<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
13 กุมภาพันธ์ 2552

[ 2 ] เด็กชายกับเผ่านักล่า

หลังจากเกิดปรากฏการณ์นภาคลั่ง อสนีบาตชาด และจันทราเลือด ที่คงมีแต่นักอ่านฝันเท่านั้นที่สังเกตเห็น ฝันบอกเหตุของไกเซอร์ดูจะเกิดขึ้นถี่จนผิดปกติ แต่ความอปกตินี้ คงอยู่เพียงเจ็ดคืนเท่านั้น และเป็นเจ็ดคืนที่จันทร์ทมิฬครอบครองน่านฟ้ารัตติกาล

เมื่อสามวันก่อน ไกเซอร์แยกทางกับกองเกวียนพ่อค้าที่เมืองเมาเฟน เมืองปลายทางที่อยู่ในสัญญาจ้าง ซึ่งระหว่งทางที่ผ่านมา ชายหนุ่มสังเกตเห็นร่องรอยสายฟ้าฟาด ที่ทำให้สมาชิกกองเกวียนพากันหวาดผวาทุกครั้งที่ได้เห็น แต่หลุมพวกนั้นไม่ได้มีเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมดังเช่นที่เคยเจอ อีกทั้งยังมีร่องรอยการถูกเผาทำลายด้วยอาคม อันเป็นหลักฐานบอกให้รู้ว่า มีคนระแวงระวังต่อภัยมืดที่กำลังคุกคามมาอย่างเงียบเชียบเช่นกัน

เมาเฟนยังโชคดีที่มีนักอาคมฝีมือดีอยู่ เพราะชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงมนตราคุ้มภัยรอบเมืองที่ถูกเสริมให้แข็งแกร่งขึ้น เขาจึงจากกองเกวียนนั้นมาโดยไม่มีห่วงกังวลอันใด แต่เมืองที่เขากำลังไป นอกจากจะมีนักอาคมชั้นยอดที่เคี้ยวยาก ยังมีปัญหาสุดแย่ที่กษัตริย์เมืองนั้นยังแก้ไม่ตกมานานหลายปีด้วย

“เปเรคอฟ นอร์ธแลนด์ ไมเดนกับเอเดนงั้นหรือ เหลือแต่เมืองที่มีปัญหาทั้งนั้นเลยนะ” ไกเซอร์พึมพำกับตัวเองแผ่วเบา หลังจากหยุดพักผ่อนใต้ร่มไม้ริมทาง พลางหยิบม้วนหนังแผ่นหนึ่งออกมาจากย่ามเดินทาง แล้วคลี่ออกมาจนเห็นได้ว่า ภายในนั้นคือ แผนที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของอาณาจักรต่างๆ ในทวีปกาโรเซีย

เป็นเวลานานกว่าห้าปีที่ไกเซอร์ออกเดินทางเร่ร่อนไปทั่วทวีปกาโรเซีย ระหว่างนั้น เขาได้จัดทำแผนที่ทวีปยุคใหม่ แทนแผนที่ยุคเก่าที่เขียนขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อน ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้รับรู้ว่า มีหมู่บ้านเพิ่มขึ้นจากอดีตมากมาย และมีการขยายอาณาเขตของอาณาจักรต่างๆ แล้ว ชายหนุ่มก็ได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกันบนทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาล จะขาดแต่ทวีปเล็กๆ ที่อยู่ทางซ้ายมือที่ยังไม่มีการแต่งแต้มอะไร นอกจากเค้าโครงร่างของแผ่นดินที่คล้ายกับขวานยักษ์ และหมู่เกาะน้อยใหญ่นับสิบที่เชื่อมสองทวีปนี้เข้าด้วยกัน

หมู่เกาะนั้นคือ หมู่เกาะไมเดน อาณาจักรบนผืนน้ำที่มีปัญหาไม่แพ้เปเรคอฟ!

พอนึกถึงหมู่เกาะเจ้าปัญหา ไกเซอร์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักหน่วงทันที ไมเดนกับอาซีเร็มเป็นอาณาจักรปิด เนื่องมาจากตำนานเมื่อหมื่นปีก่อนบอกกล่าวไว้ว่า ทั้งสองแห่งนี้เป็นอาณาจักรของจอมปีศาจ ซึ่งความคึกคะนองในวัยหนุ่ม ทำให้เขาลองไปอาณาจักรใต้ปกครองของจอมมาร จนรู้ซึ้งว่าพลังที่ตัวเองยึดมั่นถือมั่นมาตลอดว่าไม่เป็นรองใคร เป็นแค่เรี่ยวแรงของทารกที่ไม่รู้เดียงสา

การไปให้ถึงชายแดนไมเดนเป็นเรื่องง่ายที่คนธรรมดาก็ทำได้ ขอแค่มีเรือล่องไปยังเกาะชายแดนก็เพียงพอ แต่การล่วงผ่านหมู่เกาะไมเดน เพื่อใช้เป็นทางผ่านไปยังทวีปอาซีเร็มนั้น ยากเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เพราะการต้องฝ่าชนเผ่าบนหมู่เกาะที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนนายหน้าด่าน ไม่ให้คนแปลกหน้าล่วงผ่านลึกเข้าไปถึงข้างใน ยังทำให้ผู้มีฝีมือดีที่สุดต้องยั้งคิดอยู่หลายหนว่า ควรฝ่าไปดีหรือไม่ เมื่อชนเผ่าแต่ละหมู่เกาะล้วนไม่ใช่มนุษย์!

เสียงกรีดร้องของใครบางคน เรียกสติของไกเซอร์ให้หลุดจากภวังค์ และชักฝีเท้าวิ่งไปตามต้นเสียงที่ได้ยิน ตามความเคยชินของคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แล้วเขาก็ได้เห็นเด็กชายคนหนึ่งในวัยสิบต้นกำลังวิ่งหนีกลุ่มคนในชุดคลุมสีดำที่ไล่ตามมาเป็นสิบ

ร่างผอมบางของเด็กชายคนนั้นล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้น พลางสะบัดแขนให้หลุดพ้นจากการจับกุมของหนึ่งในคนชุดคลุมดำที่เข้ามาประชิดตัว แต่ดูเหมือนการต่อต้านของเด็กชายคนนั้นจะไม่เป็นผล เมื่อคนในชุดคลุมดำช้อนตัวจับร่างเล็กกว่าขึ้นพาดบนบ่าได้อย่างง่ายดาย

“ไม่นะ! ปล่อยข้า!!”

มือเล็กทุบรัวบนแผ่นหลังแข็งแรงของคนอุ้ม และดิ้นพล่านจนอีกฝ่ายตบหลังผอมบางของเด็กชายเต็มแรง เด็กชายหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนปล่อยโฮออกมาเสียงดังลั่น และในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่เข้าไปสั่นสะเทือนหัวใจของคนที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ จนเผลอเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่ทันได้คิดตริตรองวางแผนอะไร

ดาบเล่มใหญ่ตกลงกลางวงคนในชุดคลุมดำที่แตกฮือกับวัตถุที่เข้ามาขัดขวาง ตามด้วยร่างสูงใหญ่ของคนแปลกหน้าที่กระโดดลงมายืนบนด้ามดาบได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ พร้อมทั้งเอ่ยทักทายคนที่อุ้มร่างของเด็กชายที่กำลังร้องไห้ด้วยหน้าแข้ง จนอีกฝ่ายต้องโยกตัวหลบ และเปิดโอกาสให้ผู้มาใหม่ชิงตัวเด็กบนบ่าของตัวเองไปอย่างไม่น่าให้อภัย

แต่สมาชิกคนในชุดคลุมดำที่เหลือ ไม่ปล่อยให้คนแปลกหน้าชุบมือเปิบเอาเด็กน้อยผู้อ่อนเยาว์ไปแน่ สามคนที่อยู่ใกล้ที่สุดพุ่งเข้าหา แล้วฟาดท่อนแขนใส่นักเดินทางขาจรอย่างรวดเร็ว จนร่างของอีกฝ่ายที่จำต้องรับแรงปะทะลอยหวือไปชนกับต้นไม้เต็มแรง

“แค่กกก...” ไกเซอร์กระอักไอออกมาด้วยความจุกกับเรี่ยวแรงผิดมนุษย์มนา ก่อนตวัดสายตามองผ้าคลุมดำของคนที่พุ่งเข้ามาโจมตีชายหนุ่มที่ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี เผยให้เห็นภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายที่ทำให้ดวงตาสีฟ้าครามเบิกถลน

“ทำลายผ้าคลุมโดยที่พวกข้าไม่รู้ตัวได้ ดูท่าจะประมาทฝีมือของเจ้าไม่ได้เสียแล้ว” หนึ่งในคนที่ถูกทำลายชุดคลุมดำเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า พลางดึงเศษผ้าคลุมที่เหลือที่อำพรางร่างกายผิดมนาออกด้วยท่าทางไม่สนใจอีกต่อไป และพอสิ้นคำพูด คนอื่นที่เตรียมรอท่าอยู่แล้วก็พุ่งเข้าใส่นักเดินทางแปลกหน้าพร้อมกันทันที

ทำไมพวกไวลด์ฮาล์ฟจึงออกมาเพ่นพ่านในทวีปกาโรเซียได้!? ไกเซอร์ได้แต่ถามตัวเองในใจ พลางรับการจู่โจมของกลุ่มไวลด์ฮาล์ฟ เผ่าพันธุ์ลูกครึ่งที่มีวิญญาณของสัตว์ป่าอยู่ในร่างกาย

“ส่งเด็กคนนั้นมา เจ้ามนุษย์!” สาวไวลด์ฮาล์ฟ เผ่าแมวป่าที่ถูกไกเซอร์ทำลายผ้าคลุมเอ่ยเสียงกร้าว มือเรียวที่เคยเนียนสวยโชว์กงเล็บคมกริบ แล้วพุ่งเข้าใส่มนุษย์หนุ่มที่บดบังเป้าหมายของตัวเองอีกครั้ง หลังจากถูกแรงต้านบางอย่างตีกลับจนตัวลอยไปด้านหลัง

ไกเซอร์ตั้งดาบรับกงเล็บคมกริบที่กรีดผิวดาบของเขาจนเป็นรอย ส่วนเด็กชายที่อยู่ด้านหลังก็หวีดร้องอย่างตระหนก พลางหลบหลีกมือของอมนุษย์ที่หมายคว้าเอาตัวไปได้อย่างหวุดหวิด

“อย่า...อย่าทำแบบนี้! หยุดเถอะ...หยุดที! ออก้า!!” พอสิ้นเสียงของเด็กชาย เมฆครึ้มที่ปกคลุมท้องฟ้ากว้างก็ถูกแหวกด้วยเสาลำแสงขนาดมหึมา แสงนั้นครอบคลุมร่างของเด็กชายกับไกเซอร์ และคั่นกลางด้วยดาบแสงนับสิบเล่มที่พุ่งลงมาห้ำหั่นกลุ่มอมนุษย์ที่กรีดร้องด้วยความขัดเคืองที่มีคนเข้ามาขัดขวางพวกตนอีกครั้ง

สำหรับไกเซอร์ เขาจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่รู้ตอนนี้คือ มีใครบางคนใช้อาคมเพื่อช่วยเขา หรือหากจะพูดกันตามตรงคือ ช่วยเด็กชายที่ร้องไห้กระซิกเกาะเอวคนโตกว่านี่ต่างหาก แถมอาคมเหล่านี้ยังเป็นอาคมระดับสูงที่แทบจะหาคนใช้พร้อมกันได้ยากยิ่ง

แต่เวลานี้ ยังไม่ใช่เวลาแห่งความสงสัย ชายหนุ่มเริ่มท่องอาคมบทเดียวกัน แล้วระบุจุดหมายปลายทางใส่กลุ่มมนุษย์ลูกครึ่งก่อนที่ตัวเองจะถูกกลุ่มแสงพาตัวไป ซึ่งสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้คือ เสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายที่ถูกพาตัวกลับถิ่นฐานของตัวเองไปอย่างไม่เต็มใจ!



เสียงสวบสาบเหมือนมีวัตถุบางอย่างแหวกผ่านพุ่มไม้ พาเอาสัตว์น้อยใหญ่ที่กำลังกินน้ำอยู่ริมบึงใหญ่หนีแตกกระจายไปด้วยความตกใจ จนเมื่อเสียงนั้นหยุดลง และทิ้งเวลานานพอที่สัตว์ทั้งหลายรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย พวกมันก็พากันมากินน้ำตามเดิม ราวกับว่าไม่เคยเกิดเสียงประหลาดขึ้น

แต่คนที่มาพร้อมกับเสียงสวบสาบไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยเหมือนพวกสัตว์ที่อยู่ด้านล่างเลยแม้แต่น้อย เมื่ออาคมเคลื่อนย้ายพาพวกเขาร่อนลงจากที่สูง ซึ่งเป็นความสูงในระดับที่อาจทำให้มนุษย์คอหักตายได้ หากไม่มีกิ่งไม้จากต้นไม้ใหญ่รองรับ

“ท่านส่งพวกเขาไปที่ไหนน่ะ”

นี่เป็นคำถามแรกของเด็กชายที่ผ่านพ้นภัยมาอย่างหวุดหวิด ในน้ำเสียงนั้น ไกเซอร์จับได้ถึงความห่วงใยที่มีต่อกลุ่มอมนุษย์ ทำให้ชายหนุ่มเกิดความสงสัยว่า เด็กที่ตัวแข็งเกร็งอยู่ในอ้อมแขนของเขา มีความเกี่ยวพันอะไรกับคนพวกนั้น

“กลับเกาะไมเดน” แม้ไกเซอร์จะมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย แต่ก็ยังตอบคำถามของเด็กชาย พลางสังเกตอีกฝ่ายอย่างพิจารณาทันที

เครื่องแต่งกายของเด็กคนนี้ทำมาจากผ้าเนื้อดี แต่รูปแบบการถักทอและลวดลายบนผืนผ้า ก็เป็นแบบที่เขาไม่เคยมาก่อนในทวีปกาโรเซียแห่งนี้ เรือนผมสีดำยาวถึงกลางหลังและผิวพรรณนวลผ่องราวอิสตรีที่อยู่นอกร่มผ้า บ่งบอกถึงการถูกบำรุงดูแลอย่างดี อีกทั้งท่าทางไร้เรี่ยวแรงที่ดูเหมือนจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงลูกหลานของเหล่าคหบดีที่ถูกเลี้ยงดูอย่างไข่ในหิน ซึ่งเด็กชายในอ้อมแขนของเขาก็เข้าข่ายนั้นพอดี

แต่เด็กคนนี้เป็นลูกคหบดีมาจากบ้านไหนเมืองไหนล่ะ? ไกเซอร์เพิ่มคำถามให้กับตัวเองอีกข้อ แต่ลมเย็นที่พัดผ่านผิวหน้า ทำให้ชายหนุ่มต้องละข้อสงสัย และหันกลับมาดูสภาพย่ำแย่ของตัวเองในตอนนี้ที่ควรหาวิธีลงจากต้นไม้สูง โดยไม่โหม่งพสุธาไปพร้อมกับเด็กชายในอ้อมแขนเสียก่อน

“อ่า...ท่านคิดว่าบึงนั้น เป็นน้ำตื้นหรือน้ำลึก”

คำถามของเด็กชาย ดึงสายตาของไกเซอร์ให้เหลือบมองพื้นด้านล่าง ที่เป็นขอบบึงที่เต็มไปด้วยสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่กำลังกินน้ำ โดยไม่รับรู้ถึงมนุษย์ที่อยู่เบื้องบน แต่ไม่ว่าขอบบึงจะเป็นน้ำตื้นหรือน้ำลึก ชายหนุ่มก็ไม่มีความคิดอยากจะลงไปเล่นน้ำแน่

“คือ...ข้าก็ไม่ค่อยอยากจะลงไปเล่นน้ำหรอกนะ” เด็กชายเอ่ยขึ้นราวกับล่วงรู้ถึงความคิดของคนสูงวัยกว่า แต่ในน้ำเสียงนั้นมีรอยสั่นพร่าด้วยความหวาดกลัว จนคนฟังนึกสงสัยว่า อีกฝ่ายกำลังกลัวอะไรบางอย่างนอกเหนือไปจากการตกน้ำ

“แต่ข้าไม่อยากเป็นอาหารงู!”

สิ้นคำของเด็กชาย ไกเซอร์ก็ได้ยินเสียงขู่ฟ่อดังมาจากด้านบน ชายหนุ่มมองงูยักษ์ที่ทิ้งตัวลงมาจากกิ่งไม้ที่พันรัดอยู่เบื้องบน ปากสีแดงที่อ้าออกกว้างก็บอกถึงจุดประสงค์ของมันได้ดีกว่าคำพูดไหน เขาส่งเสียงครางในลำคอกับเทพธิดาแห่งโชคที่หนีหายไป ก่อนทิ้งตัวลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่าง เพื่อหนีจากสภาพอาหารงูทันที

“อ้ากกก!! มันตามลงมาแล้ว”

เออ! ขนาดซุกหน้าอยู่กับอกของเขา ยังรู้อีกนะว่าเจ้างูยักษ์ตัวนั้นทิ้งตัวตามลงมาด้วย ซึ่งหากไม่อยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ไกเซอร์ก็อยากจะหัวเราะออกมาเสียเหลือเกิน แต่วันนี้เขาก็เหนื่อยมามากพอกับเหตุการณ์ระทึกขวัญ จนไม่คิดอยากปล้ำสู้กับงูยักษ์ต่อในน้ำแล้ว ชายหนุ่มจึงท่องอาคมแห่งไฟ แล้วส่งเพลิงไปเผาผลาญงูยักษ์ทันที

ไกเซอร์ท่องอาคมเรียกลมอย่างรวดเร็ว แล้วบังคับมันให้พยุงร่างของเขาให้ลอยอยู่เหนือผืนน้ำ ซึ่งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ยังไม่รู้สึกถึงการร่วงหล่นของมนุษย์แปลกหน้า จนเมื่อร่างของงูยักษ์ที่ถูกเผาจนสุกได้ที่หล่นตามมาตกลงบนไหล่ผอมบางของเด็กชายที่ยังซุกหน้าอยู่กับแผ่นอกกว้างไม่เลิก คนกลัวงูจึงกรีดร้องเสียงดังลั่น พลางดิ้นพล่านหนีงูยักษ์ที่กลายเป็นงูย่าง คนที่พยายามใช้สายลมประคองให้ตัวเองลอยเหนือผิวน้ำเริ่มเสียสมาธิ และเสียหลักหล่นตูมลงไปในน้ำ จนสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่พากันหนีกระเจิดกระเจิงไปอีกรอบ

และหากไกเซอร์หูไม่ฝาด ก็เหมือนจะได้ยินเสียงแว่วหวานอันคุ้นเคย กลั้วหัวเราะขบขันกับการตกน้ำอย่างไม่เต็มใจของนักเดินทางที่ถูกเทพธิดานำโชคทอดทิ้ง!



เวลากลางคืนล่วงผ่านเข้ามาไวกว่าที่คิด เสื้อผ้าที่ถูกผิงไฟตั้งแต่ตอนเย็นถูกดึงออกแล้วแทนที่ด้วยตัวใหม่ โดยมีดวงตาสีดำของเด็กชายเฝ้ามองคนตัวใหญ่กว่าที่ทำอะไรได้คล่องแคล่วงว่องไวเสียจนน่าทึ่ง แล้วไม่นานอีกฝ่ายก็กลับมานั่งลงบนขอนไม้ฝั่งตรงข้าม โดยมีกองไฟที่กำลังย่างงูยักษ์ที่กลายเป็นอาหารเสียเองขวางกลางไว้

ไกเซอร์มองเด็กชายที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อที่ก้มหน้าก้มตากินผลไม้ที่เขาต้องลงแรงไปหามาให้ หลังจากเด็กชายปฏิเสธการกินงูย่างที่ชุ่มไปด้วยน้ำโคลนในบึง ด้วยเหตุผลว่าเป็นมังสวิรัติ ก่อนหยิบผ้าคลุมอีกผืนที่ใช้ห่มนอนยามอยู่กลางป่าให้อีกฝ่าย เมื่อเห็นร่างผอมบางสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็นของป่ากลางคืน

เด็กชายเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงงึมงำในลำคอ พลางเหลือบมองอีกฝ่ายที่หยิบเนื้องูจากไม้เสียบมากินแก้หิวด้วยอาการขนพองสยองเกล้า หากเขากินเนื้อแบบคนตรงหน้าได้ ก็คงทำใจกินสัตว์ที่คิดจะกินตัวเองแบบนั้นไม่ได้แน่

“บ้านเจ้าอยู่ไหน” ไกเซอร์ส่งคำถามแรกออกไปทันที หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมบรรยากศอยู่นาน

คนที่ไม่ทันตั้งตัวรับคำถามสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ก่อนเหลือบสายตาขึ้นมองเจ้าของคำถามที่จ้องตรงผ่านเปลวเพลิงมายังเขานิ่ง คำถามนั้นเป็นคำถามที่ง่ายในการตอบ แต่เด็กชายรู้สึกลำบากใจที่ต้องบอกที่อยู่บ้านของตัวเองออกไป

“หมู่บ้าน...หมู่บ้านฟีนอส” แต่สุดท้าย เด็กชายก็ตอบคำถามนั้นไป ซึ่งไกเซอร์ไม่ได้ปล่อยกิริยาท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของเด็กชายที่ทำท่ากระอักกระอ่วน ยามเอ่ยชื่อหมู่บ้านของตัวเองให้หลุดรอดสายตาไป

“หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลตะวันตก” ชายหนุ่มเอ่ยถึงที่ตั้งของหมู่บ้านด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ แล้วมองดวงตาสีดำที่เบนหนีจากการสบจ้อง ก่อนพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่องช้า

ข้อสงสัยของไกเซอร์ พอจะคลายลงไปเล็กน้อยจากท่าทางตอบรับของเด็กชาย หมู่บ้านฟีนอสเป็นหมู่บ้านไม่กี่แห่งที่ยังคงอยู่เหมือนเมื่อหมื่นปีก่อน ไม่ถูกผู้คนทอดทิ้งไป อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามฝ่ายมืด ซึ่งหมู่บ้านนี้เป็นจุดที่ชายหนุ่มใช้เป็นทางผ่านเข้าสู่ชายแดนไมเดน อันเป็นระยะทางที่ใกล้กว่าอีกสี่หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลตะวันตกเหมือนกัน

“แล้วทำไมเจ้าที่อยู่หมู่บ้านฟีนอส จึงมาโผล่อยู่ใกล้เมืองเมาเฟนที่อยู่ทิศตะวันออกแบบนี้ได้ล่ะ”

คำถามของไกเซอร์ ทำให้เด็กชายนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วดวงตาสีดำก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เมื่อนึกถึงการกระทำที่ทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ไกลบ้านเช่นนี้

“ที่นั่นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทุกคนถูกความชั่วร้ายเข้าครอบงำจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ข้าเลยถูกพาหนีออกมาด้วยแสงแบบเดียวกับที่พาข้าและท่านมาที่บึงนี้” เด็กชายพูดรัวเร็ว โดยไม่เว้นช่องหายใจ ก่อนปล่อยน้ำตาออกมาอย่างสุดกลั้น

“เพื่อนที่ข้ารู้จักต้องมาห้ำหั่นฆ่าฟันกัน เพียงเพราะอีกฝ่ายหนึ่งพยายามปกป้องข้า”

“หมายถึงไวลด์ฮาล์ฟที่ตามล่าเจ้างั้นหรือ” ไกเซอร์อยากจะถามต่อเสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดเด็กชายจึงถูกตามล่า แต่พอได้เห็นท่าทางโศกเศร้า และนึกถึงเสียงกรีดร้องโหยหวนยามถูกจับตัวในตอนแรก ชายหนุ่มจึงละคำถามนั้นไป

“พวกเขาไม่ได้เลวร้าย ทุกคนเคยใจดีกันหมด”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมพวกเขาถึงเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือไปได้ล่ะ”

นี่เป็นอีกคำถามของไกเซอร์ที่เรียกน้ำตาจากเด็กชายให้พรั่งพรูยิ่งขึ้น เด็กชายปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า เพื่อหนีคำถามที่ทำให้ตัวเองทุกข์ระทม แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด เมื่อภาพเหตุการณ์ที่ไม่อยากจำฉายชัดให้ได้เห็นอีกครั้ง

“มันเป็นเพราะสายฟ้าสีแดง มันพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกของแผ่นดิน แล้วกระจายไปทั่วท้องฟ้า มีหลายเส้นที่ตกลงบนบ้านกลายเป็นหมอกสีดำ หลังจากนั้นทุกคนก็เปลี่ยนไป”

ไกเซอร์นิ่งขึงไปกับคำบอกเล่าของเด็กชาย หมอกสีดำที่ทำให้ผู้คนวิปริตเป็นดั่งเครื่องมือของจอมปีศาจที่เคยใช้กับมนุษย์ที่ถูกเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายเมื่อหมื่นปีก่อน นอกจากประตูปีศาจที่อสนีบาตชาดนำมา ดูท่าจะมีหมอกปีศาจที่ทำให้ชายหนุ่มต้องหนักใจเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

“ตอนแรกข้าคิดว่าจะพาเจ้าไปส่งบ้าน” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางมองเด็กชายที่เงยหน้าจากการฟุบหน้าร้องไห้กับเข่าด้วยท่าทางสิ้นหวัง

“ข้าเองก็อยากกลับไป แต่ว่าข้ากลับไปที่นั่นไม่ได้แล้ว” ...เพราะเขาคนนั้นออกปากไล่อย่างไม่ใยดี!

น้ำเสียงสั่นเครือกับท่าทางน่าสงสาร ทำให้ไกเซอร์ไม่สามารถดูดายได้ อีกทั้งชายหนุ่มยังรู้สึกว่า เด็กชายตรงหน้าไม่ได้เล่าความจริงออกมาทั้งหมด อันรวมไปถึงสาเหตุที่กลุ่มไวลด์ฮาล์ฟไล่ตามเด็กคนนี้ด้วย เขาจึงอยากให้อีกฝ่ายอยู่ในสายตามากกว่าจะไปฝากให้ใครสักคนที่พอไว้ใจได้คอยดูแล

“ตอนนี้ข้าอยู่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ถ้าเจ้าไม่มีที่ไป จะมาอยู่กับข้าไหม”

ดวงตาสีดำฉายแววขอพึ่งพิงเต็มที่ แต่ก็ยังมีรอยลังเลกับคำเชื้อเชิญของชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ “ข้าอยู่กับท่านได้หรือ”

“ได้สิ ข้ามีความสามารถพอที่จะเลี้ยงเจ้าได้นะ” ไกเซอร์คลี่ยิ้มนุ่มละมุนส่งให้เด็กชายที่รู้สึกอุ่นวาบในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มของชายหนุ่มทำให้เด็กชายนึกถึงรอยยิ้มของผู้ชายอีกคน ที่มักทำให้เขารู้สึกอบอุ่นทุกครายามได้เห็น

“อย่ากังวลไปเลย ข้าจะต้องหาทางให้คนที่บ้านเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ แล้วเมื่อนั้นข้าจะพาเจ้ากลับไป”

ถ้อยคำหนักแน่นที่เป็นเหมือนดั่งคำสัญญา ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ในใจของเด็กชายให้เลือนหายไป ความรู้สึกของเด็กชายบอกว่าผู้ชายคนนี้เชื่อถือได้ และสมควรวางใจ เขาจึงพยักหน้ายอมรับคำเชื้อเชิญ ด้วยท่าทางที่ไม่ลังเลอีกต่อไป

“งั้นเรามาทำความรู้จักกันดีกว่า ข้าชื่อไกเซอร์ โบนาร์ด แล้วเจ้าล่ะ”

“ข้าชื่อโบเซล...โบเซล กรุนวาร์ล”



ไกเซอร์คอยเติมฟืนที่ใกล้มอดให้ลุกโชติช่วงอีกครั้ง เพื่อให้กองไฟส่องสว่างและสาดแสงส่องมายังม้วนแผนที่หนังที่ถูกคลี่ออก เพื่อดูตำแหน่งที่ตั้งของตัวเองในขณะนี้อีกครั้ง ซึ่งจุดหนึ่งบนแผนที่มีแสงเรืองรองคล้ายแสงของหิ่งห้อยลอยอยู่เหนือป่าแห่งหนึ่งที่มีรูปบึงคล้ายกับสถานที่ที่ชายหนุ่มอยู่

“สรุปว่าข้าถูกบังคับให้มาเปเรคอฟก่อนเป็นอันดับแรกสินะ” ชายหนุ่มหลุดเสียงพึมพำออกมา เมื่อจุดแสงเหนือผืนป่านั้น อยู่ถัดจากที่ตั้งเมืองเป้าหมายไปเพียงหนึ่งวันจากระยะเดินเท้า

“ดูเหมือนท่านจะไม่พอใจเท่าไร ที่การตัดสินใจของตัวเองกลายเป็นกำหนดของโชคชะตา” เสียงหวานที่ดังขึ้นท่ามกลางความสงัด ทำให้ไกเซอร์หันขวับไปมองเจ้าของเสียงด้วยความตกใจ

“ไม่ว่าท่านหรือข้าต่างหนีกำหนดของโชคชะตาไม่พ้นหรอก ทำใจเสียเถอะ”

หญิงสาวปริศนายังคงซ่อนอยู่ในเงามืด และอยู่ห่างเกินกว่าที่มือของไกเซอร์จะเอื้อมไปถึง แต่ร่างโปร่งระหงนั้นกลับอยู่ใกล้เด็กชายที่หลับสนิทอยู่ใต้ผ้าคลุมกันหนาว โดยไม่รู้สึกถึงมือเรียวบางที่ลูบเรือนผมสีดำที่เปียกชื้นจากการตกน้ำและน้ำค้างที่เกาะพราวอยู่บนผมเส้นเล็ก

“นั่นไม่เท่ากับว่าทุกอย่างถูกขีดกำหนดแล้วหรือไง ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ฝ่ายไหนจะชนะล่ะ” ไกเซอร์ตอบประชดอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน เรียกเสียงถอนหายใจจากหญิงสาวปริศนาที่รู้จักนิสัยของชายหนุ่มดียิ่งกว่าใคร

“ถ้าข้าตอบว่าฝ่ายปีศาจชนะ ท่านจะอยู่เฉยเพื่อให้เป็นไปตามกำหนดของชะตาหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่!!”

คำตอบของไกเซอร์ เป็นสิ่งที่หญิงสาวเดาได้อยู่แล้ว เธอจึงคลี่ยิ้มออกมา “แม้นโชคชะตาจะถูกกำหนดไว้ แต่หนทางที่จะไปสู่กำหนดของโชคชะตานั้นมีหลายทาง อีกทั้งยังมีผลลัพธ์มากมายตามแต่คนแห่งโชคชะตาจะเลือกสรร...ทั้งดีและร้าย” หญิงสาวเว้นจังหวะการพูดไว้ ก่อนก้มลงมองเด็กชายที่นอนน้ำตาซึม หลับฝันอยู่ในห้วงของฝันร้ายที่เธอไม่อาจเข้าไปยุ่งได้

“และไม่ใช่มีเพียงท่านที่ต้องเลือก แม้แต่ข้าหรือเด็กคนนี้ที่เข้ามาเกี่ยวพันกับโชคชะตาของท่าน ก็ต้องเลือกหนทางแห่งโชคชะตาของตัวเองเช่นกัน”

“เจ้ารู้ไหมว่าเขาเป็นใคร”

“เกรงว่าข้าจะตอบท่านไม่ได้” หญิงสาวในเงามืดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ซึ่งไกเซอร์น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ความลับต่างๆ ไม่เคยถูกเผยผ่านริมฝีปากอิ่มเอิบคู่นั้น

“ถ้าอย่างนั้น มีเรื่องไหนที่ข้าควรรู้บ้างไหม” ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่าเขากำลังพาลใส่อีกฝ่ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตัวเองไม่มั่นคงอย่างที่เคยเป็น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้เขารู้สึกงุ่นง่านใจทุกครั้งที่ได้พบ

“ท่านรู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว ทั้งเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หรือเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เหลือเพียงแค่ทางที่ท่านจำต้องเลือกเดินเท่านั้น” ...ซึ่งในตอนจบ เธออาจต้องสูญสลายไป ตามหนทางที่เธอเคยเลือกให้เขาก็เป็นได้

“ข้ารู้แค่สิ่งที่บันทึกลงบนหน้ากระดาษ ซึ่งข้าไม่รู้ว่าอดีตได้เป็นไปตามที่บันทึกหรือไม่” ไกเซอร์ตอบกลับเสียงอ่อน เมื่อตัวเองได้พ่ายแพ้ต่อท่าทางสงบนิ่งของหญิงสาว

“ท่านหมายถึงเรื่องของพวกไวลด์ฮาล์ฟใช่ไหม” หญิงปริศนาเอ่ยต่อราวกับรู้ใจของชายหนุ่ม เธอเผยรอยยิ้มเศร้าออกมายามนึกถึงเผ่าพันธุ์ที่ไม่อาจต้านทานอำนาจชั่วร้าย อันเป็นแหล่งกำเนิดของตัวเองได้

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ข้าพอจะสามารถตอบท่านได้นะ”

คำตอบที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับ ทำให้ไกเซอร์ตวัดสายตามองหญิงปริศนาที่เห็นเพียงริมฝีปากสีสวยส่งรอยยิ้มเศร้า และบีบอัดหัวใจคนมองให้รู้สึกโศกเศร้าคล้อยตามไป

“ต้นกำเนิดของไวลด์ฮาล์ฟ เริ่มมาจากสงครามเมื่อหมื่นปีก่อนนั่นแหละ แต่เดิมทีพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกท่าน” หญิงสาวพูดพลางถอนหายใจออกมา เมื่อภาพคืนวันแห่งอดีตย้อนกลับคืนมาให้เธอเห็นอีกครั้ง

“แต่เพราะความกระหายในความแข็งแกร่งทุกรูปแบบของพวกเขา ทำให้พวกเขาขายวิญญาณให้กับจอมปีศาจที่ไม่เคยให้อะไร โดยไม่คิดค่าตอบแทน พวกเขาได้รับพลังกายและพลังอาคมที่แข็งแกร่ง...ร่างกายที่ต้องกลายเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ พร้อมกับจิตวิญญาณที่ไม่อาจต้านทานอำนาจของจอมปีศาจ หากถูกเรียกหาได้”

“นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกไวลด์ฮาล์ฟเปลี่ยนไปงั้นหรือ”

หญิงสาวในเงามืดพยักหน้ารับ ก่อนก้มลงมองเด็กชายที่ถูกชาวไวลด์ฮาล์ฟตามล่า “พวกเขาไม่อาจปฏิเสธอำนาจมืดได้ เพราะนั่นคือแหล่งกำเนิดพลังชีวิตของพวกเขา และการที่พวกเขาคลุ้มคลั่ง ก็เป็นเพราะการพยายามต่อต้านอำนาจนั้น ซึ่งข้าคิดว่าจำยอมอำนาจนั้นไปเสียดีกว่า เพื่อจะได้ไม่ต้องพบกับความทรมาน”

“การไม่ยอมจำนนต่ออำนาจมืดเป็นสิ่งที่ถูกแล้วไม่ใช่หรือไง” ไกเซอร์เอ่ยแย้งอย่างไม่เห็นด้วย ชายหนุ่มจึงได้รับเสียงหัวเราะจากหญิงสาวในเงามืดตอบกลับมา

“ยอมเพื่อให้ตัวเองมีสติ ไม่เห็นจะเสียหายอะไร เพราะยิ่งต่อต้านก็จะยิ่งทำให้จอมปีศาจควบคุมได้ง่ายเท่านั้น เขาจึงใช้เด็กคนนี้เป็นเหยื่อ เพื่อให้ได้กองทัพอันทรงพลังของตัวเองกลับคืนมา”

นี่อาจจะเป็นข้อเฉลยเกี่ยวกับความเป็นมาของโบเซล ที่ดูจะเป็นที่รักของไวลด์ฮาล์ฟมากมาย แต่ไกเซอร์เชื่อว่าหญิงสาวในเงามืดก็ไม่ได้บอกเล่าความจริงออกมาทั้งหมด ซึ่งทำให้ความลับของเด็กชายมีมากขึ้น และความรู้สึกของเขาก็บอกว่า เด็กคนนี้อาจเป็นหนทางหนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างเขากับจอมปีศาจ

“ทำไมเจ้าถึงเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังล่ะ”

หญิงสาวในเงามืดกลั้วหัวเราะกับคำถามของชายหนุ่ม พลางเอียงคอมองอีกฝ่ายที่ไม่น่าหลุดคำถามนี้ออกมาได้ “ก็ท่านอยากรู้ไม่ใช่หรือ”

“มีหลายเรื่องที่ข้าอยากรู้ แต่เจ้าไม่เคยตอบเหมือนเรื่องนี้” คำโต้แย้งของไกเซอร์ ทำให้หญิงสาวเผยอริมฝีปาก เผยรอยยิ้มเย็นที่ชวนให้คนมองรู้สึกขนหัวลุกแทน

“เพราะเลือดในกายครึ่งหนึ่งของข้าคือ ข้ารับใช้ของจอมปีศาจที่ต้องพลีกายถวายวิญญาณรับใช้เขา” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ซึ่งตรงกันข้ามกับท่าทางที่ไม่ได้แผ่บรรยากาศคุกคามมาแต่อย่างใด

“ข้าจำเป็นต้องเชื่อไหม”

“ข้าอยากให้ท่านเชื่อ”

คำตอบนั้นเรียกเสียงถอนหายใจจากชายหนุ่ม ความจริงเขาเชื่อตั้งแต่คำแรกที่เธอเอื้อนเอ่ยแล้ว เพราะความรู้สึกบอกว่าเธอจะไม่มีวันโกหกเขา

“ข้าเชื่อ...” ไกเซอร์เว้นจังหวะการพูดไว้ แล้วมองดูปฏิกิริยาของหญิงสาวในเงามืดก่อนเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ข้าเชื่อว่าเจ้ายอมจำนนต่ออำนาจมืด เพื่อครองสติของตัวเอง สติที่จะทำให้เจ้าสามารถปกป้องใครบางคน หรือใครอีกหลายคนได้” แล้วชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ ที่ไม่เคยทำให้ใครเห็นมาก่อนออกมา

“ความจริงข้าอยากคิดเข้าข้างตัวเองว่า เจ้าครองสติเพื่อพยายามปกป้องข้านะ”

“ท่านคิดเข้าข้างตัวเองจริงๆ ด้วย” หญิงสาวหลุดเสียงหัวเราะขัน ก่อนตัดสินใจยื่นมืดไปเบื้องหน้า ซึ่งไกเซอร์รีบยื่นไปจับมือเรียวบางด้วยความหวั่นกลัวว่าร่างของเธอจะเลือนหายไปเสียก่อน

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ท่านจดจำไว้เสมอว่าข้าอยู่เคียงข้างท่านเสมอ จะอยู่ตรงนี้...” หญิงสาวพูดพลางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคงในหนทางที่ตัวเองเลือกเดิน

“อยู่ข้างหัวใจท่านตราบวันที่วิญญาณของข้าจะสูญสลายไป”



แสงแดดอ่อนยามเช้า ลอดผ่านกลุ่มใบไม้ลงมากระทบกับดวงหน้าคมคายที่ดูจะหลับสนิทยิ่งกว่าค่ำคืนไหน เปลือกตากะพริบปรือก่อนเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นดวงตาที่มีสีเดียวกับท้องฟ้าเบื้องบน ดวงตาสีฟ้าครามทอแววง่วงงุนเล็กน้อย แต่รอยนั้นก็หายไปทันที เมื่อประสาทสัมผัสจับได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไป

อย่างแรกเลยคงเป็นร่างผอมบางของเด็กชายที่เข้ามานอนซุกอยู่ใต้ผ้าคลุมผืนเดียวกัน ร่างนั้นขดตัวกลมราวกับลูกสัตว์ที่ยังปกป้องตัวเองไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ดูจะยังไม่น่าตกใจเท่ากับอีกเรื่อง เมื่อชายหนุ่มพยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่ง โดยไม่ให้คนที่นอนซุกข้างกายรู้สึกตัวตื่น แล้วต้องพบกับสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เข้ามานอนหลับพักพิงอยู่รอบกาย

ภาพของสรรพสัตว์เหล่านี้ เป็นเรื่องที่น่าเหลื่อเชื่อสำหรับไกเซอร์อยู่ไม่น้อย เพราะร้อยวันพันปีที่ชายหนุ่มต้องนอนพักค้างแรมในป่าใหญ่ ยังไม่เคยมีค่ำคืนหรือเช้าวันไหนที่เขาจะตื่นขึ้นมาพบฝูงสัตว์มากมายเพียงนี้ ซ้ำบางตัวยังเป็นชนิดที่เขาต้องระวังไม่ให้มันตะปบจนกลายเป็นอาหารค่ำไปเสียด้วย

ดังนั้น ต้นเหตุของความเหลือเชื่อเหล่านี้ ก็เห็นจะเป็นร่างผอมบางของเด็กชายที่ยังนอนหลับสบายอยู่ข้างกายเขานั่นล่ะ!

“โบเซล...” ไกเซอร์ตัดสินใจปลุกเด็กชายให้ตื่นขึ้นมาด้วยการส่งเสียงเรียกและเขย่า อีกฝ่ายส่งเสียงครางอือตอบรับ คล้ายกับรู้ถึงการเขย่าปลุก แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาตื่น

“โบเซล ตื่นได้แล้ว เช้าแล้วนะ”

“ขออีกแปบนะ ออก้า”

ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของโบเซล ทำให้ไกเซอร์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เพราะชื่อนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงอาคมแสงเคลื่อนย้าย และอาคมดาบทัณฑ์สวรรค์ที่ช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากกลุ่มไวลด์ฮาล์ฟขึ้นมา เขาจำได้รางเลือนว่า หลังจากที่เด็กชายร้องเรียกหาเจ้าของชื่อนี้ อาคมระดับสูงก็ปรากฏขึ้น แล้วพาพวกเขาหนีภัยจากกลุ่มนักล่ามาได้เส้นยาแดงผ่าแปด

ไกเซอร์ถอนหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า เมื่อชายหนุ่มรับรู้ถึงความลับมากมายที่ประดังกันเข้ามา ทั้งประวัติศาสตร์สงครามเลือดเมื่อหมื่นปีก่อนที่เขาเริ่มรู้สึกว่า มีบางอย่างที่ไม่ได้บันทึกลงบนหน้ากระดาษเคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังหรณ์ของเขาก็ได้บอกว่า บางสิ่งบางอย่างเหล่านั้นกำลังจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ด้วย ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างได้เชื่อมโยงกับความฝันของเขา ฝันบอกเหตุที่ใครสักคนได้เข้ามาบอกเล่าถึงเรื่องที่เคยเป็นและกำลังเป็น ที่ทำให้เขารู้สึกว่าชะตากรรมไม่ได้เป็นไปตามที่เขากำหนด

“ทำไมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นล่ะ” เสียงเล็กที่ยังไม่แตกพานเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย และฉุดสติของไกเซอร์ให้กลับคืนสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง ชายหนุ่มมองเด็กชายที่ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย ซึ่งสรรพสัตว์ก็แยกย้ายจากไปทันทีที่เจ้าตัวเล็กของเขาตื่นขึ้นมา

“ตื่นแล้วหรือ โบเซล”

“ก็ท่านปลุกไม่ใช่หรือ” เด็กชายพูดพลางหาวหวอด พลางหันไปมองรอบตัวที่กลายเป็นป่า แล้วเด็กชายก็เพิ่งนึกได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง

“ใช่ ไปล้างหน้าล้างตาเถอะโบเซล เดี๋ยวพวกเราต้องเข้าเมืองเปเรคอฟให้ทันก่อนประตูเมืองจะปิดในช่วงค่ำ” ไกเซอร์พูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าในย่ามเดินทางส่งให้เด็กชาย พลางควานหาอาหารแห้งที่ยังไม่เปียกน้ำจากเมื่อวาน ซึ่งมีแต่ถึงใส่เมล็ดกาแฟที่ได้มาจากคณะกองเกวียนที่เขาทำหน้าที่คุ้มกันมาจนถึงเมาเฟน

ส่วนผลไม้ที่เก็บมาเผื่อสำหรับสองวันก็ถูกโบเซลกินหมดไปตั้งแต่เมื่อคืน เห็นทีถ้าเขาไม่รีบเข้าเมืองเปเรคอฟให้ทันคืนนี้ ผลไม้ที่หายากแสนยากในป่าแห่งนี้ คงไม่พอเพียงที่จะเลี้ยงเด็กชายวัยกำลังกินเป็นแน่!


Next Chapter
“สัตว์ร้ายแห่งป่าเปเรคอฟ”




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2552
0 comments
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2552 13:25:21 น.
Counter : 433 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


rudyard
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถใด นอกจากการเขียน
[Add rudyard's blog to your web]