าปะทะอกด้วยแรงมหาศาลผิดกับรูปร่าง และก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวลงไป ไกเซอร์ก็กระชากปลอกดาบขึ้นปัดมันออกไปไกล แล้วรีบดึงหัวหน้าหมู่บ้านให้ลุกขึ้นยืน พลางส่งไปยังหนุ่มฉกรรจ์ที่รับหน้าที่ช่วยพยุงชายแก่ที่หวุดหวิดเกือบไปพบยมบาลก่อนใคร

“ไล่คนพวกนั้นไป อยู่ไปก็รังแต่จะขวางมือขวางเท้า!” สาวผมแดงตะโกนบอกไกเซอร์ที่ไล่ต้อนคนในหมู่บ้านให้ถอยห่างไปตั้งแต่แรกเริ่มที่สัตว์ร้ายโผล่ ซึ่งพอทุกคนได้ยินเสียงหวานที่แผ่บรรยากาศกดดันออกมา ก็พากันวิ่งหนีไปจนเหลือเพียงสองหนุ่มสาวที่จ้องมองกันราวกับรับรู้ถึงความนัยบางอย่างที่แอบแฝงมา

“ท่านรู้ไหม ถึงกรีดีเซลจะนิสัยดุ แต่มันไม่เคยออกไปหากินนอกอาณาเขต” หญิงสาวที่ไม่คิดจะเอ่ยแนะนำตัวกับใครเอ่ยขึ้นคล้ายจะพึมพำกับตัวเองมากกว่า

“ท่าทางของเจ้าดูจะรู้จักและคุ้นเคยกับพวกมันดีนะ”

หญิงสาวปริศนากระตุกยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนโรยผงบางอย่างใส่พวกสัตว์ร้ายที่รุมล้อมรอบด้าน “สถานที่ที่ข้าอยู่มีกรีดีเซลมากมาย และข้าก็เคยมีสัตว์เลี้ยงเป็นกรีดีเซลพวกนี้ ข้าจึงรู้นิสัยและวิธีทำให้มันเชื่อง”

ท่าทางของกรีดีเซลที่แปลกเปลี่ยนไป เป็นหลักฐานยืนยันคำพูดของสาวผมแดงได้ดี ทางใดที่หญิงสาวเดินไป พวกมันก็จะหลีกทางให้ จนชายหนุ่มได้แต่มองด้วยความประหลาดใจ เขาเห็นว่าเธอใช้ผงบางอย่างกับสัตว์พวกนั้น แต่ถึงจะถามออกไป อีกฝ่ายคงไม่ยอมบอกเคล็ดลับที่ทำให้สัตว์ร้ายหน้าขนเชื่องกับเขาแน่

“ถ้าเจ้ารู้อย่างนั้น แล้วจะมาที่หมู่บ้านนี้ทำไมอีก”

ดวงตาสีแดงเพลิงหรี่มองเจ้าของคำถามที่ให้บรรยากาศรอบตัวแปลกประหลาดกว่าทุกคนที่ได้เจอ เขามีกลิ่นอาคมที่เธอไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากตีตัวออกห่างเหมือนกับตอนได้เจอนักอาคมคนอื่น

“เพราะรู้จึงสงสัยน่ะสิ กรีดีเซลถึงจะดุร้ายแค่ไหน แต่ก็ไม่อันรายจนถึงขนาดคร่าชีวิตใครได้ คนที่หมู่บ้านที่น่าจะคุ้นชินกับนิสัยของพวกมัน กลับให้ข้อมูลผิดๆ ข้าเลยมาดูให้หายสงสัย” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทางที่ดูว่าง่ายขึ้น

“ตอนนี้หายสงสัยแล้วหรือยังล่ะ”

“ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีกน่ะสิ ท่านไม่เห็นหรือไงว่าความกลัวของคนในหมู่บ้านนี้เป็นของจริง และเมื่อกี้พวกเขาก็ไม่ได้กลัวเจ้าตัวเล็กพวกนี้เลยเสียด้วยซ้ำ พวกเขากลัวอะไรบางอย่างที่อยู่ในป่านี้...อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่กรีดีเซล”

ใช่! ไกเซอร์เห็นความหวาดกลัวในแววตาของพวกชาวบ้าน อีกทั้งความรู้สึกไม่ดีที่แล่นริ้วขึ้นมาวูบหนึ่งตอนเข้าหมู่บ้าน ทำให้ชายหนุ่มเชื่อว่า ที่นั่นมีอะไรไม่ชอบมาพากลซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งเหตุการณ์ที่กรีดีเซลเข้าโจมตีหัวหน้าหมู่บ้าน แทนที่จะโจมตีเขาที่อยู่ใกล้กว่ากัน ทำให้เขานึกเอะใจและทันได้เห็นเธอขยับริมฝีปากบอกว่าห้ามฆ่าสัตว์ปีศาจพวกนี้ เขาจึงใช้ได้แต่ปลอกดาบตีพวกมันอย่างเดียว

“เจ้าเลยคิดจะหาอะไรบางอย่างในป่าที่ชาวบ้านกลัวสินะ”

“หรือท่านคิดจะห้ามข้า” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นท้าทาย ไกเซอร์จึงส่ายหน้าไปมาด้วยความอ่อนใจ

“ถึงจะห้ามเจ้าไม่ให้เข้าป่าลึกได้ แต่ข้าคงห้ามอะไรบางอย่างไม่ให้ออกมาต้อนรับไม่ได้หรอก”

ไกเซอร์เคลื่อนตัวไปเบื้องหน้า แล้วใช้ร่างกายของตัวเองบังร่างบอบบางของหญิงสาวผมแดงที่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างหลังไพรทึบ เหล่ากรีดีเซลเองก็พากันพองขนฟู พลางส่งเสียงขู่บางสิ่งบางอย่างที่แผ่รังสีความชั่วร้ายมาให้สัมผัสได้ และรังสีนั้นก็กดดันสัตว์ปีศาจให้จำต้องล่าถอยไป จนเหลือแต่มนุษย์ชายหญิงที่ยืนกลั้นหายใจกับบรรยากาศหนักหน่วงของสิ่งที่เข้ามาใกล้

ชายหนุ่มกระชับดาบเล่มใหญ่ในอุ้งมือแน่น ส่วนโสตหูก็คอยฟังเสียงเคลื่อนไหวของสิ่งที่บอกไม่ได้ว่าเป็นตัวอะไรที่แหวกผ่านกอหญ้าตามพื้น จนเกิดเป็นเสียงสวบสาบแผ่วเบา แต่ทันทีที่สิ่งที่อยู่หลังม่านไพรโผล่ออกมา มันก็พุ่งตรงเข้าหามนุษย์ทั้งสอง โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว

ไกเซอร์ตั้งดาบรับสิ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พลางบิดควงดาบในมือ เมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่พันรัดรอบอาวุธคู่มือ ก่อนกดดาบลงตัดสิ่งที่พุ่งเข้ามาหวังพันธนาการเหยื่อไม่มีหยุด จนบนพื้นเต็มไปด้วยเส้นไหมสีเทาที่ทำให้หญิงสาวผมแดงขนลุกเฮือกขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่จู่โจมเข้ามาชัดเจนขึ้น

“ระวัง!” หญิงสาวร้องตะโกนลั่น พลางโถมตัวเข้าหาร่างสูงใหญ่ที่ไม่ทันตระหนักถึงอันตรายที่มาจากเบื้องล่าง เสียงร้องนั้นทำให้คนประสาทสัมผัสไวไหวตัวถึงสิ่งที่พุ่งขึ้นมาจากพื้น ชายหนุ่มเบี่ยวตัวหลบตามแรงโถมของร่างบอบบางที่พุ่งกระแทกเข้ามา โดยไม่ลืมคว้าเอวบอบบางให้หลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อตัวแทนด้วย

“ปีศาจงั้นหรือ!?” ไกเซอร์อุทานอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อเส้นใยที่พุ่งเข้าพันรัดหวังให้เหยื่อดับดิ้นไปเหมือนแมลง รวมตัวกันเป็นร่างของมนุษย์หนุ่มท่าทางสำรวยที่มีเส้นผมสีเทายาวจรดพื้น ชายหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดของผู้ทรงศีลสีขาวพิสุทธิ์ และมีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด แต่ดวงตาสีเทาที่จับจ้องมา กลับทำให้ผู้ถูกจับจ้องรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย

“ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ที่ข้าล่อมาจะมีพวกนักบวชหลงมาด้วย” ปีศาจสีเทากรีดยิ้มที่ดูสวยเยือกเย็นให้กับชายหนุ่มที่ไม่เปิดช่องว่างให้โจมตีได้เลยสักนิด ก่อนปรายตามองไปทางหญิงสาวผมแดงที่ตัวสั่นงันงกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของชายหนุ่ม

“...แล้วก็มีพวกลูกครึ่งน่ารังเกียจมาเป็นของแถม” น้ำเสียงของปีศาจหนุ่มส่อแววรังเกียจตามคำพูด ก่อนหันไปสนใจคนที่เหมือนจะเป็นนักอาคมมากกว่าจะเป็นนักบวช หากว่าไม่ได้สัมผัสถึงพลังตามสายเลือดที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของปีศาจ

ไกเซอร์ไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากกระชับดาบในมือแน่น จิตสัมผัสของเขาบอกว่าปีศาจตรงหน้านี้ร้ายกาจกว่าปีศาจตนอื่นที่ชายหนุ่มเคยเจออยู่หลายร้อยหลายพันเท่า และปีศาจที่เขาเคยพบก็ไม่ใช่ปีศาจแท้ พวกนั้นเป็นมนุษย์ที่สั่งสมจิตชั่วจนกลายพันธุ์เป็นปีศาจไป บางคนไม่สามารถรักษาสภาพร่างกายยามเป็นมนุษย์ได้ ก็จะแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นน่าเกลียดน่ากลัว มีน้อยนักที่จะคงรูปเดิมของตัวเองได้

“ก็ดี ข้าเบื่อเลือดเนื้อและวิญญาณของมนุษย์นักล่าพวกนี้แล้ว ข้าหวังว่าเนื้อของเจ้าคงทำให้พลังของข้าเพิ่มพูนขึ้นนะ!”

หลังจากสิ้นเสียงของปีศาจตรงหน้า ไกเซอร์จึงได้รู้ว่าตัวเองพลาดท่าอีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว เมื่อชายหนุ่มไม่รู้ว่า เส้นผมที่สวยราวเส้นไหมเข้ามาพันรัดรอบตัวตั้งแต่ตอนไหน เขากัดฟันกรอด พลางขยับข้อมือตวัดด้ามดาบตัดเส้นไหมสีเทาที่พันธนาการรอบร่าง แล้วรวบร่างบอบบางของหญิงสาวข้างกายหลบหนีกลุ่มเงามืดที่พุ่งตรงมาด้วยจิตมุ่งร้าย และมันได้ฝากรอยแผลเป็นทางยาวบนต้นแขนที่เบี่ยงหลบได้อย่างเฉียดฉิว

“หนีเก่งจัง” เสียงทุ้มนุ่มที่ดังอยู่เบื้องบนทำให้ไกเซอร์ผงะ พลางยกดาบขึ้นกันกงเล็บแหลมยาวที่จ้วงลงมา จนเกิดประกายไฟบนแผ่นดาบ “...แต่หนีไม่รอดหรอก”

ไกเซอร์ยกมืออีกข้างรับดาบวงพระจันทร์ที่พุ่งมาจากด้านข้าง สายตาก็เหลือบมองไปทางหญิงสาวผมแดงที่มีท่าทางผิดไปจากปกติ แล้วดวงตาสีฟ้าครามก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อจุดกลางดวงตาสีแดงเพลิงคู่นั้นเริ่มตีบเล็กลงจนเหมือนดวงตาสัตว์!

“หึหึ พวกลูกครึ่งนี่ก็บังคับยากอยู่เหมือนกันนะ”

“เจ้า...เจ้าไม่ใช่จอมมาร แต่ทำไมใช้พลังของจอมมารได้” ไกเซอร์มองปีศาจสีเทาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ พลังที่ชายหนุ่มสัมผัสได้ชั่วครู่มีคลื่นที่สัญชาตญาณส่วนลึกร้องบอกว่า นี่เป็นพลังของบุคคลที่ถูกกักขังมานานนับหมื่นปี!

“ข้าจะเป็นในไม่ช้านี้ล่ะ”

“ปีศาจที่ชั่วร้ายจริง เขาไม่โอ้อวดตัวเองหรอก สงบคำไว้หน่อยดีกว่า” เสียงของบุคคลที่สาม และลำแสงสีขาวที่พุ่งตรงมา ทำให้ปีศาจสีเทารีบลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ ส่วนไกเซอร์ก็รีบรับร่างบอบบางที่หมดสติไปแทบจะทันที หลังจากลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าปะทะกลางหน้าผาก

“เจ้าอีกแล้วงั้นหรือ! ไอ้นักบวชนอกรีต!”

ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนักบวชนอกรีตปรากฏกายออกมาจากร่มเงาไม้ แล้วเงยหน้าขึ้นมองคู่อริที่ดูจะไม่กล้าต่อการกับตนเท่าไรด้วยรอยยิ้มเรื่อยสบาย ก่อนหันไปมองคนที่เกือบจะกลายเป็นอาหารของปีศาจด้วยรอยยิ้มกึ่งล้อเลียน

“ไม่ว่าเมื่อไร ท่านก็ชอบเข้าไปอยู่กลางฝูงสัตว์กระหายเลือดเสมอเลยนะ ท่านไกเซอร์”

นักเดินทางขาจรพ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย กับถ้อยคำจิกกัดของคนเคี้ยวยากที่หากไม่จำเป็นก็ไม่อยากมาพบ ก่อนแค่นยิ้มตอบกลับไป “ไม่บ่อยเท่าองค์หญิงของท่านหรอก ท่านที่ปรึกษาไคท์”

ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินเปเรคอฟโคลงศีรษะเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปมองปีศาจเทาที่จ้องมองกลับมาด้วยสายตาถมึงทึง แล้วเงาร่างของปีศาจเทาก็เลือนรางลงไปจนหายไปในที่สุด

“มันไปไหนน่ะ ท่านไคท์” ไกเซอร์เอ่ยถามด้วยท่าทางงุนงง เมื่อปีศาจที่จ้องจะกินตัวเองอยู่เมื่อครู่ ยอมล่าถอยไปทันทีที่เจอที่ปรึกษาราชการแผ่นดินแห่งเปเรคอฟ แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นนักบวชที่ประจำอยู่ในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศัตรูตามธรรมชาติของพวกปีศาจที่ถือกำเนิดมาจากความมืดและความชั่วร้ายในโลกนี้ แต่เขาคิดว่าสิ่งนี้คงไม่ใช่สาเหตุหลักที่ปีศาจตนนั้นล่าถอย

“กลับร่างที่ตัวเองสิงสู่น่ะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าวางยาไว้เรียบร้อยแล้ว” ไม่ทันที่อดีตนักบวชจะพูดจบ เสียงกรีดร้องที่ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังก้องจนแสบแก้วหู เรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าตัวที่คาดเดาการกระทำของปีศาจตนนั้นได้อย่างถูกต้อง

“ของแค่นั้นฆ่าปีศาจที่บังอาจครอบครองพลังของนายเราไม่ได้หรอก”

เสียงเล็กแหลมที่ไกเซอร์ไม่อาจลืมได้ดังขึ้นเหนือศีรษะ ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ที่กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้อวบใหญ่ และกำลังจ้องมองลงมาด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร คนหนึ่งเป็นเด็กหญิงกับตุ๊กตาพูดได้ที่เข้ามาสะกิดแผลเป็นของนักเดินทางขาจร ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษ และใส่เสื้อผ้าสีดำปกปิดร่างกายมิดชิดเหมือนกับเด็กหญิงด้านข้าง เขามีดวงตาสีม่วงที่ทำให้ผู้ได้สบจ้องรู้สึกอ่อนแรงเหมือนถูกสูบพลัง ซึ่งฝ่ามือของอดีตนักบวชที่ตบลงมาบนบ่า ก็ได้ช่วยให้เขาหลุดออกมาจากอำนาจมืดที่น่าขนลุก

“อย่าจ้องตาเขานานไปกว่านี้เลย ท่านไกเซอร์ ปีศาจดูดเลือดสมัยนี้ไม่ได้ดูดเลือดมนุษย์เพียงอย่างเดียวแล้วนะ เดี๋ยวก็ถูกสูบพลังชีวิตไปหมดหรอก”

ไกเซอร์หันไปมองผู้อาวุโสที่ไม่มีท่าทางล้อเล่นให้เห็น และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักฝ่ายตรงข้ามเสียด้วย

“เราไม่ทำอะไรเขาหรอกไคท์ หากว่าเขาจะยอมคืนคนของเรามา” ตุ๊กตาพูดได้กลั้วหัวเราะด้วยความขบขัน แล้วเด็กหญิงในชุดดำก็ทิ้งตัวลงมาพร้อมกับชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงที่จับจ้องแต่หญิงสาวสีแดงไม่วางตา

“ก็เอาไปสิ ไม่ได้ยึดไว้เสียหน่อย”

เจ้าของตุ๊กตาเงยหน้าขึ้นมองคนโตกว่า พลางพยักหน้าให้ โดยไม่ขยับริมฝีปากเอ่ยอะไร แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายของท่าทางนั้น เมื่อร่างสูงโปร่งเดินมาทรุดนั่งลงตรงหน้าไกเซอร์ที่อุ้มประคองหญิงสาวผมแดง เขายื่นมือไปช้อนร่างบอบบางที่สลบไสลมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง

“ระวังคนภายในไว้ด้วยก็ดีนะ ไคท์ ไม่งั้นจะเสียใจทีหลัง” ปีศาจดูดเลือดทิ้งคำพูดไว้ให้ที่ปรึกษาเปเรคอฟขบคิด ก่อนเดินหายไปในเงามืดพร้อมกับเจ้าของตุ๊กตาพูดได้ที่หัวเราะคิกคักไม่มีหยุด

“พวกอาซีเร็มยังทำตัวเข้าใจยากเหมือนเดิม”

“อาซีเร็มงั้นหรือ” ไกเซอร์หันไปถามย้ำเพื่อความแน่ใจ พลางนึกถึงกลุ่มของหญิงสาวผมแดงที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนพวกสาวกแห่งความมืดเสียมากกว่า

“ใช่ พวกเขาเป็นอาซีเร็ม กลุ่มทายาทของผู้เฝ้าอาณาเขตที่เปลี่ยนแปลงไปมากในหลายร้อยปีที่ผ่านมา”

ทวีปอาซีเร็มเป็นทวีปกึ่งปิด เส้นทางเดียวที่จะเข้าไปยังทวีปลึกลับนั้นได้ มีแต่ต้องผ่านหมู่เกาะไมเดนที่ถูกปกครองโดยชนเผ่าไวลด์ฮาล์ฟ ไกเซอร์เคยล่วงผ่านเข้าไป แล้วพบกับด่านมนตรามากมายที่เกือบทำให้เขาแทบเอาชีวิตไม่รอดอยู่ในนั้น ครั้นพอจะเดินทางข้ามผ่านทะเล โดยไม่ใช้อาณาจักรหมู่เกาะเป็นทางผ่าน ก็ต้องพบกับปราการมากมาย ทั้งวังน้ำวน หรือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลลึก!

“ข้าเองก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับพวกเขามากนักหรอก เราแค่เจอกันตอนที่ข้าไล่ตามปีศาจเมื่อกี้เมื่อสามปีก่อนเท่านั้น”

ไกเซอร์เลิกคิ้วขึ้นกับความลับที่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินเปเรคอฟกำลังแย้มพรายออกมา อีกฝ่ายเองก็ได้แต่ยิ้มเนือย แล้วเดินนำกลับไปยังหมู่บ้านนอกป่าที่เหลือธุระให้ต้องจัดการอีกหนึ่งอย่าง

“เมื่อสามปีก่อน ปีศาจสีเทาตนนั้นพยายามจะเข้ามาทำลายผนึกอาคมกักมารที่เปเรคอฟ ซึ่งท่านคงจำได้ว่า ตอนนั้นข้ายังเป็นนักบวชอยู่ที่นอร์ธแลนด์”

“ข้าเองก็เคยนึกสงสัยว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้ท่านทิ้งวิหาร แต่ข้าคิดว่าสมเด็จพระมหาสังฆราชทรงรู้อะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งผู้พิทักษ์วิหารที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยไปที่เปเรคอฟ”

ไคท์กลั้วหัวเราะในลำคอกับถ้อยคำพึมพำที่จงใจพูดให้เข้าหู “อย่าพูดเสียเหมือนกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่นสิ อย่าลืมนะว่ามารดาของท่านก็เป็นผู้พิทักษ์ อีกทั้งยังครอบครองพลังกักมารที่แรงกล้ายิ่งกว่าใครไว้”

“แต่ข้าไม่มีพลังแบบเดียวกับท่านแม่ หรือถ้าจะมีก็คงเป็นพลังที่จะปลดปล่อยเหล่ามารมากกว่า”

ถ้อยคำที่ดูเหมือนประชดประชันตัวเองของไกเซอร์ ทำให้ไคท์โคลงศีรษะกับนิสัยต่อต้านที่แก้ไม่หาย อดีตนักบวชยังจำชายหนุ่มในสมัยเด็กได้ เจ้าตัวในตอนนั้นมีนิสัยน่ารักและว่าง่ายยิ่งกว่านี้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีนิสัยเปลี่ยนไป เมื่อเริ่มทำนายลางหายนะของผู้คน

ในตอนแรก ไม่มีใครคิดอะไรมากมายกับสังหรณ์ของเด็กชายที่ต้องการหาผู้ช่วยเหลือบุคคลในคำทำนายหายนะ แต่พอคำทำนายเหล่านั้นเป็นจริงบ่อยครั้งเข้า ทุกคนก็เริ่มหวาดกลัว และไม่กล้าสบสายตาตอบ ประจวบเหมาะกับที่มีคำทำนายหลุดมาจากนักพยากรณ์ที่มางานฉลองวันเกิด อันกล่าวถึงเทพแห่งความวิบัติที่จะถูกปลุกโดยเด็กชาย เลยทำให้ทุกอย่างเริ่มเลวร้ายขึ้น

เด็กน้อยที่น่ารักและว่าง่ายเลือนหายไป เหลือแต่เพียงเด็กที่แข็งกร้าวและต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่าง กว่าจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ เจ้าตัวก็ได้รับบทเรียนราคาแพงที่ไม่อาจเรียกอะไรให้หวนกลับคืนมาได้

“ทำไมไม่คิดว่า ถ้าปล่อยได้ก็แสดงว่ากักขังได้ด้วยล่ะ”

“แล้วว่าแต่เรื่องปีศาจเมื่อกี้ล่ะ”

ไคท์ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงกับคำถามของนักเดินทางขาจร เพราะจะว่าไปปีศาจที่ถูกเอ่ยถึงก็เป็นปัญหากับเขามากพอดู “ข้ารู้แค่ว่าปีศาจตนนั้นพยายามทำลายอาคมกักมาร เพื่อครอบครองพลังมืดทั้งมวลให้เป็นของตนเอง ท่านเองก็รู้สึกตอนได้สัมผัสพลังของปีศาจตนนั้นใช่ไหมล่ะ มันช่างเหมือนกับสัมผัสของจอมมารไม่ผิดเพี้ยน”

“ท่านไคท์...”

ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินเปเรคอฟพยักหน้ายืนยันความคิดของไกเซอร์อย่างเชื่องช้า “อาซีเร็มรู้ถึงเรื่องที่ปีศาจตนนั้นต้องการ จึงส่งคนออกมาตามล่าและส่งคืนสู่แดนผนึก...” คำบอกเล่าชะงักไปเล็กน้อย เมื่อคนพูดนึกถึงสถานภาพของปีศาจตัวปัญหา

“ข้าคิดว่าปีศาจตนนั้นไม่ได้ถูกผนึกเหมือนจอมมาร มันวนเวีนอยู่ในโลกนี้มาหมื่นปี คอยกัดเซาะและทำลายอาคมไปทีละนิด เพื่อครอบครองพลังที่ถูกแบ่งไปผนึกตามแดนต่างๆ ของจอมมาร ซึ่งมันครอบครองไปได้ห้าส่วนแล้ว”

“ห้างั้นหรือ!?” ไกเซอร์ทวนคำด้วยความสงสัย เมื่อจำนวนอาณาเขตกักมารที่ล่มสลายไม่ตรงกับจำนวนพลังมารที่ปีศาจสีเทายึดครอง

“เหลืออยู่แค่ห้า หลังจากที่อสนีบาตชาดพาดผ่านน่านฟ้า” ไคท์ขยายความให้อีกฝ่ายเข้าใจ พลางนึกถึงข่าวจากผู้ผนึกมารที่ส่งมาให้ล่าสุด “ดูเหมือนปีศาจสีเทาจะชักนำอะไรบางอย่างให้มาทำลายอาคมกักมารที่ไกเดน อาคมที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอาคมกักมารทั้งมวล” พอพูดถึงตรงนี้ อดีตนักบวชก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“รู้ไหม ท่านไกเซอร์ ข้ากำลังคิดว่าบางทีแล้ว จอมมารอาจไม่ได้ถูกกักขังด้วยก็ได้นะ”

“เพราะบางสิ่งบางอย่างที่ทำลายอาคมกักมารใช่ไหม”

ไคท์ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกกับคำถามที่ถูกส่งมา “สิ่งที่สามารถหักล้างอาคมของนักบวชมีอะไรบ้างล่ะ ถ้าไม่ใช่ตัวนักบวชถอนพลังอาคมออกมา ก็เห็นจะมีอยู่แค่อย่างเดียวเท่านั้นที่ข้าคิดออก” เขาพูดพลางจ้องหน้านักเดินทางขาจรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“...เลือดของจอมมาร” ไกเซอร์ต่อถ้อยคำที่ขาดหายไปของอดีตนักบวชด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อันยากจะเดาได้ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอย่างไรในขณะนี้

“สงครามกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งแล้วท่านไกเซอร์ และข้าคิดว่ากำลังของพวกเราในตอนนี้ดูจะไม่พร้อมรบกับกองกำลังของจอมมารเลย”



ไกเซอร์แยกทางกับที่ปรึกษาราชการแผ่นดินเปเรคอฟที่หมู่บ้านชายป่าตะวันออก อันเป็นจุดเริ่มต้นของการได้พบกับปีศาจสีเทา สถานที่แห่งนั้นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเสียจนน่าตกใจ ซึ่งชายหนุ่มรู้แล้วว่า เหตุใดตนเองจึงรู้สึกขนลุก หลังจากล่วงผ่านเข้าไปในเขตหมู่บ้าน เพราะหมู่บ้านแห่งนั้นคืออาณาเขตของปีศาจเทานั่นเอง!

ช่างไม่ได้ความเอาเสียเลย! ไกเซอร์ก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้สึกถึงความผิดแปลกที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนั้น ความมั่นใจที่คิดว่าตัวเองพอจะทำอะไรได้บ้างถูกทำลายเสียไม่มีดี

“กรี๊ดดด!!”

เสียงกรีดร้องที่คุ้นเคย ดึงสติของไกเซอร์ให้หลุดออกจากภวังค์ความคิด ชายหนุ่มรีบมองหาแหล่งเสียง แล้ววิ่งไปยังทิศทางที่ได้ยินทันที แต่ภาพแรกที่ได้เห็นก็ทำเอาแทบหมดแรง เมื่อตัวต้นเสียงที่หลงคิดว่าถูกใครบางคนเข้ามาทำร้ายกำลังหัวเราะเอิ้กอ้ากกับสุนัขตัวใหญ่ที่วิ่งไล่ภูติรับใช้ของเขาที่หนีกระเจิดกระเจิงเสียจนหมดสภาพความเป็นภูติอาคม

“เท็มพลาส”

ภูติรับใช้รีบหันไปตามเสียงเรียกทันที แล้วบินไปซบอกกว้างของเจ้านายพลางร้องไห้กระซิกด้วยท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่ถูกกลั่นแกล้ง ชายหนุ่มมองท่าทางของภูติอาคมสลับกับโบเซลที่มีสีหน้าและท่าทางดีขึ้นมาก จนดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งหายป่วยเลยสักนิด

“หายดีแล้วหรือ โบเซล” ชายหนุ่มเอ่ยทักเด็กชายที่ยืนยิ้มแหยเป็นประโยคแรก เรียกอาการสะดุ้งโหยงจากเจ้าตัวเล็กที่มีอาการเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับผิดได้

“ข้ารู้สึกดีตั้งแต่บ่ายแล้วล่ะ แต่...แต่ข้าเพิ่งลงมาเล่นข้างล่างได้ชั่วโมงเดียวเองนะ” โบเซลรีบหาข้อแก้ตัวในประโยคสุดท้าย เมื่อถูกดวงตาสีฟ้าครามจับจ้อง “ข้า...ข้ารู้สึกหิว เลยลงมาหาของกินข้างล่างกับเท็มพลาส” เด็กชายเริ่มเสริมต่ออีกประโยค หลังจากเห็นว่าคนแก่วัยกว่ายังมีท่าทางเรียบเฉยเสียจนน่าหวั่น

“เจ้าเปิดประตูออกมาเองหรือ”

คำถามของไกเซอร์ทำเอาโบเซลต้องเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง ก่อนพยักหน้ารับตอบกลับไป ชายหนุ่มจึงระบายลมหายใจออกมา แล้วเริ่มพินิจเด็กชายตรงหน้าอย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง

โบเซลจะรู้หรือไม่ว่า ไกเซอร์ได้วางอาคมกั้นอาณาเขตไว้รอบห้อง ภายในจะกลายเป็นอีกอาณาเขตหนึ่งที่คนธรรมดาภายนอกไม่สามารถเข้าไปได้ หรือแม้แต่คนภายในที่ไม่มีอาคมระดับสูงติดตัวก็ยังยากจะก้าวออกมา แต่ดูท่าทางของอีกฝ่าย เจ้าตัวคงไม่รู้เลยกระมังว่า ตัวเองได้ทำลายอาณาเขตของเขา โดยที่เจ้าของอาณาเขตไม่รู้สึกถึงอาคมของตัวเองที่ถูกทำลายลงเลยสักนิด

“ข้า...ข้าทำอะไรผิดหรืเปล่า” เด็กชายเริ่มรู้สึกไม่ดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดจาอะไร

“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก โบเซล” ไกเซอร์พูดปลอบ พลางลูบเรือนผมสีดำของเด็กชายให้คลายความกังวลใจลง “ข้าแค่ห่วงอาการของเจ้าเท่านั้น เจ้าเพิ่งหายไข้แต่ยังออกมาเล่นตากแดดตากลมแบบนี้ เดี๋ยวจะไข้กลับเอานะ”

“ข้าไม่อยากอุดอู้อยูแต่ในห้องนี่นา แล้วข้าก็ไม่ชอบห้องนั้นเลย ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าถูกกักบริเวณยังไงไม่รู้” โบเซลบ่นเสียงหงุงหงิง เมื่อนึกถึงความอึดอัดยามอยู่ในห้อง

“เจ้าเลยพังมันออกมา”

“หา!?”

ท่าทางไม่รู้เดียงสาของเด็กชาย ทำให้ไกเซอร์ระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง เด็กคนนี้ไม่รู้เรื่องพลังของตนเองเลยหรืออย่างไรกัน อีกทั้งพลังนี้ยังมีมากเสียจนทำลายอาณาเขตของเขาได้ ความเป็นมาของเด็กชายที่ถูกชนเผ่าไวลด์ฮาล์ฟไล่ล่าดูจะเป็นสิ่งที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย

“เอาเถอะ แต่ก่อนออกมาเล่น เจ้ากินอะไรแล้วหรือยัง”

“ข้ากินแล้ว เจ้าของโรงแรมหาของกินมาให้ข้าเพียบเลย พวกเขาใจดีมาก” โบเซลฉีกยิ้มกว้าง แล้วหันไปมองเท็มพลาสที่สะดุ้งโหยงกับการถูกดวงตาสีดำที่เข้มยิ่งกว่ารัตติกาลจับจ้อง “เท็มพลาสก็ใจดี ยอมเล่นกับข้าทุกอย่าง” เด็กชายพูดกับภูติอาคมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเสริมท้ายกับตัวเองในใจ

ใช่...แม้เท็มพลาสจะหวาดกลัวบางอย่างในตัวเขา แต่ก็ยอมเล่นด้วย เพราะเห็นว่าเขาเหงา ดังนั้น เขาจึงชอบภูติตนนี้ แต่ดูเหมือนภูติอาคมจะรับรู้ถึงคำพูดในใจของเด็กชายที่มีความเป็นมาลึกลับ จึงคลายท่าทีหวาดกลัวลงเล็กน้อย และกล้าที่จะสบจ้องกับดวงตาสีดำลึกล้ำมากขึ้น

“อยากได้เท็มพลาสเป็นเพื่อนเล่นงั้นหรือโบเซล”

ดวงตาสีดำของเด็กชายทอประกายวาดหวังขึ้นมา เมื่อได้ยินคำพูดของไกเซอร์ แต่ภูติอาคมที่มีความกล้าพอที่จะสบจ้องกับดวงตาคู่นั้นก็หันไปเกาะเจ้านายหนึบ บอกท่าทางคล้ายไม่อยากไปเต็มที่ และน่าเสียดายที่มนุษย์สองคนนี้แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่มันต้องการสื่อเลย

“ท่านจะให้เท็มพลาสเป็นเพื่อนเล่นข้าหรือ”

“อย่างน้อยเท็มพลาสน่าจะเป็นเพื่อนเล่นให้กับเจ้ายามข้าไม่อยู่ได้นะ” ไกเซอร์คลี่ยิ้ม โดยปกปิดความรู้สึกผิดของตัวเองไว้ ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการให้ภูติอาคมเป็นเพื่อนเล่นของเด็กชาย เขาแค่อยากเฝ้าดูพฤติกรรมของเด็กคนนี้ผ่านดวงตาภูติเท่านั้น

“แต่จะดีหรือ” โบเซลยังรู้สึกลังเล เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของภูติน้อย

“เท็มพลาสจะอยู่กับเจ้าตามคำสั่งของข้า”

ภูติอาคมครางเสียงละห้อยกับคำสั่งเด็ดขาดของไกเซอร์ ต่อจากการเป็นผู้คุ้มกันก็เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กคนนี้งั้นหรือ หากเด็กชายเป็นเพียงเด็กธรรมดา เท็มพลาสก็คงเต็มใจรับหน้าที่โดยไม่อิดเอื้อนอะไร แต่เงาดำที่อยู่เบื้องหลังของเด็กชายนี่สิ ที่ทำให้ภูติน้อยหวาดกลัวเหลือเกิน



ไกเซอร์กลับขึ้นห้องพักและพบว่า อาณาเขตของตัวเองถูกโบเซลทำลายโดยสมบูรณ์แบบ ไม่เหลือร่องรอยไอมนตราให้สัมผัสได้ว่า ห้องนี้เคยถูกกั้นอาณาเขตไว้ จนดูราวกับว่าถูกกลืนกินเสียมากกว่าที่จะเรียกว่าถูกทำลาย ชายหนุ่มจึงเหลือบตาไปมองเด็กชายที่กำลังเห่อเพื่อนใหม่ในอุ้งมือ จนไม่สนใจอะไรรอบกาย

ชายหนุ่มขยับริมฝีปากท่องอาคมบทหนึ่งแผ่วเบา แล้วภาพที่เท็มพลาสได้เห็นตอนอยู่ในห้องกับโบเซลที่จับไข้ก็ปรากฏขึ้นมาในครรลองสายตา เขากวาดตามองรอบห้อง แล้วหยุดลงที่ร่างผอมบางบนเตียงกว้าง แต่ทันทีที่เขาหันไปมอง เงาดำสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหา จนร่างสูงใหญ่ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ อีกทั้งเงาดำอันนั้นได้สูบเอาพลังของเขาไป จนต้องทรุดนั่งด้วยพยุงกายต่อไปไม่ไหว และท่าทางนั้นเองที่ทำให้โบเซลเข้าหาผู้ปกครองจำเป็นด้วยความตกใจไม่แพ้อีกฝ่าย

“ไกเซอร์! เป็นอะไรไป!”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะ พลางหอบหายใจด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย วันนี้ดูจะเป็นวันที่เขาอับโชคมากที่สุด เมื่อตนเองถูกดูดพลังไปถึงสองครั้งสองคราในวันเดียวกัน เขาหันไปมองเด็กชายที่ส่งสายตาห่วงใยมาให้ แล้วลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หลังจากพยายามทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้า

“ไกเซอร์...” โบเซลเรียกชื่อผู้ปกครองจำเป็นซ้ำอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายจ้องมองใบหน้าของเด็กชายโดยไม่พูดอะไร และเสียงนี้ทำให้ชายหนุ่มรีบทำตัวตามปกติ ก่อนลูบเรือนผมสีดำนุ่มมือ แล้วยิ้มปลอบ

“ขอโทษที ข้ารู้สึกหน้ามืดนิดหน่อยน่ะ”

“ไม่สบายหรือเปล่า ข้าเห็นท่านหน้าซีดพิกล ท่านไปพักผ่อนที่เตียงก่อนเถอะ” เด็กชายพูดพลางฉุดลากคนตัวโตที่ลุกขึ้นตามแรงดึงด้วยท่าทางว่าง่าย โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เจ้าของดวงตาสีฟ้าครามกำลังมองมาทางตัวเองด้วยแววตาแปลกประหลาด

พอถึงเตียง โบเซลก็รีบดันให้ผู้ปกครองจำเป็นเอนตัวนอนลง พลางถอดสายคาดเอวที่มีอาวุธหลากชนิด แล้ววางลงบนพื้นข้างเตียงอย่างเบามือ ก่อนส่งยิ้มแฉ่งให้คนที่ถูกจับเป็นคนป่วยไปเสียแล้ว “นอนพักนะไกเซอร์ ข้าจะคอยดูแลท่านเอง”

คำพูดไร้เดียงสาและความจริงใจที่แฝงมาในน้ำเสียง เรียกรอยยิ้มจากไกเซอร์ที่ได้แต่ส่ายหน้ากับอาการคิดมากเกินเหตุของตัวเอง บางทีเขาอาจจะมองผิดก็ได้ เงาดำที่มองเห็นอยู่เมื่อครู่คงไม่ได้มาจากเด็กคนนี้

...แต่ทำไมความกังวลในใจของเขาจึงไม่ลบเลือนไปเลย





 

Create Date : 23 มีนาคม 2552
3 comments
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 16:24:41 น.
Counter : 402 Pageviews.

 

ขออนุญาตคุณ rudyard, ขอ add ชื่อเข้าบล็อคนะคะ

 

โดย: run saya 25 มีนาคม 2552 0:15:36 น.  

 

^
^
ที่ขอ Add ชื่อเพราะรออ่านเรื่องนี้อยู่ค่ะ เพราะคงไม่สามารถตามอ่านในหน้าถนนฯ ได้เพราะอาจจะไม่มีเวลาพอ...อือ...เวลามันหายไปไหนหมดวุ้ยยยย

อาจจะไม่ได้มาทักทุกตอน ต้องขออภัยล่วงหน้าค่ะ

 

โดย: run saya 25 มีนาคม 2552 23:06:01 น.  

 

ขอบคุณคุณรัณศยาที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ค่ะ

แต่จะว่าไป ทางฝ่ายนี้เองก็เกือบจะดองงานเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าไอ้ที่โพสต์อาทิตย์ละตอนนี้จะทำติดต่อได้นานกี่อาทิตย์

บนถนนนักเขียนก็ไม่ได้ไปโพสต์แล้ว เหตุเพราะดองงานนานเกินสามเดือน และไม่คิดว่าจะไปโพสต์ได้สม่ำเสมอ เลยตัดใจเอามาลงในนี้เพียงอย่างเดียว

 

โดย: คิม (rudyard ) 30 มีนาคม 2552 14:08:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


rudyard
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถใด นอกจากการเขียน
[Add rudyard's blog to your web]